เที่ยวอังกฤษฉบับมนุษย์เงินเดือน by Akiko : เด็กหงส์จะไม่เดินอย่างเดียวดายแต่เราจะอับอายเป็นหมู่คณะ

สำหรับทริป Enjoy UK ที่ผ่านมาทริปนี้เดินทางไปทั้งหมด 4 เมือง ได้แก่ ลิเวอร์พูล เอดินเบอร์อะ ลอนดอน เชสเตอร์ และยอร์ค เมืองโบราณอันมีมนต์ขลังของอังกฤษ
เริ่มต้นจากบินไปเมือง Manchester โดยสายการบิน Etihad ซึ่งแวะพักที่อาบูดาบี้ จากนั้นบินไปลงที่ Manchester เมื่อถึงแล้ว เราก็นั่งรถไฟไปเมืองลิเวอร์พูล (Liverpool Lime Street) ซึ่งเป็นสถานีหลักของเมืองลิเวอร์พูล
การเดินทางทั้งหมดตลอดทริปนี้ จะใช้การเดินทางโดยรถไฟเป็นหลัก แนะนำให้จองตั๋วรถไฟล่วงหน้าก่อนเดินทางในเว็บไซต์จากเมืองไทยเลย เพราะจะได้ราคาที่ถูกกว่า สายการบินก็เช่นกัน เราใช้รถไฟและสายการบินของ Virgin เป็นหลักโรงแรมที่เราจองทุกเมืองคือ Travelodge ซึ่งจะมีอยู่ทุกเมืองที่ไปพัก ราคาย่อมเยาว์มากๆ เฉลี่ยคืนละประมาณ 30 ปอนด์ ไม่รวมอาหารเช้า ยกเว้นคืนที่มีการแข่งขันฟุตบอลที่ลิเวอร์พูลกับที่ลอนดอน ซึ่งจะตกคืนละ 100 กว่าปอนด์
ตลอด 10 กว่าวันที่อยู่ที่นี่ แนะนำให้ซื้อ simcard prepaid เลยค่ะ เพราะเราควรใช้ google map ซึ่งช่วยเราได้มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆและข้อมูลแม่นยำสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลา สายรถเมล์ รถไฟใต้ดิน บนดิน และเวลา มันเป๊ะสุดๆ มันทำให้เราบริหารจัดการเวลาได้ดีทีเดียว sim ที่ว่าราคา 20 ปอนด์ใช้ได้ 1 เดือน
วันแรก ไปถึงแมนเชสเตอร์ประมาณ บ่ายสอง นั่งรถไฟต่อไปลิเวอร์พูล ถึงประมาณ 4 โมงเย็น วันแรกจะได้เที่ยวแค่แถวๆ โรงแรม แต่กลางคืนถ้าอยาก hangout ก็จะมีร้านให้นั่งอยู่ในซอยที่อยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 300 เมตร ซอยนั้นเป็นตำนานของ beatles ค่ะ ช่วงที่ไปเป็นตุลาคม เป็นช่วงหน้าหนาว ทำให้มืดเร็ว และที่นั่น 5 โมงเย็น ร้านค้าก็ปิดกันเกือบจะหมดแล้วค่ะ

วันที่สองเที่ยวในเมืองลิเวอร์พูล เริ่มตอนเช้าเดินค่ะ เดินไปที่ท่าเรือ albert dock ไปรับประทานอาหารเช้าแบบผู้ดี๊ผู้ดีที่นั่น ปล.เห็ดดำอร่อยมาก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้มาอังกฤษ ก็ยังติดใจไม่หาย วิวสวยดี แล้วก็เดินชมวิวไปเรื่อยเปื่อย 
