Ava Diary เพราะทุกชีวิตมีเรื่องราว by Akiko

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า การเขียนนั้นสามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้จริงๆ เพราะการเขียนเป็นกระบวนการเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกและเรื่องราวของเราให้เป็นตัวหนังสือ ดังนั้นการเขียนหนังสือทุกๆ วัน อย่างสม่ำเสมอจะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าเราคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ต้องการและไม่ต้องการอะไรในชีวิต และการเขียนมีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำให้เราได้มีโอกาสในการทบทวนตัวเองมากขึ้นอีกด้วย
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและโลกออนไลน์นั้นทำให้เรามีความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตมากขึ้นในทุกๆ ด้าน ทั้งการจัดการเรื่องส่วนตัว การสื่อสารกับคนรอบข้าง หรือแม้แต่การทำงานและการประกอบอาชีพก็ตาม ทุกวันนี้ เราทำงานและจดบันทึกสิ่งต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์ มือถือ และแท็ปเล็ต เราส่ง E-Card อวยพรวันเกิดเพื่อนแทนการเขียนการ์ด เราส่งอีเมลล์หากันแทนการเขียนจดหมาย เมื่อโลกและเทคโนโลยีหมุนไปอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องพยายามใช้ชีวิตให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและของโลก จนบางครั้งเราเองก็รู้สึกเหนื่อยที่จะวิ่งตามโลกแบบนี้ไปทุกวันเหมือนกัน

ความเจริญนั้นเปลี่ยนแปลงหลายๆ สิ่งในชีวิตของเราไปอย่างสิ้นเชิง #การเขียนหนังสือของเราก็เช่นกัน ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร หากเราลองลดความเร็วในการใช้ชีวิตดูบ้าง และลองกลับไปใช้ชีวิตวิถีเดิมๆ ก่อนเทคโนโลยีจะเข้ามาแทรกแซงชีวิตเราเสมือนกับว่าเป็นเซลเซลหนึ่งในร่างกาย ชีวิตเราอาจจะมีความสุขและสงบมากขึ้นหรือเปล่า หรืออย่างน้อยที่สุดร่างกายและหัวใจของเราก็มีโอกาสได้พักบ้าง ไม่ต้องวิ่งตามโลกตลอดเวลาเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

เมื่อกล่าวถึงการเขียน ฉันเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่แทบจะไม่ได้เขียนอะไรเลยในหนึ่งวันเพราะเทคโนโลยีทำให้การเขียนนั้นไม่มีจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของเราอีกต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกได้กับตัวเองคือ การเขียนในสมุดนั้นทำให้เราจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ยาวนานกว่าการพิมพ์ลงบนคอมพิวเตอร์ ฉันไม่คิดว่าสิ่งนี้คือการคิดไปเอง เพราะการเขียนทำให้เรากลั่นกรองเรื่องราวผ่านสมองน้อยๆ ของเราก่อนบันทึกลงไปในสมุด ซึ่งแตกต่างจากการพิมพ์ที่ถึงแม้จะรวดเร็วกว่าการเขียนมากมายนัก แต่สิ่งนั้นมักไม่ค่อยผ่านสมองเราเท่าไหร่ การลืมเรื่องที่เพิ่งพิมพ์ไปจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตของฉัน การจดบันทึกในสมุดจึงยังเป็นปัจจัยสำคัญของการเรียนและการทำงานของฉันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

แต่หากกล่าวถึงการจดบันทึกในชีวิตประจำวันหรือที่เราเรียกว่าการเขียนไดอารี่นั้น ส่วนใหญ่เราเห็นเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับคนที่ค่อนข้างมีอายุสักหน่อย หากจะมองหาการเขียนไดอารี่จากเด็กรุ่นใหม่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในยุคปัจจุบัน ฉันเคยถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เขียนไดอารี่ทุกวันซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่มีอายุมากกว่าฉันว่าทำไมท่านจึงต้องจดบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่คำตอบที่ฉันได้แทบไม่แตกต่างกันนั่นคือ "ฉันจะไม่ตอบสิ่งที่เธอถาม แต่ให้เธอลองเขียนไปสักสามเดือน แล้วกลับไปอ่าน เธอจะค้นพบว่า มันมีประโยชน์กับชีวิตเธออย่างมหาศาล" ฉันไม่เคยเชื่อจนเมื่อฉันได้ทดลองทำด้วยตัวของฉันเอง

จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็กๆ ก็บ้างเหมือนกันที่ฉันจดบันทึกเรื่องราวส่วนตัวลงในสมุด เขียนๆ เลิกๆ มาเป็นระยะ แต่เพิ่งจะมาเริ่มเขียนแบบจริงๆ จังๆ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันพยายามเขียนมันให้ได้ทุกวัน แต่ก็มีบางช่วงเวลาเหมือนกันที่ไม่ได้เขียนนานนับเดือน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ฉันต้องหยุดเขียนเรื่องราวของตัวเองไป ฉันก็จะต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ที่จริงฉันควรจะเขียนมันทุกวันโดยไม่มีข้อแม้ แต่ก็ยังมีบางวันที่ทำที่เป็นลืมหรือเผลอหลับไปเสียก่อนจนลืมทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จะบอกว่าฉันไม่ได้ให้ความสำคัญและสนใจมันเท่าที่ควรอย่างนั้นก็คงไม่ผิด แต่ไม่เป็นไร เราก็เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน แต่ก็อย่าให้มันต้องเริ่มต้นใหม่บ่อยจนเกินไป #ฉันกับการเขียนไดอารี่ก็เช่นกัน 
สิ่งที่ฉันจดบันทึกนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่ฉันให้ความสนใจ ทั้งตัวบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่ใดๆ สักแห่งบนโลกใบนี้ หรืออาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างแล้วต้องการจะเก็บเรื่องราวนั้นไว้เพื่อเป็นความทรงจำ หรือแม้แต่เป็นบทเรียน หลายครั้งที่ได้กลับไปอ่านในสิ่งที่ตัวเองบันทึกเอาไว้ ก็พบว่าในวันนี้เรามีความคิดเห็นและท่าทีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง บางเรื่องที่เราโกรธมากมายในวันนั้นกลับเป็นเรื่องที่ไร้สาระในวันนี้ บางเรื่องที่เรารู้สึกดีใจในวันนั้นกลับเป็นเรื่องที่เรารู้สึกเฉยๆ และกลับมีคำถามกับตัวเองด้วยซ้ำว่า ทำไมวันนั้นถึงดีใจได้ขนาดนั้น มีหลายๆ เหตุการณ์ที่ฉันจดบันทึกเรื่องราวแห่งความสุขในชีวิตจากหลากหลายเหตุผล หลากหลายสถานการณ์........ 

