ความฝันของเราคืออะไร แล้วถ้าไม่มีมันจะผิดไหม by Akiko

หากถามว่า ความฝัน คืออะไร ฉันจะตอบว่า ความฝันในนิยามของฉัน คือ การเป็น การทำ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเป็นหลัก และความฝันของเราจะดูดีขึ้น หากมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นหรือโลกดีขึ้นด้วยในเวลาเดียวกัน
ตอนที่เราเป็นเด็ก ถ้าใครถามว่าความฝันของเราคืออะไร เราคงตอบได้อย่างไม่คิดมาก ว่าเราอยากเป็นหมอ เป็นทหาร เป็นพยาบาล เป็นตำรวจ แต่ถ้าเราพอจะจำได้ ในตอนนั้นความฝันของเรากับเพื่อนมักไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นัก เพราะชุดความคิดของเราถูกปลูกฝังมาเหมือนๆ กัน แต่พอเราโตขึ้น เราได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการทางศึกษาและสังคมมาแล้วระดับหนึ่ง ทำให้เราเริ่มรู้ว่า โลกอนุญาตให้เราสามารถเป็นอะไรได้บ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะแตกต่างจากสิ่งที่เราฝันไว้ในตอนเด็กอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งเราโตขึ้นมากเท่าไหร่ เรายิ่งตอบเรื่องความฝันยากขึ้นเท่านั้น ส่วนหนึ่งเพราะเรามักวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ นาๆ ในชีวิตและคิดถึงความเป็นไปได้มากขึ้น แต่ที่ยากกว่านั้นคือ บางคนไม่มีความฝันเสียด้วยซ้ำ ฉันเชื่อว่าผู้ใหญ่หลายคนไม่รู้ว่าความฝันของตัวเองคืออะไร และตั้งคำถามลึกๆ อยู่ในใจว่า หากเราไม่มีความฝันนั้นผิดไหม เราผิดแปลกจากคนทั่วไปหรือไม่ แต่ฉันคิดว่า เราทุกคนมีความฝันด้วยกันทุกคน ฝันอาจจะใกล้หรือไกล ยากหรือง่าย มากหรือน้อย เพียงแต่เราอาจไม่รู้ว่านั่นคือความฝันของเรา หรือเราอาจไม่กล้ายกมันขึ้นมาเป็นความฝันของเราเพราะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ฉันแค่อยากจะบอกว่า อย่าหยุดฝัน เพราะความฝันและความหวังทำให้เรามีแรงผลักดันในการใช้ชีวิตต่อไปทุกๆ วัน ถึงแม้บางความฝันอาจจะไม่เป็นไปตามที่เราคิดเอาไว้ แต่มันไม่เป็นอะไรเลย เพราะเรายังสามารถหาความฝันใหม่ๆ เข้ามาเติมชีวิตได้ทุกวัน

ฉันเชื่อว่า ความฝันของคนเรามักเปลี่ยนไปตามเวลา อายุ ประสบการณ์ และสถานการณ์ในชีวิต เมื่อชีวิตเราเปลี่ยนไป ข้อจำกัดต่างๆ ในชีวิตก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เช่น บางคนอาจฝันเป็นแอร์โฮสเตส อยากจะไปเที่ยวรอบโลก แต่พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัว ความต้องการในชีวิตอาจจะเปลี่ยนไป เราอาจไม่ได้ต้องการท่องเที่ยวไปรอบโลกอีกต่อไปแล้ว แต่เราอาจจะอยากลงหลักปักฐานอยู่กับครอบครัวและอยากดูแลครอบครัวของเราอย่างดีที่สุด เราอาจจะอยากไปเที่ยวกับครอบครัวมากกว่าที่ถึงแม้จะเป็นการท่องเที่ยวในประเทศ แต่เราอาจจะรู้สึกพอใจมากกว่าการไปเที่ยวรอบโลกเพียงลำพัง ถึงตอนนั้นความฝันของเราอาจจะเปลี่ยนไป จากการอยากเป็นแอร์โฮสเตสกลายเป็นอยากทำธุรกิจส่วนตัวเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว แบบนี้เป็นต้น
ขึ้นชื่อว่า "ความฝัน" นั้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ในสายตาของใครๆ หรือต้องได้รับการยอมรับจากสังคมแต่ความฝันที่ดีมีคุณภาพนั้นมักเกิดจากการที่เรายอมรับตัวเองมากกว่า เพราะเราจะเลือกความฝันที่เรารู้แล้วว่า มันคือความต้องการจริงๆ ของหัวใจและสามารถเติมเต็มชีวิตเราได้ หากเราสามารถทำมันได้สำเร็จ และคงดีกว่าเป็นเท่าตัวหากความฝันของเรานั้นสามารถเลี้ยงตัวเราได้ด้วย

แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น มีคนจำนวนมากที่ยอมละทิ้งความฝันและยอมอยู่กับความเป็นจริงแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ เพียงเพราะสิ่งนั้นสามารถเลี้ยงชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นได้ ฉันเข้าใจค่ะว่าบางความฝันคงไม่อาจทำให้เราอิ่มท้องได้จริงๆ แต่มันจะดีกว่าไหม หากเราสามารถใช้ชีวิตจริงควบคู่ไปกับความฝันของเราได้ ทำไมเราต้องทิ้งความฝันที่มันอาจจะยังเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ แต่ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ฉันเองก็เป็นพนักงานออฟฟิสคนหนึ่ง ที่อาจจะโชคดีกว่าคนอื่นเล็กน้อยตรงที่ฉันรู้สึกพอใจกับงาน กับเพื่อนร่วมงานและเจ้านายของฉัน และบังเอิญว่างานของฉันก็สามารถชุบเลี้ยงชีวิตของฉันได้ในระดับที่ฉันพอใจ แต่แท้จริงแล้วความฝันของฉันคือการได้เป็นนักเขียน ฉันพยายามตื่นเช้ากว่าคนอื่นเพื่อให้มีเวลามากพอในตอนเช้าในการฝึกเขียนบทความสักหนึ่งบทก่อนทำงานทุกๆ วัน และใช้วันหยุดในการอ่านหนังสือและดูรายการที่เป็นประโยชน์เพื่อหาข้อมูลและกลั่นกรองความคิดของตัวเอง ออกมาเป็นตัวหนังสือ ฉันมองไม่เห็นความจำเป็นของการไม่เขียนหนังสือ เพียงเพราะว่าต้องทำงานออฟฟิสที่งานก็เยอะมากอยู่แล้วในแต่ละวัน แต่ถ้าเราขยันและพยายามมากขึ้นอีกสักหน่อย ความฝันของเราจะยังคงอยู่ใช่หรือไม่ และมันก็อาจจะเป็นจริงได้ในสักวันใช่หรือเปล่า

เพียงแค่ความฝันไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนั้น 
ความฝันมีความผิดมากถึงขนาดกับที่เราต้องทิ้งมันไว้กลางทางเลยหรือคะ

Akiko

แล้วไงใครแคร์ ถึงโลกจะไม่แฟร์ก็ไม่เป็นไร by Akiko

ช่วงหลังๆ มานี้ ฉันเคยได้ยินหลายๆ คนบ่นกับคนอื่นและตัวเองบ่อยขึ้นว่า "โลกนี้มันไม่แฟร์กับเราเลย" แต่ฉันกลับรู้สึกว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องบ่นแต่คือสิ่งที่เราต้องยอมรับและปรับตัวเข้ากับความไม่ยุติธรรมของโลกนี้ให้ได้ต่างหาก หากเข้าใจชีวิตแล้ว ความไม่ยุติธรรมจะไม่สามารถทำร้ายเราได้เลย เพราะตัวเราเองต่างหากที่เป็นคนกำหนดว่าต้องการให้ชีวิตเป็นแบบไหน อย่างไร ตามความสามารถและอัตภาพของตัวเราเอง
ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Resilience เขียนโดย Eric Greitens ซึ่งในหนังสือกล่าวไว้ว่า ความสุขในชีวิตมีอยู่ 3 แบบหลักๆ

แบบแรก คือความพึงพอใจกับสิ่งที่ได้เรารับ ได้ดื่มกิน หรือได้สัมผัส เช่น พึงพอใจกับพิซซ่าหน้าโปรด
แบบที่สอง คือการรู้สึกขอบคุณโลกหรือขอบคุณการเกิดของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การได้นั่งมองพระอาทิตย์ตกดินหรือการได้สัมผัสหิมะที่โปรยปรายลงมา แล้วเรารู้สึกมีความสุข รู้สึกขอบคุณโลกที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เป็นต้น
แบบสุดท้าย คือการมีความสุขเมื่อเราได้พยายามฟันฝ่าเพื่อเอาชนะสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเราสามารถทำได้ แท้จริงแล้วความยากลำบากต่างๆ ที่เราต้องฟันฝ่านั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเราดำเนินต่อไปได้ เพราะมันคือพลังที่ช่วยผลักดันชีวิตเราได้เป็นอย่างดี และความสุขรูปแบบนี้เป็นแบบที่เราไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน แต่เราต้องจ่ายด้วยความพยายาม ความผิดพลาด หรือแม้แต่ความเจ็บปวด ซึ่งเราต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวของเราเอง

ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าความไม่ยุติธรรมถูกสร้างขึ้นมาบนโลกนี้เพื่อให้มนุษย์รู้จักอดทน ฟันฝ่า และบริหารจัดการตัวเองให้มีความพอดิบพอดี จะมีคนสักกี่คนบนโลกนี้ที่บอกว่า โลกนี้แฟร์ ฉันเชื่อว่ามีคนกลุ่มนี้ไม่ถึงร้อยละ 1 ของประชากรโลก แม้แต่คนที่เราคิดว่าเขามีพร้อมทุกอย่างแล้ว ตัวของเขาเองก็ยังดิ้นรนไขว่คว้าและคิดว่า ตนยังมีไม่พอ ยังมีไม่ครบอยู่ดี คนกลุ่มนี้เองก็ไม่ต่างกับสามล้อหรือคนยากคนจนที่เฝ้าพร่ำบอกว่ากับตัวเองว่า "โลกนี้ไม่แฟร์"

ทุกๆ ครั้งที่เราต้องพบเจอกับความยากลำบากทั้งร่างกายและจิตใจ จริงอยู่ที่ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความไม่เท่าเทียมกันของทรัพยากรที่โลกจัดสรรให้กับเรา เราอาจมีน้อยกว่าคนอื่น ไม่เพรียบพร้อมเท่าคนอื่น อาจต้องใช้ความพยายามมากกว่าในการเป็น หรือการมีอะไรสักอย่างในชีวิต และเราอาจจะอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมกับบางคน อะไรๆ ถึงดูง่ายดายไปหมดไม่ต่างกับการกินดื่ม แต่ทำไมเมื่อมองกลับมาที่ชีวิตของเราแล้ว การจะผ่านไปแต่ละวัน มันช่างยากเย็น ป่วยการจะคิดค่ะคุณ ยิ่งคิดก็ยิ่งบั่นทอนตัวเองเป็นอย่างมาก พลังชีวิตหดหายไปบานตะไท เพราะคิดไปโลกนี้ก็ไม่ได้แฟร์กับเรามากขึ้น ตรงกันข้าม กลับยิ่งตอกย้ำ ซ้ำเติมเราให้ตกต่ำมากไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ทุกครั้งที่เราคิดว่าโลกนี้ไม่แฟร์ กลับมีคนอีกนับพันล้านคนบนโลกใบนี้ที่ไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดให้ดื่ม ไม่มีอาหารจะกิน หยุดคิดว่าฉันเป็นคนโลกสวย เพราะเมื่อก่อนฉันก็เป็นคนหนึ่งที่พูดกับตัวเองทุกวันว่า "โลกนี้แมร่งไม่แฟร์กะกรูเลย" ในวันที่เราทำงานหนักมาก รู้สึกเหนื่อยแล้วก็พาลมองว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ กินแรงเรา ทำไมต้องเป็นเราทุกที ในวันที่เราอยากได้อะไรสักอย่าง แล้วไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันมา ก็พาลโทษครอบครัว ว่าทำไมครอบครัวเราไม่รวยเหมือนคนอื่น โทษว่าเป็นเพราะงานที่เราทำไม่โอเค เงินเดือนน้อย ทำให้เราไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ แบบคนนั้นคนนี้ ทุกครั้งที่เราคิดว่าโลกนี้ไม่แฟร์ คือทุกครั้งที่เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นใช่หรือไม่ ถ้าใช่ นั่นแหละคือความผิดพลาดของชีวิตที่ส่งผลกระทบกับตัวเราเองยิ่งกว่าการที่โลกจะมอบอะไรหรือไม่มอบอะไรให้เรา แล้วเราทำร้ายตัวเองกันมาพอหรือยัง?
ก่อนหน้านี้ฉันเคยเขียนบทความซึ่งพูดถึงเรื่องการมีชีวิตที่ดี ว่าเกิดจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการนั่นคือ การดูแลความคิดของตัวเองให้ดี การรู้จักความพอดีและความเหมาะสมของชีวิตตัวเองและการไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นนั้นทำให้เรามองข้ามความพอดีของชีวิตตัวเองไป แล้วสุดท้ายเราจะโทษโลก โทษสังคม โทษคนรอบข้าง โทษครอบครัว แต่ไม่มีเคยมีสักครั้งที่เราโทษตัวเอง จริงๆ แล้วมันคงจะดีไม่น้อยหากเราโทษตัวเองทุกครั้งที่เราเปรียบเทียบปัจจัยความดีงามของชีวิตของตัวเองกับคนอื่น แล้วพยายามหาทางแก้ไขแล้วทำชีวิตให้ดีขึ้นเท่าที่ตัวเองอยากจะได้ หรืออยากจะเป็น แต่ส่วนใหญ่เรามักสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น เอาตัวเองไปวัดกับมาตรฐานของสังคม ไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ ที่เขาอาจจะมีมากกว่า เรียนสูงกว่า เก่งกว่า ร้อยทั้งร้อยเราเทียบกันด้วยปัจจัยภายนอกเป็นหลัก เทียบกันที่วัตถุ เทียบกันที่คุณภาพชีวิตภายนอก ที่ถ้าใครมีมากกว่า หรือใช้ชีวิตได้หรูหรากว่าถือว่าชนะ แล้วเราก็คิดไปเองว่า คนที่เหนือกว่าเรา หรือมีอะไรต่อมิอะไรมากกว่าเรานั้นต้องมีความสุขมากกว่าเราแน่ๆ แล้วเราก็กลับมาที่ "โลกนี้ไม่แฟร์กับเราเลย" อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง โดยปราศจากแรงบันดาลใจหรือการกระทำใดๆ ที่จะนำไปสู่ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากจะเป็น

ฉันจึงย้ำว่าในทุกๆ วันเราควรสื่อสารกับตัวเองและสมองอันน้อยนิดของเราว่า ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ความต้องการและปราถนาที่แท้จริงของเราคืออะไร แล้วดำเนินชีวิตตามความต้องการของตัวเอง มากกว่าการทำตามใครสักคน อยากเป็นเหมือนเขา อยากมีเหมือนเขา ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ตัวของตัวเอง การพยายามเป็นใครสักคน เราจะเป็นได้แค่ชั่วครู่ เพราะสุดท้ายแล้วความดิบในตัวเราจะถูกแสดงออกมาในสักวัน (ความดิบก็คือ ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง) การที่เพื่อนมีรถเบนซ์แล้วเราต้องมีให้เหมือนๆ กัน เพื่อให้คนอื่นคิดว่าเรามีไม่น้อยกว่าใคร นั้นใช่ความปราถนาที่แท้จริงของชีวิตหรือไม่ ถ้าใช่ ขอให้จงหาหนทางที่ถูกต้องที่จะนำมาซึ่งสิ่งนั้นให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่า หนทางนั้นต้องไม่ใช่การคอรัปชั่น การขโมยของของคนอื่น หรือการเบียดเบียนคนอื่น เพราะหากทำสิ่งเหล่านี้แล้วคุณได้รถเบนซ์มา คนอื่นอาจมองคุณด้วยสายที่แย่กว่าที่เขามองซาเล้งก็เป็นได้
ความแฟร์หรือไม่แฟร์นั้นขึ้นอยู่กับว่า เราวัดมันด้วยอะไร ถ้าเราวัดด้วยคนที่มีมากกว่าเรา โลกนี้จะไม่มีทางแฟร์กับเราได้เลย แต่หากเราวัดกับคนที่มีน้อยกว่า เช่น คนพิการ หรือ คนด้อยโอกาสในสังคม เราอาจจะคิดว่าโลกนี้เมตตากับเรามากแล้วก็ได้ แต่จะดีกว่ามั้ย ที่เราไม่ต้องวัดตัวเองกับสิ่งอื่นๆ แต่วัดตัวเราเองกับตัวเราเอง เราพอใจกับตัวเองในวันนี้แล้วหรือยัง เราพอใจกับชีวิตน้อยๆ ของเราหรือไม่ ในทุกๆ วันที่เราแก่ขึ้นเรื่อยๆ ความคิดความอ่านของเราดีกว่าตอนที่เรายังเด็กหรือแม้แต่ดีกว่าเมื่อวานนี้หรือไม่ เรายังขี้อิจฉา ร้อนรุ่มเหมือนตอนที่เรายังเป็นหนุ่มสาวมั้ย เรายังมองโลกในแง่ร้ายเหมือนตอนที่เราอกหักครั้งแรกหรือเปล่า เรายังใช้เงินไม่รู้จักคิดเหมือนตอนเราทำงานใหม่ๆ หรือไม่ เรายังกินๆ นอนๆ และหวังว่าสุขภาพจะดีขึ้นได้ด้วยการไม่ทำอะไรเลยหรือไม่ ถ้าวันนี้เราเป็นคนที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านไหน หรือเรามีการงานที่ดีขึ้น หรือมีสุขภาพที่ดีขึ้น หรือมีเงินมีทองมากขึ้น นั่นแหละ เรามาถูกทางแล้วโดยที่เราไม่ต้องมองเลยด้วยซ้ำว่าคนอื่นจะมีชีวิตเป็นอย่างไร การละทิ้งเรื่องราวรอบตัวบ้าง แล้วหันมาโฟกัสที่ตัวเองเยอะๆ นั้นไม่ต้องกลัวว่าจะตามไม่ทันโลก เพราะคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่โลกทั้งใบของเราเช่นกัน ถ้าการเดินตามทางตัวเองเป็นความล้าหลังที่โลกจะไม่รอ บางครั้งการปล่อยโลกหมุนไปโดยใส่ใจใยดีมันบ้าง ชีวิตเราอาจจะมีแง่งามให้ระลึกถึงมากขึ้นก็ได้
ถ้าชีวิตได้ทำความรู้จักกับความรู้สึกพอใจในชีวิต รู้ว่าความพอดิบพอดีพอควรพองามของตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว จะต้องแคร์ทำไมว่าโลกจะแฟร์หรือไม่แฟร์กับเราหรือกับใคร ปล่อยให้โลกได้ทำหน้าที่ของมันไป ส่วนเราก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตให้มีความสุขพอสมควรในวิถึที่ถูกต้อง ทำชีวิตให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ทุกๆ วัน โดยไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับใคร และเป็นตัวของตัวเอง ชีวิตไม่มีทางเป็นอย่างใจเราทุกอย่างหรอก มันต้องมีถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง และความไม่แน่นอนของชีวิตนี่แหละที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ชีวิตเราดำเนินไปได้ ถ้าเราไม่ทุกข์เสียบ้าง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความสุขนั้นหอมหวานขนาดไหน

