ยังจำได้ไหม by Akiko

หากมองย้อนกลับไปตอนที่เรายังเป็นเด็กน้อย เวลาเราไปโรงเรียน คุณครูมักจะสอนให้เราท่องสิ่งที่เราต้องทำ ซึ่งตอนนั้นเราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำ แต่เราก็มักจะทำตามที่คุณครูสอนและบอกให้ทำโดยไม่มีเงื่อนไข
11 สิ่งที่คุณครูมักบอกเราเสมอๆ คือ......
ต้องตั้งใจศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ
ต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือทุกวัน
ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ และครูบาอาจารย์
ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนและสังคม
ต้องรักษาความสะอาดและเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ
ต้องรู้จักประหยัดอดออม
ต้องรู้จักแบ่งปันสิ่งของให้แก่ผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่นหากสามารถทำได้
ต้องไม่รังแกเพื่อนหรือบุคคลที่อ่อนแอกว่า
ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่
ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้าและไม่มาโรงเรียนสาย

นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของคำสั่งสอนของคุณครูที่เราทุกคนเคยได้ยินได้ฟัง และเคยปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็ก แต่เมื่อเราโตขึ้น เราหลายคน #รวมทั้งตัวฉันเอง กลับหลงลืมในสิ่งเหล่านี้และละเลยที่จะปฏิบัติมัน ทั้งๆ ที่จริงแล้ว หากเราลองพิจารณาสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งจะพบว่า ไม่ใช่เพียงแต่เด็กเท่านั้น ที่ต้องทำปฏิบัติตามที่คุณครูสอนอย่างเคร่งครัด แต่เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ควรต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนนี้เช่นกัน เพราะชีวิตเราอาจดีกว่าที่เป็นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว

ต้องตั้งใจศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ / ต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือทุกวัน
เราเคยสังเกตตัวเองไหมว่า ในขณะที่เราอยู่ในวัยทำงาน ซึ่งเราไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องอ่านหนังสือทุกวัน เราไม่ต้องสอบเพื่อเลื่อนชั้นเรียน ยกเว้นแต่มีบางหน่วยงานที่ต้องมีการสอบวัดผลบ้าง แต่ในชีวิตประจำวันของเรานั้น เราเคยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับงานที่ตัวเองทำอยู่หรือไม่ เราเคยกลับมาที่บ้านแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อพัฒนาความรู้หรือความคิดของตัวเองหรือไม่

จริงๆ แล้วความรู้สมัยใหม่อาจไม่ได้อยู่เพียงในหนังสือเท่านั้น ความรู้มีอยู่ทุกที่ มีทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ แต่ทุกวันนี้เราเลือกเสพความรู้ที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงหรือเปล่า นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องพินิจพิจารณา ฉันเองเชื่อว่าคนวัยทำงานนั้นจะมีสติปัญญามากพอที่จะคิดได้ว่า ข้อมูลข่าวสารแบบไหนที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นความรู้เกี่ยวกับงานที่เราทำอยู่หรือสิ่งที่เราสนใจ ซึ่งข้อมูลชุดนั้นจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาความรู้ความสามารถในการทำงานหรือแม้แต่การดำเนินชีวิตของเราให้ดียิ่งขึ้นไป

ตอนเด็กๆ เราต้องทำการบ้านและรายงานตามที่คุณครูสั่งให้ถูกต้องและเสร็จตามกำหนดที่คุณครูให้ส่ง หากเราไม่ส่งตามกำหนด ก็จะถูกทำโทษหรือหักคะแนน มาถึงวันที่เราอยู่ในวัยทำงาน เมื่อเราต้องได้รับมอบหมายงานจากหัวหน้าแล้ว เรามีความรับผิดชอบในการทำมันให้เสร็จตามกำหนดเวลาหรือไม่ งานที่เราทำมีความถูกต้องหรือไม่ ฉันว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ไม่ต่างจากตอนที่เรายังเป็นเด็กเลย และคงดีหากสามารถปฎิบัติมันได้อย่างเคร่งครัดเหมือนกับตอนที่เรายังเป็นเด็ก

ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ และครูบาอาจารย์
ตอนเด็กๆ นั้นเราจะกลัวพ่อแม่และคุณครู เวลาท่านบอกให้ทำอะไรเราก็จะทำตามนั้นโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ถึงแม้ในวันนี้ที่เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันคิดว่า เราก็ยังคงต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่และคุณครูอยู่ดี ทั้งนี้รวมไปถึงบุคคลที่มีอายุมากกว่า แต่จะไม่ใช่การเชื่อตามๆ กันเพียงอย่างเดียว เพราะในวัยนี้ เรามีคุณวุฒิและวัยวุฒิมากพอที่จะพิจารณาแล้วว่า เราควรทำตามสิ่งไหนและไม่ทำตามสิ่งไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล จริงอยู่ที่ความคิดของพ่อแม่นั้นไม่เข้ากับยุคสมัย เราอาจจะรู้สึกมันเชย โบราณ โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว แต่เชื่อค่ะว่าถึงแม้ความคิดของท่านจะไม่ถูก100% แต่ส่วนใหญ่จะถูกเกิน 80% (อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวของฉันเอง) เพราะผู้ใหญ่ที่มีอายุห่างกับเราหลายสิบปีย่อมต้องผ่านโลกมาไม่น้อย สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้แล้ว แท้จริงอาจยังไม่หลายแง่มุมที่เราไม่เคยพบเจอและคาดไม่ถึง ดังนั้น การเชื่อฟังพ่อแม่และผู้ใหญ่บวกกับการคิดวิเคราะห์ของตัวเอง จะทำให้เราใช้ชีวิตได้ราบรื่นและปลอดภัยมากขึ้น

ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียนและสังคม
คุณฝ่าไฟแดงครั้งล่าสุดเมื่อไหร่คะ ฉันเชื่อว่าคงมีหลายคนตอบว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน....
ตอนเราเป็นนักเรียน เราจะต้องแต่งตัวและปฏิบัติตามกฎของโรงเรียน ไม่อย่างนั้นเราจะโดนคุณครูฝ่ายปกครองเล่นงานเอาได้ เราจึงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จะห้ามอะไรเราก็ทำตามไปเสียทุกอย่าง แต่ในวันที่เรารู้สึกว่าเราโตแล้วนั้น เราอาจคิดว่า กฎระเบียบของที่ทำงานหรือของสังคมเป็นเรื่องงี่เง่า โดยเฉพาะเรื่องที่เราไม่อยากจะทำ แต่หากนึกภาพไปที่สังคมที่ไม่มีกฎระเบียบใดๆ ทุกคนใช้ชีวิตด้วยความสะดวกและสบายของตัวเองเป็นหลัก ไม่มีการควบคุม บางทีเส้นสบายของเรากับของคนอื่นอาจจะมาเกยกันจนเกิดเป็นความขัดแย้งก็อาจเป็นได้ ในทุกๆ ที่ จึงจำเป็นต้องมีกฎระเบียบบางข้อเพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น และไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันจนเกินไป
ต้องรู้จักประหยัดอดออม
ตอนยังเด็กทั้งพ่อแม่จะให้เงินค่าขนมเราไปโรงเรียนทุกวัน และจะบอกเสมอว่า ต้องเหลือเงินค่าขนมกลับมาหยอดกระปุกด้วยนะ แล้วพอถึงวันเด็ก เราก็จะทุบกระปุกหมูที่เราหยอดเงินที่เหลือจากค่าขนมตลอดทั้งปี เอาไปฝากธนาคารในวันนั้น แล้วเราก็จะได้ของรางวัลจากการฝากเงินด้วย แต่พอเราโตเป็นผู้ใหญ่ ทำไมเรากลับพบว่า คนรอบตัวเรามีปัญหาทางการเงินกันเยอะมาก เป็นเพราะว่าเรามีภาระมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น หรือเพราะคนเหล่านี้ไม่เคยออมเงินเลยตั้งแต่วัยเด็ก หรืออาจเป็นเพราะเราจะจนลงเสมอเมื่อเราต้องทำงานหาเงินด้วยตัวเอง (ตอนเรียนหนังสือเราจะมีฐานะมากๆ เราสามารถเสกเงินได้ด้วยการขอ) แต่จากประสบการณ์ คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาทางด้านการเงินมักมีสาเหตุมาจากนิสัยการใช้เงินของตัวเอง #ที่กล้าพูดเพราะเคยค่ะ

