"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ประโยคนี้มักถูกพูดถึงบ่อยๆ ทั้งทางพุทธศาสนาและทางโลก ในส่วนของความหมายนั้นฉันคิดว่าคงไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก ใจความสำคัญอยู่ที่ หากอยากมีชีวิตเป็นแบบไหน หรือต้องการอะไร จงทำทุกอย่างด้วยตัวของเราเอง หากอยากมีความสุขก็ต้องฝึกฝนใจของตัวเองให้ดี หากอยากรวย ก็ต้องมีความขยัน หมั่นเพียร ไม่หวังพึ่งพาผู้อื่นหรือแม้แต่ไสยศาสตร์ เป็นต้น
สมัยนี้ใครๆ ก็อยากมีชีวิตดี๊ดี อยากรวยกันทั้งนั้น เราใช้ชีวิตโดยมีคำว่า รวยและสุขสบายนำหน้ากันมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคนแล้ว ทุกคนจึงพยายามหาทางและดิ้นรนเพื่อที่จะเป็นหรือมีอย่างที่ตัวเองต้องการ ส่วนหนึ่งอาจเพื่อตอบสนองตัวเอง แต่อีกส่วนก็คือเพื่อให้รู้สึกว่าไม่น้อยหน้าคนอื่น ซึ่งเราแต่ละคนมีเส้นทางที่นำไปสู่การเป็นหรือการมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันออกไป ฉันไม่อาจตัดสินได้ว่าแนวทางไหนดีกว่ากัน เพราะแต่ละคนก็มีโอกาสและปัจจัยในชีวิตที่ไม่เท่ากัน
ตัดภาพมาที่วันทำงานวันหนึ่งที่แสนยุ่งเหยิง
เพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งโทรมาหาในขณะที่ฉันกำลังวุ่นวายกับการทำรีพอร์ทและตอบอีเมลล์ลูกค้า ซึ่งปกติแล้วเธอจะไม่เคยรบเร้าหรือรบกวนในเวลาที่ฉันทำงาน แต่วันนี้หลังจากที่ฉันได้ฟังน้ำเสียงของเธอก็รู้สึกได้เลยว่า เธอกำลังมีปัญหาและมีความทุกข์ใจอย่างมาก ความเครียดพุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันจึงตัดสินใจคุยกับเธอเสียหน่อยด้วยความเป็นห่วง เรื่องมีอยู่ว่า ฉันกับเธอและแฟนของเธอ เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี สนิทกันค่อนข้างมาก ทั้งกิน เที่ยว และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ฉันจึงรู้เรื่องราวของเธอกับแฟนเป็นอย่างดี เธอเริ่มบทสนทนาด้วยการถามฉันว่า ฉันคิดว่า แฟนของเธอรักเธอไหม?
สมัยนี้ใครๆ ก็อยากมีชีวิตดี๊ดี อยากรวยกันทั้งนั้น เราใช้ชีวิตโดยมีคำว่า รวยและสุขสบายนำหน้ากันมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคนแล้ว ทุกคนจึงพยายามหาทางและดิ้นรนเพื่อที่จะเป็นหรือมีอย่างที่ตัวเองต้องการ ส่วนหนึ่งอาจเพื่อตอบสนองตัวเอง แต่อีกส่วนก็คือเพื่อให้รู้สึกว่าไม่น้อยหน้าคนอื่น ซึ่งเราแต่ละคนมีเส้นทางที่นำไปสู่การเป็นหรือการมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันออกไป ฉันไม่อาจตัดสินได้ว่าแนวทางไหนดีกว่ากัน เพราะแต่ละคนก็มีโอกาสและปัจจัยในชีวิตที่ไม่เท่ากัน
ตัดภาพมาที่วันทำงานวันหนึ่งที่แสนยุ่งเหยิง
เพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งโทรมาหาในขณะที่ฉันกำลังวุ่นวายกับการทำรีพอร์ทและตอบอีเมลล์ลูกค้า ซึ่งปกติแล้วเธอจะไม่เคยรบเร้าหรือรบกวนในเวลาที่ฉันทำงาน แต่วันนี้หลังจากที่ฉันได้ฟังน้ำเสียงของเธอก็รู้สึกได้เลยว่า เธอกำลังมีปัญหาและมีความทุกข์ใจอย่างมาก ความเครียดพุ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือดไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันจึงตัดสินใจคุยกับเธอเสียหน่อยด้วยความเป็นห่วง เรื่องมีอยู่ว่า ฉันกับเธอและแฟนของเธอ เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี สนิทกันค่อนข้างมาก ทั้งกิน เที่ยว และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ฉันจึงรู้เรื่องราวของเธอกับแฟนเป็นอย่างดี เธอเริ่มบทสนทนาด้วยการถามฉันว่า ฉันคิดว่า แฟนของเธอรักเธอไหม?
