จาก Amsterdam ถึง Paris จี๊ดถึงหัวใจ by Akiko

เมื่อช่วงปลายปีมาถึง ก็เป็นที่รู้กันว่าการเดินทางจะต้องเริ่มขึ้น จริงๆ แล้วปีนี้เดินทางมาเยอะพอสมควรและหลากหลายเส้นทางมากๆ และหลากหลายรสชาติเสียดาย ตั้งแต่ศิวิไลยันไร้จิตวิญญาณ (อันนี้หมายถึงตัวฉันนะคะ ไม่ได้หมายถึงสถานที่แต่อย่างใด)
ทริปเราเดินทางกันในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งตอนแรกแพลนว่า อยากไปดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่ได้เดินทาง เพราะใบไม้เปลี่ยนสีนั้นได้ร่วงระเนระนาดไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม แต่ก็ไม่เป็นไร ยังมีสิ่งดีๆ รออยู่อีกมากมาย (ผู้หญิงสวยต้องมองโลกในแง่ดี^^) ในที่สุดก็มาถึงวันเดินทาง ทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 11 วัน โดยเส้นทางจะเริ่มจาก Amsterdam ไป Belgium และไปจบที่ฝรั่งเศส (ห๊ะ อีกแล้วหรอ) ไม่หรอกค่ะ เราจบที่ปารีสก็จริง แต่เราจะไปเที่ยวรอบๆ เมืองของฝรั่งเศสที่เราไม่เคยไป และก็ทำให้เรารู้ว่า จะต้องมีรอบที่ห้า หก เจ็ด อีกแน่นอน #เพราะฝรั่งเศสไม่ได้มีดีแค่ปารีส

เช่นเดิมค่ะ เราเดินทางด้วยสายการบิน Qatar Airways ซึ่งจัดโปรตั้งแต่เดือนมีนาคม เราก็จองแบบหน้ามืดด้วยราคาประมาณ 16,000 บาท (ฟังไม่ผิดค่ะ หนึ่งหมื่นหกพันบาท และไม่ต้องรอต่อเครื่องนานด้วยค่ะ ดี๊ดี) เราบินไป Amsterdam เป็นจุดหมายแรก และอยู่ที่นี่แค่ 3 วัน 2 คืน เนื่องจาก Amsterdam เป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคลอง เดินไม่กี่วันก็ครบทั้งเมืองแล้ว ทริปนี้พักเครือ Accor ที่ได้สมัครสมาชิกไว้ตั้งแต่ทริปยุโรปปี 2014 ทำให้ได้ส่วนลดประหยัดค่าโรงแรมไปเป็นหมื่น สรุปแล้วเสียค่าโรงแรม 10 คืนประมาณ 4 หมื่นกว่าบาท (ถ้ามีเพื่อนร่วมทางก็หารโลดค่ะ) Qatar เวลาดี๊ดี พาเราเดินทางไปถึง Amsterdam ประมาณบ่ายโมง เรานั่งรถไฟฟ้าใต้ดินจากสนามบิน ซึ่งใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดของเมือง มีของให้ซื้อเพรียบ แต่เราก็ไม่ควรหมดเปลืองตั้งแต่วันแรก จึงกลั้นใจลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินโดยไม่สนใจสิ่งใดๆ นั่ง Metro แค่ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงโรงแรมแล้วค่ะ

โรงแรมที่เราพักใกล้กับสถานี Amsterdam Central ซึ่งเราจะต้องผูกพันกับสถานีนี้ไปอีกหลายวันจนกว่าเราจะเดินทางไปเมืองอื่น ที่นี่เป็นสถานีที่รวบตึงการเดินทางทั้งในเมือง Amsterdam และเดินทางระหว่างเมืองไว้ในที่เดียว จึงเหมาะอย่างยิ่งกับการพักแถวนี้

เมื่อก่อนฉันมักจะเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้ที่ท่องเที่ยวหรือแหล่งช็อปปิ้งเพราะว่าจะได้เดินทางสะดวก แต่เอาเข้าจริง การเดินทางไปยุโรปสิบวันประกอบกับกระเป๋าเดินทางที่มีขนาดใหญ่กว่าตัว หากไม่เลือกสถานีที่สะดวกต่อการเดินทาง เราจะเหนื่อยมากกับการลากกระเป๋าไปมา ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน ขึ้นแทรม เพราะฉะนั้น เป็นคำแนะนำ ที่ประกอบด้วยความหวังดีซึ่งกลั่นกรองจากประสบการณ์การเดินทางมาแล้วหลายประเทศ จองที่พักใกล้สถานีหลักจะดีที่สุด ส่วนที่เที่ยว ที่ช็อป เราสามารถซื้อตั๋ววันหรือเดินทางเป็นเที่ยวๆ เพื่อไปยังที่นั่นได้ โดยไม่ลำบากอะไรเลย ชีวิตคุณจะดีมากๆ ถ้าไม่ต้องลากกระเป๋าใหญ่ไปไหนมาไหนด้วย

จากสถานีรถไฟ เดินไปโรงแรมระยะไม่เกิน 300 เมตร เราเดินผ่านจักรยานประมาณ 400 ล้านคัน (ออกจะเว่อร์ไปนิด แต่ว่าหลักล้านคันแน่นอน สำหรับเมืองนี้ เมืองที่คนรวยและจนร่วมใจกันขี่จักรยาน) เก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาเดินเล่นข้างนอก ไปถ่ายรูปกับสถานที่ต่างๆ ในเมือง ต้องบอกเลยว่า อยากถ่ายทุกมุม เพราะเมืองนี้น่ารักมาก จนทำให้อดสงสัยไม่ได้ ว่าบ้านเขาก็มีห้องแถวเหมือนๆ กับบ้านเรา แต่ทำไมห้องแถวบ้านเขามันดูดี คลาสสิคดีจัง
พอมาถึงฝนก็มาต้อนรับเราเลย เมืองนี้เป็นเมืองติดทะเล ไม่ว่าหน้าไหนฤดูไหน ก็ฝนตกตลอด วันไหนแดดดีๆ นี่แทบอยากจะกราบพระอาทิตย์ ช่วงเดือนพฤศจิกายนนั้น ประมาณ 5 โมงเย็นก็มืดแล้ว แต่โชคดีที่อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่ค่อนข้างคึกคักถึงสามสี่ทุ่ม เลยเดินเที่ยวได้เรื่อยๆ ซึ่งอากาศก็จะหนาวเย็นลงเรื่อยๆ เช่นกัน 

สำหรับในเมืองนี้ การเดินทางที่สะดวกคงไม่พ้นรถ tram ที่สามารถไปได้ทั่วเมือง เราสามารถซื้อตั๋วรายวันๆ ละ 7.5 ยูโร แล้วขึ้นๆ ลงๆ ตามอำเภอใจ หรือจะนั่งชมเมืองไปเรื่อยๆ ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะบางทีเรายังสามารถไปหลบหนาวหรือหลบฝนบนรถ tram ได้อีกด้วยค่ะ 

วันนี้เดินไปจนถึงจุดถ่ายรูป I amsterdam โอ้โห คนเยอะมว๊าก เพราะตรงนั้นมีจัดงานช่วงใกล้คริสต์มาสและปีใหม่ เลยจัดให้มีลานสเก็ตน้ำแข็งบริเวณนั้น จึงจำเป็นต้องถอยกลับด้วยความเศร้าสร้อย แล้วค่อยๆ เดินกลับโรงแรม ระหว่างทางก็ซื้อของที่ระลึกของเมืองนี้ ซึ่งได้แก่ magnet ที่น่ารักมาก และผ้ากันเปื้อนสำหรับทำอาหาร รวมถึงลูกอมและคุ๊กกี้ 5555 ซึ่งเป็นของประจำเมือง ที่ใครได้มาแล้ว ต้องลองให้ได้ จะได้รู้ว่าสวรรค์ชั้นเจ็ดเป็นยังไง อิอิ
กลับโรงแรมก็รีบนอน เพราะพรุ่งนี้มีนัดแต่เช้า เราจะไปถ่ายรูป I amsterdam ที่ไม่ติดใครเลยซักคนให้ได้ นั่นคือ เราต้องตื่นก่อนคนอื่นนั่นเอง พอเดินมาช่วงเช้ามืด เราก็ไปซื้อตั๋ววันสำหรับ tram แล้วนั่ง tram ไปลงตรงนั้นเลย จากป้ายรถ tram นั้นไม่ไกลจากจุดนี้เท่าไหร่ ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ เย้ๆ 
หลังจากนั้นก็เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ แต่โชคดีที่วันนี้ฝนไม่ตกและดูเหมือนว่าจะมีแดดในช่วงกลางวันด้วย เพียงแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทำการเท่านั้น
เมืองนี้เป็นเมืองแห่งคลอง ซึ่งคลาสสิคสุดๆ ในความคิดของฉัน ฉันชอบเมืองนี้ที่ดูเหมือนมันคือการพักผ่อนอย่างแท้จริง คนที่นี่ไม่รีบร้อนเหมือนคนที่อยู่กรุงเทพฯ พออะไรๆ ช้าลง เราก็สบายใจมากขึ้น เดินไปเรื่อยๆ จนเริ่มหิวและหนาว จึงต้องหาร้านเพื่อเข้าไปสร้างความอบอุ่นและความตื่นตัวให้กับร่างกาย 
ร้านค้าที่นี่เปิดค่อนข้างสายเหมือนๆ กับยุโรปทั่วไป จะมีก็แต่ร้านกาแฟบางร้านและสตาบัค รวมถึงร้านขายของที่ระลึกเท่านั้นที่เปิดค่อนข้างเช้านั่นคือก่อนแปดโมง

อิ่มแล้วก็เดินชมวิวกันต่อ เดินย้อนกลับไปเรื่อยๆ จนถึงสถานี Amsterdam Central เพื่อมาขึ้นรถบัสไปหมู่บ้านกังหัน แล้วในที่สุดพระอาทิตย์ก็เปิดทำการ วันนี้อากาศดีสุดๆ