ปี 2560 ที่ผ่านมามีผลสำรวจของสถาบันการเงินแห่งหนึ่งระบุว่า คนไทยเป็นหนี้ติดอันดับ 3 ของเอเชียและเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ชีวิตการทำงานนั้น สร้างหนี้เสียสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะหนี้ที่มาจากบัตรเครดิต ฉันเองก็ไม่ใช่กูรูทางด้านการเงิน แต่เพราะเคยใช้ชีวิตผิดพลาดมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็เลยพอจะรู้เรื่องรู้ราวมากหน่อย จริงๆ บัตรเครดิตทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นมาก ทำให้เราได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งส่วนลด ทั้งเครดิตเงินคืน ทั้งของแถมต่างๆ นาๆ แต่เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับคนที่มีวินัยเท่านั้น ตรงกันข้ามหากบัตรเครดิตถูกใช้โดยคนที่ไม่มีวินัย แน่นอนว่าหายนะก็รออยู่เบื้องหน้า มีหลายคนที่ฉันรู้จักเป็นหนี้บัตรเครดิต ทั้งเด็กจบใหม่และทั้งคนที่เป็นผู้ใหญ่มากพอแล้วจนฉันไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

ยังจำเป็นอยู่เสมอที่จะต้องจำคำสั่งสอนของคุณครูที่บอกให้เราประหยัด อดออม และใช้เงินเท่าที่จำเป็น คุณครูอาจจะสอนคลาดเคลื่อนนิดเดียวตรงที่บอกให้เหลือค่าขนมมาหยอดกระปุก เพราะจริงๆ แล้วเราควรหยอดกระปุกก่อนกินขนม เงินเดือนก็เช่นกันค่ะ ควรหักออกไปก่อนให้เหมือนว่าไม่มีมันอยู่ และเก็บไว้ในที่ที่มันถอนยากๆ เช่น บัญชีฝากประชุม กองทุน หรือแม้แต่ provident fund ก็เป็นทางเลือกที่ดีทั้งนั้น ฉันเองเพิ่งมาเข้าใจสูตรนี้ก็ในตอนที่เกิดปัญหาเรื่องเงินกับชีวิตเสียแล้ว แต่โชคดีที่ยังไหวตัวทัน จึงอยากบอกกับทุกคนว่า ออมก่อนใช้ปลอดภัยที่สุดค่ะ

ฉันเองก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่ยังอยากท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ และยังอยากได้แบรนด์เนมบ้างตามโอกาส แต่สิ่งเดียวที่จะช่วยตัดสินใจก่อนใช้เงินคือ มีก็เที่ยว มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ ไม่ซื้อ ไม่ต้องกู้เงินมาซื้อเพื่อให้มี ไม่ต้องรูดบัตรไปก่อนเพื่อให้มีแล้วค่อยมาจ่ายขั้นต่ำทีหลัง ยกเว้นแต่ผ่อน 0% ซึ่งในที่สุดเราก็ยังต้องใช้เงินคืนเขาอยู่ดี ของ 1 อย่างผ่อน 10 เดือนก็อาจจะแค่หลักร้อยหลักพัน เราอาจจะคิดว่าผ่อนได้สบายๆ แต่พอของหลายอย่างที่เราจงใจผ่อน 0% ไปเสียทุกอย่างมารวมตัวกันแล้วมันมากเกินกว่ารายได้ที่เราหาได้แล้วนั้น เราจะช็อค เมื่อช็อคแล้วเราก็จะช็อตตามมา

เราไม่มีทางตามเทคโนโลยีได้ทัน เราไม่มีทางตามแฟชั่นได้ทัน เพราะฉะนั้นก็ซื้อแต่พอสมควรน่าจะดีกว่า จะได้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง จริงๆ แล้วชีวิตที่ปราศจากหนี้นั้นเป็นชีวิตที่ดีมากๆ ฉันเองยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่ก็กำลังพยายาม หนี้เดียวที่ฉันยอมอยู่กับมันก็คือหนี้บ้าน 

