แล้วไงใครแคร์ ถึงโลกจะไม่แฟร์ก็ไม่เป็นไร by Akiko

ช่วงหลังๆ มานี้ ฉันเคยได้ยินหลายๆ คนบ่นกับคนอื่นและตัวเองบ่อยขึ้นว่า "โลกนี้มันไม่แฟร์กับเราเลย" แต่ฉันกลับรู้สึกว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องบ่นแต่คือสิ่งที่เราต้องยอมรับและปรับตัวเข้ากับความไม่ยุติธรรมของโลกนี้ให้ได้ต่างหาก หากเข้าใจชีวิตแล้ว ความไม่ยุติธรรมจะไม่สามารถทำร้ายเราได้เลย เพราะตัวเราเองต่างหากที่เป็นคนกำหนดว่าต้องการให้ชีวิตเป็นแบบไหน อย่างไร ตามความสามารถและอัตภาพของตัวเราเอง
ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Resilience เขียนโดย Eric Greitens ซึ่งในหนังสือกล่าวไว้ว่า ความสุขในชีวิตมีอยู่ 3 แบบหลักๆ

แบบแรก คือความพึงพอใจกับสิ่งที่ได้เรารับ ได้ดื่มกิน หรือได้สัมผัส เช่น พึงพอใจกับพิซซ่าหน้าโปรด
แบบที่สอง คือการรู้สึกขอบคุณโลกหรือขอบคุณการเกิดของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การได้นั่งมองพระอาทิตย์ตกดินหรือการได้สัมผัสหิมะที่โปรยปรายลงมา แล้วเรารู้สึกมีความสุข รู้สึกขอบคุณโลกที่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เป็นต้น
แบบสุดท้าย คือการมีความสุขเมื่อเราได้พยายามฟันฝ่าเพื่อเอาชนะสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเราสามารถทำได้ แท้จริงแล้วความยากลำบากต่างๆ ที่เราต้องฟันฝ่านั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเราดำเนินต่อไปได้ เพราะมันคือพลังที่ช่วยผลักดันชีวิตเราได้เป็นอย่างดี และความสุขรูปแบบนี้เป็นแบบที่เราไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน แต่เราต้องจ่ายด้วยความพยายาม ความผิดพลาด หรือแม้แต่ความเจ็บปวด ซึ่งเราต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวของเราเอง

ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าความไม่ยุติธรรมถูกสร้างขึ้นมาบนโลกนี้เพื่อให้มนุษย์รู้จักอดทน ฟันฝ่า และบริหารจัดการตัวเองให้มีความพอดิบพอดี จะมีคนสักกี่คนบนโลกนี้ที่บอกว่า โลกนี้แฟร์ ฉันเชื่อว่ามีคนกลุ่มนี้ไม่ถึงร้อยละ 1 ของประชากรโลก แม้แต่คนที่เราคิดว่าเขามีพร้อมทุกอย่างแล้ว ตัวของเขาเองก็ยังดิ้นรนไขว่คว้าและคิดว่า ตนยังมีไม่พอ ยังมีไม่ครบอยู่ดี คนกลุ่มนี้เองก็ไม่ต่างกับสามล้อหรือคนยากคนจนที่เฝ้าพร่ำบอกว่ากับตัวเองว่า "โลกนี้ไม่แฟร์"