......การได้เริ่มงานใหม่ (ที่ตื่นเต้นเสมอถึงแม้จะไม่ใช่การทำงานครั้งแรกของชีวิต)
......การทำงานหรือทำอะไรที่ตั้งใจไว้ประสบความสำเร็จ เช่น ภายในเดือนนี้จะต้องวิ่งสะสมให้ครบ 100 กิโลเมตร หรือตั้งใจว่าจะเดินทางกี่ครั้งในปีนี้ พอทำได้ก็จะจดบันทึกเอาไว้
......การได้รับการโปรโมทให้เลื่อนตำแหน่ง 
......การได้ไปเที่ยวสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกเป็นครั้งแรกและเป็นเสมือน Dream Destination ของฉัน
......ความดีใจที่เกิดจากการได้ของขวัญวันเกิดที่ถูกใจหรือสามารถเก็บเงินซื้อสิ่งของที่อยากได้มานานได้สำเร็จ 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป และเราได้กลับมาอ่านย้อนนึกถึงความสุขที่เคยได้รับ ตัวอักษรที่เราร่ายมนต์ลงไปในสมุดบันทึกพอจะบ่งบอกได้ถึงปริมาณความพึงพอใจและความสุขในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี จนเราสัมผัสได้ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม ฉันกลับพบว่าน้อยครั้งนักที่ความสุขจากวัตถุหรือสิ่งของจะทำให้เรายังคงอิ่มเต็มอยู่จนถึงปัจจุบัน เช่น การได้กระเป๋าใบใหม่ ซึ่งอาจจะว๊าวสุดๆ ในตอนนั้น แต่มาวันนี้มันก็เป็นเพียงของเก่าชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง ความสุขเหล่านี้มีอายุค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับประสบการณ์บางอย่างในชีวิตที่เราอาจไม่ต้องจ่ายเงินแพงนักในการได้มันมา แต่ช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างเสียเหลือเกินกับของบางอย่างที่เราต้องแลกมันมาด้วยราคาที่แสนแพงเพียงเพื่อจะลืมมันไปในวันหนึ่ง 
แต่สิ่งหนึ่งในสมุดบันทึกที่มักมีความหมายยาวนานเสมอมักเป็นความสุขที่เกิดการประสบการณ์ชีวิตที่เราสร้างขึ้นด้วยตัวของเราเองหรือแม้แต่การสร้างมันร่วมกันกับใครสักคน อาจจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูงหรือคนรอบข้าง เช่น การเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวครั้งแรก หรือการได้ลองกินอาหารแปลกๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้กินในชีวิตนี้ การเก็บเงินซื้อบ้านหลังแรกในชีวิตได้ หรือการให้เงินเดือนเดือนแรกแก่พ่อแม่เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ความทรงจำเหล่านี้ อาจไม่หรูหรา ไม่น่าสนใจในระยะสั้น แต่แน่นอนว่า มันจะเป็นความทรงจำที่จะทำให้เรายิ้มได้ทุกครั้งที่ได้กลับไปเปิดอ่านอย่างแน่นอน 

จะว่าไปฉันเองก็นึกไม่ออกแล้วว่าตอนที่แม่ซื้อรถคันแรกให้นั้น ฉันรู้สึกอย่างไร เพราะรถก็เก่ามากจนต้องขายทิ้งไปแล้ว แต่การที่ฉันได้ไปเที่ยวยุโรปกับแม่ครั้งแรกและเราได้เล่นสกีด้วยกันบนยอดเขาจรุงฟราว ประเทศสวิสเซอร์แลนด์นั้น ฉันจะไม่มีวันลืม :) 
นอกเหนือจากเรื่องราวความสุขที่เรามักกลับไปอ่านเจอเมื่อเวลาผ่านไปแล้วนั้น ก็มีความทุกข์อีกจำนวนไม่น้อยที่อาจทำให้เราต้องเสียน้ำตาให้กับมัน และดูเหมือนว่าตอนนั้นฉันจะไม่สามารถผ่านมันไปได้ มันทั้งชอกช้ำและทรมาน แต่เมื่อมาถึงวันนี้ก็มีหลายเรื่องราวที่น่าขำและน่าหัวเราะใส่หน้าตัวเองสุดๆ ว่าวันนั้นฉันเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร ใครหลายคนเคยกล่าวว่า เมื่อเวลาผ่านไปและเราได้กลับไปอ่านไดอารี่ของตัวเอง เราอาจหัวเราะให้กับบางความทรงจำที่เจ็บปวด แต่จริงๆ แล้วฉันคิดว่า ก็คงมีบางครั้งเหมือนกันที่เราร้องไห้ให้กับสิ่งที่เราเคยหัวเราะในวันเก่าก่อน