จากสถานี Amsterdam Central ขึ้นไปด้านบนเพื่อนั่งรถบัสไปหมู่บ้าน Zaanse Schans ซึ่งเป็นหมู่บ้านกังหันลมโบราณ รถบัสจะมาทุกครึ่งชั่วโมง สามารถซื้อตั๋วบนรถบัสได้ค่ะ จริงๆ แล้ว การจะไปหมู่บ้านดังกล่าว สามารถนั่งรถไฟฟ้าไปก็ได้ค่ะ แต่เราอยากชมวิวระหว่างทางไปด้วย เลยเลือกเดินทางด้วยรถบัสและ tram เป็นหลักในระหว่างที่เราอยู่ที่นี่ 
ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง พระอาทิตย์ทำการ แต่อากาศหนาวก็ขยันไม่น้อยหน้า วันนี้ 6 องศาเท่านั้น ชิวๆ จากป้ายรถเมล์ เดินเข้ามาเรื่อยๆ ประมาณไม่เกิน 500 เมตรจะเจอทางเข้า ซึ่งที่นี่เข้ามาชมได้ฟรีค่ะ ส่วนด้านหน้าจะมีร้านขายของที่ระลึกด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ฉันจะไม่พลาดการซื้อผ้ากันเปื้อนและ magnet รวมถึงผ้ารองจานกินข้าวอีกครั้ง (โรคจิตสุดๆ)
วิวมันก็จะดีหน่อยๆ ฟ้าก็จะฟ้าหน่อยๆ 5555 เดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็ผ่านบ้านน่ารักๆ ตลอดทางเดินด้านหนึ่งจะเป็นคลอง ทำให้ลมค่อนข้างแรง ที่นี่น่ารักดีค่ะ เดินไปฟินไป แล้วสักพักหนึ่งหน้าก็จะชินและชาไปเอง
ที่นี่ไม่ใหญ่มาก เดินประมาณไม่เกินชั่วโมงก็ทั่วทุกบริเวณแล้วค่ะ
 เป็ดที่นี่น่ารักไม่เบา บางทีแอบโชว์เหนือด้วยการบินเหนือน้ำประดุจดั่งกับจอมยุทธที่ลอยตัวได้
พอเดินเข้ามาด้านในจะมีบ้านทรงเนเธอแลนด์ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแต่มันจะเป็นแบบในรูปอ่าค่ะ แทบจะเหมือนกันหมด
จากนั้นก็เดินมาด้านนอก ซึ่งจะมีร้านขายรองเท้าไม้ ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าอยากซื้อกลับมา แต่ๆๆๆ ราคาค่อนข้างแพง ซึ่งถ้าซื้อมาก็ใส่ไม่ได้จริงเพราะค่อนข้างแข็ง เลยซื้อคู่เล็กๆ มาติดที่ตู้เย็นแทนจะดีกว่า มาที่นี่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถ่ายรูปกับรองเท้าไม้ยักษ์ มันเหมือนเป็นกฎของหมู่บ้านค่ะ
ออกจากที่นั่นช่วงก่อนเที่ยงเพื่อกลับเข้ามาที่ตัวเมือง วันนี้เรามีนัดกับร้านอาหารเพื่อสุขภาพร้านหนึ่ง ซึ่งมีฝรั่งหลายคนมารีวิวว่าอร่อยมาก เป็นที่นิยมของฝรั่งที่นั่น ชื่อร้าน De Wasserette 
ฉันชอบร้านนี้นะ เป็นอาหารคลีนๆ หน่อย เพราะเราอยู่ที่นั่นกินแต่ขนมปัง ถ้ามีโอกาสได้กินร้านแบบนี้บ้างก็จะเลือกทันทีโดยไม่รีรอ แล้วมันก็อร่อยตามที่เขาว่าไว้จริงๆ

จากนั้นก็เดินชมเมืองอีกจนกว่าตะวันจะลาลับฟ้า เพราะมีเวลาวันนี้อีกวันเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้เราก็ต้องลาเมืองนี้แล้ว พูดจากใจจริงว่า เสียดาย น่าจะอยู่เมืองนี้อีกสักสองสามวัน แต่ไม่เป็นไร คิดเสียว่า อาจจะมีโอกาสได้เจอกันใหม่เมื่อเงื่อนเวลาเอื้ออำนวย

นอกจากคลองน้อยใหญ่และจักรยานแล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ เบียร์ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนัดหมายกับ Heineken Experience ซึ่งแน่นอนว่า คนเยอะมากๆ เช่นกัน
ที่นี่มีห้างใหญ่อยู่สองห้าง คือ Magna Amsterdam และ De Bijenkorf ซึ่งขายของแบรนด์เนมเกือบทุกแบรนด์ ยกเว้น Chanel ที่มี shop อยู่ข้างนอกใกล้ๆ กับ I amsterdam
เดินตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตะวันค่อยๆ ลับฟ้า แสงสว่างก็เริ่มเบาลงจนมืดสนิท เราเดินลัดเลาะเส้นทางข้ามคลองแล้วคลองเล่า ผ่านย่าน Damrak Damsquare ซึ่งเป็นย่านช็อปปิ้งที่มีของขายตลอดสองข้างทาง

อีกหนึ่งความจำเป็นที่จะขาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเหมือนมาไม่ถึง นั่นคือเราต้องไปเยี่ยมชมย่าน Red Light ซึ่งเป็นย่านขายบริการแบบถูกกฎหมาย ตรงนี้ไม่ให้ถ่ายรูปเวลาเราเดินไปหน้าตู้ของหญิงขายบริการเหล่านั้น ซึ่งแต่ละคนสวยและสภาพดีมากๆ หุ่นดี ผิวดี หน้าตาสวย มีหลายตู้และหลายคน ซึ่งพอเดินผ่านไปเรื่อยๆ เราจะเห็นบางห้องปิดม่าน และบางห้องเปิดม่านแล้วมีสาวสวยน้อยใหญ่มายืนรอแขกอยู่ ที่จริงแล้ว ห้องไหนปิดม่าน นั่นแสดงว่า น้องๆ เขากำลังทำงานอยู่นั่นเอง

การขายบริการที่นี่เป็นสิ่งถูกกฎหมายเช่นเดียวกับการสูบกัญชา ซึ่งฟินมาก เมืองนี้อาจมีดีตรงที่มีอิสระ เสรีภาพสูงมาก แต่คนกลับมีคุณภาพ ก็ไม่รู้ว่าเขาดูแลและบริหารจัดการกันอย่างไร

หมดไปอีกวัน แต่วันนี้เป็นวันที่คุ้มค่ามาก ดูจากนาฬิกา ก็พบว่า เราเดินกันไปเกือบ 15 กิโลเมตรเลยทีเดียว หึๆ ถึงว่า ปวดหลังชิบเป๋งเลย แล้วเราก็กลับโรงแรมเพื่อเก็บของและเตรียมตัว Check out จาก Amsterdam พรุ่งนี้เราต้องขึ้นรถไฟ Thelys เพื่อเดินทางไป Brussel Belgium เราจองรถไฟเที่ยว 7.19 น.ไว้นั่นแปลว่า เราต้องรีบมาที่สถานีรถไฟก่อนหกโมงครึ่งเพื่อป้องกันความผิดพลาดต่างๆ นาๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ถึงเวลาต้องจากกันแล้วสินะ ไม่เป็นไร ไว้เจอกันใหม่นะอัมสเตอร์ดัม.......

ตั๋วรถไฟ Thalys นั้นเราจองไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทย เพราะจะถูกกว่ามากหากจองล่วงหน้า เราต้องโหลด App ของรถไฟ เพื่อ download QR Code ที่ใช้ในการผ่านประตูทางเข้าก่อนขึ้นรถไฟ เราทำเวลาได้ดี เพราะเผื่อเวลาไว้มากด้วยความไม่คุ้นเคยกับที่นี่ เลยนั่งรถรถไฟ และกินอาหารเช้าซึ่งได้แก่กาแฟและครัวซอง แน่นอนว่าเราต้องอยู่กับอาหารเช้าแบบนี้ไปอีกหลายวัน

รถไฟออกตรงเวลามาก เรารีบขึ้นรถไฟเพราะกลัวไม่มีที่วางกระเป๋าเดินทางใบโต และเราก็แย่งชิงที่วางกระเป๋าจากเหล่าฝรั่งได้สำเร็จ 5555 เราไม่ได้แซงคิวให้เขาด่าคนไทยนะ เราต่อคิวเป็นคิวแรกต่างหาก ค่ารถไฟประมาณ 30 ยูโร ความมืดค่อยๆ สว่าง วิวข้างทางเริ่มปรากฎแก่สายตา แสงอาทิตย์เริ่มแยงตาจนทำให้เราตื่นจากหลับใหล หูยยยยยยยยย สวยอ่า ที่นี่ยังมีใบไม้สีเหลืองให้ได้มอง ประมาณไม่ถึง 3 ชั่วโมงก็ถึง Brussels (ต้องมี s ด้วยนะคะคุณ) ที่เมืองนี้เราเลือกที่พักที่อยู่ใกล้สถานี Bruxell Gare Midi ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ของรถไฟหลายสาย เช่นกัน โรงแรมของเราห่างจากสถานีนี้ 100 เมตรถ้วน ก็สบายๆ เรามาถึงประมาณ 9 โมงกว่าๆ โรงแรมให้เรา check in ได้ก่อนโดยไม่คิดเงินเพิ่ม คือดีมากถึงมากที่สุด พอเราเหวี่ยงกระเป๋าเข้าห้องพัก ก็รีบไปที่สถานีรถไฟฟ้า เพื่อนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปกลางเมือง วันนี้เราไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เพราะเมื่อคืนเรานอนเร็วและได้หลับมาสักงีบสองงีบบนรถไฟระหว่างเมือง

สถานีแรกที่เราจะไปเยือนนั้นคือ จตุรัสกร็องปลาส (Grand Place) ซึ่งว่ากันว่าเป็นจตุรัสที่สวยที่สุดในยุโรป และแล้วฝนก็ตกลงมา แต่เราไม่แคร์ค่ะ
ขนาดฝนตกก็ยังสวยขนาดนี้ อดคิดไม่ได้เลยว่า หากหิมะตกจะสวยขนาดไหน รอบๆ จตุรัสนี้ก็จะมีร้านขาย Waffle และ Chocolate homemade มากมาย ซึ่งบอกเลยว่าอร่อยทุกร้าน เดินมาเราจะเห็น Godiva ด้วย ซึ่งเป็นช็อกโกแลตที่มีขายที่เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว และเราก็รู้ว่ามันอร่อย ดังนั้น ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่ดี เราจะไม่กิน Godiva แน่นอน
เดินผ่านตรอกซอกซอยทะลุไปวนมา จนไปเจอร้านขาย Waffle ที่ถูกชะตา ต้องใช้คำว่าถูกชะตา เพราะว่ามีร้านขาย Waffle เยอะมากกกกกกก และแต่ละร้านก็เหมือนๆ กันหมด ส่วนใหญ่จะให้ซื้อแล้วถือไปกิน ชิ้นหนึ่งราคาจะอยู่ประมาณ 1-3 ยูโร แต่หากร้านที่มีที่นั่งก็จะราคาแพงขึ้นมา ประมาณชิ้นละ 4-8 ยูโร Waffle เป็นขนมของเมืองนี้ ไม่กินก็เหมือนมาไม่ถึง ก็เลยต้องชิมเสียหน่อย เพราะตั้งแต่เดินทางมาตอนเช้า ก็ล่วงเลยมาหลายชั่วโมงแล้ว มันก็จะหิวๆ หน่อยอ่าค่ะ
พักพอหายเมื่อยเท้าก็เดินต่อเพื่อไปหาเจ้าหนู Manneken Pis หรือหนูน้อยยืนฉี่ ซึ่งตัวเล็กมาก แต่คนก็มุงกันเยอะมากเช่นกัน เหมือนเป็น Signature ของที่นี่ ถ้ามาแล้วต้องมาถ่ายรูปกับเจ้าหนูเสียหน่อย
ปกติแล้วเจ้าหนูจะต้องไม่ใส่เสื้อผ้า แต่ในช่วงหลังๆ มา หลายๆ ประเทศมีการส่งชุดมาให้เจ้าหนูจำนวนมาก เจ้าหนูจึงเปลี่ยนชุดค่อนข้างบ่อยตามเทศกาลต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา 

Brussels ไม่เหมือน Amsterdam ที่แต่ละที่จะอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ละแห่งห่างกันพอสมควร ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไป หากอยากเดินชมเมืองก็สามารถทำได้แต่.....ก็จะเมื่อยพอสมควร แต่เราก็เลือกเดินผ่านซอยนั้น ออกซอยนี้ จนเย็น จึงนั่งรถไฟใต้ดินเพื่อกลับไปโรงแรมเพราะเมื่อยแล้วและคิดว่าจะหาอะไรกินแถวๆ โรงแรม แล้วรีบเข้านอน พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปเมือง Antwerp เมืองอีกเมืองใน Belgium ที่มีความน่าสนใจและว่ากันว่า มีสถานีรถไฟฟ้าที่สวยมากและเมืองนี้ยังเป็นเมืองในตำนานของยุโรปอีกด้วย

