"การเดินทางและการอ่านหนังสือ"
เมื่อพูดถึงการอ่าน หลายคนมักนึกถึงการอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ ที่สุดแสนจะน่าเบื่อ และเมื่อหลายปีก่อนเราคงเคยได้ยินผลสำรวจหนึ่งที่กล่าวว่า คนไทยอ่านหนังสือ 8 บรรทัดต่อปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฉันรู้สึกแปลกใจ เพราะในตอนที่เรายังเป็นเด็ก มนุษย์เด็กทุกคนจะต้องไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ และต้องมีการสอบวัดผลเพื่อเลื่อนชั้นเรียน เราทุกคนจึงถูกบังคับให้ต้องอ่านหนังสือเรียนกันเป็นประจำอยู่แล้ว นอกจากนี้คุณครูยังบังคับให้เราอ่านหนังสือนอกเวลาอีกเทอมละสองเล่มด้วย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เป็นแบบนี้เสมอมาจนเราเรียนจบ แต่พอเราเริ่มทำงาน ไม่มีสิ่งใดที่สามารถบังคับให้เราอ่านได้อีกต่อไป เราล้มเลิกกิจกรรมที่เราเคยทำในวัยเด็ก ทั้งๆ ที่มันเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์มากๆ ฉันไม่อยากโทษความเจริญของสังคมโลกที่ทำให้เราหมกมุ่นอยู่กับโลกออนไลน์และโซเชียลเน็ตเวิร์คมากจนเกินไปจนทำให้คนทั่วไปอ่านหนังสือน้อยลงมากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา #ฉันก็เช่นกัน
มาจนถึงตอนนี้ที่แก่พอจะระลึกได้ว่า ฉันเสียเวลากับมันมามากเท่าไหร่ หากฉันเอาเวลาที่บ้าคลั่งอยู่ในโลกโซเชียลมาอ่านหนังสือให้มากพอและฝึกเขียนหนังสืออย่างเป็นเรื่องเป็นราว ป่านนี้อาจมีชื่อของ Panlapa Akiko เป็นนักเขียนที่ติดอันดับ Best Seller ก็ได้หนา
จริงๆ แล้ว ฉันควรจะเริ่มอ่านหนังสือและเขียนหนังสืออย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ไม่เป็นไรในเมื่อไม่ได้เริ่มลงมือทำในเวลานั้น เวลาที่เหมาะสมรองลงมาก็คือ เวลานี้
ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน เราอ่านหนังสือกันน้อยลงจริงๆ แต่เรากลับให้ความสำคัญกับข้อมูลบนจอมือถือมากขึ้น เรารู้สึกว่าการซื้อหนังสือนั้นเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างแพง เพราะหนังสือสมัยใหม่ก็เล่มละหลายร้อยบาท บางเล่มก็มีราคาเป็นหลักพันบาท ในขณะที่ความรู้และข้อมูลที่หลั่งไหลอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นเป็นของฟรีที่สดใหม่กว่ามาก คนหลายคนจึงเลือกที่จะเสพข้อมูล ความรู้ทางด้านต่างๆ ที่ตัวเองสนใจผ่านโลกโซเชียลเสียมากกว่าการจับหนังสือที่เป็นกระดาษอ่านอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ฉันเป็นคนหนึ่งที่ใช้ความพยายามอย่างหนักมากในการลด ละ เลิก การเสพสื่อบนโลกโซเชียล ณ ปัจจุบัน และฉันก็ทำมันได้สำเร็จในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้หลายปีฉันเสพติดโซเชียลขั้นรุนแรงจนส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ ทั้งเรื่องการทำงานและการใช้เงิน คุณคงไม่เชื่อสินะว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นมีส่วนทำให้เราใช้เงินเพิ่มขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
สำหรับโซเชียลเน็ตเวิร์คในมุมมองของฉัน ณ ปัจจุบันนี้ ฉันคิดเอาเองว่าเต็มไปด้วยข้อมูลแฝงการขาย ทำให้รู้สึกว่า ข่าวสารหรือข้อมูลที่ได้รับมานั้นไม่ค่อยมีความบริสุทธิ์ของแก่นสารที่ต้องการจะสื่อเท่าไหร่นัก และหลายครั้งก็แฝงไปด้วยผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่เลวร้ายกว่านั้นคือการที่คนบางกลุ่มนำเรื่องส่วนตัวของบุคคลอื่นไปแชร์เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งพักหลังๆ เราเห็นข้อมูลข่าวสารในลักษณะนี้บ่อยมาก นี่อาจเป็นเหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจเสพโลกโซเชียลน้อยลง ไม่ได้ถึงกับตัดขาดหรอกนะ แต่ก็มีไว้เพียงเพื่อพอให้สามารถสื่อสารกับคนอื่น หรือเปิดรับข่าวสารที่เป็นประโยชน์จริงๆ บ้าง ในเวลาที่ฉันไม่มีหนังสืออยู่ในมือ ซึ่งก็ยังมีเว็บไซต์หรือเพจอีกจำนวนไม่น้อยที่เป็นสื่อกลางในการนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