ฉันรู้สึกตกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของฉันทั้งสองคน ฉันจึงถามกลับว่าอะไรทำให้เธอคิดว่าเขาไม่รักเธอล่ะ เธอเงียบไปพักใหญ่ ฉันคิดว่าเธอคงจะนึกหรือคิดทบทวนอะไรอยู่ แล้วเธอก็ตอบกลับมาว่า ตลอดเวลาสิบปีที่อยู่ด้วยกันมานั้น บางทีแฟนของเธออาจจะไม่ได้รักเธอเลยก็ได้ ตอนคบกันใหม่ๆ ก็ลำบากมาด้วยกัน ช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา จนวันนี้แฟนของเธอมีทุกอย่างแล้ว และกำลังจะขยายกิจการเพิ่มเติมไปอีกที่หนึ่ง แฟนของเธอก็อาจจะคิดว่า เธอเป็นภาระ มาเกาะเขากินหรือเปล่า แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอก็ยืนยันเสมอว่า เธอก็ทำมาหากินของเธอเอง อยากได้อะไรก็ซื้อเอง ไม่เคยขอเงินเขามาซื้อเลยแม้แต่แดงเดียว และช่วยทำงานของแฟนทุกอย่าง แล้วเงินเดือนที่แฟนเธอแบ่งให้ก็ไม่ได้มากมายอะไรถ้าเทียบกับสิ่งที่เธอทำให้กับเขา
ฉันถามรายละเอียดความเป็นอยู่ของเธอราวกับว่ากำลังสอบสวนอะไรสักอย่าง ตอนนั้นฉันไม่ได้เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดอีกต่อไป ฉันคือดีเอสไอดีๆ นี่เอง
ถามไปถามมา ก็ได้ใจความว่า เธออยากมีส่วนร่วมในทรัพย์สินที่สร้างมาด้วยกันบ้าง คำว่าไม่รักส่วนหนึ่งก็คือน้อยใจ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ การอยากมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของบ้านและกิจการ เพราะเธอคิดว่า เธอละทิ้งทุกอย่างและทุ่มทั้งชีวิตให้กับแฟนและครอบครัวของแฟน เธอจึงอยากให้เขารู้สึกว่าเธอเป็นเจ้าของร่วมกันบ้าง แต่พอมันไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ก็น้อยอกน้อยใจคิดว่าเขาไม่รัก ทั้งๆ เขาก็อยู่ของเขาดีๆ และยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ
ต้องบอกก่อนว่าเพศของเราเป็นเพศทางเลือกที่ไม่ได้เหมือนกับผู้หญิงและผู้ชายทั่วไป ที่พอแต่งงานกันต้องมีลูก พอมีลูกแล้วพ่อแม่สามีก็จะคิดว่าเป็นเขยหรือสะไภ้ อยากให้เป็นครอบครัวเดียวกัน มีสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์สินต่างๆ ไม่ว่าอะไร แต่เพศของเรา มนุษย์พ่อแม่ก็จะคิดว่า เราเป็นแค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งของลูกสาวเขา ซึ่งข้อนี้ ฉันเข้าใจดีและยอมรับมาตั้งแต่ต้น ประกอบกับตัวฉันเองก็ไม่เคยทำงานกับที่บ้านของแฟนหรือต้องพึ่งพาอะไรเลย ก็เลยไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องเก็บมาใส่ใจ