เมื่อเราเติบโตระดับหนึ่งแล้ว เราก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านที่เป็นของเราจริงๆ ไม่ใช่การเช่าอยู่หรือการอยู่บ้านคนอื่น บ้านที่เราอยากจะทำอะไรกับมันก็ได้ บ้านที่เราจะซุกหัวนอนได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าไม่มีความพร้อมทางด้านการเงิน การเช่าไปก่อนก็ไม่ได้เสียหายอะไร รอวันที่พร้อมแล้วค่อยถอยบ้าน ถึงตอนนั้น เราจะอยู่ในบ้านนั้นได้อย่างสบายกายสบายใจ ไม่ร้อนรนมากกว่า ไม่ต้องกลัวว่าบ้านจะราคาสูงขึ้น เพราะวันที่เราพร้อม เก็บเงินดาวน์ได้มากขึ้น เมื่อนั้นเราจะได้กู้น้อยลงไปโดยปริยาย ดอกเบี้ยบ้านก็จะไม่ทำร้ายเรามากจนเกินไปนัก

ต้องรู้จักแบ่งปันสิ่งของให้แก่ผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่นหากสามารถทำได้ /
ต้องไม่รังแกเพื่อนหรือบุคคลที่อ่อนแอกว่า
คุณครูจะสอนให้เราช่วยเหลือเพื่อน เช่น ช่วยสอนเพื่อนในบทเรียนที่เพื่อนไม่เข้าใจ สอนเพื่อนทำการบ้าน  หรือแบ่งขนมแบ่งของเล่นให้กับเพื่อน แต่เมื่อเราโตขึ้นมา เราจำได้หรือไม่ว่าเราเคยแบ่งปัน หรือเคยช่วยเหลือคนอื่นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เราอาจจะคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น เพียงแค่เราไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็เพียงพอแล้ว มันอาจจะใช่ แต่เมื่อเราเกิดมาเป็นคนแล้ว เราอยากให้คนอื่นจำเราแบบไหน เราเลือกได้ค่ะ หลายครั้งมีคนเคยกล่าวว่า การให้นั้นมีความสุขมากกว่าการรับ หากเป็นการให้ด้วยความจริงใจและไม่หวังผลตอบแทน และการให้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการให้เงินทอง หรือสิ่งของที่มีค่าเสมอไป การให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ให้เวลาหรือแบ่งปันสิ่งของที่เหลือใช้ที่มีมากพอแล้วให้กับคนที่ยังขาดแคลน ก็ถือเป็นการให้ที่มีคุณภาพเช่นกันหากการให้นั้นส่งไปถึงผู้รับที่มีความต้องการและเป็นผู้ที่สมควรจะได้รับ เรื่องนี้คงมีคนพูดให้เราฟังเกินหนึ่งร้อยคน ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดเยอะ เอาเป็นว่า ลอง"ให้" ดูแล้วคุณจะรู้ว่าที่เขาบอกว่าสุขนั้น สุขอย่างไร จริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้ก็คือการมีความเมตตาต่อคนอื่นในทางพระพุทธศาสนานั่นเอง
ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ / ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เราเรียนมาตั้งแต่ประถมว่าอาหารหลักมีอยู่ 5 หมู่
โปรตีนมีอยู่ในเนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ นม ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต
คาร์โบไฮเดรตคือกลุ่มอาหารประเภทข้าวและแป้งต่างๆ ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย
ไขมันคือน้ำมันจากพืชและสัตว์ ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
วิตามินมีอยู่ในผลไม้ประเภทต่างๆ
เกลือแร่มีอยู่ในผัก
บลา บลา บลา เราท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง
แล้วทุกวันนี้เรากินอะไรกันบ้าง อาหารฟาสฟูด ขนมนมเนย ของหวานต่างๆ ซึ่งมีวัฒนธรรมมาจากชาติอื่นๆ ที่มีธรรมชาติแตกต่างจากเรา ไม่ว่าจะด้านอากาศหรือโครงสร้างของชาติพันธุ์ เรากินอาหารที่ผิดหลักโภชนาการกันบ่อยๆ จนทำให้เราอ้วน และเป็นโรคต่างๆ ไม่ว่าจะความดัน เบาหวาน คลอเรสเตอรอล เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายอาจต้องสารอาหารที่แตกต่างออกไปจากตอนที่เรายังเป็นเด็ก ซึ่งระบบต่างๆ ในร่างกายช่างทำงานได้ดีเสียเหลือเกิน แต่พออายุมากขึ้น ดูเหมือนชิ้นส่วนต่างๆ ในร่างเราจะทำงานได้ช้าลงไปมาก บางชิ้นส่วนก็หมดสภาพไปก่อนวัยอันควร