ถึงเวลาแล้วที่เราจะตะโกนใส่หน้าให้กับโลกกลมๆ ใบนี้ว่า
"แล้วไง ใครแคร์ ถึงเธอจะไม่แฟร์กับฉันก็ไม่เป็นไร"

By Akiko

ยังจำได้ไหม by Akiko

หากมองย้อนกลับไปตอนที่เรายังเป็นเด็กน้อย เวลาเราไปโรงเรียน คุณครูมักจะสอนให้เราท่องสิ่งที่เราต้องทำ ซึ่งตอนนั้นเราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำ แต่เราก็มักจะทำตามที่คุณครูสอนและบอกให้ทำโดยไม่มีเงื่อนไข
11 สิ่งที่คุณครูมักบอกเราเสมอๆ คือ......
ต้องตั้งใจศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
ต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือทุกวัน
ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ และครูบาอาจารย์
ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนและสังคม
ต้องรักษาความสะอาดและเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ
ต้องรู้จักประหยัดอดออม
ต้องรู้จักแบ่งปันสิ่งของให้แก่ผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่นหากสามารถทำได้
ต้องไม่รังแกเพื่อนหรือบุคคลที่อ่อนแอกว่า
ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่
ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้าและไม่มาโรงเรียนสาย

นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของคำสั่งสอนของคุณครูที่เราทุกคนเคยได้ยินได้ฟัง และเคยปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็ก แต่เมื่อเราโตขึ้น เราหลายคน #รวมทั้งตัวฉันเอง กลับหลงลืมในสิ่งเหล่านี้และละเลยที่จะปฏิบัติมัน ทั้งๆ ที่จริงแล้ว หากเราลองพิจารณาสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งจะพบว่า ไม่ใช่เพียงแต่เด็กเท่านั้น ที่ต้องทำปฏิบัติตามที่คุณครูสอนอย่างเคร่งครัด แต่เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ควรต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนนี้เช่นกัน เพราะชีวิตเราอาจดีกว่าที่เป็นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

ต้องตั้งใจศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ / ต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือทุกวัน
เราเคยสังเกตตัวเองไหมว่า ในขณะที่เราอยู่ในวัยทำงาน ซึ่งเราไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องอ่านหนังสือทุกวัน เราไม่ต้องสอบเพื่อเลื่อนชั้นเรียน ยกเว้นแต่มีบางหน่วยงานที่ต้องมีการสอบวัดผลบ้าง แต่ในชีวิตประจำวันของเรานั้น เราเคยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับงานที่ตัวเองทำอยู่หรือไม่ เราเคยกลับมาที่บ้านแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อพัฒนาความรู้หรือความคิดของตัวเองหรือไม่

จริงๆ แล้วความรู้สมัยใหม่อาจไม่ได้อยู่เพียงในหนังสือเท่านั้น ความรู้มีอยู่ทุกที่ มีทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ แต่ทุกวันนี้เราเลือกเสพความรู้ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงหรือเปล่า นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องพินิจพิจารณา ฉันเองเชื่อว่าคนวัยทำงานนั้นจะมีสติปัญญามากพอที่จะคิดได้ว่า ข้อมูลข่าวสารแบบไหนที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นความรู้เกี่ยวกับงานที่เราทำอยู่หรือสิ่งที่เราสนใจ ซึ่งข้อมูลชุดนั้นจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาความรู้ความสามารถในการทำงานหรือแม้แต่การดำเนินชีวิตของเราให้ดียิ่งขึ้นไป

ตอนเด็กๆ เราต้องทำการบ้านและรายงานตามที่คุณครูสั่งให้ถูกต้องและเสร็จตามกำหนดที่คุณครูให้ส่ง หากเราไม่ส่งตามกำหนด ก็จะถูกทำโทษหรือหักคะแนน มาถึงวันที่เราอยู่ในวัยทำงาน เมื่อเราต้องได้รับมอบหมายงานจากหัวหน้าแล้ว เรามีความรับผิดชอบในการทำมันให้เสร็จตามกำหนดเวลาหรือไม่ งานที่เราทำมีความถูกต้องหรือไม่ ฉันว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ไม่ต่างจากตอนที่เรายังเป็นเด็กเลย และคงดีหากสามารถปฎิบัติมันได้อย่างเคร่งครัดเหมือนกับตอนที่เรายังเป็นเด็ก

ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ และครูบาอาจารย์
ตอนเด็กๆ นั้นเราจะกลัวพ่อแม่และคุณครู เวลาท่านบอกให้ทำอะไรเราก็จะทำตามนั้นโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ถึงแม้ในวันนี้ที่เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันคิดว่า เราก็ยังคงต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่และคุณครูอยู่ดี ทั้งนี้รวมไปถึงบุคคลที่มีอายุมากกว่า แต่จะไม่ใช่การเชื่อตามๆ กันเพียงอย่างเดียว เพราะในวัยนี้ เรามีคุณวุฒิและวัยวุฒิมากพอที่จะพิจารณาแล้วว่า เราควรทำตามสิ่งไหนและไม่ทำตามสิ่งไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล จริงอยู่ที่ความคิดของพ่อแม่นั้นไม่เข้ากับยุคสมัย เราอาจจะรู้สึกมันเชย โบราณ โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว แต่เชื่อค่ะว่าถึงแม้ความคิดของท่านจะไม่ถูก100% แต่ส่วนใหญ่จะถูกเกิน 80% (อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวของฉันเอง) เพราะผู้ใหญ่ที่มีอายุห่างกับเราหลายสิบปีย่อมต้องผ่านโลกมาไม่น้อย สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้แล้ว แท้จริงอาจยังไม่หลายแง่มุมที่เราไม่เคยพบเจอและคาดไม่ถึง ดังนั้น การเชื่อฟังพ่อแม่และผู้ใหญ่บวกกับการคิดวิเคราะห์ของตัวเอง จะทำให้เราใช้ชีวิตได้ราบรื่นและปลอดภัยมากขึ้น

ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนและสังคม
คุณฝ่าไฟแดงครั้งล่าสุดเมื่อไหร่คะ ฉันเชื่อว่าคงมีหลายคนตอบว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน....
ตอนเราเป็นนักเรียน เราจะต้องแต่งตัวและปฏิบัติตามกฎของโรงเรียน ไม่อย่างนั้นเราจะโดนคุณครูฝ่ายปกครองเล่นงานเอาได้ เราจึงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จะห้ามอะไรเราก็ทำตามไปเสียทุกอย่าง แต่ในวันที่เรารู้สึกว่าเราโตแล้วนั้น เราอาจคิดว่า กฎระเบียบของที่ทำงานหรือของสังคมเป็นเรื่องงี่เง่า โดยเฉพาะเรื่องที่เราไม่อยากจะทำ แต่หากนึกภาพไปที่สังคมที่ไม่มีกฎระเบียบใดๆ ทุกคนใช้ชีวิตด้วยความสะดวกและสบายของตัวเองเป็นหลัก ไม่มีการควบคุม บางทีเส้นสบายของเรากับของคนอื่นอาจจะมาเกยกันจนเกิดเป็นความขัดแย้งก็อาจเป็นได้ ในทุกๆ ที่ จึงจำเป็นต้องมีกฎระเบียบบางข้อเพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น และไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันจนเกินไป
ต้องรู้จักประหยัดอดออม
ตอนยังเด็กทั้งพ่อแม่จะให้เงินค่าขนมเราไปโรงเรียนทุกวัน และจะบอกเสมอว่า ต้องเหลือเงินค่าขนมกลับมาหยอดกระปุกด้วยนะ แล้วพอถึงวันเด็ก เราก็จะทุบกระปุกหมูที่เราหยอดเงินที่เหลือจากค่าขนมตลอดทั้งปี เอาไปฝากธนาคารในวันนั้น แล้วเราก็จะได้ของรางวัลจากการฝากเงินด้วย แต่พอเราโตเป็นผู้ใหญ่ ทำไมเรากลับพบว่า คนรอบตัวเรามีปัญหาทางการเงินกันเยอะมาก เป็นเพราะว่าเรามีภาระมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น หรือเพราะคนเหล่านี้ไม่เคยออมเงินเลยตั้งแต่วัยเด็ก หรืออาจเป็นเพราะเราจะจนลงเสมอเมื่อเราต้องทำงานหาเงินด้วยตัวเอง (ตอนเรียนหนังสือเราจะมีฐานะมากๆ เราสามารถเสกเงินได้ด้วยการขอ) แต่จากประสบการณ์ คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาทางด้านการเงินมักมีสาเหตุมาจากนิสัยการใช้เงินของตัวเอง #ที่กล้าพูดเพราะเคยค่ะ

ปี 2560 ที่ผ่านมามีผลสำรวจของสถาบันการเงินแห่งหนึ่งระบุว่า คนไทยเป็นหนี้ติดอันดับ 3 ของเอเชียและเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ชีวิตการทำงานนั้น สร้างหนี้เสียสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะหนี้ที่มาจากบัตรเครดิต ฉันเองก็ไม่ใช่กูรูทางด้านการเงิน แต่เพราะเคยใช้ชีวิตผิดพลาดมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็เลยพอจะรู้เรื่องรู้ราวมากหน่อย จริงๆ บัตรเครดิตทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นมาก ทำให้เราได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งส่วนลด ทั้งเครดิตเงินคืน ทั้งของแถมต่างๆ นาๆ แต่เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับคนที่มีวินัยเท่านั้น ตรงกันข้ามหากบัตรเครดิตถูกใช้โดยคนที่ไม่มีวินัย แน่นอนว่าหายนะก็รออยู่เบื้องหน้า มีหลายคนที่ฉันรู้จักเป็นหนี้บัตรเครดิต ทั้งเด็กจบใหม่และทั้งคนที่เป็นผู้ใหญ่มากพอแล้วจนฉันไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

ยังจำเป็นอยู่เสมอที่จะต้องจำคำสั่งสอนของคุณครูที่บอกให้เราประหยัด อดออม และใช้เงินเท่าที่จำเป็น คุณครูอาจจะสอนคลาดเคลื่อนนิดเดียวตรงที่บอกให้เหลือค่าขนมมาหยอดกระปุก เพราะจริงๆ แล้วเราควรหยอดกระปุกก่อนกินขนม เงินเดือนก็เช่นกันค่ะ ควรหักออกไปก่อนให้เหมือนว่าไม่มีมันอยู่ และเก็บไว้ในที่ที่มันถอนยากๆ เช่น บัญชีฝากประชุม กองทุน หรือแม้แต่ provident fund ก็เป็นทางเลือกที่ดีทั้งนั้น ฉันเองเพิ่งมาเข้าใจสูตรนี้ก็ในตอนที่เกิดปัญหาเรื่องเงินกับชีวิตเสียแล้ว แต่โชคดีที่ยังไหวตัวทัน จึงอยากบอกกับทุกคนว่า ออมก่อนใช้ปลอดภัยที่สุดค่ะ

ฉันเองก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่ยังอยากท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ และยังอยากได้แบรนด์เนมบ้างตามโอกาส แต่สิ่งเดียวที่จะช่วยตัดสินใจก่อนใช้เงินคือ มีก็เที่ยว มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ ไม่ซื้อ ไม่ต้องกู้เงินมาซื้อเพื่อให้มี ไม่ต้องรูดบัตรไปก่อนเพื่อให้มีแล้วค่อยมาจ่ายขั้นต่ำทีหลัง ยกเว้นแต่ผ่อน 0% ซึ่งในที่สุดเราก็ยังต้องใช้เงินคืนเขาอยู่ดี ของ 1 อย่างผ่อน 10 เดือนก็อาจจะแค่หลักร้อยหลักพัน เราอาจจะคิดว่าผ่อนได้สบายๆ แต่พอของหลายอย่างที่เราจงใจผ่อน 0% ไปเสียทุกอย่างมารวมตัวกันแล้วมันมากเกินกว่ารายได้ที่เราหาได้แล้วนั้น เราจะช็อค เมื่อช็อคแล้วเราก็จะช็อตตามมา

เราไม่มีทางตามเทคโนโลยีได้ทัน เราไม่มีทางตามแฟชั่นได้ทัน เพราะฉะนั้นก็ซื้อแต่พอสมควรน่าจะดีกว่า จะได้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง จริงๆ แล้วชีวิตที่ปราศจากหนี้นั้นเป็นชีวิตที่ดีมากๆ ฉันเองยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่ก็กำลังพยายาม หนี้เดียวที่ฉันยอมอยู่กับมันก็คือหนี้บ้าน 

เมื่อเราเติบโตระดับหนึ่งแล้ว เราก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านที่เป็นของเราจริงๆ ไม่ใช่การเช่าอยู่หรือการอยู่บ้านคนอื่น บ้านที่เราอยากจะทำอะไรกับมันก็ได้ บ้านที่เราจะซุกหัวนอนได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าไม่มีความพร้อมทางด้านการเงิน การเช่าไปก่อนก็ไม่ได้เสียหายอะไร รอวันที่พร้อมแล้วค่อยถอยบ้าน ถึงตอนนั้น เราจะอยู่ในบ้านนั้นได้อย่างสบายกายสบายใจ ไม่ร้อนรนมากกว่า ไม่ต้องกลัวว่าบ้านจะราคาสูงขึ้น เพราะวันที่เราพร้อม เก็บเงินดาวน์ได้มากขึ้น เมื่อนั้นเราจะได้กู้น้อยลงไปโดยปริยาย ดอกเบี้ยบ้านก็จะไม่ทำร้ายเรามากจนเกินไปนัก

ต้องรู้จักแบ่งปันสิ่งของให้แก่ผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่นหากสามารถทำได้ /
ต้องไม่รังแกเพื่อนหรือบุคคลที่อ่อนแอกว่า
คุณครูจะสอนให้เราช่วยเหลือเพื่อน เช่น ช่วยสอนเพื่อนในบทเรียนที่เพื่อนไม่เข้าใจ สอนเพื่อนทำการบ้าน  หรือแบ่งขนมแบ่งของเล่นให้กับเพื่อน แต่เมื่อเราโตขึ้นมา เราจำได้หรือไม่ว่าเราเคยแบ่งปัน หรือเคยช่วยเหลือคนอื่นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เราอาจจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น เพียงแค่เราไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็เพียงพอแล้ว มันอาจจะใช่ แต่เมื่อเราเกิดมาเป็นคนแล้ว เราอยากให้คนอื่นจำเราแบบไหน เราเลือกได้ค่ะ หลายครั้งมีคนเคยกล่าวว่า การให้นั้นมีความสุขมากกว่าการรับ หากเป็นการให้ด้วยความจริงใจและไม่หวังผลตอบแทน และการให้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการให้เงินทอง หรือสิ่งของที่มีค่าเสมอไป การให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ให้เวลาหรือแบ่งปันสิ่งของที่เหลือใช้ที่มีมากพอแล้วให้กับคนที่ยังขาดแคลน ก็ถือเป็นการให้ที่มีคุณภาพเช่นกันหากการให้นั้นส่งไปถึงผู้รับที่มีความต้องการและเป็นผู้ที่สมควรจะได้รับ เรื่องนี้คงมีคนพูดให้เราฟังเกินหนึ่งร้อยคน ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดเยอะ เอาเป็นว่า ลอง"ให้" ดูแล้วคุณจะรู้ว่าที่เขาบอกว่าสุขนั้น สุขอย่างไร จริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้ก็คือการมีความเมตตาต่อคนอื่นในทางพระพุทธศาสนานั่นเอง
ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ / ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เราเรียนมาตั้งแต่ประถมว่าอาหารหลักมีอยู่ 5 หมู่
โปรตีนมีอยู่ในเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ นม ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต
คาร์โบไฮเดรตคือกลุ่มอาหารประเภทข้าวและแป้งต่างๆ ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย
ไขมันคือน้ำมันจากพืชและสัตว์ ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
วิตามินมีอยู่ในผลไม้ประเภทต่างๆ
เกลือแร่มีอยู่ในผัก
บลา บลา บลา เราท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง
แล้วทุกวันนี้เรากินอะไรกันบ้าง อาหารฟาสฟูด ขนมนมเนย ของหวานต่างๆ ซึ่งมีวัฒนธรรมมาจากชาติอื่นๆ ที่มีธรรมชาติแตกต่างจากเรา ไม่ว่าจะด้านอากาศหรือโครงสร้างของชาติพันธุ์ เรากินอาหารที่ผิดหลักโภชนาการกันบ่อยๆ จนทำให้เราอ้วน และเป็นโรคต่างๆ ไม่ว่าจะความดัน เบาหวาน คลอเรสเตอรอล เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายอาจต้องสารอาหารที่แตกต่างออกไปจากตอนที่เรายังเป็นเด็ก ซึ่งระบบต่างๆ ในร่างกายช่างทำงานได้ดีเสียเหลือเกิน แต่พออายุมากขึ้น ดูเหมือนชิ้นส่วนต่างๆ ในร่างเราจะทำงานได้ช้าลงไปมาก บางชิ้นส่วนก็หมดสภาพไปก่อนวัยอันควร