ฉันจึงบอกเธอไปว่า ในเมื่อเราทำมาหากินของเราเองได้ เราก็เก็บของเราเอง ทำมาหาใช้ของเราเอง อยากมีทรัพย์สิน ก็ซื้อทรัพย์สินและสร้างมันด้วยตัวเองสิ แล้วเราจะได้เป็นเจ้าของมัน 100% โดยที่ไม่ต้องร้องขอสิทธิ์นั้นจากใคร มันไม่ใช่แค่เพศทางเลือกเท่านั้น ผู้หญิงและผู้ชายก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่าฉันมองโลกแง่ร้ายจนเกินไปนัก แต่ฉันคิดว่า ในเมื่อคนสองคนรักกันได้ ก็มีโอกาสเลิกกันได้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นเราอาจรู้สึกดีกว่าที่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ไม่ต้องฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อเรียกร้องค่าเลี้ยงดู
สำหรับผู้หญิง เราอยู่ในยุคที่ไม่ต้องพึ่งพาคนรักหรือสามีกันแล้วค่ะ เราสามารถทำอะไรเองได้อย่างที่เราอยากจะทำ ดังนั้นจึงไม่ควรคาดหวังว่าหากมีแฟนหรือมีครอบครัวแล้ว แฟนจะต้องมาเลี้ยงดูปูเสื่อไปตลอดชีวิต นี่คือภรรยาค่ะ ไม่ใช่ลูกสาวที่เขาจะต้องรับผิดชอบไปตลอดชีวิต
สำหรับผู้ชาย ก็ไม่ควรเรียกร้องว่าผู้หญิงจะต้องดูแลแฟนหรือสามี งานบ้านต้องไม่ขาดตกบกพร่อง ต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน มันหมดสมัยแล้วเช่นกัน เพราะผู้หญิงก็ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาช่วยกันจุนเจือครอบครัวน้อยๆ เช่นกัน หากคุณต้องการผู้หญิงแบบนั้น แน่นอนว่าคุณควรจะเลี้ยงดูเธอค่ะ
ฉันจึงบอกเธอไปว่า ในเมื่อเราทำมาหากินของเราเองได้ เราก็เก็บของเราเอง ทำมาหาใช้ของเราเอง อยากมีทรัพย์สิน ก็ซื้อทรัพย์สินและสร้างมันด้วยตัวเองสิ แล้วเราจะได้เป็นเจ้าของมัน 100% โดยที่ไม่ต้องร้องขอสิทธิ์นั้นจากใคร มันไม่ใช่แค่เพศทางเลือกเท่านั้น ผู้หญิงและผู้ชายก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่าฉันมองโลกแง่ร้ายจนเกินไปนัก แต่ฉันคิดว่า ในเมื่อคนสองคนรักกันได้ ก็มีโอกาสเลิกกันได้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นเราอาจรู้สึกดีกว่าที่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ไม่ต้องฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพื่อเรียกร้องค่าเลี้ยงดู
สำหรับผู้หญิง เราอยู่ในยุคที่ไม่ต้องพึ่งพาคนรักหรือสามีกันแล้วค่ะ เราสามารถทำอะไรเองได้อย่างที่เราอยากจะทำ ดังนั้นจึงไม่ควรคาดหวังว่าหากมีแฟนหรือมีครอบครัวแล้ว แฟนจะต้องมาเลี้ยงดูปูเสื่อไปตลอดชีวิต นี่คือภรรยาค่ะ ไม่ใช่ลูกสาวที่เขาจะต้องรับผิดชอบไปตลอดชีวิต
สำหรับผู้ชาย ก็ไม่ควรเรียกร้องว่าผู้หญิงจะต้องดูแลแฟนหรือสามี งานบ้านต้องไม่ขาดตกบกพร่อง ต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน มันหมดสมัยแล้วเช่นกัน เพราะผู้หญิงก็ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาช่วยกันจุนเจือครอบครัวน้อยๆ เช่นกัน หากคุณต้องการผู้หญิงแบบนั้น แน่นอนว่าคุณควรจะเลี้ยงดูเธอค่ะ