วันที่สองที่เบลเยี่ยมซึ่งเป็นวันที่ห้าของทริปนี้ เราเดินจากโรงแรมไปสถานีรถไฟเพื่อนั่งรถไฟไปเมือง Antwerp ตามที่เราศึกษาจากพันทิป กล่าวว่า เมืองนี้ดีงามมาก เราเลยต้องไปพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาของตัวเองสักครั้ง
ชั่วหนึ่งหลับก็ถึงเมือง Antwerp ในตำนาน เราลงสถานี Antwerp Centraal อืมมมมมม สถานีรถไฟที่นี่สวยจริงๆ อย่างที่เค้าว่ามั้ย มีความขลัง เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนังเรื่อ Harry Potter ยังไงอย่างงั้น
พอเดินออกมาด้านนอกก็ยิ่งขลังหนักกว่าข้างใน ที่นี่สตาบัคเยอะมากค่ะ เรียกได้ว่ามีอยู่ทุกที่ ทุกสถานีรถไฟเลยก็ว่าได้
จากสถานี ต้องเดินไปประมาณ 1.5 กิโลเมตรเพื่อไปย่านเมืองเก่า คนที่นี่ตื่นเช้า เรามาถึงที่นี่ประมาณ 8 โมงกว่าๆ คนก็ตื่นจากหลับใหล เดินกันให้ขวักไขว่คึกคักดีค่ะ ค่อยๆ เดินมาประมาณ 20 นาทีก็ถึงทางเข้าย่าน shopping ซึ่งมีแบรนด์เนมต่างๆ นาๆ มากมาย แต่เป้าหมายของเราไม่ใช่ที่นี่ เราต้องเดินผ่านย่านนี้ไปทะลุอีกด้านเพื่อไปยัง จตุรัสของเมือง Antwerp เดินมาจนเจอ อนุสาวรีย์รูเบนส์

เราเดินลัดเลาะผ่านถนนแมร์ ไปเรื่อยๆ ซึ่งร้านค้ายังไม่เปิด เพราะยังเช้ามากสำหรับที่นี่ เดินมาถึงร้านขายกาแฟและเบเกอรี่ร้านหนึ่งอยู่ตรงมือยักษ์ที่ทำตกไว้ชื่อร้าน Panos และในที่สุดเราก็ได้รู้ว่า ร้านแซนวิชที่อร่อยที่สุดในเบลเยี่ยมคือร้านไหน อยากจะเอากลับกรุงเทพฯ ด้วยเสียจริง
และแล้วเราก็มาถึง ตรงนี้เรียกว่า Grote Markt เป็นจตุรัสที่มีความงามไม่แพ้ที่ใดๆ ในยุโรป ที่นี่คล้ายจตุรัสกร็งปลาส แต่ในความเห็นส่วนตัวนั้น ฉันคิดว่ามันสวยและขลังกว่ามาก ตัวอาคารจะรายล้อมด้วยกลุ่มอาคารอย่างศาลาว่าการเมือง สมาคมการค้าอาชีพต่างๆ 
กลางจตุรัสนั้นจะมีน้ำพุใหญ่ ประดับด้วยรูปหล่อ บราโบกำลังขว้างมือยักษ์ ซึ่งก็คือมือมะกี้นี้ที่เราเห็นตกอยู่ที่ถนนแมร์
ในส่วนของหอคอยด้านหลังนั้นเป็นหอระฆังของมหาวิหารแม่พระ หรือ Our Lady's Cathedral วิหารแบบโกธิคที่ใหญ่ที่สุดในเบลเยี่ยม พอเดินเลาะไปเรื่อยทะลุซอยไปจะเจอวิหารดังกล่าวอยู่ตรงกลางระหว่างร้านอาหารและร้านค้าในย่านนั้น ด้านหน้าวิหารจะมีรูปปั้นหมาสีขาว ซึ่งเป็นอีกที่หนึ่งที่คนมักจะมาถ่ายรูปบริเวณนี้
เมืองนี้ใช้เวลาในการเที่ยวชมสักครึ่งวันก็เพียงพอ หากไม่ได้ต้องการไปบริเวณรอบนอกของเมือง หลังจากเราชมสถาปัตยกรรมเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาร้านรวงต่างๆ เปิดพอดี ก็ช็อปยาวๆ ไป แต่วันนี้เรายังต้องไปเก็บตกในเมืองบรัสเซลส์อีก เพราะมีนัดกับจตุรัสกร็องปลาสตอนกลางคืนไว้ นางประดับประดาไฟต้อนรับช่วงเทศกาล เลยต้องไปดูนางซะหน่อย ประมาณบ่ายสอง เราก็ออกจากตรงนี้และเดินกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีเดิมเพื่อกลับไปยังบรัสเซลส์ และระหว่างทางก็ไม่ลืมที่จะซื้อแซนวิชที่อร่อยที่สุดในเบลเยี่ยมกลับไปกินบนรถไฟด้วย วิวระหว่างทางนั้นช่างทำให้แซนวิชยิ่งอร่อยขึ้นเป็นกอง
PS. สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบ Chanel นั้น shop ที่ Antwerps หรือเป็นสวรรค์ของ Chanel lover เพราะมีกระเป๋าหลายรุ่น หลายสีให้เลือกเยอะมาก และที่สำคัญ คนไม่ค่อยเยอะด้วยค่ะ พนักงานจะดูแลคุณดีมากๆ ราวกับเซเลบ เรียกได้ว่า ชีวิตดีระดับสามหมื่นแปดพันล้านอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว

กลับมาถึงบรัสเซลส์ช่วงบ่ายสาม ฟ้ายังสว่างเกินกว่าจะไปนั่งรอเวลาที่กร็องปลาสเพื่อดูไฟ เราใช้เวลาสว่างที่เหลืออยู่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงสถานี Heysel เพื่อไปดูอีกหนึ่ง Signature ของ Brussel นั่นคือ Atomium นั่นเอง แต่ระหว่างทางจากสถานีไป Atomium นั้น เหลือบไปเห็นป่าซึ่งกำลังเหลืองได้ที่ สวยมาก ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี แว๊บหนึ่งคิดว่าอยู่เกาะเชจูที่เกาหลี
อะไรเอ่ย มาก็เสียดาย ไม่มาก็เสียดาย เดินเล่นได้สักพัก ก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปที่จตุรัสกร็องปลาส แล้ววันนี้เราจะ Dinner ที่นี่ด้วยค่ะ พอไปถึง ก็เดินเล่นรอบๆ จตุรัสก่อน และหาซื้อของฝากอย่างช็อกโกแลตต่างๆ นาๆ ซึ่งแต่ละร้านเราสามารถชิมได้ตามอำเภอใจ จะว่าไปก็เกือบไม่ต้อง Dinner เสียแล้ววันนี้
สมกับเป็นเมืองแห่งช็อกโกแลต

ตะวันลับฟ้าที่ตอนเย็นๆ จะเป็นเวลาที่ใจหาย อ่ะ ไม่ใช่ ฟ้ามืดแล้ว แน่นอนว่า แสงไฟจากหลอดไฟจะเริ่มส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง อากาศก็เย็นลงมากจนอยากกินเบียร์เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เพราะกลัวมากว่าจะไม่สบายระหว่างเดินทาง และแล้วกร็องปลาสก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง
ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ อาจเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงใกล้เทศกาลและอากาศเริ่มหนาว มันเป็นช่วงเวลาดีๆ สำหรับการออกมา Dinner นอกบ้านและเดินชมวิวท่ามกลางอากาศที่สุดแสนจะเป็นใจ

ยามตะวันลับฟ้าอากาศก็หนาวสะท้านทะลุเสื้อตัวหนา เห็นท่าไม่ดีจึงหาร้านเพื่อกินข้าวเย็นและนั่งดื่มเบียร์ชิวๆ ให้ร่างกายได้อบอุ่นเสียหน่อยก่อนจะกลับไปนอนคืนนี้ เรามากินร้าน Leon ที่เมืองต้นกำเนิด ครั้งก่อนไปกินที่ปารีส อยากรู้ว่าที่ไหนอร่อยกว่ากัน
มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสั่งหอยแมลงภู่อบไวน์ขาว และกินเบียร์ของที่ร้านซึ่งนุ่มลิ้น ชื่นใจ และลื่นคอมาก แล้วร่างกายก็กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง ชอบความเบียร์ของบรัสเซลส์ #นี่พูดจากใจจริง

ค่ำคืนนี้คงหลับสบายน่าดู เรากลับไปโรงแรมเพื่อเข้านอน พักกล้ามเนื้อขา สายตาและหัวใจ พรุ่งนี้ยังมีอะไรรออยู่อีกเยอะเลย

วันที่หกของทริปนี้ ครึ่งทางแล้วสินะ ความแปลกใหม่ของสถานที่ ประกอบกับความชื่นชอบ หลงใหลในแต่ละที่ที่เราเดินผ่าน ทำให้อดใจหายไม่ได้ว่าอีกไม่กี่วัน ก็ต้องกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองแล้ว วันนี้เรามีนัดกับ Ghent และ Bruges

จาก Brussels มาถึง Ghent เราเดินทางโดยรถไฟ ลงสถานี Gent Sint-Pieters แล้วเดินไปซื้อตั๋วรถ tram นั่งต่อมาลงสถานี Koernmarkt ย่านนี้ก็จะมีโบสถ์เยอะหน่อย
รูปด้านบนคือหอระฆังเบลฟอร์ต ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองเกนต์ ตั้งอยู่บนจตุรัส Emile Braunplein
 เดินมาอีกหน่อยจะเจอกับโบสถ์ Sint Baafskathedraal หรือเรียกว่าโบสถ์เซนต์บาโว
แต่พอเดินย้อนกลับมาอีกทาง จะเจอโบสถ์เซนต์นิโคลัส มันก็จะงงๆ หน่อย 5555 สถานที่ต่างๆ จะอยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก สามารถเดินเที่ยวได้สบายๆ เลยค่ะ วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปล่ง อากาศเมตตาเรามาก วันนี้ถึงขั้นต้องใส่แว่นตาดำกันทั้งวันเลยเดียว
บริเวณนี้จะมีสิ่งก่อสร้างที่ดูเป็เอกลักษณ์เฉพาะเมืองนี้ ใครจะว่ายังไงไม่รู้แต่สำหรับฉัน เมืองนี้มีความน่ารักในแบบหนึ่ง ทั้งอาคารบ้านเรือนและผู้คน ซึ่งหน้าตาดีผิดมนุษย์เบลเยี่ยมทั่วไป แวะกินกาแฟก็นั่งดูคนเพลินๆ ไป ทั้งผู้ชายผู้หญิง อือ เขาหน้าตาดีกันเน๊อะ มองแล้วก็เคลิ้ม
เมืองเกนต์นั้นล้อมรอบด้วยแม่น้ำเชลด์ตเหมือนๆ กับ Antwerp ดังนั้นกิจกรรมที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือการล่องเรือชมเมือง แต่เราจะไม่นั่งเรือที่นี่ เราจะไปนั่งที่ Bruges กันค่ะ