เราคงมีสุขภาพที่ดีมากกว่านี้หากเรารู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เหมาะสมกับสภาพและวัยของตัวเอง ไม่กินมากจนเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตแต่ก็ไม่น้อยจนเกินไปจนสารอาหารไม่เพียงพอต่อการหล่อเลี้ยงร่างกายและอวัยวะต่างๆ และออกกำลังกายบ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละไม่ต่ำกว่า 30 นาที จริงๆ เราทุกคนก็รู้ดีแต่มีกี่คนที่ลงมือทำ?

ต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้าและไม่มาโรงเรียนสาย
จำได้หรือไม่ว่าตอนเด็กๆ ที่เราต้องไปโรงเรียน หากเราไปโรงเรียนสาย เราจะโดนทำโทษ ไม่ถูกครูตีก็โดนจดชื่อ ทำทัณบน เราเลยต้องรีบตื่นแต่งเช้าและไปโรงเรียนให้ทันเวลา เมื่อเราต้องตื่นเช้า เราเลยต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ นี่คือกิจวัตรของเด็ก แต่รู้หรือไม่ว่ามันคือสิ่งที่เราควรทำอย่างยิ่งในช่วงวัยของเรา การนอนดึกทำให้เราตื่นสาย ไปทำงานสาย ซึ่งการตื่นเช้ากว่านั้นมีข้อดีมากมาย ทั้งการเคลียร์งานได้ในปริมาณมหาศาลก่อนงานใหม่จะเดินทางมาถึงในวันนี้ การตื่นเช้าทำให้เราสดชื่น และอย่างน้อยก็ได้ใช้พลังงานมากกว่าการนอน ยิ่งสำหรับคนกรุงด้วยแล้ว การตื่นเช้าเป็นเรื่องที่ดีในชีวิตเพราะคุณจะไม่ต้องผจญรถติดไปทำงานให้หงุดหงิดใจทุกวัน แถมยังมีเวลาเพียงพอที่จะกินอาหารเช้าที่มีคุณภาพ

และการที่ครูสอนให้เราไม่มาโรงเรียนสายเพราะต้องการสอนให้เราเป็นคนตรงต่อเวลา เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า การตรงต่อเวลาเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิตการทำงาน เพราะทุกคนก็มีธุระด้วยกันทั้งนั้น การนัดหมายให้ใครสักคนสละเวลาของเขามาเพื่อพบกับเรา เพื่อประชุมร่วมกัน หรือทำงานร่วมกันอะไรก็แล้วแต่ เราควรเคารพและให้เกียรติเวลาของคนอื่นด้วยการตรงต่อเวลา อย่าอ้างว่า คนอื่นก็สายกัน เพราะบางเรื่องที่คนอื่นทำดี ก็ใช่ว่าเราจะเลียนแบบเขาเสียที่ไหน
ยังจำได้ไหม สิ่งที่คุณครูเคยสอนเราเมื่อเยาว์วัย มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยหายไปจากชีวิตไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงอายุใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ยังคงมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต และคงดีไม่น้อยหากเราย้อนกลับไปทำกิจวัตรประจำวันแบบเด็กนักเรียนดูบ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะความเปลี่ยนแปลงหรือเกิดผลลัพธ์อย่างที่เราเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เราอาจบริหารเวลาได้ดีขึ้น จัดการตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉันจะลองทำดู แล้วคุณล่ะ?

Akiko



อาจไม่ได้มีมากมาย แต่ภูมิใจมากกว่า by Akiko

"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ประโยคนี้มักถูกพูดถึงบ่อยๆ ทั้งทางพุทธศาสนาและทางโลก ในส่วนของความหมายนั้นฉันคิดว่าคงไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ใจความสำคัญอยู่ที่ หากอยากมีชีวิตเป็นแบบไหน หรือต้องการอะไร จงทำทุกอย่างด้วยตัวของเราเอง หากอยากมีความสุขก็ต้องฝึกฝนใจของตัวเองให้ดี หากอยากรวย ก็ต้องมีความขยัน หมั่นเพียร ไม่หวังพึ่งพาผู้อื่นหรือแม้แต่ไสยศาสตร์ เป็นต้น
สมัยนี้ใครๆ ก็อยากมีชีวิตดี๊ดี อยากรวยกันทั้งนั้น เราใช้ชีวิตโดยมีคำว่า รวยและสุขสบายนำหน้ากันมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคนแล้ว ทุกคนจึงพยายามหาทางและดิ้นรนเพื่อที่จะเป็นหรือมีอย่างที่ตัวเองต้องการ ส่วนหนึ่งอาจเพื่อตอบสนองตัวเอง แต่อีกส่วนก็คือเพื่อให้รู้สึกว่าไม่น้อยหน้าคนอื่น ซึ่งเราแต่ละคนมีเส้นทางที่นำไปสู่การเป็นหรือการมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันออกไป ฉันไม่อาจตัดสินได้ว่าแนวทางไหนดีกว่ากัน เพราะแต่ละคนก็มีโอกาสและปัจจัยในชีวิตที่ไม่เท่ากัน

ตัดภาพมาที่วันทำงานวันหนึ่งที่แสนยุ่งเหยิง

เพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งโทรมาหาในขณะที่ฉันกำลังวุ่นวายกับการทำรีพอร์ทและตอบอีเมลล์ลูกค้า ซึ่งปกติแล้วเธอจะไม่เคยรบเร้าหรือรบกวนในเวลาที่ฉันทำงาน แต่วันนี้หลังจากที่ฉันได้ฟังน้ำเสียงของเธอก็รู้สึกได้เลยว่า เธอกำลังมีปัญหาและมีความทุกข์ใจอย่างมาก ความเครียดพุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันจึงตัดสินใจคุยกับเธอเสียหน่อยด้วยความเป็นห่วง เรื่องมีอยู่ว่า ฉันกับเธอและแฟนของเธอ เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี สนิทกันค่อนข้างมาก ทั้งกิน เที่ยว และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ฉันจึงรู้เรื่องราวของเธอกับแฟนเป็นอย่างดี เธอเริ่มบทสนทนาด้วยการถามฉันว่า ฉันคิดว่า แฟนของเธอรักเธอไหม?