สายๆ หน่อยเราจะเดินข้ามถนนมาที่รถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้ที่สุดแล้วนั่งรถไฟไปเมืองเชสเตอร์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที แล้วเดินจากสถานีรถไฟเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตรน่าจะได้ จะเจอเมืองละมุน (Chaster City)เมืองนี้น่ารักสุดๆ จะเป็นร้านค้าตลอดสองข้างทาง สามารถหา fish and ship แล้วก็ afternoon tea ได้ที่เมืองนี้เลย ร้านฮิตคือร้าน 1 ปอนด์ (ทุกอย่างในร้านราคา 1 ปอนด์) ที่เมืองนี้มีโบสถ์ที่ไม่เหมือนที่อื่นเท่าไหร่ คือโบสถ์ Chaster เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ มีป้ายบอกอย่างชัดเจน ที่นี่สามารถเข้าไปชมได้ฟรี เป็นโบสถ์เดียวที่ให้ชมฟรี
ประมาณ 5 โมงเย็น เราก็นั่งรถไฟกลับมาที่เดิม แล้วเดินกลับโรงแรม หรือลงก่อนสถานี Lime Street 1 สถานีก็ได้ ช่วงเวลานี้จะเห็นเมืองลิเวอร์พูลยามค่ำคืน ที่แปลกตาไปอีกแบบ
วันที่สาม ไปดูฟุตบอลที่สนามแอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล
ก่อนไป เราจองตั๋วบอลในเว็บของลิเวอร์พูล จองตั๋วแบบ Kemps ไว้ ตอนเช้าไปฝากท้องไว้ที่ร้าน upper crust จากนั้นเราก็นั่งรถบัสไปที่สนามบอล ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เมื่อไปถึงสนาม ก็ไปถ่ายรูปกับป้าย the kop และประตู you'll never walk alone วันที่เราไปดู มีแข่งตอนบ่ายสาม ก็เลยเดินเล่นไปเรื่อย ซื้อของไปเรื่อย 
เที่ยงเราเดินกลับไปที่ Kemp ซึ่งหายากมาก เดินเข้าซอยไปไกลพอสมควร ไปทานข้าวเที่ยงที่นั่น อารมณ์ประมาณว่าจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เฝ้ารอชมการแข่งขัน มาเสวนาพูดคุยกัน ประมาณนั้น 
พอได้เวลาเราก็เดินไปที่ประตูทางเข้าตามที่ระบุในบัตร แล้วเข้าไปนั่งรอ ถ่ายรูปกับสนามบอล ด้านล่างของสนาม เราสามารถพนันบอลได้อย่างถูกกฎหมายอีกด้วย จบการแข่งขันประมาณ เกือบ 6 โมงก็นั่งรถบัสกลับมาที่ตัวเมืองลิเวอร์พูลอีกครั้ง
วันที่สี่ ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า ออกมาทานอาหารเช้าข้างๆ โรงแรม เดินเล่นอีกซักพัก แล้วค่อยเก็บของออกมาจากโรงแรม เรา check out โรงแรมที่เมืองนี้ แล้วลากสัมภาระขึ้นรถไฟไปเมืองเอดินเบรอะ เราจะไปถึงเมืองเอดินเบรอะ ประมาณบ่ายสอง ก็เอาของไปเก็บที่โรงแรมที่เอดินเบรอะ จากนั้นก็ออกมาเดินเล่นรอบๆ โรงแรม
เมืองนี้สวยและโรแมนติกมาก เดินสิบแปดรอบก็ไม่เบื่อ เมืองนี้เราก็มาครั้งที่สองแล้วเหมือนกัน เดินเล่นซักพัก เริ่มหิว ไปชิมเมนูคนอังกฤษ เป็นพวกของทอดๆ ที่ร้าน The slug and lettuce 
พอทานเสร็จก็เดินย่อย ด้วยการซื้อผ้าพันคอขนแกะ ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเมืองนี้ แล้วก็เข้าโรงแรม หลับฝันดี