เราเดินเลาะแม่น้ำไปเรื่อยๆ บ้านเรือน ร้านค้าต่างๆ น่ารักน่าชัง มุมหนึ่งก็คล้ายๆ อัมสเตอร์ดัม แต่โดยภาพรวมแล้ว ไม่มีที่ไหนเหมือนที่ไหนเลยสักที่ ทุกๆ ที่ก็มีความงามในแง่มุมของตัวเอง
สองฝั่งคลองมีอาคารของอดีตสมาคมการค้าต่างๆ ซึ่งปัจจุบันเป็นกลับกลายเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารและร้านกาแฟเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่งนิ่งๆ มองแม่น้ำและผู้คนที่เดินผ่านไปมาแล้วรู้สึกสงบมากๆ ตั้งแต่เดินทางวันแรกจนถึงวันนี้ ยังไม่เจอคนไทยสักคนเลยค่ะ อาจเป็นได้ว่า ทั้งเนเธอแลนด์และเบลเยี่ยมนั้นไม่ใช่เป้าหมายหลักในการเดินทางท่องเที่ยว และคนไทยที่มาเที่ยวที่สองประเทศนี้ยังมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับฝรั่งเศสหรืออังกฤษ
ฉันชอบมุมนี้มาก ฉันยกให้มันเป็น Highlight ของเมืองนี้ จากภาพจะเห็นว่า แทบจะไม่มีคนเดินผ่านมาทางนี้ แต่ฉันโชคดีที่ได้เดินผ่านมาและไม่พลาดที่จะเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก มันดี ไม่รู้จะอธิบายยังไง
เดินรอบๆ เมืองมาสามชั่วโมงได้ ก็คิดว่าได้เวลาอันสมควรแล้วที่เราจะต้องเดินทางต่อ เพราะเรายังต้องไปเมือง Bruges อีกในวันนี้ จึงกลับไปที่สถานีรถไฟและนั่งรถไฟจาก Ghent ไป Bruges ซึ่งทั้งสองเมืองอยู่ไม่ห่างกันมากนัก จากสถานีที่เราลงเมื่อตอนเช้า นั่งรถไฟไปลงสถานี Bruges Centraal ใช้เวลาเดินทางประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงค่ะ

Bruges สามารถเดินจากสถานีรถไฟไปเรื่อยๆ ได้ ร้านรวงต่างๆ เปิดกันคึกคักและคนหนาตามากบนถนนช็อปปิ้งแห่งนี้ เนื่องจากเป็น Black Friday ซึ่งเป็นเทศกาลสินค้าลดราคาของยุโรปที่จะจัดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่สี่ของเดือนพฤศจิกายน จากตรงนี้เป้าหมายหลักของเราคือท่าเรือ ซึ่งเราจะนั่งเรือชมเมืองกันที่นี่ ซึ่งก็เดินไปไกลพอสมควร เมืองนี้มีท่าเรือหลายจุด google map จะช่วยชีวิตเราในยามที่เราต้องการค่ะ
เดินตามถนน Oosmeers มาสักพักจะถึงถนน Steenstraat ซึ่งเป็นถนนคนเดินและเป็นถนนสายช็อปปิ้งของเมืองนี้ เดินประมาณยี่สิบนาทีก็จะเจอจตุรัส The Markt รอบๆ จะมีอาคารสีสันสวยงาม และเหมือนเป็นจุดศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวและชาวเมืองที่ต่างมาเดินเล่นกันบริเวณนี้
แถวนี้มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกมากมาย สามารถเลือกชม เลือกซื้อได้ตามพอใจ แต่ทางที่ดี เราควรเดินมาตอนขากลับจะดีกว่าเพราะจะได้ไม่ต้องแบกของพะรุงพะรังตลอดเวลาที่เราเดินอยู่ที่นี่ เราจึงเดินผ่านซอยแล้วซอยเล่ามาจนในที่สุด ก็เจอท่าเรือเสียที ค่าลงเรือ 10 ยูโรต่อคน การนั่งเรือชมบรรยากาศริมแม่น้ำรอบๆ เมือง Bruges นั้นใช้เวลาประมาณ 45 นาที
หลังจากลงเรือแล้ว คนขับเรือก็จะพาล่องเรือและบรรยายภาษาอะไรก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เราก็ฟังเพลินๆ ไป ไม่ต้องใส่ใจ ชมนก ชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย ทอดกายทอดใจพักผ่อนให้เต็มที่
ข้อดีของการนั่งเรือคือจะเราชมเมืองได้ค่อนข้างทั่วถึง เรือแล่นมาได้สักพักจนมาเจอฝูงห่านและฝูงเป็ด คือน่ารักมากจนต้องเก็บภาพไว้ พลันคิดในใจว่า หากไม่ได้ล่องเรือ ตัวเราเองก็อาจไม่ได้เดินมาไกลจนเจอน้องๆ เหล่านี้ได้ คิดถูกแล้ว คิดถูกแล้ว
ประมาณ 45 นาที เรือก็กลับมาส่งเราตรงจุดที่เราลงไปตอนแรก ก็เดินเที่ยวต่อไปเรื่อยๆ อากาศวันนี้ดีมากจริงๆ แสงแดดที่ส่องมาทำให้เราไม่หนาวจนเกินไป เดินได้สบายๆ อากาศเย็นๆ ก็ทำให้เราไม่เหนื่อยอ่อนมากนัก เมื่อเทียบกับการเดินมาแล้วทั้งวัน
 เดินมาเรื่อยๆ ก็จะมาถึงจตุรัส The Markt อีกครั้ง สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือ ดื่มช็อคโกแลตร้อนพร้อมกับวาฟเฟิลช็อคโกแลต แล้วทอดสายตาชมสิ่งก่อสร้างที่สวยงามและลงตัวของเมืองนี้ให้เต็มอิ่มก่อนจะเดินกลับไปเพื่อนั่งรถไฟกลับไป Brussels นั่งอยู่จนเย็น แสงแดดเริ่มจางลงเรื่อยๆ ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเดินกลับไปที่สถานีรถไฟอีกครั้ง เมืองนี้น่ารักดี ขอบคุณตัวเองและคนข้างๆ ที่ทำให้ได้มาเยือนเมืองนี้
อาจพูดได้เต็มปากว่าทริปนี้เป็นทริปมหัศจรรย์ ฉันได้เจออะไรต่างๆ มากมายจากการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่า มันไม่ได้ราบรื่น บางวันฝนก็ตก บางวันก็หนาวมากราวกับเสื้อที่เตรียมไปจะไม่สามารถจะปกป้องเราได้ แต่ฉันเชื่อว่าความมหัศจรรย์จะไม่หยุดอยู่แค่นี้

จาก Bruges ถึง Brussels ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงสถานี Bruxell Gare Midi เราไม่ได้เข้าเมืองแล้ว จึงกินข้าวและซื้อของแถวๆ สถานีรถไฟ ซึ่งมีความหลากหลายมากพอโดยไม่ต้องดิ้นรนไปที่ไหน จากนั้นก็เข้าโรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋า เข้านอนพักแข้งพักขาและออกเดินทางอีกครั้งในวันพรุ่งนี้

วันที่เจ็ดแล้วสินะ สินะ วันนี้เราเดินทางแต่เช้า นั่งรถไฟจาก Brussels ไป Strasbourg เมืองน่ารักๆ แห่งแคว้น Alcase ของประเทศฝรั่งเศส สำหรับการเดินทางข้ามเมืองและข้ามประเทศครั้งนี้ เราจองตั๋วมาจากเมืองไทยผ่านเว็บไซต์ เราเดินทางโดยรถไฟ TGV การเดินทางค่อนข้างนานนั่นคือประมาณ 3 ชั่วโมงได้ เราออกเดินทางตอนเช้า ไปถึงเมือง Strasbourg ประมาณ 11 โมง และแน่นอนว่า เราเลือกที่พักใกล้สถานีรถไฟเช่นเดิมนั่นคือเดินประมาณ 150 เมตร และเราก็ early check in ได้เลยอีกเช่นเดิม โรงแรมที่นี่วิวดีเชอะ พอเก็บของเรียบร้อยก็ออกมาชมเมือง เพื่อไปดูโบสถ์อันสวยงามตระกาลตาของเมืองนี้

เมืองนี้น่ารักมากจนไม่รู้จะพูดยังไง พี่ที่รู้จักกันและชอบเที่ยวเหมือนกันบอกฉันหลายครั้งว่าฝรั่งเศสคือดี ไปกี่ทีกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อ ด้วยความที่ไม่เคยเที่ยวนอกเมืองของฝรั่งเศสเลย เพิ่งจะมีก็ตอนไปแคว้น Normandy ที่ไปเที่ยว Mont Saint Michel ก็ยังไม่รู้สึกอะไรมากขนาดนี้ ครั้งนี้ตะลึงหนักมาก อยากหยุดเวลาไว้
เมืองนี้ถูกโอบกอดด้วยแม่น้ำ และผังเมืองที่ลงตัว สถาปัตยกรรมสวยงามสุดๆ มันมีกลิ่นอายของเยอรมันผสมกับฝรั่งเศส ทำให้ลงตัวอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งก่อสร้าง อาคารบ้านเรือที่นี่มีลวดลายและสีสันสะดุดตา รูปทรงของอาคารจริงๆ แล้วคล้ายๆ กับยุโรปทั่วไป แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ลงตัวมั้ง ถึงทำให้ดูสวยไม่เหมือนที่ไหนๆ ฉันเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ก็คิดในใจ เมืองนี้ดีมากเลยนะ ถ้ามีคนถ่ายรูปให้ แต่ถ้ามาคนเดียวก็ดีเช่นกัน เมืองที่เหมือนเวลาหยุดไหล เหมือนสมองไม่ต้องคิดอะไรเลย แค่เดินไปแล้วเสพภาวะรอบตัว เก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมันจะเป็นภาพชั้นดีให้เราได้คิดถึงในยามที่เราเบื่อจากงาน ขี้เกียจประชุม ที่นี่ทำให้เราได้รู้ว่า เราทำงานหาเงินเพื่ออะไรกัน
ในที่สุดเราก็มาถึงโบสถ์ที่อยู่กลางเมือง แค่สีสันก็ขลังจนปากสั่น แต่น่าเสียดายที่โบสถ์แห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยตึกน้อยใหญ่ ที่ปัจจุบันกลายเป็นร้านค้า ร้านอาหารจนไม่สามารถมองเห็นแบบเต็มๆ ได้จากระยะไกล แต่เพชรก็คือเพชร ยังไงก็สวยอยู่ดีค่ะ
วันนี้คนค่อนข้างเยอะเพราะอากาศดีมาก เราเลยตัดสินใจว่าจะเข้าไปชมโบสถ์และหอระฆังวันสุดท้ายก่อนออกจากที่นี่ดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจเสียเวลาอีก 2-3 ชั่วโมงในการต่อคิวและเข้าชม โบสถ์จะเปิดให้เข้าชมฟรีตอน 11 โมง ส่วนหอระฆังจะต้องเสียค่าเข้าคนละ 10 ยูโรและต้องเดินขึ้นบันไดวนไปวนไปและวนไปค่ะ