ไดอารี่ทำให้ฉันได้มีเวลาทบทวนตัวเองในแต่ละวัน รวมถึงการเรียบเรียงความคิดของตัวเองก่อนที่วันใหม่จะเดินทางมาถึง บางครั้งก็บันทึกความสำเร็จ  ความสุข แต่บางครั้งฉันก็ใช้มันเพื่อบันทึกความผิดพลาด ความไม่สบายใจหรือไม่พอใจ ซึ่งมักมีประโยชน์เสมอเมื่อเราได้กลับไปอ่านมันอีกครั้ง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ถึงแม้มันอาจจะเป็นเรื่องที่ปัญญาอ่อนมากๆ หรือไร้สาระมากๆ ในตอนนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่บอกความจริงกับเราได้เป็นอย่างดี ว่าบางทีเราก็เคยเป็นคนอ่อนแอ หรือทำอะไรปัญญาอ่อน จนหาเหตุผลไม่เจอ ไดอารี่ก็เหมือนหนังชีวิต ที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่า ชีวิตจริงของคนบางคนก็ยิ่งกว่าในละคร #ฉันเองก็เคยมีโมเม้นต์แบบนั้นเช่นกัน
ถ้าถามว่าทุกวันนี้มีคนจำนวนเท่าไหร่ที่ยังเขียนไดอารี่อยู่เป็นประจำ ถ้าฉันตอบว่ามันคือคน 90% ของคนทั่วไปในสังคม คุณจะเชื่อไหม เพราะทุกครั้งที่เราถ่ายรูป อาหารที่เรากิน สถานที่ท่องเที่ยวที่เราไป หรือกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำร่วมกันกับครอบครัวหรือเพื่อนๆ ลง Facebook หรือ instagram นั่นก็คือการเขียนไดอารี่แบบหนึ่งเช่นกัน แต่เป็นการจดบันทึกผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คแทนการจดในสมุดโน๊ต ที่เราอาจจะมีวัตถุประสงค์ในการเขียนหรือการบันทึกที่แตกต่างกันไป ไดอารี่ที่เป็นสมุดและบันทึกโดยวิธีการเขียนอาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้ใครมาอ่าน หรือล่วงรู้ความลับบางอย่างของเรา เราอาจเขียนในสิ่งที่เรารู้สึกแต่ไม่สามารถบอกกับใครได้ แต่การบันทึกบนโลกออนไลน์นั้น แน่นอนว่าคงไม่ใช่ความลับและมักเป็นเรื่องที่เราอยากบอกต่อให้คนอื่นรู้เสียด้วยซ้ำ และโซเชียลเน็ตเวิร์คในปัจจุบันก็อำนวยความสะดวกให้เราสามารถเขียนเรื่องราวและเก็บรูปภาพได้ในเวลาเดียวกัน แถมยังเช็คอินโลเคชั่นได้ด้วยว่าเคยไปที่ไหนบนโลกใบนี้มาบ้าง ดีกว่านั้นคือปัจจุบันในทุกๆ วัน เฟสบุ๊คก็จะมาบอกเราว่า วันนี้เมื่อหลายๆ ปีที่ผ่านมา เราไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกับใคร ทำให้เราได้มีโอกาสย้อนรำลึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเรา จะว่าไปเฟสบุ๊คก็มีข้อดีไม่น้อยเหมือนกัน

ในขณะเดียวกันบางคนก็อาจมีวัตถุประสงค์ในการเขียนเพื่อแชร์ประสบการณ์ดีๆ ที่อาจเป็นแนวทาง เป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นความรู้แก่คนอื่นๆ ต่อไป แต่คนบางกลุ่มที่มีทัศนคติลบๆ ก็จะคิดว่า คนนั้นคนนี้ขี้อวด แต่ในมุมกลับกันฉันคิดว่าคนที่คิดแบบนี้ก็เป็นคนขี้อิจฉาไม่เบาเช่นกันนะคะ 555 แต่เอาเป็นว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ใครอยากจะทำแบบไหนก็ได้ตามใจ เรามาถึงยุคที่มีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตของตัวเองกันแล้วค่ะ
สำหรับฉันแล้ว ฉันใช้ทุกช่องทางในการบันทึกเรื่องราวชีวิต ปัจจุบันช่องทางหลักในการเขียนไดอารี่ของฉันคือสมุดคู่ใจสีชมพู และมีบ้างที่อาจเขียนเรื่องราวการเดินทางหรือการท่องเที่ยว การกิน หรือการได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค และบล็อคส่วนตัวของฉัน ส่วนหนึ่งเพราะต้องการเช็คอินโลเคชั่นนั้นไว้ด้วย เพราะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมาก่อนที่โซเชียลเน็ตเวิร์คจะอุบัติขึ้นบนโลกใบนี้ ฉันเดินทางท่องเที่ยวไปหลายแห่ง เคยจดไว้ในสมุดเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าสถานที่นั้นมันอยู่ตรงส่วนไหนของโลกใบนี้อยู่ดี เพราะไม่แน่ว่า เราอาจจะได้มีโอกาสเดินทางไปยังสถานที่ที่เราเคยไปอีกครั้ง เราจะได้รู้ว่า อะไรอร่อย ตรงไหนควรไป ตรงไหนสวย ตรงไหนดี นอกจากนี้ยังเป็นการแชร์ประสบการณ์ให้คนที่ชอบเหมือนๆ กันกับเราได้มีโอกาสไปสัมผัสประสบการณ์ดีๆ แบบนั้นบ้างเช่นกัน

นอกจากเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวของฉันแล้ว ฉันก็ยังเขียนเรื่องราวชีวิตตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมาผ่านบล็อคส่วนตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งหนังชีวิตของฉันอาจไม่เข้มข้นเท่าเรื่องราวของใครหลายคนหรือในนิยายบางเรื่องที่เป็นกระแส แต่หลายๆ สิ่งที่ฉันได้ก้าวผ่านมานั้นมีทั้งความผิดพลาด บทเรียน ความทุกข์และความสุขที่กลมกล่อมมากๆ ถึงแม้ตอนนี้ชีวิตของฉันจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็อาจเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นข้อคิดเตือนใจในการดำเนินชีวิต เพื่อไม่ให้ชีวิตของเขาเหล่านั้นต้องเจ็บ ต้องทุกข์เหมือนกับที่ฉันเคยเป็น เพราะฉันก็ยังเชื่อว่าเราสามารถเรียนรู้ผ่านบทเรียนชีวิตของคนอื่นได้ ถึงแม้การบอกเล่าเรื่องราวบางเรื่องผ่านชีวิตของคนอื่นจะเป็นความรู้มือสอง แต่ก็ใช่ว่าทุกเรื่องในชีวิตจะคุ้มค่าที่จะเสี่ยงเสมอไป นี่ชีวิตจริงนะคะ ไม่ใช่การเล่นหวย ที่ถูกกินบ้างก็ไม่เป็นไร
นี่ก็ผ่านปีใหม่มาแล้วหลายเดือน แต่ก็คงไม่สายเกินไป ฉันเริ่มเขียนไดอารี่อีกครั้งหลังจากห่างหายจากสมุดคู่ใจมาราว 4 เดือนเศษ ครั้งนี้ฉันเริ่มเขียนมันในวัน April Fool Day และจะพยายามเขียนทุกวันอย่างเช่นที่เคยทำมา หนังสือหลายเล่มแนะนำให้เราจดบันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตทุกๆ วันและจงรู้สึกขอบคุณสิ่งเหล่านั้นด้วยความรู้สึกขอบคุณจริงๆ เช่น วันนี้แม่ผัดกระเพราอร่อยมาก หรือวันนี้กาแฟอร่อยเป็นพิเศษ เป็นต้น แล้วสิ่งดีๆ ในชีวิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ ไม่ใช่เรื่องราวของไสยศาสตร์ แต่การที่เราพยายามนึกถึงสิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองทุกวัน จะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้ง่ายขึ้น แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่บางคนอาจไม่ได้นึกถึงก็ตาม การทำแบบนี้ส่งผลดีต่อการปรับทัศนคติให้เป็นบวกมากขึ้น เมื่อความคิดบวก ชีวิตก็จะบวก บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับฉัน มันคือเรื่องจริง

เอาเป็นว่า อย่าเชื่อจนกว่าคุณจะได้ลอง.......

P.S.Ava แปลว่า ชีวิต

Akiko

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...