ทุกๆ ครั้งที่เราต้องพบเจอกับความยากลำบากทั้งร่างกายและจิตใจ จริงอยู่ที่ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความไม่เท่าเทียมกันของทรัพยากรที่โลกจัดสรรให้กับเรา เราอาจมีน้อยกว่าคนอื่น ไม่เพรียบพร้อมเท่าคนอื่น อาจต้องใช้ความพยายามมากกว่าในการเป็น หรือการมีอะไรสักอย่างในชีวิต และเราอาจจะอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมกับบางคน อะไรๆ ถึงดูง่ายดายไปหมดไม่ต่างกับการกินดื่ม แต่ทำไมเมื่อมองกลับมาที่ชีวิตของเราแล้ว การจะผ่านไปแต่ละวัน มันช่างยากเย็น ป่วยการจะคิดค่ะคุณ ยิ่งคิดก็ยิ่งบั่นทอนตัวเองเป็นอย่างมาก พลังชีวิตหดหายไปบานตะไท เพราะคิดไปโลกนี้ก็ไม่ได้แฟร์กับเรามากขึ้น ตรงกันข้าม กลับยิ่งตอกย้ำ ซ้ำเติมเราให้ตกต่ำมากไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ทุกครั้งที่เราคิดว่าโลกนี้ไม่แฟร์ กลับมีคนอีกนับพันล้านคนบนโลกใบนี้ที่ไม่มีแม้แต่น้ำสะอาดให้ดื่ม ไม่มีอาหารจะกิน หยุดคิดว่าฉันเป็นคนโลกสวย เพราะเมื่อก่อนฉันก็เป็นคนหนึ่งที่พูดกับตัวเองทุกวันว่า "โลกนี้แมร่งไม่แฟร์กะกรูเลย" ในวันที่เราทำงานหนักมาก รู้สึกเหนื่อยแล้วก็พาลมองว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ กินแรงเรา ทำไมต้องเป็นเราทุกที ในวันที่เราอยากได้อะไรสักอย่าง แล้วไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันมา ก็พาลโทษครอบครัว ว่าทำไมครอบครัวเราไม่รวยเหมือนคนอื่น โทษว่าเป็นเพราะงานที่เราทำไม่โอเค เงินเดือนน้อย ทำให้เราไม่ได้ใช้ชีวิตดีๆ แบบคนนั้นคนนี้ ทุกครั้งที่เราคิดว่าโลกนี้ไม่แฟร์ คือทุกครั้งที่เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นใช่หรือไม่ ถ้าใช่ นั่นแหละคือความผิดพลาดของชีวิตที่ส่งผลกระทบกับตัวเราเองยิ่งกว่าการที่โลกจะมอบอะไรหรือไม่มอบอะไรให้เรา แล้วเราทำร้ายตัวเองกันมาพอหรือยัง?
ก่อนหน้านี้ฉันเคยเขียนบทความซึ่งพูดถึงเรื่องการมีชีวิตที่ดี ว่าเกิดจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการนั่นคือ การดูแลความคิดของตัวเองให้ดี การรู้จักความพอดีและความเหมาะสมของชีวิตตัวเองและการไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นนั้นทำให้เรามองข้ามความพอดีของชีวิตตัวเองไป แล้วสุดท้ายเราจะโทษโลก โทษสังคม โทษคนรอบข้าง โทษครอบครัว แต่ไม่มีเคยมีสักครั้งที่เราโทษตัวเอง จริงๆ แล้วมันคงจะดีไม่น้อยหากเราโทษตัวเองทุกครั้งที่เราเปรียบเทียบปัจจัยความดีงามของชีวิตของตัวเองกับคนอื่น แล้วพยายามหาทางแก้ไขแล้วทำชีวิตให้ดีขึ้นเท่าที่ตัวเองอยากจะได้ หรืออยากจะเป็น แต่ส่วนใหญ่เรามักสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น เอาตัวเองไปวัดกับมาตรฐานของสังคม ไปเปรียบเทียบกับคนนั้นคนนี้ ที่เขาอาจจะมีมากกว่า เรียนสูงกว่า เก่งกว่า ร้อยทั้งร้อยเราเทียบกันด้วยปัจจัยภายนอกเป็นหลัก เทียบกันที่วัตถุ เทียบกันที่คุณภาพชีวิตภายนอก ที่ถ้าใครมีมากกว่า หรือใช้ชีวิตได้หรูหรากว่าถือว่าชนะ แล้วเราก็คิดไปเองว่า คนที่เหนือกว่าเรา หรือมีอะไรต่อมิอะไรมากกว่าเรานั้นต้องมีความสุขมากกว่าเราแน่ๆ แล้วเราก็กลับมาที่ "โลกนี้ไม่แฟร์กับเราเลย" อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง โดยปราศจากแรงบันดาลใจหรือการกระทำใดๆ ที่จะนำไปสู่ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากจะเป็น