ออกจากบริเวณโบสถ์แล้วก็เดินออกมาด้านนอกเลาะตามแม่น้ำไปเรื่อยๆ จุดหมายต่อไปของเราคือ Petite France, Strasbourg เป็นจุดท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งที่พลาดไม่ได้หากได้มีโอกาสมาเยือน เดินวนไปวนมา หลงไปหลงมา จนรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังเดินจากวิภาวดีไปศรีนครินทร์ แต่วิวรอบๆ ตัวเราทั้งแม่น้ำและอาคารบ้านเรือน ร้านรวงต่างๆ ทำให้เพลินจนลืมไปเลยว่าเดินมาไกลเท่าไรแล้ว
เมืองนี้ถูกล้อมรอบด้วยแม่น้ำ ทำให้ลมพัดตลอดเวลาที่เดินไปไหนต่อไหน แต่แสงอาทิตย์ก็ยังส่องสว่างเพื่อช่วยให้เราไม่หนาวจนเกินไปนัก ในระหว่างที่เรากำลังเดินไปที่ Petite France นั้น จะมีบางจุด บางมุมที่เราอยากนั่งชมวิว โดยไม่ต้องสนใจเวลา เรียกได้ว่า เดินรอบเมืองนี้มาครึ่งวันแล้วก็ยังไม่เห็นมุมที่ไม่สวยงามแม้แต่มุมเดียว หรือมันเป็นการจัดฉากสำหรับนักท่องเที่ยว แต่เราก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งหากการจัดฉากนี้ทำให้เราได้รู้สึกอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติแล้วใช้ชีวิตให้สมกับ Slow life ที่แท้จริง
ใกล้แล้วๆ อีกประมาณไม่ถึง 1 กิโลเมตร ก็จะถึงจุดหมายที่สองแล้ว แปลกมากที่เราไม่ค่อยสนใจจุดหมายปลายทางเท่าไหร่นัก เพราะระหว่างที่เดินไป ก็มีอะไรน่าสนใจอยู่ไม่น้อย ทั้งบ้านเรือนของคนหรือแม้แต่คนตัวเป็นๆ ที่เดินผ่านไปมา แต่ละคนจูงลูกจูงหลานออกมานั่งสนทนากันท่ามกลางแสงแดดและท้องฟ้าที่สดใส ดูแล้วก็คิดถึงคุณยายไพแห่งเพชรบุรีขึ้นมา
ในที่สุดเราก็มาถึงทางเข้าของ Petite France เอ๊ะหรือว่ามันคือทางออก ก็ไม่รู้สินะ เอาเป็นว่าเรามาถึงแล้ว ย่านเมืองเก่า (La Petite France) เป็นศูนย์กลางเมือง มีลักษณะเป็นพื้นที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำทั้งสี่ด้านและมีเส้นทางคูคลองเชื่อมต่อกันไปมากมาย บริเวณใกล้เคียงเป็นเกาะที่มีสะพานหลายแห่งเป็นตัวเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ส่วนอื่นๆของเมือง ภายในย่านนี้มีลักษณะเป็นตรอกซอกซอย พื้นถนนปูลาดด้วยหินกรวด เรียงรายด้วยบ้านไม้โบราณสไตล์อัลซาสที่สวยงามซึ่งทอดตัวเป็นภาพเงาสะท้อนในคลองตลอดถนน rue des Moulins
ย่านนี้มีความน่ารักค่ะ มันก็จะอาร์ทๆ หน่อย แล้วเราก็ถ่ายรูปกันรัวๆ La Petite France ที่ Strasbourg เป็นบ้านปูนเอาไม้ทำเป็นกรอบเหมือนเราทำกรอบรูป บ้านแบบนี้เค้าเรียกว่า Half timbered houses แปลไทยก็ประมาณว่าบ้านสไตล์ครึ่งกรอบไม้ บ้านบางหลังมีอายุ สี่ห้าร้อยปี การสร้างเค้าก็เอาไม้มาตีกรอบก่อนแล้วก็โบกปูนไปตามช่อง อย่างที่เห็นในหลายๆ รูป

เดินออกมาจากย่านนั้นเพื่อชมเมืองอีกด้านหนึ่งของโบสถ์ ซึ่งไม่ใช่ด้านที่เราเดินมาในตอนแรก รอบๆ จะมีร้านค้าซึ่งประดับตกแต่งเพื่อต้อนรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เราเห็นเลยว่า คนทางฝั่งตะวันตกให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้มาก อาจเนื่องมาจากความเกี่ยวข้องทางศาสนา แต่ละร้านค้าและร้านอาหารก็จะประดับตกแต่งกันหรูหรา ฟู่ฟ่า เรียกได้ว่าไม่มีใครน้อยหน้าใคร
มีร้านขายดอกไม้ด้วย ดอกทิวลิปสวยมาก แต่ราคาก็ไม่เบาเช่นกันค่ะ แม้แต่ที่เนเธอแลนด์เองที่เราไปเที่ยวมาก่อนหน้านี้ เราพบว่า ดอกไม้ที่นี่ไม่ได้มีราคาถูกไปกว่าดอกไม้บ้านเรา
วันนี้เราไม่ค่อยหิวกันเท่าไหร่ เพราะระหว่างทางก็ซื้อนู่นซื้อนี่กินกันตลอดเวลา อาหารหลักของเราที่นี่คือกาแฟค่ะ ฟังไม่ผิดค่ะ เวลาอากาศหนาวๆ แล้วไม่รู้ว่าจะกินอะไร ทางเลือกส่วนใหญ่ของเราคือร้านขนมปัง เบเกอรี่ต่างๆ ซึ่งในแต่ละร้านก็จะมีกาแฟร้อนขาย ซึ่งเหมาะกับอากาศมากๆ บางวันเรากินกาแฟกันวันละ 3-4 แก้ว คือตื่นไปถึงภพหน้าเลยแหละค่ะ

ประมาณเกือบๆ หกโมงเย็น พระอาทิตย์เริ่มลาจากโลกนี้ไปอีกครั้ง ตรงกันข้าม แสงไฟต่างๆ ที่ประดับประดาบริเวณบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ ก็เริ่มเปิดขึ้นทดแทนแสงแดดที่ลาจากไป ความงามอีกแบบหนึ่งจึงเกิดขึ้น เราเดินกลับไปบริเวณ Petite France อีกครั้งเพื่อชมทัศนียภาพในอีกช่วงเวลาหนึ่ง แล้วมันก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ติดแต่ว่าแสงไฟน้อยไปหน่อย นอกนั้นเพอร์เฟคค่ะ

จากนั้นเราค่อยๆ เดินกลับไปโรงแรมเพื่อพักผ่อนร่างกาย ในยามนี้ร้านค้าก็เริ่มปิดกันแล้ว เหลือเพียง Supermarket ร้านอาหารบางส่วนเท่านั้น รีบพักดีกว่าค่ะ พรุ่งนี้มีอะไรดีๆ รอเราอยู่

วันที่แปดแล้ว นับไปก็ใจหาย วันนี้เรามีนัดกับเมือง Colmar ว่ากันว่าเมืองนี้ช่างน่ารัก จับใจนักเดินทาง หากใครได้ไปเยือนแคว้น Alsace แล้วหล่ะก็ ไม่ควรอย่างยิ่งหากจะไม่ไปเหยียบเยือนเมืองแห่งนี้ เราเริ่มต้นที่สถานีรถไฟหลักของเมือง Strasbourg ซื้อตั๋วรถไฟไปเมือง Colmar ระหว่างรอรถไฟนั้นอาหารของเราที่นี่ก็คือ พี่พอลค่ะ Paul Bakery อาหารเช้าที่นี่มันก็จะน่ารักหน่อยๆ อ่าค่ะ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็จะถึงเมือง Colmar แล้วค่ะ จากสถานีรถไฟหลัก สามารถเดินเข้าไปยังกลางตัวเมือง แล้วเดินเที่ยวได้เรื่อยๆ เลย ความน่ารักของเมืองนี้คงหนีไม่พ้นสีสันของบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่เหมือนถูกเนรมิตมาอย่างลงตัว แปลกตรงที่ต่อให้สีสันตัดกันเพียงใด ดูเหมือนไม่น่าจะเข้ากันได้ แต่สุดท้ายกลับเข้ากันได้ดีที่สุด มองไปทีไรก็เพลิน
วิวระหว่างทางและสิ่งปลูกสร้างที่เราเดินผ่านผนวกกับแสงแดดที่กำลังพอเหมาะพอเจาะ ทำให้ความสวยงามของเมืองนี้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว วันนี้ดูเหมือนฟ้าฝนจะเป็นใจให้เราเดินเล่นได้อย่างสบายกายสบายใจสุดๆ เหมือนสมองได้พักระดับสิบ เริ่ดที่สุด เอาวิวเมืองสุดแสนจะน่ารักแห่งนี้มาฝากค่ะ #ขอให้มองข้ามคนในรูปไปและอย่าอารมณ์เสียใส่นะคะ
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะมาถึงจุดถ่ายรูปที่ฮอตฮิตที่สุดของเมืองนี้ นั่นก็คือย่านบ้านลูกกวาด อันนี้ฉันเรียกเอง เพราะบ้านบริเวณนี้ มีสีสันที่สดใสมากที่สุดและก็สวยเป็นเอกลักษณ์ จากที่เคยดูในรูปก็ว่าสวยแล้ว แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า สวยงามกว่าในหน้าหนังสือไม่รู้กี่ร้อยเท่าพันเท่า
แวะถ่ายรูปกันเล็กน้อยประมาณร้อยกว่ารูป
เดินมาเรื่อยๆ จะเห็นบ้านสามมิติที่คนนิยมมาถ่ายรูปกันค่ะ
เมื่อยนักก็พักหน่อยเน๊อะ การนั่งชิวๆ ทำให้เราได้คิดถึงเรื่องราวของตัวเอง ยิ่งใกล้จะปีใหม่แล้ว การนั่งคุยกับตัวเองระหว่างการเดินทาง เป็นสิ่งวิเศษ อย่างน้อยมันทำให้เราได้รู้ถึงความต้องการและเป้าหมายในชีวิต และแน่นอนว่าในเวลานั้น เราจะคิดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการเป็นหลัก และเป็นความต้องการจริงๆ ของเรา โดยไม่มีเรื่องราวของคนอื่นมาเจือปน
หายเหนื่อยแล้วก็ยังเดินวนไป ไม่ว่าจะถ่ายรูปตรงไหนก็สวยไปหมด เมืองนี้เป็นเมืองที่สามารถถ่ายรูปให้สวยได้ถึงแม้ว่าจะเป็นตากล้องมือสมัครเล่นก็ตาม รักที่นี่จังค่ะ
ที่นี่เป็นเมืองที่ถูกโอบอ้อมด้วยคลองเช่นเดียวกับหลายๆ เมืองที่เราได้เดินทางผ่านมา ดังนั้นจึงมีสะพานเชื่อมระหว่างสองฝั่งคลองซึ่งมีบ้านเรือนสีสันแปลกตาตลอดทางเดินที่เราเดินผ่าน และแน่นอนว่าแต่ละที่มีความดึงดูดที่ไม่แพ้กัน อาจเป็นได้ว่า บ้านแต่หลัง ก็มีความงามเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องแข่งกันหรือทาสีให้โดดเด่นเพียงเพื่อต้องการดึงดูดสายตาคนมากกว่าบ้านหลังอื่นๆ สุดท้ายความพอดีของแต่ละหลังทำให้ภาพรวมของเมืองนี้สวยงามอย่างที่เราเห็น
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความพอดีของเราจะทำให้เราดูสวยงามในแบบที่เราควรจะเป็น
ใกล้ช่วงเทศกาลแบบนี้ โรงแรม ร้านค้าต่างๆ ของเมืองนี้จะประดับตกแต่งต้นคริสต์มาส ตุ๊กตา บลาๆๆกันยกใหญ่ สวยงามแปลกตาไปอีกแบบค่ะ
เราเดินกลับมาอีกทางของถนน ตอนนี้ก็บ่ายโมงแล้ว เราใช้เวลาเสพอยู่กับสีสันของเมืองนี้ประมาณเกือบๆ สี่ชั่วโมง เวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ก่อนกลับจึงแวะกินอาหารญี่ปุ่นที่เมืองนี้ก่อนขึ้นรถไฟกลับไปที่ Strasbourg อีกครั้ง ร้านอาหารญี่ปุ่นที่นี่ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยคนจีน รสชาติพอใช้ได้ ค่าเสียหายจะอยู่ประมาณ 30-40 ยูโรต่อคนต่อมื้อค่ะ