ฉันรู้สึกตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของฉันทั้งสองคน ฉันจึงถามกลับว่าอะไรทำให้เธอคิดว่าเขาไม่รักเธอล่ะ เธอเงียบไปพักใหญ่ ฉันคิดว่าเธอคงจะนึกหรือคิดทบทวนอะไรอยู่ แล้วเธอก็ตอบกลับมาว่า ตลอดเวลาสิบปีที่อยู่ด้วยกันมานั้น บางทีแฟนของเธออาจจะไม่ได้รักเธอเลยก็ได้ ตอนคบกันใหม่ๆ ก็ลำบากมาด้วยกัน ช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา จนวันนี้แฟนของเธอมีทุกอย่างแล้ว และกำลังจะขยายกิจการเพิ่มเติมไปอีกที่หนึ่ง แฟนของเธอก็อาจจะคิดว่า เธอเป็นภาระ มาเกาะเขากินหรือเปล่า แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอก็ยืนยันเสมอว่า เธอก็ทำมาหากินของเธอเอง อยากได้อะไรก็ซื้อเอง ไม่เคยขอเงินเขามาซื้อเลยแม้แต่แดงเดียว และช่วยทำงานของแฟนทุกอย่าง แล้วเงินเดือนที่แฟนเธอแบ่งให้ก็ไม่ได้มากมายอะไรถ้าเทียบกับสิ่งที่เธอทำให้กับเขา

ฉันถามรายละเอียดความเป็นอยู่ของเธอราวกับว่ากำลังสอบสวนอะไรสักอย่าง ตอนนั้นฉันไม่ได้เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดอีกต่อไป ฉันคือดีเอสไอดีๆ นี่เอง

ถามไปถามมา ก็ได้ใจความว่า เธออยากมีส่วนร่วมในทรัพย์สินที่สร้างมาด้วยกันบ้าง คำว่าไม่รักส่วนหนึ่งก็คือน้อยใจ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ การอยากมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของบ้านและกิจการ เพราะเธอคิดว่า เธอละทิ้งทุกอย่างและทุ่มทั้งชีวิตให้กับแฟนและครอบครัวของแฟน เธอจึงอยากให้เขารู้สึกว่าเธอเป็นเจ้าของร่วมกันบ้าง แต่พอมันไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ก็น้อยอกน้อยใจคิดว่าเขาไม่รัก ทั้งๆ เขาก็อยู่ของเขาดีๆ และยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ 

ต้องบอกก่อนว่าเพศของเราเป็นเพศทางเลือกที่ไม่ได้เหมือนกับผู้หญิงและผู้ชายทั่วไป ที่พอแต่งงานกันต้องมีลูก พอมีลูกแล้วพ่อแม่สามีก็จะคิดว่าเป็นเขยหรือสะไภ้ อยากให้เป็นครอบครัวเดียวกัน มีสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์สินต่างๆ ไม่ว่าอะไร แต่เพศของเรา มนุษย์พ่อแม่ก็จะคิดว่า เราเป็นแค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งของลูกสาวเขา ซึ่งข้อนี้ ฉันเข้าใจดีและยอมรับมาตั้งแต่ต้น ประกอบกับตัวฉันเองก็ไม่เคยทำงานกับที่บ้านของแฟนหรือต้องพึ่งพาอะไรเลย ก็เลยไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องเก็บมาใส่ใจ

ฉันจึงบอกเธอไปว่า ในเมื่อเราทำมาหากินของเราเองได้ เราก็เก็บของเราเอง ทำมาหาใช้ของเราเอง อยากมีทรัพย์สิน ก็ซื้อทรัพย์สินและสร้างมันด้วยตัวเองสิ แล้วเราจะได้เป็นเจ้าของมัน 100% โดยที่ไม่ต้องร้องขอสิทธิ์นั้นจากใคร มันไม่ใช่แค่เพศทางเลือกเท่านั้น ผู้หญิงและผู้ชายก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่าฉันมองโลกแง่ร้ายจนเกินไปนัก แต่ฉันคิดว่า ในเมื่อคนสองคนรักกันได้ ก็มีโอกาสเลิกกันได้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นเราอาจรู้สึกดีกว่าที่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ไม่ต้องฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อเรียกร้องค่าเลี้ยงดู 
สำหรับผู้หญิง เราอยู่ในยุคที่ไม่ต้องพึ่งพาคนรักหรือสามีกันแล้วค่ะ เราสามารถทำอะไรเองได้อย่างที่เราอยากจะทำ ดังนั้นจึงไม่ควรคาดหวังว่าหากมีแฟนหรือมีครอบครัวแล้ว แฟนจะต้องมาเลี้ยงดูปูเสื่อไปตลอดชีวิต นี่คือภรรยาค่ะ ไม่ใช่ลูกสาวที่เขาจะต้องรับผิดชอบไปตลอดชีวิต

สำหรับผู้ชาย ก็ไม่ควรเรียกร้องว่าผู้หญิงจะต้องดูแลแฟนหรือสามี งานบ้านต้องไม่ขาดตกบกพร่อง ต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน มันหมดสมัยแล้วเช่นกัน เพราะผู้หญิงก็ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาช่วยกันจุนเจือครอบครัวน้อยๆ เช่นกัน หากคุณต้องการผู้หญิงแบบนั้น แน่นอนว่าคุณควรจะเลี้ยงดูเธอค่ะ

ต้องขอบคุณเพื่อนสาวคนนี้ของฉันที่เข้ามาให้สติ และถึงแม้ว่าสิ่งที่ฉันพูดไปทั้งหมดในวันนี้เธอจะยังไม่เข้าใจและอาจคิดว่าฉันเป็นคนละพวกกันกับเธอ เธอคงรู้สึกไม่พอใจฉันอยู่เหมือนกันที่ไม่เห็นไปในแนวทางเดียวกันกับเธอ แต่ฉันไม่รู้สึกโกรธเธอเลยที่เมื่อฉันพูดอะไรไปก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา และฉันไม่ได้สนใจด้วยว่าต่อจากนี้ไปเธอจะใช้ชีวิตอย่างไร จะปรับความคิดหรือไม่ แต่สิ่งที่ฉันคิดได้ก็คือ ฉันรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ยืนบนขาของตัวเองได้ ไม่ต้องมานั่งน้อยใจในโชคชะตา หรือน้อยใจที่แฟนไม่ยกสมบัติให้ ซึ่งฉันก็เคยบอกให้เธอทำเช่นเดียวกับฉันหลายครั้งหลายครา แต่ฉันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเธอได้เลย

เธอเหมือนหญิงไทยในอดีตที่ถูกปลูกฝังว่า เจ้าชายต้องเลี้ยงดู และดูแลเจ้าหญิงอย่างดี ซึ่งไม่ผิด เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ที่อยู่รอบตัวฉันก็เป็นแบบนี้ ยิ่งถ้าเป็นกรณีของผู้หญิงกับผู้ชายด้วยแล้ว ผู้หญิงจะคาดหวังว่าถ้ารักกัน สักพักก็จะแต่งงาน แต่งงานแล้วก็ต้องมีลูก มีลูกแล้วสามีก็ต้องดูแลทั้งเราและลูกน้อย บางคนถึงขั้นคิดว่าจะตกถังข้าวสาร ฉันว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาและฉันไม่ได้รู้สึกตำหนิแต่อย่างใด

มาถึงวันนี้ที่ฉันต้องอดทนสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่เคยอิจฉาผู้หญิงโชคดีหลายๆ คน รวมทั้งเพื่อนสาวของฉันคนนี้ด้วย ที่เกิดมาไม่ต้องดิ้นรนสักเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับฉันแล้ว ฉันลำบากกว่าพวกเธอหลายเท่าตัวนัก แต่ก็ภูมิใจที่ได้สร้างและได้ทำอะไรทุกอย่างด้วยตัวเอง
หลายคนเคยตั้งคำถามว่าฉันมีแฟนรวยหรือเปล่า ทำไมถึงมีนู่นมีนี่ อยากได้อะไรก็ได้ แต่ฉันไม่เคยแคร์ความคิดหรือแม้แต่จะสนใจคำถามของคนเหล่านั้น เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าฉันยืนอยู่บนขาของใคร ใช่แล้ว ฉันยืนอยู่บนขาของตัวเอง แล้วทำไมฉันต้องแคร์ว่าใครจะคิดยังไง ในเมื่อคนเหล่านั้นไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตของฉันเลย อยากมีชีวิตดี๊ดี ก็ออกมาทำงานให้ดี หาเงินใช้เอง ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น จะได้รู้ว่าชีวิตดี๊ดี มันมีที่มาอย่างไร

ฉันมีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่า หากเป้าหมายเราชัดเจนมากพอว่าอยากมีชีวิตแบบไหน อยากได้อะไร เราจะสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวของเราเองค่ะ ถึงมันจะไม่มากมาย แต่อย่างน้อยเราก็ภูมิใจและพูดได้เต็มปากว่า "นี่คือของของฉัน ฉันสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของฉันเอง"


Akiko

ภาระเปลี่ยนชีวิต

เมื่อพูดถึง "ภาระ" เรามักนึกถึงสิ่งที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เพราะมันคือความรับผิดชอบที่เรามักต้องใช้ความอดทนพอสมควร แต่ก็อาจเป็นสิ่งทที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นภาระความรับผิดชอบในเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือแม้แต่การดูแลรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นอย่างเช่นคนในครอบครัวเป็นต้น ซึ่งร้อยทั้งร้อยของมนุษย์เงินเดือนจะมีสิ่งที่เรียกว่า "ภาระ" อย่างน้อยหนึ่งแน่นอน