ฉันจึงย้ำว่าในทุกๆ วันเราควรสื่อสารกับตัวเองและสมองอันน้อยนิดของเราว่า ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ ความต้องการและปราถนาที่แท้จริงของเราคืออะไร แล้วดำเนินชีวิตตามความต้องการของตัวเอง มากกว่าการทำตามใครสักคน อยากเป็นเหมือนเขา อยากมีเหมือนเขา ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ตัวของตัวเอง การพยายามเป็นใครสักคน เราจะเป็นได้แค่ชั่วครู่ เพราะสุดท้ายแล้วความดิบในตัวเราจะถูกแสดงออกมาในสักวัน (ความดิบก็คือ ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง) การที่เพื่อนมีรถเบนซ์แล้วเราต้องมีให้เหมือนๆ กัน เพื่อให้คนอื่นคิดว่าเรามีไม่น้อยกว่าใคร นั้นใช่ความปราถนาที่แท้จริงของชีวิตหรือไม่ ถ้าใช่ ขอให้จงหาหนทางที่ถูกต้องที่จะนำมาซึ่งสิ่งนั้นให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่า หนทางนั้นต้องไม่ใช่การคอรัปชั่น การขโมยของของคนอื่น หรือการเบียดเบียนคนอื่น เพราะหากทำสิ่งเหล่านี้แล้วคุณได้รถเบนซ์มา คนอื่นอาจมองคุณด้วยสายที่แย่กว่าที่เขามองซาเล้งก็เป็นได้
ความแฟร์หรือไม่แฟร์นั้นขึ้นอยู่กับว่า เราวัดมันด้วยอะไร ถ้าเราวัดด้วยคนที่มีมากกว่าเรา โลกนี้จะไม่มีทางแฟร์กับเราได้เลย แต่หากเราวัดกับคนที่มีน้อยกว่า เช่น คนพิการ หรือ คนด้อยโอกาสในสังคม เราอาจจะคิดว่าโลกนี้เมตตากับเรามากแล้วก็ได้ แต่จะดีกว่ามั้ย ที่เราไม่ต้องวัดตัวเองกับสิ่งอื่นๆ แต่วัดตัวเราเองกับตัวเราเอง เราพอใจกับตัวเองในวันนี้แล้วหรือยัง เราพอใจกับชีวิตน้อยๆ ของเราหรือไม่ ในทุกๆ วันที่เราแก่ขึ้นเรื่อยๆ ความคิดความอ่านของเราดีกว่าตอนที่เรายังเด็กหรือแม้แต่ดีกว่าเมื่อวานนี้หรือไม่ เรายังขี้อิจฉา ร้อนรุ่มเหมือนตอนที่เรายังเป็นหนุ่มสาวมั้ย เรายังมองโลกในแง่ร้ายเหมือนตอนที่เราอกหักครั้งแรกหรือเปล่า เรายังใช้เงินไม่รู้จักคิดเหมือนตอนเราทำงานใหม่ๆ หรือไม่ เรายังกินๆ นอนๆ และหวังว่าสุขภาพจะดีขึ้นได้ด้วยการไม่ทำอะไรเลยหรือไม่ ถ้าวันนี้เราเป็นคนที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้านไหน หรือเรามีการงานที่ดีขึ้น หรือมีสุขภาพที่ดีขึ้น หรือมีเงินมีทองมากขึ้น นั่นแหละ เรามาถูกทางแล้วโดยที่เราไม่ต้องมองเลยด้วยซ้ำว่าคนอื่นจะมีชีวิตเป็นอย่างไร การละทิ้งเรื่องราวรอบตัวบ้าง แล้วหันมาโฟกัสที่ตัวเองเยอะๆ นั้นไม่ต้องกลัวว่าจะตามไม่ทันโลก เพราะคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่โลกทั้งใบของเราเช่นกัน ถ้าการเดินตามทางตัวเองเป็นความล้าหลังที่โลกจะไม่รอ บางครั้งการปล่อยโลกหมุนไปโดยใส่ใจใยดีมันบ้าง ชีวิตเราอาจจะมีแง่งามให้ระลึกถึงมากขึ้นก็ได้
ถ้าชีวิตได้ทำความรู้จักกับความรู้สึกพอใจในชีวิต รู้ว่าความพอดิบพอดีพอควรพองามของตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว จะต้องแคร์ทำไมว่าโลกจะแฟร์หรือไม่แฟร์กับเราหรือกับใคร ปล่อยให้โลกได้ทำหน้าที่ของมันไป ส่วนเราก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตให้มีความสุขพอสมควรในวิถึที่ถูกต้อง ทำชีวิตให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ทุกๆ วัน โดยไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับใคร และเป็นตัวของตัวเอง ชีวิตไม่มีทางเป็นอย่างใจเราทุกอย่างหรอก มันต้องมีถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง และความไม่แน่นอนของชีวิตนี่แหละที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ชีวิตเราดำเนินไปได้ ถ้าเราไม่ทุกข์เสียบ้าง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความสุขนั้นหอมหวานขนาดไหน

ถึงเวลาแล้วที่เราจะตะโกนใส่หน้าให้กับโลกกลมๆ ใบนี้ว่า
"แล้วไง ใครแคร์ ถึงเธอจะไม่แฟร์กับฉันก็ไม่เป็นไร"

By Akiko

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...