สำหรับโซเชียลเน็ตเวิร์คในมุมมองของฉัน ณ ปัจจุบันนี้ ฉันคิดเอาเองว่าเต็มไปด้วยข้อมูลแฝงการขาย ทำให้รู้สึกว่า ข่าวสารหรือข้อมูลที่ได้รับมานั้นไม่ค่อยมีความบริสุทธิ์ของแก่นสารที่ต้องการจะสื่อเท่าไหร่นัก และหลายครั้งก็แฝงไปด้วยผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่เลวร้ายกว่านั้นคือการที่คนบางกลุ่มนำเรื่องส่วนตัวของบุคคลอื่นไปแชร์เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งพักหลังๆ เราเห็นข้อมูลข่าวสารในลักษณะนี้บ่อยมาก นี่อาจเป็นเหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจเสพโลกโซเชียลน้อยลง ไม่ได้ถึงกับตัดขาดหรอกนะ แต่ก็มีไว้เพียงเพื่อพอให้สามารถสื่อสารกับคนอื่น หรือเปิดรับข่าวสารที่เป็นประโยชน์จริงๆ บ้าง ในเวลาที่ฉันไม่มีหนังสืออยู่ในมือ ซึ่งก็ยังมีเว็บไซต์หรือเพจอีกจำนวนไม่น้อยที่เป็นสื่อกลางในการนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
แต่ในปี 2016 ที่ผ่านมา ผลสำรวจใหม่ของสำนักงานสิถิติแห่งชาติบอกว่าคนไทยอ่านหนังสือเยอะขึ้นมากจากเมื่อก่อน เฉลี่ยแล้ววันละ 66 นาที #ฉันก็เช่นกัน เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ฉันอ่านหนังสือได้เพิ่มขึ้นเยอะมาก ด้วยการใช้เวลาที่เมื่อก่อนนั้นหมดไปกับการเผือกเรื่องของชาวบ้านในโซเชียลเน็ตเวิร์ค เปลี่ยนมาบังคับให้ตัวเองอ่านหนังสืออย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดี หลังจากอ่านมาได้สักพัก จึงเห็นว่า แท้จริงแล้วหนังสือเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ ในช่วงเวลาที่เราต้องการอยู่คนเดียวเพื่อพักกาย พักใจ พักสมองจากเรื่องภายนอก มันทำให้เราไม่วอกแวกไปคิดนู่นคิดนี่ หรือคิดเรื่องไม่ดีเหมือนเวลาที่เรานั่งเฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไร ใจก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย หรือแม้แต่บางครั้งก็นั่งมโนเวลาที่ดูเรื่องราวของคนอื่นผ่านเฟสบุ๊คหรืออินสตาแกรม มันเหมือนเราได้ฝึกสมาธิไปในตัวอีกด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันเชื่อว่า เมื่อเราทำมากๆ แล้วเราจะแตกต่างจากคนอื่นๆ นั่นคือ "การเดินทาง" สำหรับฉันแล้ว การเดินทาง กับ การท่องเที่ยว นั้นมีความหมายที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก
การเดินทาง คือ การไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เราอยากจะไป เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่ง ทุกอย่างในสถานที่นั้นๆ ไปทดลองใช้ชีวิตเฉกเช่นคนในพื้นที่นั้นๆ จังหวัดนั้นๆ ประเทศนั้นๆ ตลอดระยะเวลาที่เราต้องอยู่ที่นั่น ซึ่งการเดินทางทำให้เราต้องปรับตัวค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องอากาศ และความเป็นอยู่ กายและใจต้องมีความพร้อมที่จะรับมือกับความแตกต่าง และความผิดพลาดที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