ฉันเองเคยมีประสบการณ์ถังแตกเหมือนกัน จะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความไม่ประมาณตนอะไรก็แล้วแต่ แต่หลังจากที่ฉันผ่านวิกฤติครั้งนั้นมาได้ ฉันจึงพึงใจที่จะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ มากขึ้น มีหนังสือหลายเล่มที่ฉันได้อ่านและพบว่ามีประโยชน์มากสำหรับการใช้ชีวิตของเรา และหากได้นำความรู้เหล่านั้นมีประยุกต์ใช้กับชีวิตของตัวเอง ก็จะทำให้เราลดความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องเงินไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
คนส่วนใหญ่มักละเลยเรื่องเงินๆ ทองๆ ในวันที่ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่เคยสนใจเกี่ยวกับการออมเงิน, การลงทุน หรือแม้แต่การประกันความเสี่ยงให้กับชีวิตของตัวเอง แต่เราจะรู้สึกตัวกันในวันที่สายเกินไป บ้างก็เกิดปัญหาแล้วแต่ยังพอแก้ไขได้ แต่ก็มีบางส่วนเช่นกันที่เกิดความเสียหายแบบแก้ไขแทบจะไม่ได้เลย สำหรับตัวฉันเอง เวลาที่ฉันนั่งคิดทบทวนเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาและชีวิตที่กำลังจะผ่านไปนั้น ฉันพบว่า บางครั้ง ตัวฉันเองก็มีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ เช่นกัน เพราะฉันก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีกิเลส มีความอยากได้อะไรอีกตั้งหลายอย่าง เพียงแต่ตอนนี้ ฉันได้พบหลักการในการใช้ชีวิตของตัวเองแล้วว่าต้องจัดการกับความอยากของตัวเองอย่างไร

ก่อนหน้านั้น ฉันเองไม่เคยมีภาระหนี้ก้อนใหญ่เท่านี้มาก่อน ฉันอยู่คอนโดที่แม่ซื้อให้เพราะก่อนหน้านั้น ฉันจ่ายค่าเช่าแมนชั่นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเงินเดือนที่ได้รับในตอนนั้น และฉันก็ใช้รถที่แม่ซื้อให้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นชีวิตของฉันจึงไม่ต้องลงทุนอะไรมากนักเมื่อเทียบกับเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ก็นับเป็นความโชคดีส่วนหนึ่งของชีวิต ตอนแรกแม่ไม่เห็นด้วยเลยกับการซื้อบ้าน เพราะให้เหตุผลว่าไม่อยากให้เป็นหนี้ แม่มาจากยุคเบบี้บูม เน้นเก็บเงิน ไม่ชอบความเสี่ยง แม่ผ่านประสบการณ์ ดอกเบี้ยบ้าน 16% มาแล้ว แม่ก็เลยค่อนขยาดกับการเป็นหนี้ พอเริ่มตั้งตัวได้ ก็ไม่อยากให้ลูกต้องมีประสบการณ์แบบที่แม่พบเจอ ก็เลยช่วย support ทุกอย่างและพยายามให้ซื้อทุกอย่างเป็นเงินสด แต่เมื่อพูดถึงการซื้อบ้านด้วยเงินสดแล้วนั้น บ้านเราเองก็ไม่ได้มีเงินเหลือเฟือขนาดนั้น แม่ก็ต้องเก็บเงินไว้ใช้ยามแก่ หรือยามฉุกเฉินบ้างเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นข้าราชการบำนาญก็ตาม
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ฉันไม่ได้มีภาระใดๆ หลายคนคงคิดว่าฉันน่าจะมีเงินเก็บหกหลักหรือเจ็ดหลักได้แล้ว เพราะทำงานมาหลายปีแล้ว แต่ความจริงนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง จริงอยู่ที่ฉันไม่ได้มีความเดือดร้อนเรื่องเงิน ไม่มีหนี้สิน ไม่เคยต้องขอยืมเงินใคร แต่วันหนึ่งเมื่อย้อนกลับมามองเงินในบัญชีทำให้คิดได้ว่า นี่ก็ทำงานมาหลายปีแล้ว จริงๆ ฉันก็ควรจะเก็บเงินได้หลายบาทอย่างที่ใครๆ เข้าใจน่ะแหละ แต่ทำไมสิ่งที่เป็นมันช่างตรงกันข้าม แย่ไปกว่านั้นคือ เมื่อมองไปรอบตัว ก็เห็นแต่กระเป๋าแบรนด์เนมที่ไม่รู้จะซื้อทำไมหลายๆ ใบ ทั้งๆ ที่หิ้วได้ทีละใบ เสื้อผ้าและรองเท้าที่ล้นออกมานอกตู้ จนต้องใส่ถุงไปบริจาค ทั้งๆ ที่บางตัวยังไม่เคยใส่ และบางตัวก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยซื้อมา

ฉันจิตตกและรู้สึกไม่สบายอยู่เป็นอาทิตย์กับชีวิตของตัวเอง ทุกๆ วันก็นั่งพิจารณาสินทรัพย์ด้อยค่าที่กองอยู่เต็มห้อง และนั่งทบทวนว่า ที่ผ่านมาทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ สุดท้ายก็สามารถสรุปกับตัวเองได้ว่า ฉันเป็นคนมีเงินอยู่กับตัวมากๆ ไม่ได้ เพราะสมองจะสั่งการว่าฉันมีอำนาจในการจับจ่าย ทุกครั้งที่ได้เงินมาก็จะสามารถคิดได้ทันทีว่า อยากได้อะไร อยากซื้ออะไร จนทำให้ชีวิตเป็นแบบนี้ ชีวิตที่เต็มไปด้วยสินทรัพย์ด้อยค่า แต่ไม่มีเงินเก็บ จึงคิดต่อไปว่า ถ้าฉันสามารถเก็บเงินที่ไหนสักที่หนึ่งโดยที่สามารถถอนออกมาใช้ได้เลยนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิต แต่มันก็ไม่มีทางไหนที่ยากเกินความสามารถของมนุษย์  จะฝากประจำ จะซื้อกองทุนอะไรก็ตามแต่ ก็ยังสามารถถอนได้อยู่ดี ความคิดอยากได้บ้านจึงผุดขึ้นมาในสมอง เพราะถ้าต้องผ่อนบ้าน แน่นอนว่า ฉันคงไม่ปล่อยให้บ้านถูกยึดเป็นแน่ ก็น่าจะสามารถหาวิธีการจัดสรรปันส่วนเงินที่มีเพื่อรับผิดชอบภาระส่วนนี้ให้ได้ตลอดรอดฝั่ง เลยตัดสินใจคุยกับแม่เป็นเรื่องเป็นราว ฉันนั่งเล่าอย่างเปิดใจถึงชีวิตที่ผ่านมาว่าฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตผิดพลาด และอยากจะแก้ไข เพราะคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตของฉันมีความรับผิดชอบมากขึ้นและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย ฉันบอกกับแม่ว่า ฉันอยากซื้อบ้าน แม่รู้สึกตกตะลึงนิดหน่อย คุยกันไปคุยกันมา แม่ก็บอกว่าตามใจ แต่ฉันสามารถรู้สึกได้เลยว่า แม่ไม่ได้ต้องการให้ฉันทำแบบนั้น แต่ก็แม่จำต้องเห็นด้วยเพราะแม่เองก็รู้สึกได้ถึงความไร้วินัยในการใช้เงินของลูกสาวตัวเองอยู่เช่นกัน

สุดท้ายฉันจึงได้มีภาระเป็นของตัวเองอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ฉันต้องผ่อนบ้านผ่านรายได้ทุกๆ เดือน ซึ่งเงินผ่อนบ้านกินสัดส่วนไปเกือบหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ตอนนี้ผ่านมาเกือบสี่ปีแล้ว แต่ฉันก็ยังอยู่ได้อย่างปกติสุข ไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่ที่น่าแปลกคือ แทนที่การผ่อนบ้านจะทำให้ฉันเก็บเงินได้น้อย แต่มันกลับตรงกันข้าม ยิ่งมีภาระ ฉันยิ่งหวาดกลัวกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเอง จึงพยายามเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงและให้มั่นใจได้ว่า ฉันก็จะยังมีเงินผ่อนบ้านอยู่หากต้องตกงานหรือเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้นมากับชีวิต และยังเก็บเงินไว้เดินทางเสมอเพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของชีวิต 

ฉันคิดว่า ภาระในครั้งนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับชีวิต เป็นฉันถือว่ามันคือเรื่องดี บ้านหลังนี้ทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจว่านี่คือบ้านหลังแรกที่ฉันซื้อมันด้วยน้ำพักน้ำแรง และมันเป็นของฉันอย่างแท้จริง (ถึงแม้ว่าจะยังติดแบงค์อยู่ก็ตาม 555) ฉันรู้สึกสบายใจ ไม่ว่าจะนั่ง ยืน เดิน นอน อยู่ตรงไหน ฉันได้เลือกโซฟา โต๊ะกินข้าว แบบที่ตัวเองชอบ ทุกวันนี้ฉันจึงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมันก็ประหยัดดี อย่างน้อยก็ประหยัดกว่าการไปเดินห้างสรรพสินค้าในวันหยุด ที่มักทำให้ต้องเสียเงินทุกครั้งๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะต้องซื้ออะไร การต้องผ่อนบ้านทำให้ฉันใช้เงินแบบคิดหน้าคิดหลังมากขึ้น คิดถึงความจำเป็นมากกว่าความอยาก และรู้สึกเสียดายเงินมากขึ้นเวลาที่ต้องจ่ายกับอะไรที่ไม่จำเป็นหรือไม่สมควรจะต้องเสีย ขอบคุณภาระในครั้งนี้ที่ทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