วันที่ห้า ตื่นสายหน่อย ออกจากโรงแรมมาเติมความสดชื่น ที่ร้านกาแฟ ซึ่งมีหลายร้านมว๊าก เลือกได้เลย อยากแซ่บกาแฟร้านไหนที่อังกฤษ ร้านกาแฟที่หาง่ายอยู่ไม่กี่แบรนด์ หลักๆ จะเป็น Costa Cafe, Cafe Nero และ Starbucks นอกนั้นจะเป็นร้านพื้นเมืองเกร๋ๆ ให้นั่งลิ้มชิมรสกัน อย่าลืมไปถ่ายรูปที่ Heart of Midlothian มันเป็นไฮไลท์
สิบโมงเช้า ได้เวลาอันสมควร เราก็เดินขึ้นเขาขึ้นไปชม Edinbrugh Castle ปราสาทนี้เป็นปราสาทใช้คำว่าหินกึ่งปูนละกัน สร้างอยู่บนเขา เมื่อมองไปจากมุมสูงด้านบน จะเห็นวิวเมืองเอดินเบรอะรอบๆ ซึ่งสวยงามมาก แต่ลมจะค่อนข้างแรงในบางมุม ใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 2-4 ชั่วโมง ไม่รู้จะบอกว่านานแค่ไหน แล้วแต่คนว่าจะอินกับบรรยากาศข้างบนแค่ไหน (ครั้งแรกเราอยู่บนนั้นประมาณ 4 ชั่วโมง) ครั้งนี้อยู่แค่ 2 ชั่วโมงก็รู้สึกเบื่อแล้ว 
ช่วงเที่ยงๆ ก็เดินลงมาเรื่อยๆ มาหาร้านนั่งชิวเพื่อทานอาหารเที่ยงแล้วเดินเล่นต่อไปเรื่อยๆ พอได้เวลาอันสมควรประมาณก็ไป brunch ที่ The mussel and steak ร้านนี้อร่อยทุกอย่าง สั่งเลย หลักๆ จะมีเมนูเนื้อแกะ เนื้อ และหอย และสลัดแซลมอลที่มีเอกลักษณ์ดี
บ่ายคล้อย ก็เดินๆๆๆๆ ไปถ่ายรูปกับ Bobby หมาน้อยผู้ซื่อสัตย์ แต่ต้องเดินไกลพอสมควร ถ่ายรูปสองแชะ แล้วก็เดินต่อไปที่พระราชวังอีกที่หนึ่ง แต่อยู่คนด้านของเมือง แต่สามารถเดินได้ เพราะอากาศค่อนข้างเย็น เดินไปถ่ายรูปไป ไม่ค่อยเหนื่อย 
เดินไปเรื่อยๆ จนถึงพระราชวัง Hollyrood Palace เราเดินชมความงามของพระราชวัง (เอาจริงๆ ก็สวยสู้ที่อื่นไม่ได้ ในความคิดเห็นส่วนตัว) แต่ก็ถือซะว่า ไหนๆ ก็ไปแล้วก็ไปดูเค้าซะหน่อย เดินได้ซักพัก ก็ได้เวลาเย็นพอดี วันนี้เดินเยอะเป็นพิเศษ แต่มันยังไม่หมดแค่นั้น เรายังเดินกันต่ออีกประมาณ 2 กิโลเมตร ได้ 
วันนี้เบื่ออาหารฝรั่งแล้ว เราไป dinner กันที่ร้านอาหารไทยในเมืองนี้บ้าง ร้านนี้ชื่อ Phuket Pavillion เป็นร้านอาหารไทยที่เป็นที่รู้จักของคนเมืองนี้ เจ้าของเป็นคนใต้ อาหารเลยแซ่บเว่อร์จนนึกว่าอยู่เมืองไทยเลยทีเดียว อิ่มท้องแล้วก็เดินกลับมาที่โรงแรมเหมือนเดิม ราตรีสวัสดิ์ค่า
วันที่หก ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าอีกแล้ว วันนี้เราจะอำลาเมืองนี้ เดินจากโรงแรมไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อไปสนามบินเอดินเบรอะ วันนี้เราจะเดินทางไปลอนดอนแล้ว เย้ ได้เข้าเมืองแล้ว เราจะไปลอนดอนกันโดยเครื่องบินค่ะ ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง 
