หากถามว่า ความฝัน คืออะไร ฉันจะตอบว่า ความฝันในนิยามของฉัน คือ การเป็น การทำ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเป็นหลัก และความฝันของเราจะดูดีขึ้น หากมันเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นหรือโลกดีขึ้นด้วยในเวลาเดียวกัน
ตอนที่เราเป็นเด็ก ถ้าใครถามว่าความฝันของเราคืออะไร เราคงตอบได้อย่างไม่คิดมาก ว่าเราอยากเป็นหมอ เป็นทหาร เป็นพยาบาล เป็นตำรวจ แต่ถ้าเราพอจะจำได้ ในตอนนั้นความฝันของเรากับเพื่อนมักไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นัก เพราะชุดความคิดของเราถูกปลูกฝังมาเหมือนๆ กัน แต่พอเราโตขึ้น เราได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการทางศึกษาและสังคมมาแล้วระดับหนึ่ง ทำให้เราเริ่มรู้ว่า โลกอนุญาตให้เราสามารถเป็นอะไรได้บ้าง ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะแตกต่างจากสิ่งที่เราฝันไว้ในตอนเด็กอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งเราโตขึ้นมากเท่าไหร่ เรายิ่งตอบเรื่องความฝันยากขึ้นเท่านั้น ส่วนหนึ่งเพราะเรามักวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ นาๆ ในชีวิตและคิดถึงความเป็นไปได้มากขึ้น แต่ที่ยากกว่านั้นคือ บางคนไม่มีความฝันเสียด้วยซ้ำ ฉันเชื่อว่าผู้ใหญ่หลายคนไม่รู้ว่าความฝันของตัวเองคืออะไร และตั้งคำถามลึกๆ อยู่ในใจว่า หากเราไม่มีความฝันนั้นผิดไหม เราผิดแปลกจากคนทั่วไปหรือไม่ แต่ฉันคิดว่า เราทุกคนมีความฝันด้วยกันทุกคน ฝันอาจจะใกล้หรือไกล ยากหรือง่าย มากหรือน้อย เพียงแต่เราอาจไม่รู้ว่านั่นคือความฝันของเรา หรือเราอาจไม่กล้ายกมันขึ้นมาเป็นความฝันของเราเพราะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่ฉันแค่อยากจะบอกว่า อย่าหยุดฝัน เพราะความฝันและความหวังทำให้เรามีแรงผลักดันในการใช้ชีวิตต่อไปทุกๆ วัน ถึงแม้บางความฝันอาจจะไม่เป็นไปตามที่เราคิดเอาไว้ แต่มันไม่เป็นอะไรเลย เพราะเรายังสามารถหาความฝันใหม่ๆ เข้ามาเติมชีวิตได้ทุกวัน
ฉันเชื่อว่า ความฝันของคนเรามักเปลี่ยนไปตามเวลา อายุ ประสบการณ์ และสถานการณ์ในชีวิต เมื่อชีวิตเราเปลี่ยนไป ข้อจำกัดต่างๆ ในชีวิตก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เช่น บางคนอาจฝันเป็นแอร์โฮสเตส อยากจะไปเที่ยวรอบโลก แต่พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัว ความต้องการในชีวิตอาจจะเปลี่ยนไป เราอาจไม่ได้ต้องการท่องเที่ยวไปรอบโลกอีกต่อไปแล้ว แต่เราอาจจะอยากลงหลักปักฐานอยู่กับครอบครัวและอยากดูแลครอบครัวของเราอย่างดีที่สุด เราอาจจะอยากไปเที่ยวกับครอบครัวมากกว่าที่ถึงแม้จะเป็นการท่องเที่ยวในประเทศ แต่เราอาจจะรู้สึกพอใจมากกว่าการไปเที่ยวรอบโลกเพียงลำพัง ถึงตอนนั้นความฝันของเราอาจจะเปลี่ยนไป จากการอยากเป็นแอร์โฮสเตสกลายเป็นอยากทำธุรกิจส่วนตัวเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว แบบนี้เป็นต้น
ขึ้นชื่อว่า "ความฝัน" นั้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ในสายตาของใครๆ หรือต้องได้รับการยอมรับจากสังคมแต่ความฝันที่ดีมีคุณภาพนั้นมักเกิดจากการที่เรายอมรับตัวเองมากกว่า เพราะเราจะเลือกความฝันที่เรารู้แล้วว่า มันคือความต้องการจริงๆ ของหัวใจและสามารถเติมเต็มชีวิตเราได้ หากเราสามารถทำมันได้สำเร็จ และคงดีกว่าเป็นเท่าตัวหากความฝันของเรานั้นสามารถเลี้ยงตัวเราได้ด้วย
แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น มีคนจำนวนมากที่ยอมละทิ้งความฝันและยอมอยู่กับความเป็นจริงแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ เพียงเพราะสิ่งนั้นสามารถเลี้ยงชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นได้ ฉันเข้าใจค่ะว่าบางความฝันคงไม่อาจทำให้เราอิ่มท้องได้จริงๆ แต่มันจะดีกว่าไหม หากเราสามารถใช้ชีวิตจริงควบคู่ไปกับความฝันของเราได้ ทำไมเราต้องทิ้งความฝันที่มันอาจจะยังเป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ แต่ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ฉันเองก็เป็นพนักงานออฟฟิสคนหนึ่ง ที่อาจจะโชคดีกว่าคนอื่นเล็กน้อยตรงที่ฉันรู้สึกพอใจกับงาน กับเพื่อนร่วมงานและเจ้านายของฉัน และบังเอิญว่างานของฉันก็สามารถชุบเลี้ยงชีวิตของฉันได้ในระดับที่ฉันพอใจ แต่แท้จริงแล้วความฝันของฉันคือการได้เป็นนักเขียน ฉันพยายามตื่นเช้ากว่าคนอื่นเพื่อให้มีเวลามากพอในตอนเช้าในการฝึกเขียนบทความสักหนึ่งบทก่อนทำงานทุกๆ วัน และใช้วันหยุดในการอ่านหนังสือและดูรายการที่เป็นประโยชน์เพื่อหาข้อมูลและกลั่นกรองความคิดของตัวเอง ออกมาเป็นตัวหนังสือ ฉันมองไม่เห็นความจำเป็นของการไม่เขียนหนังสือ เพียงเพราะว่าต้องทำงานออฟฟิสที่งานก็เยอะมากอยู่แล้วในแต่ละวัน แต่ถ้าเราขยันและพยายามมากขึ้นอีกสักหน่อย ความฝันของเราจะยังคงอยู่ใช่หรือไม่ และมันก็อาจจะเป็นจริงได้ในสักวันใช่หรือเปล่า
เพียงแค่ความฝันไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนั้น
ความฝันมีความผิดมากถึงขนาดกับที่เราต้องทิ้งมันไว้กลางทางเลยหรือคะ
Akiko
Akiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น