ประมาณบ่ายสองก็ขึ้นรถไฟกลับ มาถึง Strasbourg ประมาณสามโมง และพระอาทิตย์ก็ยังล้อเล่นกับเราอยู่ไม่หายไปไหน จึงถือโอกาสเดินเล่นรอบเมืองอีกครั้ง ตามตรอกซอกซอยที่ยังไม่ได้เดินผ่านเมื่อวานนี้พร้อมกับซื้อผ้ากันเปื้อนและ Magnet อีกครั้ง

วันนี้คนเยอะกว่าเมื่อวานเสียอีก อาจเป็นเพราะอากาศค่อนข้างดี คุณป้าที่ขายของบอกว่า ก่อนหน้านี้ประมาณสามสี่วัน ฝนตกตลอดทั้งวัน ถ้าอย่างนั้น เราก็เป็นโชคดีสินะ ตกเย็นก็ได้เวลากลับไปพักร่างที่อ่อนล้าจากการเดินมาทั้งวัน และเราไม่ลืมที่จะซื้อขนมปังประจำเมืองขึ้นไปกินคู่กับเบียร์ประจำเมืองที่โรงแรมแน่นอนค่ะ
ฉันไม่รู้จักชื่อขนมนี้แต่เป็นขนมในตำนานของเมืองนี้ หากได้มีโอกาสมาแคว้น Alsace ก็ต้องมาชิมนะคะ โดยปกติจะกินคู่กับไวน์ขาว แต่ฉันไม่ชอบกินไวน์จึงจิบคู่กับเบียร์แทน อืมมมมม อร่อยแปลกๆ ดีค่ะ อิ่มสบายท้องละ ได้เวลาพักผ่อนเสียที

วันที่เก้า วันนี้เราอยู่ที่เมืองนี้วันสุดท้าย เพราะตอนเที่ยงจะต้องขึ้นรถไฟเพื่อไป Paris ต่อแล้ว จึงตื่นแต่เช้าเพื่อไปซื้อของฝากต่างๆ นาๆ และต้องเผื่อเวลาสำหรับการเข้าชมโบสถ์และหอระฆังด้วยค่ะ วันนี้ฝนตกปรอยๆ ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้อยู่ที่นี่ทุกวันเสียหน่อย จึงยอมเดินตากฝนไปชมเมืองที่สวยงามแห่งนี้ให้ได้มากที่สุด สุดท้ายเดินไม่ไหวค่ะ ต้องซื้อตั๋วรถ tram แล้วนั่งรถไปแทน แต่แล้วเมื่อผ่านสะพานแห่งหนึ่งก็ถึงกับชะงัก ปากสั่น แทบสิ้นสติ รีบวิ่งไปกดกริ่งเพื่อขอลงแทบไม่ทัน
 คือสวยมาก ขนาดฝนตกยังสวยขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าฟ้าสดใส จะงามขนาดไหน
ส่วนอีกฝั่งของสะพานก็งานดีไม่แพ้กัน วิ่งข้ามถนนไปมาประมาณสิบรอบ เพราะไม่รู้จะถ่ายรูปตรงไหนก่อน คือสวยไปหมดทุกมุม
เดินมาอีกสักสองป้ายรถเมล์ก็มีอีกมุมที่เป็นที่ถ่ายรูปยอดนิยมเช่นกันค่ะ
ตอนนั้นใกล้จะ 11 โมงแล้ว จึงรีบเดินไปที่โบสถ์เพื่อเข้าชมด้านในค่ะ โบสถ์ที่นี่สวยงามมากและสามารถเข้าชมได้ฟรี ดีที่สุดก็ตรงนี้ค่ะพอเข้าไปด้านในก็ตกตะลึงในความขลัง วันนี้คนเยอะไม่ต่างจากสองวันที่ผ่านมาเลยสักนิด
ด้านในของโบสถ์จะมีนาฬิกาดาราศาสตร์อายุกว่า 500 ปี ดูขลังมากทีเดียว
อย่างที่บอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงใกล้เทศกาลคริสต์มาสซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาคริสต์วันหนึ่งด้วย ทางโบสถ์จึงมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซู น่ารักดีค่ะ
พอชมโบสถ์ครบทั้งหมดแล้วก็เดินไปขึ้นหอระฆังซึ่งในส่วนนี้ต้องเสียเงินค่ะ ด้วยเวลาอันน้อยนิดทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมากกับการรีบเร่ง แต่เราก็ทำเวลาได้ดี มีข้อเสียอย่างเดียวคือเราไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบด้านมากเท่าสองสามวันก่อน เพราะวันนี้เรามีเวลาน้อยเหลือเกิน

เสร็จจากตรงนี้ก็รีบเดินกลับโรงแรมเพื่อ Check out และไปขึ้นรถไฟเพื่อไป Paris ที่รักกันต่อ

รักนะ Alsace แล้วจะมาหาใหม่แน่นอน

จาก Strasbourg ไปยังมหานครแห่งแฟชั่น ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการนั่งรถไฟข้ามเมือง สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราเดินทางโดยรถไฟ TGV ค่ะ ซึ่งจองล่วงหน้ามาจากเมืองไทย ราคาค่อนข้างสูง แต่แน่นอนว่าการจองล่วงหน้านั้นจะทำให้เราสามารถประหยัดค่ารถได้ประมาณ 20% เลยทีเดียวค่ะคุณ

เรามาถึงปารีสประมาณ 3 โมงเย็น TGV ที่เรานั่งมาจะมาถึงสถานี Gare du l'est ที่อยู่ใกล้โรงแรมของเราเลย เราลากกระเป๋าประมาณไม่เกิน 300 เมตรก็ถึงโรงแรมที่เราจองไว้ ซึ่งแถวนั้นมีร้านอาหารหลากหลายสัญชาติ พร้อมทั้งร้านกินดื่มในยามค่ำคืน หลังจาก check in ที่โรงแรมเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อซื้อตั๋วชุด ซึ่งมีทั้งหมด 10 ใบ ราคาจะถูกกว่า

วันนี้เราจะจบสวยๆ ที่หอไอเฟล รอบที่สี่ค่ะ แต่ที่แน่ๆ ปารีสไม่เคยเหมือนเดิมเลยสักครั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมาที่ฉันได้เดินมาที่หอไอเฟล แตกต่างจากวันนี้โดยสิ้นเชิง
หลังจากมาถึงทันดูหอไอเฟลยามเย็นแล้ว ก็นั่งชิวไปเรื่อยๆ รอจนกว่าไฟที่หอไอเฟลจะเปิดขึ้นอีกครั้ง วันนี้คนที่ต่อคิวเพื่อขึ้นไปด้านบนไม่เยอะเท่าครั้งก่อนๆ อาจเป็นเพราะวันลมค่อนข้างแรงและอากาศก็จะเย็นลงมาก
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับฟ้าไป ดวงไฟที่หอสูงนั้นก็เริ่มปรากฎชัดขึ้น จนทำให้สายตาเราไม่ละไปจากแสงสีส้มที่ส่องมาจากระยะไกลนั้น

เรานั่งอยู่จนกระทั่งฟ้ามืดสนิทจึงเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ แล้วรอรถเมล์สาย 32 ที่จะพาเรากลับไปที่โรงแรม ระหว่างทางรถเมล์ขับผ่านถนน Champs-Élysées ถนนสายแฟชั่นซึ่งเป็นที่นั่งของแบรนด์เนมหลากหลายยี่ห้อ และแน่นอนว่า เราจะมาที่นี่กันในวันพรุ่งนี้ ประมาณเกือบชั่วโมงจึงจะถึงโรงแรม ซึ่งหากนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินก็จะเร็วกว่ามาก เพราะตอนหัวค่ำแบบนี้ รถค่อนข้างติดในเมืองปารีสเช่นเดียวกับเมืองหลวงอื่นๆ แต่เพราะเราต้องการชมวิวไปเรื่อยๆ ได้ดูแสงไฟที่ประดับประดาไว้บนถนนแต่ละสาย สวยงามดีจริงๆ วันนี้ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เพราะเดินน้อยกว่าวันอื่นๆ มาก ถือว่าเป็นวันแห่งการบำบัดน่อง
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ.......

วันที่สิบ โอ้ยทำใจไม่ได้ นี่จะจบทริปแห่งความรักแล้วหรอเนี่ยะ เราตื่นเช้าเหมือนเดิมทุกวัน จากนั้นก็นั่งรถเมล์จากหน้าโรงแรมเพื่อไปยังเป้าหมายแรกในวันนี้นั่นก็คือ Moulin Rouge! ไม่ได้เข้าไปดูโชว์หรอกค่ะ แต่มาที่จุดถ่ายรูปด้านหน้าที่คนนิยมมากัน ด้วยความที่เราออกมาเช้ามากๆ ทำให้ไม่มีคนเลย ณ เวลานั้น รูปเรามันก็จะมีแต่เรา สวยๆ 
หลังจากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ เพื่อไปยัง Montmart ซึ่งเป็นสถานที่หนึ่งที่ฉันชอบมากที่สุดในปารีสเลยก็ว่าได้ มันเป็นที่ที่มีเสน่ห์ มีแง่มุมที่หลากหลาย ครั้งก่อนยังเคยขึ้นไปชมวิวที่จุดชมวิวบน Montmart เลย ซึ่งทางเดินขึ้นนี่โหดใช่เล่น ครั้งนี้จึงอยากเข้าไปดูด้านในอีกรอบและเดินชมรอบๆ ให้ทั่ว และที่ขาดไม่ได้คือ ฉันชอบซื้อของฝากจำพวก ผ้ากันเปื้อน ผ้ารองจาน นู่น นี่ นั่น แถวๆ นี้ เพราะมีหลากหลายและราคาไม่แพง บางคนอาจจะบอกว่าหลังพิพิธภัณฑ์ลูฟท์ ราคาถูกกว่ามาก แต่ฉันไปเดินเช็คเองแล้วพบว่า ไม่ได้ต่างกัน หากจะมีถูกกว่าก็เป็นของคนละเกรดกัน ไม่ได้เหมือนเสียทีเดียว อันนี้คอนเฟิร์มค่ะ
พอไปตอนเช้าๆ คนก็จะน้อยๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นเวลาถ่ายรูปออกมา แทบจะหาตัวเองไม่เจอเลยค่ะคุณ มุมนี้ฉันตั้งชื่อว่า มุมหมารับแสง คือพอนั่งตรงบันไดนี้แล้ว เราจะหันหน้าเข้าหาแดดในยามเช้าพอดิบพอดี ฟินมากเลยค่ะ
หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปด้านในเพื่อชมความงามของ Montmart อีกครั้ง ซึ่งเวลาเช้าๆ แบบนี้ เป็นเวลาที่ดีมากๆ คนยังไม่เยอะ ไม่ต้องต่อคิวนานๆ เดินสบาย ไม่เบียดเสียด นี่คืออีกหนึ่งเคล็ดไม่ลับสำหรับการเดินทางในเมืองใหญ่ยอดนิยมแบบนี้
เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ฉันจะชอบตื่นเช้าๆ เช้าจนบางครั้ง พระอาทิตย์ก็ยังไม่เปิดทำการเสียด้วยซ้ำ แต่ฉันชอบการได้ออกมาเจอโลกก่อนคนอื่นๆ และหลายๆ ครั้งฉันก็ได้พบสิ่งที่คนตื่นสายไม่เคยได้พบเจอ อย่างเช่นการเฝ้ารอพระอาทิตย์ขึ้นที่ Montmart เป็นต้น