ถึงลอนดอนแล้วเราก็นั่งรถไฟเพื่อมาที่โรงแรม ที่นี่เราพัก Travelodge เหมือนเดิม แต่ที่นี่ราคาค่อนข้างแรง ประมาณ 100 ปอนด์เหมือนกัน แต่คือแบบว่า สะดวกมาก ใกล้รถไฟฟ้าสุดๆ ข้างๆ ก็มีร้านสะดวกซื้อ โอเคเลยที่นี่
วันนี้มาถึงบ่ายๆ ละ พอเข้าโรงแรมเสร็จ เก็บของให้เรียบร้อยแล้ว แล้วก็ออกมาข้างนอก เดินเล่นไม่ไกลจากโรงแรมมาก มาถึงที่นี่แล้วต้องไปรับบัตร londonpass ซึ่งเราใช้ได้ทั้งการขึ้นรถไฟ รถเมล์บางสาย และการเข้าสถานที่ต่างๆ ที่เราจะไปท่องเที่ยวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เราซื้อในเว็บได้ตั้งแต่อยู่เมืองไทย พอไปถึงลอนดอนก็ไปรับบัตรได้เลยค่ะ
รับบัตรเสร็จแล้วก็ไป china town เป้าหมายหลักของเราคือ เป็น Four Season มื้อนี้เราฝากท้องไว้ที่นี่ เป็ดเนื้อนุ่มช่างน่ารับประทาน ก็อร่อยดี แต่ก็ยังไม่เห็นความแตกต่างกับ four Season ที่สยามพารากอนนะ ที่เมืองนี้เดินเล่นได้ถึงมืด คนเยอะ และเป็นเมืองที่คึกคัก ซึ่งแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ที่เราไปเที่ยวมาก่อนหน้านี้ แล้วก็เดินเล่นบนถนน oxford จริงๆ สามารถเดินได้ตลอดทางจนถึงโรงแรมเลย แต่เราเดินไม่เก่ง เลยนั่งรถไฟใต้ดินกลับมาที่โรงแรม ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะ

วันนี้เหนื่อยแรงนะ เดินท้างงงงงวัน
วันที่เจ็ด แต่เป็นวันที่สองที่ลอนดอน วันนี้ตื่นแต่เช้า ล้างหน้าแปรงฟัน ออกจากโรงแรม ไปหากาแฟร้อนๆ รับทาน วันนี้ลอง costa cafe นะคะ กาแฟโอเคสำหรับคนที่ไม่ชอบกาแฟแรงๆ วันนี้เราเริ่มต้นนั่งรถไฟใต้ดินไปที่สถานี westminster ณ จุดนี้ เราสามารถเที่ยวได้หลายที่เลย เริ่มจากถ่ายรูปคู่กับ london eye ซึ่งเราไม่ได้เดินไปขึ้น เพราะใช้เวลาครึ่งวันสำหรับการต่อคิว ซึ่งเรามองว่า มันใช้เวลามากเกินไป เลยแค่ถ่ายรูปก็พอ หันหน้าหันหลังก็จะเจอ หอนาฬิกา Big Ben ซึ่งเป็นอีก 1 signature of London ที่เราต้องถ่ายรูปประมาณ 485 แชะ แล้วเลือกรูปที่ดีที่สุดเพียงรูปเดียวเพื่อ up ลง instagram 555
เดินไปอีกประมาณ 200 เมตร ข้ามถนนไปอีกช่วงถนน จะเจอโบสถ์ Westminster ซึ่งเราจะเข้าไปชมความงามของที่นี่ ก็มันน่าสนใจนี่หน่า^^
ชมความงามประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ ก็เดินต่อไปทางป้ายที่เขียนว่า Bukingham Palace เดินลัดเลาะผ่านสวนประมาณ 1 กม. กว่าๆ ก็จะเจอพระราชวังงดงาม บางวันถ้าโชคดีก็จะเจอ ทหารเปลี่ยนกะ แต่วันที่เราไป ไม่มี ก็ถ่ายรูปหน้าประตูพระราชวัง ถ่ายรูปอย่างสาสมแล้วก็เดินลัดสวนหน้าพระราชวัง ไปถึงถนนMayfair คือเราก็ไม่รู้หรอกว่าทางไหนคือ Mayfair ถึงบอกว่าให้ใช้ Google Map เพราะมันจะช่วยเราได้มาก