ฉันไม่ได้เขียนบทความนี้เพื่อบอกให้ทุกคนออกไปสร้างภาระในขณะที่คุณยังไม่พร้อม เพียงแต่อยากให้ลองทบทวนชีวิตและเงินทองของตัวเองว่าทุกวันนี้ เราใช้ชีวิตแบบไหน ซึ่งรูปแบบการใช้ชีวิตเป็นตัวแปรสำคัญต่อปริมาณเงินที่เราต้องจ่าย มีมากใช้มากไม่ได้เป็นปัญหา แต่มีน้อยใช้มาก วันหนึ่งเราจะพบกับปัญหาแน่ๆ และหากจะมีหลายเรื่องที่เรานั้นรู้ดี ก็ขอให้เรื่องการเงินเป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้นด้วยนะคะ แล้วเราจะได้มีความสุขและสนุกไปกับการใช้เงินของเราค่ะ
จากหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันได้อ่านบนโซฟาที่บ้าน มีข้อความหนึ่งที่อยากแบ่งปันเพื่อให้ใครหลายคนได้ลองพิจารณาชีวิตและการใช้เงินของตัวคุณเอง นั่นคือ "ต่อให้เราหาเงินได้มากแค่ไหนก็ไม่มีผลทำให้ชีวิตเป็นอิสระทางการเงินได้ แต่การรู้จักใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพต่างหากที่จะทำให้เรามีอิสรภาพทางเงินอย่างแท้จริง"

Akiko

ถ้าเราไม่มั่นใจในตัวเองแล้วเราควรมั่นใจกับอะไร? by Akiko

เคยไหมคะ เวลาที่เราแต่หน้า ทำผม แต่งตัว หรือทำอะไรบางอย่าง แล้วมีคนมาคอมเมนท์เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำว่ามันไม่ดี ไม่ชอบ หรือไม่ก็นินทาลับหลัง (เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยว่ากันต่อหน้า แต่เราก็ชอบไปรู้ด้วยนะคะ ว่าเขาว่าเรา) แล้วเราก็เก็บสิ่งนั้นมาคิดมาก วิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งนั้น จนชีวิตไม่มีความสุข มีแต่ความเครียด จนอาจจะกลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
ฉันเองก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกัน เรื่องแบบนี้มักเกิดขึ้นในหมู่ผู้หญิงที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องของตัวเอง ในแต่ละวัน เธอเหล่านั้นจะคอยสอดส่องเรื่องของผู้หญิงคนอื่น ว่าแต่งตัวอย่างไร ใช้ชีวิตเป็นแบบไหน คนกลุ่มนี้ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เพื่อวัดว่าชีวิตของตัวเองดีกว่าคนอื่นหรือไม่ และเขามักเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ฉันพูดถูกไหม แต่ฉันรู้สึกว่ามันเป็นแบบนั้นนะคะ

หลายปีก่อน ฉันเคยโดนนินทาและโดนว่า ว่าอ้วน แต่งตัวไม่เป็น ไม่รู้จักดูแลตัวเอง แต่เชื่อไหมว่า ฉันไม่เคยแคร์ในสิ่งที่เธอเหล่านั้นพูดถึงฉันเลย เพราะฉันมีสมองมากพอที่จะแยกแยะคำพูดในเชิงสร้างสรรค์และคำพูดในเชิงลบได้ เขาพูดเพียงเพื่อความสะใจ สนุกปากที่ได้คอมเมนท์คนอื่น แล้วทำไมเราต้องให้ค่าคำพูดของคนเหล่านั้นด้วย แต่หากเป็นคำพูดของพ่อแม่ หรือคนที่รักเรา แนะนำอะไร อันนั้นต่างหากที่เราต้องนำมาคิดต่อ และนำมาปรับปรุง หรือพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น คุณรู้ไหม

ฉันถูกว่าว่าอ้วน เพียงเพราะว่าฉันมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม และคนที่พูดนั้นผอมกว่าฉัน
ฉันถูกว่าว่าไม่รู้จักดูแลตัวเอง เพียงเพราะว่าฉันไม่ชอบแต่งหน้าและเพราะว่าฉันไม่เหมือนกับเธอคนนั้นที่ต้องแต่งหน้าหนาเตอะทุกวัน
ฉันถูกว่าว่าแต่งตัวไม่เป็นเพียงเพราะว่าฉันใส่เสื้อโปโลกับกางเกงยีนส์ ในขณะที่เธอคนนั้น ใส่กางเกงเอวสูงลิ่วตามแฟชั่น

คำพูดแบบนี้ เราควรใส่ใจหรือ ในเมื่อเราต่างหากที่รู้ตัวเองดีที่สุดว่าเราเป็นอย่างไร อะไรที่เราชอบและอะไรที่เราไม่ชอบ ไม่ต้องการจะทำ ทำไมเราต้องทำตามกันหมด คิดได้แบบนี้ ฉันจึงไม่เคยแคร์หรือแม้แต่จะใส่ใจคนที่เคยพูดถึงฉันในทางลบเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเราได้เกิดมาเป็นคนแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีคือ ยอมรับตัวเองให้ได้ ไม่ว่าเราจะมีรูปร่างหน้า ชาติกำเนิด มีการศึกษา หรือมีชีวิตแบบไหน เพราะมันคือเรา พยายามใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในทุกๆ ด้านตามความต้องการของตัวเอง ที่เหลือนั้นไม่เห็นจำเป็นต้องใส่ใจว่าใครจะคิดอย่างไร ถ้าเราไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วในชีวิตนี้เราควรมั่นใจกับอะไร
เราไม่สวยแต่อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เป็นคนปากแหว่งเพดานโหว่ใช่ไหม เราแค่ยอมรับตัวเองและพยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุด รักษาความสะอาดของร่างกาย ดูแลผิวพรรณบ้างเท่าที่มันสามารถจะพัฒนาได้

เราอ้วน หุ่นไม่ดีแต่เราก็มีอวัยวะครบ 32 ใช่ไหม ก็แค่ยอมรับในความเป็นเรา พัฒนาร่างกายให้ดีที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ ดูแลเรื่องการกิน และออกกำลังกายบ้าง รักษาสุขภาพให้แข็งแรงทั้งภายในและภายนอก

เราไม่เก่งแต่เราก็ขยันและมีความพยายามได้ใช่ไหม เราก็แค่พยายามศึกษาหาความรู้ในทุกๆ ทาง เพราะปัจจุบัน เราสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเรียนในห้องเรียนเสมอไป มีความรับผิดชอบต่อการเรียนหรือการทำงานของตัวเอง พัฒนาศักยภาพของตัวเองให้สูงที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้

สิ่งที่ฉันต้องการสื่อคือ การแยกแยะระหว่างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริงกับสิ่งที่ไม่ใช่ และหากสิ่งไหนที่ไม่ใช่ก็ไม่ควรใส่มันลงไปในชีวิตของตัวเอง เพราะในแต่ละวันเรามีสิ่งที่ทำให้จิตใจวุ่นวายมากพอแล้ว และมันคงดีกว่าหากเราเลือกใส่ความเครียดที่มีประโยชน์เข้ามาในชีวิตเราเท่านั้น เพราะอย่างน้อยสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราได้พัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นก็เป็นได้

ทุกครั้งที่มีคนชมเชยหรือยกย่องเรา อย่าดีใจจนเกินไปนัก เพราะไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจมีอะไรเปลี่ยนไป เขาอาจไม่ยกย่องหรือเอ็นดูเราเหมือนเดิม หากวันหนึ่งเป็นแบบนั้นจริงเราจะได้ไม่รู้สึกเหมือนตกจากที่สูง ไม่ต้องบาดเจ็บ และเช่นกัน หากมีใครที่เรารู้อยู่แล้วว่าเขามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ตำหนิเราหรือกระแนะกระแหนเรา ก็อย่าไปเสียใจหรือวิตกกังวลจนเกินไป เอาเวลาที่คิดเรื่องเหล่านี้มาสนใจชีวิตของตัวเองดีกว่าค่ะ ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่และเราสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้หรือไม่ แล้วลงมือทำมันเสียตั้งแต่วันนี้ และในวันที่เราเห็นตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม เราก็จะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุดเราจะรักตัวเองได้อย่างหมดหัวใจ

มั่นใจในตัวเองให้ได้ก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันค่ะ เชื่อฉัน อย่าหลงไปเชื่อใคร^^

Akiko


ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...