เราคงมีสุขภาพที่ดีมากกว่านี้หากเรารู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เหมาะสมกับสภาพและวัยของตัวเอง ไม่กินมากจนเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตแต่ก็ไม่น้อยจนเกินไปจนสารอาหารไม่เพียงพอต่อการหล่อเลี้ยงร่างกายและอวัยวะต่างๆ และออกกำลังกายบ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละไม่ต่ำกว่า 30 นาที จริงๆ เราทุกคนก็รู้ดีแต่มีกี่คนที่ลงมือทำ?

ต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้าและไม่มาโรงเรียนสาย
จำได้หรือไม่ว่าตอนเด็กๆ ที่เราต้องไปโรงเรียน หากเราไปโรงเรียนสาย เราจะโดนทำโทษ ไม่ถูกครูตีก็โดนจดชื่อ ทำทัณบน เราเลยต้องรีบตื่นแต่งเช้าและไปโรงเรียนให้ทันเวลา เมื่อเราต้องตื่นเช้า เราเลยต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ นี่คือกิจวัตรของเด็ก แต่รู้หรือไม่ว่ามันคือสิ่งที่เราควรทำอย่างยิ่งในช่วงวัยของเรา การนอนดึกทำให้เราตื่นสาย ไปทำงานสาย ซึ่งการตื่นเช้ากว่านั้นมีข้อดีมากมาย ทั้งการเคลียร์งานได้ในปริมาณมหาศาลก่อนงานใหม่จะเดินทางมาถึงในวันนี้ การตื่นเช้าทำให้เราสดชื่น และอย่างน้อยก็ได้ใช้พลังงานมากกว่าการนอน ยิ่งสำหรับคนกรุงด้วยแล้ว การตื่นเช้าเป็นเรื่องที่ดีในชีวิตเพราะคุณจะไม่ต้องผจญรถติดไปทำงานให้หงุดหงิดใจทุกวัน แถมยังมีเวลาเพียงพอที่จะกินอาหารเช้าที่มีคุณภาพ

และการที่ครูสอนให้เราไม่มาโรงเรียนสายเพราะต้องการสอนให้เราเป็นคนตรงต่อเวลา เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า การตรงต่อเวลาเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิตการทำงาน เพราะทุกคนก็มีธุระด้วยกันทั้งนั้น การนัดหมายให้ใครสักคนสละเวลาของเขามาเพื่อพบกับเรา เพื่อประชุมร่วมกัน หรือทำงานร่วมกันอะไรก็แล้วแต่ เราควรเคารพและให้เกียรติเวลาของคนอื่นด้วยการตรงต่อเวลา อย่าอ้างว่า คนอื่นก็สายกัน เพราะบางเรื่องที่คนอื่นทำดี ก็ใช่ว่าเราจะเลียนแบบเขาเสียที่ไหน
ยังจำได้ไหม สิ่งที่คุณครูเคยสอนเราเมื่อเยาว์วัย มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยหายไปจากชีวิตไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงอายุใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ยังคงมีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต และคงดีไม่น้อยหากเราย้อนกลับไปทำกิจวัตรประจำวันแบบเด็กนักเรียนดูบ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะความเปลี่ยนแปลงหรือเกิดผลลัพธ์อย่างที่เราเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เราอาจบริหารเวลาได้ดีขึ้น จัดการตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉันจะลองทำดู แล้วคุณล่ะ?

Akiko



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...