เย้ ๆๆ วันนี้เราจะได้ลิ้มร้านโครตดังของลอนดอน Burger and Lobster สาขา Mayfair ถ้าไปช้าจะไม่มีโต๊ะ ร้านเปิดตั้งแต่เที่ยงถึงค่ำๆ ที่นี่มีแค่ 3 เมนู แต่ที่เรากินคือ 2 เมนู อย่าถามว่าทำไมไม่กิน 3 เพราะ 2 ก็เอาอยู่ ขอบคุณ pantip ที่มา review ก่อนหน้านี้ ทำให้เห็นหน้าตาว่าเราต้องสั่งอะไร ก็ตามนั้น แล้วมันก็โครตอร่อยตามคำร่ำลือจริงๆ ด้วย 2 เมนู ราคา 50 ปอนด์ค่ะ เบาๆ ถือว่าคุ้มมาก
จากนั้นก็เดินๆๆๆ เที่ยวรอบๆ เมือง ที่นี่คึกคักดี เดินไม่เบื่อ ถ้าเบื่อก็นั่งบัสหรือ รถไฟใต้ดินได้ค่ะ ซึ่งใน google map จะบอกตำแหน่งของป้ายรถเมล์ และรถไฟฟ้าใต้ดินอย่างแม่นยำและดีมากๆ
ผ่านวันนี้ไปอย่างสวยงาม กลับโรงแรม นอนหลับฝันดี ฝันถึง Burger and Lobster ด้วย
วันที่แปด วันนี้ตื่นเช้ามา ก็นั่งรถเมล์ไปที่ Tower of London ชื่อป้ายรถเมล์ก็ตามนี้เลย ถ้ามี london pass เราจะไม่ต้องต่อคิวมาก แนะนำให้ไปเช้าที่สุดประมาณ 9 โมงจะดีมาก ไม่อย่างงั้นจะเจอทัวร์จีน ซึ่งคนต่อคิวประมาณ 48 ล้านคน ทำให้เราเสียอารมณ์ไม่ใช่น้อย ไปเช้าดีกว่า อันนี้คอนเฟิร์ม ที่นี่มีหลายอาคาร ควรเข้าไปดูทุกอาคาร แต่ละตึกจะมีตำนานที่เราอ่านไปเรื่อยๆ ก็สนุกดี 
ไฮไลท์ของที่นี่คือ ตึกกลางนะ เราจะได้ดูมงกุฎของกษัตริย์อังกฤษ ตั้งแต่ปี 1600 งามแรงมาก แต่ที่นี่จะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ 3-4 ชั่วโมง อย่างที่บอกว่ามีหลายอาคารและทุกอาคารก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจแตกต่างกันไป ทั้งชุดของทหารสงครามในอดีต อาวุธต่างๆ ม้ารบ เป็นต้น
ตกบ่ายก็กลับไป china town อีกรอบ แต่วันนี้มากินเป็ดอีกร้าน เป็นร้านที่พ่อครัวของ Four Season มาเปิดเอง ชื่อร้าน Gold Mine รสชาติและราคาก็พอๆ กัน แต่ร้านใหญ่กว่า แต่โต๊ะก็เล็กเหมือนเดิม การที่เราไปกินตอนบ่ายมีข้อดีตรงที่มันไม่ตรงกับคนอื่น เราจะไม่ต้องรอนานและไม่ต้องแย่งกับใคร จากนั้นก็เดินอีก เดินไปโบสถ์ St.Paul ซึ่งเป็นอีกโบสถ์ที่ต้องไป แต่ก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านในอีกเหมือนกัน
บ่ายแก่ๆ เราไป Selfriged เวิ้งนี้สามารถเดินได้ตั้งแต่ low-so ยัน สินค้า brandname ซึ่งเราไปทั้งสองที่ในบ่ายวันนี้แต่เริ่มที่ Harrod ก่อน จากนั้นไปที่ Selfriged ที่นี่มีทุกอย่างค่ะ ข้างๆ กันก็มี Mark&Spencer ที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ (เราคิดเอง) เพราะมันมีของเยอะมว๊าก ชั้นใต้ดินของ Selfriged มี Macaron ที่อร่อยเริ่ด พอๆ กับ Laduree เป็นมาการองสัญชาติฝรั่งเศสทั้งคู่ ชื่อ Pierre Herme ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีในไทย อร่อยดีค่ะ หมดไปอีก 1 วัน