ปารีสเป็นเมืองท่องเที่ยวในฝันของคนทั่วโลก จนติดอันดับต้นๆ ของแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนมาเยือนมากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าในเวลาทำการปกติ คนจะเยอะมากๆ ตลอดเวลาในทุกสถานที่ไม่ว่าจะวัง โบสถ์ ห้างสรรพสินค้า หรือ shopping street มีทั้งชาวเมืองเองและนักท่องเที่ยวหลากหลายสัญชาติ ทั้งคนดีและแน่นอนว่ามีโจรปนอยู่ในทุกที่ด้วยเช่นกันค่ะคุณ ดังนั้นการตื่นก่อนคนอื่นและตื่นก่อนโจรนับเป็นสิ่งที่ควรทำ นอกจากจะสร้างปลอดภัยให้กระเป๋าสตางค์ของคุณแล้ว ยังไม่ต้องเบียดเสียดกับนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไปด้วยค่ะ ชมโบสถ์เสร็จแล้วก็เดินช็อปกันต่อรอบๆ Montmart ซึ่งมีร้านรวงที่เริ่มเปิดขายกันแล้วเช่นกัน ที่นี่ผ้ากันเปื้อนน่ารักมาก จนอยากจะเหมาให้หมดราว ราคาจะอยู่ประมาณ 10-20 ยูโรต่อตัว 
ซื้อของเสร็จแล้วก็ได้เวลาออกจากตรงนี้เพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์ Louvre แต่ครั้งนี้เราจะไม่เข้าไปข้างเหมือนครั้งก่อน เพราะฉันเคยเข้าไป say hello กับโมนาลิซ่า 2 ครั้งแล้ว ก็คิดว่าน่าจะเพียงพอ เราจึงเดินไปด้านหน้าของคุณ Louvre เพื่อถ่ายรูปคู่กับพิรามิดกระจกด้านหน้าเท่านั้น เรียกว่าเป็นการถ่ายซ่อมจากครั้งก่อนที่อารมณ์ไม่ดีจากการต่อคิวเข้าไปด้านใน พอออกมาได้หน้าก็เป็นตูดลิงเช่อะ วันนี้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ อาจเพราะยังไม่สายมากนัก ซึ่งถ้ามาตอนบ่ายๆ ล่ะก็ คนจะเยอะมากๆ แถมอากาศในตอนนี้ก็ดีสุดๆ ไปเลย ดูฟ้าสิ สมกับที่เราเรียกว่าฟ้าจริงๆ ค่ะ
นั่งเล่น ถ่ายรูปกันจนพอได้ ก็เดินทะลุออกไปด้านนอกของถนนอีกฝั่ง ซึ่งจะมีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมด ขณะนี้ก็เวลาเที่ยงแล้วและเราก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลย จึงเดินหาร้านกินข้าวกลางวันและเมนูที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาที่นี่ก็คือ หอยเอสคาโก้หรือหอยทากอบเนยนั่นเองค่ะ #หน้าอาจจะเซ็งๆหน่อยแต่ความร่อยนี่ชนะเลิศค่ะ
เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว จากพิพิธภัณฑ์ Louvre เราก็เดินต่อไปยังโบสถ์ Notre dame เพื่อถ่ายรูปซ่อมจากครั้งก่อน ระยะทางประมาณ 1.6 กิโลเมตร นำทางโดยคุณ Google Map ค่ะ เช่นกันค่ะ เราจะไม่เข้าไปด้านในโบสถ์แล้ว เพราะครั้งก่อนเราต่อแถวเพื่อเข้าไปด้านในนั้นใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งในการต่อคิว ดังนั้น วันนี้เราจะนั่งชิวๆ ถ่ายรูปเกร๋ๆ อยู่ด้านนอกแล้วมองดูคนที่กำลังต่อคิวเพื่อเข้าไปด้านในพร้อมกับหัวเราะเยาะเขาไปพลาง
ย้ำว่าที่โปรแกรมทั้งหมดตั้งแต่เช้าวันนี้ เราใช้การเดินเป็นหลัก เพราะอากาศดีมากๆ และวิวเมืองก็สวยมากจนทำให้เดินยังไงก็ไม่เหนื่อย เราก็เดินกันเพลินๆ ไป จาก Notre Dame เราเดินเลาะแม่น้ำแซนน์ไปเรื่อยๆ จนถึงสะพานกุญแจแห่งรักเหนือแม่น้ำเซนน์ หรือสะพาน ปง เด ซาร์ (Pont Des Arts) ที่ปิดซ่อมแซมไปเมื่อปี 2014 เนื่องจากราวสะพานรับน้ำหนักของเหล่าแม่กุญแจแห่งรักของชนทั่วโลกไม่ไหว ทางการจึงสั่งปิดตำนานสะพานแห่งรักและห้ามไม่ให้มีการคล้องกุญแจอีกหลังจากซ่อมแซมเสร็จ และครั้งนี้ที่เราไป สะพานก็ซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ จึงมีโอกาสได้ยืนชมวิวบนสะพานแห่งนี้อีกครั้ง หลังจากได้ยืนบนสะพานนี้ครั้งแรกเมื่อปี 2005 ปารีสไม่เคยเหมือนเดิม #ฉันก็เช่นกัน
ดูนาฬิกาอีกทีก็เป็นเวลาบ่ายสามแล้ว แต่ก็ยังเดินต่อเพื่อไปยังถนน Champs-Élysées เพื่อไปช็อปปิ้งและถ่ายรูปคู่กับ Arc de Triomphe ประตูชัยแห่งเมืองปารีส ประตูนี้สามารถขึ้นไปด้านบนได้นะคะ แต่ต้องเสียค่าขึ้น แต่หากมี pass ของ paris ก็สามารถขึ้นได้เลย เพราะรวมค่าขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราขึ้นไปชมวิวนี้ตั้งแต่ครั้งก่อน หากจะให้เปรียบเทียบในความรู้สึกของตัวฉันเอง การขึ้นไปชมวิวมุมสูงของเมืองปารีสนั้น ฉันขอยกให้ประตูชัยแห่งนี้เป็นจุดชมวิวที่มีความสวยงามเป็นอันดับ 1 หอไอเฟลอันดับ 2 โบสถ์ Notre Dame อันดับ 3 และ Montmart เป็นอันดับ 4 อันนี้เรียงจากที่เคยขึ้นมาทั้งหมดค่ะ ซึ่งอาจจะมีสถานที่อื่นที่สวยงามกว่านี้ก็ได้ แต่ฉันยังไม่เคยไปด้วยตัวเองค่ะ
จากนั้นก็เดินไปจิบชายามบ่ายเกือบเย็นพร้อมกับกิน Macaron ร้าน Laduree ในตำนาน ทุกครั้งที่มายุโรปไม่ว่าจะประเทศไหน ฉันไม่ลืมที่จะใช้ชีวิตแบบผู้ดีเมืองยุโรป ทำตัวให้กลมกลืนเข้าไว้ เรื่องเงินค่อยว่ากันวันหลัง 
กิจกรรมอย่างหนึ่งที่เป็นการแสดงถึงความเป็นตัวปู่ตัวย่าของการใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อย่างแท้จริงของคนยุโรปเกือบทุกประเทศ ก็คือการจิบชา กาแฟยามบ่าย ไปพร้อมๆ กับการนั่งชิวๆ อาบแดดบนลานกว้างที่ไหนสักที่หนึ่ง พร้อมกับชมความงามสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทางจิตวิญญาณของบรรพบุรุษของตัวเอง ในยุโรปจึงมักมีร้านชากาแฟ ร้านอาหาร อยู่บริเวณจตุรัสต่างๆ ซึ่งล้อมรอบด้วยโบสถ์ หรือสิ่งปลูกสร้างทางประวัติศาสตร์ น้ำพุขนาดใหญ่ หรือแม้แต่อนุสาวรีย์ของฮีโร่คนใดคนหนึ่ง

เริ่มมีกำลังวังชาจากขนมและเครื่องดื่มที่ยัดใส่ร่างเข้าไปแล้วก็ทำให้มีเรี่ยวแรงในการเดินช็อปปิ้งตั้งแต่หัวถนนยันสุดถนนอีกด้านหนึ่ง สำหรับแฟนพันธุ์แท้ของ Adidas Nike บลาๆๆ ของที่ยุโรปไม่ได้ถูกไปกว่าบ้านเรามากนัก ยกเว้น sale เพียงแต่ที่นี่มีของให้คุณซื้อมาก ทั้งแบบ สี ที่หลากหลาย เยอะจนตาลาย ติดเพียงแค่ ปริมาณที่จำกัดของเงินที่เรามีอยู่เท่านั้น เรียกได้ว่าอยู่ที่นี่แล้ว เงินสามารถซื้อความสุขและปัญหาความอยากของเราได้จริงๆ 

ส่วนแบรนด์เนมดังๆ อย่าง LV Chanel ต้องต่อคิวเพื่อเข้าไปในร้านนะคะ และแน่นอนว่า ปารีสเป็นเมืองแฟชั่นที่คนนิยมมาช็อปอยู่แล้ว จึงทำให้ของที่เราต้องการมักไม่ปรากฎตัวอยู่ในกรุงปารีส เพราะบรรดานักหิ้วของเมืองไทยและประเทศอื่นๆ ได้จับจองของต่างๆ ไปหมดแล้ว หากมีโอกาสได้ไปประเทศอื่นๆ ก่อนมาจบที่ฝรั่งเศส อยากได้อะไร ให้สอยติดมือมาเลยค่ะ อย่ารอว่าจะซื้อที่ปารีส เพราะบ่อยครั้งคุณจะชวดจนไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปที่บ้าน อันนี้เข้าใจตรงกันนะคะ

เดินจนตะวันลาลับฟ้าไปอีกรอบ จึงเดินกลับไปบริเวณประตูชัยอีกครั้งเพื่อชื่นชมความงามของถนนสายแฟชั่นแห่งนี้ในยามค่ำคืน พร้อมกับถ่ายรูปคู่กับประตูชัยในอีกห้วงเวลาหนึ่ง
วันนี้เดินไปทั้งสิ้นเกือบ 17 กิโลเมตร คงถึงเวลาที่เราพักขาอย่างจริงจัง กลับโรงแรมกันเถอค่ะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะคะ เดินฉับๆๆๆ ไปเพื่อขึ้นรถไฟใต้ดินกลับไปพักร่างอันโรยรา