ต้องขอบคุณเพื่อนสาวคนนี้ของฉันที่เข้ามาให้สติ และถึงแม้ว่าสิ่งที่ฉันพูดไปทั้งหมดในวันนี้เธอจะยังไม่เข้าใจและอาจคิดว่าฉันเป็นคนละพวกกันกับเธอ เธอคงรู้สึกไม่พอใจฉันอยู่เหมือนกันที่ไม่เห็นไปในแนวทางเดียวกันกับเธอ แต่ฉันไม่รู้สึกโกรธเธอเลยที่เมื่อฉันพูดอะไรไปก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา และฉันไม่ได้สนใจด้วยว่าต่อจากนี้ไปเธอจะใช้ชีวิตอย่างไร จะปรับความคิดหรือไม่ แต่สิ่งที่ฉันคิดได้ก็คือ ฉันรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ยืนบนขาของตัวเองได้ ไม่ต้องมานั่งน้อยใจในโชคชะตา หรือน้อยใจที่แฟนไม่ยกสมบัติให้ ซึ่งฉันก็เคยบอกให้เธอทำเช่นเดียวกับฉันหลายครั้งหลายครา แต่ฉันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเธอได้เลย
เธอเหมือนหญิงไทยในอดีตที่ถูกปลูกฝังว่า เจ้าชายต้องเลี้ยงดู และดูแลเจ้าหญิงอย่างดี ซึ่งไม่ผิด เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ที่อยู่รอบตัวฉันก็เป็นแบบนี้ ยิ่งถ้าเป็นกรณีของผู้หญิงกับผู้ชายด้วยแล้ว ผู้หญิงจะคาดหวังว่าถ้ารักกัน สักพักก็จะแต่งงาน แต่งงานแล้วก็ต้องมีลูก มีลูกแล้วสามีก็ต้องดูแลทั้งเราและลูกน้อย บางคนถึงขั้นคิดว่าจะตกถังข้าวสาร ฉันว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาและฉันไม่ได้รู้สึกตำหนิแต่อย่างใด
มาถึงวันนี้ที่ฉันต้องอดทนสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง ฉันก็ไม่เคยอิจฉาผู้หญิงโชคดีหลายๆ คน รวมทั้งเพื่อนสาวของฉันคนนี้ด้วย ที่เกิดมาไม่ต้องดิ้นรนสักเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับฉันแล้ว ฉันลำบากกว่าพวกเธอหลายเท่าตัวนัก แต่ก็ภูมิใจที่ได้สร้างและได้ทำอะไรทุกอย่างด้วยตัวเอง
หลายคนเคยตั้งคำถามว่าฉันมีแฟนรวยหรือเปล่า ทำไมถึงมีนู่นมีนี่ อยากได้อะไรก็ได้ แต่ฉันไม่เคยแคร์ความคิดหรือแม้แต่จะสนใจคำถามของคนเหล่านั้น เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าฉันยืนอยู่บนขาของใคร ใช่แล้ว ฉันยืนอยู่บนขาของตัวเอง แล้วทำไมฉันต้องแคร์ว่าใครจะคิดยังไง ในเมื่อคนเหล่านั้นไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตของฉันเลย อยากมีชีวิตดี๊ดี ก็ออกมาทำงานให้ดี หาเงินใช้เอง ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น จะได้รู้ว่าชีวิตดี๊ดี มันมีที่มาอย่างไร
ฉันมีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่า หากเป้าหมายเราชัดเจนมากพอว่าอยากมีชีวิตแบบไหน อยากได้อะไร เราจะสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวของเราเองค่ะ ถึงมันจะไม่มากมาย แต่อย่างน้อยเราก็ภูมิใจและพูดได้เต็มปากว่า "นี่คือของของฉัน ฉันสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวของฉันเอง"
Akiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น