วันที่เก้า วันสุดท้ายที่ลอนดอน ตื่นสายหน่อย นั่งรถบัสมาสถานี King Cross เพื่อขี้นรถไฟไปเมือง York พลาดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปกับ Platform 3/4 of Harry Potter ต่อคิวยาวยืด 
ที่นี่สามารถนำบัตร London Pass ไปคืนเพื่อขอรับเงินค่ามัดจำบัตรที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน บ๊ายบายลอนดอน
บ่ายแก่ๆ เราเดินทางถึงเมือง York ก็เข็นกระเป๋าไปที่พัก ที่นี่เราพักโรงแรมท้องถิ่น คืนละ 170 ปอนด์ รวมอาหารเช้า ที่นี่ดูแพงแต่ว่าเหมือนเราอยู่บ้านเลย ที่นี่เหมือนเป็นบ้านคนมาก่อน แต่ตอนหลังก็มาประยุกต์เป็นโรงแรม เจ้าของบ้านมาต้อนรับเอง เก็บของพักผ่อนพอหายเมื่อยก็ออกไปท่องโลกกว้างอันต่อ เดินเข้าตัวเมือง ใช้คำว่าตัวเมืองเพราะเราอยู่นอกกำแพงที่สร้างกั้นเมือง เมืองนี้มีกำแพงล้อมรอบ เดินเลาะกำแพงไปเรื่อยๆ เพื่อชมความงามของเมือง เป็นมนต์เสน่ห์อีกแบบ 
เดินผ่านร้านค้าเก่าๆ ที่มีตลอดสองข้างล่าง ไปถึงใจกลาง เป็นเหมือนถนนคนเดิน จะเจอร้านชาร้านหนึ่งดังมาก จะอยู่ตรงหัวมุม ชื่อ Betty Cafe Tea Rooms ต้องต่อคิวอีกเช่นเดิม ที่นี่ดังเรื่องชา เราก็จัด afternoon tea 1 set ซึ่งสามารถเลือกชาได้ 2 รสชาติ แล้วก็จะให้เราเลือกขนมตามชอบ ซึ่งหนึ่งในนั้นต้องมี Scone อย่างแน่นอน
พักได้หนึ่งอิ่ม ก็เดินต่อไปอีกนิดเพื่อชมความงามของ York Minster เค้าบอกว่าเป็นต้นตำรับของโบสถ์หลายแห่งในอังกฤษ ใหญ่มาก ข้างในสวยงามมาก ต้องเข้าชม ออกมาก็มืดพอดี เดินลัดเลาะเรื่อยๆ เพื่อกลับโรงแรม หมดไปอีกหนึ่งวัน
วันที่สิบ วันสุดท้ายของทริปนี้ ช่วงเช้าเรายังพอมีเวลา เดินเล่นในเมืองอีกรอบ ถ่ายรูปนู่นนี่นั่นไปเรื่อย ที่นี่ดูเก่าและขลังมากๆ เหมือนบ้านผีสิงห์ หรือ Adams Family ประมาณนั้น 



ชมเมืองหมดละ มีเวลาเหลือพอ ก็นั่งรถบัสไป York Outlet ที่นี่มีของขายเยอะเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มากเหมือน บิชเตอร์ หรือ outlet อื่นๆ ในลอนดอน ได้เวลาอันควรก็นั่งรถบัสกลับ แล้วไปเอากระเป๋าที่โรงแรม จากนั้นไป railway เพื่อนั่งรถไฟไปสนามบินแมนเชสเตอร์ค่ะ
กลับบ้านซะที ช่างเป็น 10 วันที่น่าประทับใจยิ่งนัก ถึงจะล้มลุกคลุกคลาน และหลงบ้าง แต่ก็นับเป็นรสชาติของการเดินทาง นี่แหละ เราจ่ายเงินที่เก็บมาทั้งปีเพื่อสิ่งนี้

เพราะชีวิตคือการเดินทาง^^

Akiko

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...