อรุณสวัสดิ์ยามเช้าอีกครั้ง ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส วันนี้เราจะทัวร์รอบเมืองอีกหนึ่งวันเพื่อเก็บตกความงามรอบๆ กรุงปารีสให้ครบ เผื่อได้มีโอกาสมาอีกครั้งจะได้รู้ว่า ควรไปที่ไหน อย่างไร เวลาไหน วันนี้เราเริ่มต้นเดินจากโรงแรมเพื่อไปยังพระราชวังอีกหนึ่แห่งในกรุงปารีสที่มักถูกมองข้าม เพราะวังเล็กๆ วังนั้นคือ พระราชวังลักเซมบูร์ก (Luxembourg Palace หรือ Palais du Luxembourg) ที่นี่มีสวนรอบๆ แต่ตอนที่ฉันไปนั้นใบไม้ร่วงกราวเกือบหมดต้นแล้ว จึงไม่ค่อยมีคนนั่งเล่นมากเท่าไรนัก จะเห็นก็แต่นักวิ่งทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นเท่านั้น ที่มาฝึกความอดทนท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น
จากตรงนี้ เราเดินข้ามไปอีกฟากถนนเพื่อเริ่มต้นวันใหม่อย่างเป็นทางการที่ร้านกาแฟและขนมที่อร่อยอีกร้านหนึ่งชื่อ Brioche Doree เพื่อกินขนมปังหมีที่เราชื่นชอบ ทำไมต้องเป็นขนมปังรูปหมี อันนี้เราก็ไม่เข้าใจว่าเป็นช่วงเทศกาลอะไรรึป่าว หรือมันก็มีปกติของมันอยู่แล้ว
จากนั้นก็เดินลัดเลาะไปที่ Pantheon Paris ซึ่งเรามาถึงเช้าเกินไป ยังไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ จึงต้องรอเวลา 10 โมงเช้าซึ่งเป็นเวลาที่สถานที่แห่งนี้เปิดทำการ ระหว่างนั้นจึงทำได้เพียงถ่ายรูปวนไปค่ะ
เดินอ้อมมาด้านหลังของ Pantheon จะเห็นโบสถ์เล็กๆ น่ารักๆ อยู่หลังหนึ่ง แต่ดูแล้วไม่ค่อยเป็นที่น่าสนใจของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเท่าไหร่ แต่ในสายตาของฉันกลับดูน่ารักและกะทัดรัดดีจริงเชียว
ลองไปดูซิว่าจะสู้ Pantheon แห่ง Rome ได้หรือไม่
จากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ไปแถวๆ โบสถ์ Notre Dame อีกครั้งเพื่อไปยัง Landmark ยอดนิยมอีกแห่งของกรุงปารีส นั่นก็คืออีกหนึ่งร้านกาแฟชื่อ Shakespeare and Company ที่นี่เป็นห้องแถวประมาณ 3-4 คูหา ส่วนหนึ่งเป็นร้านขายกาแฟที่มีที่ให้นั่งเป็นเรื่องเป็นราว อีกส่วนเป็นร้านขายหนังสือและ postcard ค่ะ
หนังสือและ postcard นั้นสามารถซื้อได้นะคะ หากเราถูกใจ แต่ส่วนใหญ่คนจะไปถ่ายรูปและกินกาแฟมากกว่าค่ะ จากตรงนี้ก็เดินไปยังสะพานปงอาแล็กซ็องดร์-ทรัวหรือ เรียกอีกชื่อว่า สะพานอะเลคแซนเดอร์ที่ 3 เป็นหนึ่งในสะพานที่สวยงามและมีการประดับตกแต่งมากที่สุดของเมืองปารีส
 สะพานแห่งนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถชมความงามของหอไอเฟลในมุมที่ต่างออกไป
จากตรงนี้มุ่งตรงไปยังห้าง Galeries Lafayette ซึ่งอยู่ไม่ห่างจาก Opera Paris เท่าไหร่นัก สามารถเดินไปเดินมาได้สบายๆ เลยค่ะ ใกล้ๆ กับห้างจะมีร้านอาหารจีน ที่ขายอาหารเอเชีย ซึ่งเราแวะกินข้าวกันที่นั่น รสอร่อยดี อาหารจีนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็อร่อย ยกเว้นที่ประเทศจีน #มันก็จะงงๆ หน่อยอ่าค่ะ ราคาไม่แพงมาก ตกประมาณ 15-20 ยูโรต่อคนต่อมื้อ พออิ่มแล้วก็เดินย่อยทั้งในห้างและนอกห้าง แต่เวิ้งนี้จะขายแต่สินค้าแบรนด์เนมเป็นหลัก ซึ่งเราแทบจะซื้ออะไรกันไม่ได้เลยค่ะคุณ เนื่องด้วยเป็นวันที่ 11 แล้วสำหรับทริปนี้ ดังนั้น บัตรเครดิตจึงเต็มไปเรียบร้อยแล้วและในส่วนของเงินนั้น เหลือเพียงพอสำหรับการกินข้าว, ขนม และกาแฟเท่านั้นค่ะ ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ดีกว่าเน๊อะ
ปีนี้ในห้าง Galeries Lafayette ทำต้นคริสต์มาสน่ารักมากๆ สมกับเป็นห้างดังแห่งมหานครปารีส เมืองแฟชั่นที่มีชื่อดังก้องโลก 
ด้านหน้าของห้างถูกประดับตกแต่งในธีมการ์ตูนโดยมีกระเป๋าแบรนด์เนมแต่ละยี่ห้อ น่ารักมาก เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ และแม่ของเด็กๆ ก็ชอบมากๆ เช่นกันค่ะ
วันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้เที่ยวที่ปารีสอย่างเต็มที่ เพราะพรุ่งนี้เราต้องบินกลับเมืองไทยแล้ว วันนี้จึงขอดื่มด่ำให้เต็มที่ก่อนจะต้องจากกันในครั้งนี้ คิดแล้วก็ใจหาย อยากจะอยู่ต่ออีกสองสามวัน แต่ดูจากเงินที่เหลือแล้วนั้น เอิ่มมมม กลับก็ได้ค่ะ เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เราจึงกลับมาแถวโรงแรมเพื่อกินข้าวเย็น และจัดกระเป๋าเตรียมพร้อมกับวันพรุ่งนี้ และเข้านอนให้เร็วหน่อย เพราะพรุ่งนี้เราต้องไป survey สถานีรถไฟก่อนว่าต้องเดินไปทางไหน อย่างไร เพื่อที่ถึงเวลาจริง ต้องลากกระเป๋าใบโต จะได้ไม่เงอะๆ งะๆ เดินผิดจนเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ อยากย้อนเวลากลับไปวันแรกจัง

อรุณสวัสดิ์ วันสุดท้ายท้ายสุด ณ กรุงปารีส วันนี้เราต้องขึ้นเครื่องตอน 15.30 น. ซึ่งเราจะต้องไปสนามบินล่วงหน้าอย่างน้อย 4 ชั่วโมงเพื่อทำ Refund อย่างราบรื่นไม่ตะขุกตะขักจนเกินไป  และยังสามารถเดินชิวๆ ไปรับเงินคืนภาษีเป็นเงินสดโดยไม่ต้องต่อแถวยาวนัก เช็คอินได้ทันและยังมีเวลามากพอที่จะเดินเล่นข้างในได้อีก ไม่ต้องวิ่งจนเหนื่อยหอบ นั่นแปลว่าเราต้องถึงสนามบินอย่างช้าตอนเที่ยงตรง นั่นคือเราต้อง check out ตอน 10 โมงเพื่อเดินจากโรงแรมไปสถานีรถไฟ Gare de Nord และขึ้นรถไฟจากที่นั่น ไปยังสนามบิน CDG เช้าวันนี้กินขนมปังหมีของคุณพอลเป็นการอำลาอย่างเป็นทางการ พร้อมกับ survey เส้นทางให้เรียบร้อย พอถึงเวลาจริง เราก็เดินตามเส้นทางนั้น สบายๆ ชิวๆ แถมยังแวะถ่ายรูปได้ด้วย ในที่สุดเราก็ถึงสนามบินตามเวลาที่เรากำหนดเอาไว้ และมีเวลานั่งชิว จิบกาแฟที่สนามบินระหว่างรอ Checkin 

12 วันที่ผ่านมา ฉันได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ ได้ผจญภัย ได้หวาดกลัว วิตกกังวล ไปจนถึงสบายใจสุดๆ ความหลากหลายของภาวะแวดล้อมในแต่ละสถานที่ที่ฉันผ่านมา บวกกับความหลากหลายของอารมณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ ทำให้ฉันรู้จักตัวเองมากขึ้นเป็นกอง ฉันว่ามันเป็นเสน่ห์ของการเดินทาง ทุกๆ ครั้งในต่างแดน ประสาทสัมผัสทั้ง 5 จะร่วมกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ฉันได้มีชีวิตรอดกลับบ้านอย่างปลอดภัย 

เส้นทางสายนี้จะเป็นเส้นทางที่ฉันไม่มีวันลืม และอาจจะกลับไปอีกครั้งเมื่อเงื่อนเวลาเหมาะสมกับเงื่อนไขของชีวิต ฉันรักสามประเทศนี้และขอบคุณโลกใบนี้ที่มีสถานที่แบบนี้ให้ฉันได้พบเจอ ถ้าถามฉันว่าที่ชอบ ที่ชอบ มันคือที่ไหน ทริปนี้ทำให้ฉันมีคำตอบชัดในหัวใจ
ที่ชอบ ที่ชอบ คือ ที่ใจ ใจของเราเองค่ะ 

ฉันซื้อประสบการณ์นี้ได้ด้วยเงินประมาณ 100,000 บาทค่ะ 
ค่าตั๋วเครื่องบิน 16,000 บาท 
ค่าโรงแรมประมาณ 50,000 บาท (หารสองคนเหลือคนละ 25,000 บาท)
ค่าเดินทางประมาณคนละ 25,000 บาท (รวมเดินทางระหว่างเมืองและเดินทางในตัวเมืองด้วย)
ค่ากินประมาณวันละ 80 ยูโรหรือ 3,200 บาทโดยประมาณ รวม 11 วัน ก็ประมาณ 36,000 บาท
(รวมการกินอาหารและจิบชาแบบผู้ดี กาแฟ ขนมต่างๆ นาๆ)
ที่เหลือก็เป็นพวกค่าของฝาก ของส่วนตัวที่เราอยากซื้อ ซึ่งมากน้อยแล้วแต่บุคคลค่ะ

วิธีการเก็บเงิน
หักจากเงินเดือนๆ ละ 10,000 บาท
จองตั๋วเครื่องบินเดือนกุมภาพันธ์
จองโรงแรมและรถไฟระหว่างเมืองเดือนมิถุนายน
ขอวีซ่าต้นเดือนตุลาคม ใช้เวลา 3 วันทำการสำหรับวีซ่าเชงเก้นจากสถานทูตฝรั่งเศส
แลกเงินเดือนปลายเดือนตุลาคม

พร้อมแล้วก็เดินทางกันเลยค่ะ

อย่าลืมนะ ที่ชอบ ที่ชอบ คือที่ใจค่ะ

เพราะโลกมันกว้าง การทำงานหาสตางค์จึงจำเป็นค่ะ
Akiko


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...