แต่การท่องเที่ยวอาจเป็นเพียงการไปยังสถานที่ที่เราต้องการจะไปเห็นบางสิ่งที่อยากเห็น เมื่อได้เห็น ได้ถ่ายรูปด้วยกันแล้วก็ถือว่าโอเคจบ ได้ไปแล้ว แต่เราอาจไม่ได้สัมผัสมุมมองของสถานที่นั้นๆ ในแง่อื่นๆ ทำให้เราอาจจะไม่เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ หรือสิ่งที่เป็นของจริงของสถานที่นั้นๆ ที่อาจไม่ได้มีแค่ด้านที่สวยงาม เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง ก็ย่อมต้องแสดงแง่มุมที่สวยงามเพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่อย่างไรแล้วไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง หรือการท่องเที่ยวก็ดีทั้งคู่หากได้ทำบ้างในบางช่วงชีวิต
โดยส่วนตัวแล้ว ฉันกลับชอบเดินทางมากกว่าท่องเที่ยว เพราะมันทำให้เราได้มีโอกาสพบเจอสิ่งแปลกใหม่ที่เราไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อน หรือบางสิ่งอาจรู้ข้อมูลอยู่บ้าง แต่ของจริงนั้นช่างแตกต่างกับสิ่งที่เราเคยรับรู้มาโดยสิ้นเชิง การเดินทางทำให้เรายึดติดตัวตนและความต้องการของตัวเองน้อยลง และยอมรับสภาพความแตกต่างระหว่างเรากับโลกได้มากขึ้น รวมไปถึงมนุษย์ที่อาจมีลักษณะ นิสัยใจคอ วัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่างจากเรา ทำให้เขาแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมือนเรา บางคนอาจคิดว่าการเดินทางนั้นคือการพักผ่อน ถ้าพูดถึงมุมของการพักผ่อนจากการทำงานหนักตลอดทั้งปีอาจจะใช่ แต่ถ้าคุณคิดว่ามันคือการพักผ่อนจากการใช้ชีวิต คุณคิดผิดค่ะ เพราะทุกๆ การเดินทางนั้นย่อมมีอุปสรรคบางอย่างรอคุณอยู่เสมอ อย่างน้อยที่สุดคือการพยายามมีชีวิตอยู่ในสภาพที่คุณไม่คุ้นเคย หรือแม้การกินอาหารที่ใครๆ ก็กินกัน แต่ทำไมมันต้องเป็นเราที่ต้องกิน แบบนี้เป็นต้น ไหนจะเรื่องการเดินทาง การหลงทาง สาระพัด สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้มีโอกาสฝึกทักษะการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ยากลำบากบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีในชีวิต
ชีวิตที่มีความสะดวกคือชีวิตที่อยู่กับสิ่งที่เราคุ้นเคย และมีสภาพเหมือนเดิมทุกๆ วัน เพราะนั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกว่าปลอดภัย แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเราจะออกไปลองใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีความสะดวกบ้างเพื่อให้ชีวิตมีสีสัน ได้ลุ้นระทึก ได้ตื่นเต้น ได้หวาดกลัว ได้สนุก ได้เปิดหู เปิดตา เปิดกะโหลกของตัวเอง และเพื่อให้สมองบางส่วนที่เราไม่ค่อยได้ใช้งานในช่วงเวลาปกติ ได้มีโอกาสขัดเกลาหรือพัฒนาบ้าง
การเดินทางทำให้ฉันรู้ว่า "แม่เรานี่ทำกับข้าวโครตอร่อยเลย และบ้านเรานี่คือสุดยอดของความสบาย ถ้าถามว่า ประเทศใดเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลก ฉันจะตอบอย่างเต็มปากว่าประเทศนั้นคือ ประเทศไทย ประเทศที่ไม่เคยหลับใหล และเดินออกมาเมื่อไหร่ก็มีของกิน เพียงแค่มีฟุตบาทเป็นใช้ได้"
บางคนอาจคิดว่า การเดินทางหรือการท่องเที่ยวนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ สิ้นเปลือง หาประโยชน์ไม่ได้ เพราะเราอาจต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งที่สูงกว่าการใช้ชีวิตประจำวัน เพียงเพื่อเปลี่ยนสถานที่ในการใช้ชีวิต ยิ่งถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจคิดว่าก็ในเมื่อเราอยู่ในประเทศที่ดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว จะต้องเดินทางไปที่อื่นทำไมให้เสียเวลา แต่เชื่อเถอะค่ะว่าการเดินทางจะทำให้ความคิด ทัศนคติ และชีวิตของเราเปลี่ยนไป
"หากไม่ได้เดินทาง เราอาจไม่รู้สึกว่าเรามีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในชีวิตของเราแล้ว"
ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศเท่านั้น หากเราไม่มีความพร้อมทางด้านร่างกาย หรือการเงิน การแบกเป้สักใบไปเที่ยวทะเล การปีนเขา หรือเดินป่า ก็ให้ประสบการณ์และความรู้สึกที่ไม่ต่างกันค่ะ เราอาจซื้อหลายๆ สิ่งบนโลกใบนี้ได้ด้วยเงิน แต่แน่นอนสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "ประสบการณ์"
การอ่านหนังสือและการแสวงหาความรู้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นคือประสบการณ์มือสองที่ผู้เขียนหรือผู้รู้พยายามถ่ายทอดให้เราได้ทราบข้อมูลนั้นๆ ผ่านสิ่งที่เขาได้เรียนรู้หรือพบเห็นมา แต่กับบางสิ่งในชีวิตนั้น การได้ลงมือทำ ได้รู้ ได้เห็น ด้วยตาของตัวเอง ย่อมเป็นประสบการณ์ตรงที่สดใหม่กว่า เพราะมันทำให้เราได้ซึมซับ รู้สึก และลึกซึ้งกับสิ่งนั้น มากกว่าการอ่านหนังสือหรือการดูรูปผ่านอินเทอร์เน็ต ดังนั้น มันจึงเป็นความจำเป็นที่เราต้องทำทั้งสองสิ่งควบคู่กันไป
..........มันจะดีแค่ไหนหากเราได้เดินทางไปพร้อมกับหนังสือคู่ใจสักเล่ม
ที่สามารถหยิบออกมาอ่านได้ในระหว่างทาง...........
By Akiko
อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันเชื่อว่า เมื่อเราทำมากๆ แล้วเราจะแตกต่างจากคนอื่นๆ นั่นคือ "การเดินทาง" สำหรับฉันแล้ว การเดินทาง กับ การท่องเที่ยว นั้นมีความหมายที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก
การเดินทาง คือ การไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เราอยากจะไป เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่ง ทุกอย่างในสถานที่นั้นๆ ไปทดลองใช้ชีวิตเฉกเช่นคนในพื้นที่นั้นๆ จังหวัดนั้นๆ ประเทศนั้นๆ ตลอดระยะเวลาที่เราต้องอยู่ที่นั่น ซึ่งการเดินทางทำให้เราต้องปรับตัวค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องอากาศ และความเป็นอยู่ กายและใจต้องมีความพร้อมที่จะรับมือกับความแตกต่าง และความผิดพลาดที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
แต่การท่องเที่ยวอาจเป็นเพียงการไปยังสถานที่ที่เราต้องการจะไปเห็นบางสิ่งที่อยากเห็น เมื่อได้เห็น ได้ถ่ายรูปด้วยกันแล้วก็ถือว่าโอเคจบ ได้ไปแล้ว แต่เราอาจไม่ได้สัมผัสมุมมองของสถานที่นั้นๆ ในแง่อื่นๆ ทำให้เราอาจจะไม่เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ หรือสิ่งที่เป็นของจริงของสถานที่นั้นๆ ที่อาจไม่ได้มีแค่ด้านที่สวยงาม เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง ก็ย่อมต้องแสดงแง่มุมที่สวยงามเพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่อย่างไรแล้วไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง หรือการท่องเที่ยวก็ดีทั้งคู่หากได้ทำบ้างในบางช่วงชีวิต
โดยส่วนตัวแล้ว ฉันกลับชอบเดินทางมากกว่าท่องเที่ยว เพราะมันทำให้เราได้มีโอกาสพบเจอสิ่งแปลกใหม่ที่เราไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อน หรือบางสิ่งอาจรู้ข้อมูลอยู่บ้าง แต่ของจริงนั้นช่างแตกต่างกับสิ่งที่เราเคยรับรู้มาโดยสิ้นเชิง การเดินทางทำให้เรายึดติดตัวตนและความต้องการของตัวเองน้อยลง และยอมรับสภาพความแตกต่างระหว่างเรากับโลกได้มากขึ้น รวมไปถึงมนุษย์ที่อาจมีลักษณะ นิสัยใจคอ วัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่างจากเรา ทำให้เขาแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมือนเรา บางคนอาจคิดว่าการเดินทางนั้นคือการพักผ่อน ถ้าพูดถึงมุมของการพักผ่อนจากการทำงานหนักตลอดทั้งปีอาจจะใช่ แต่ถ้าคุณคิดว่ามันคือการพักผ่อนจากการใช้ชีวิต คุณคิดผิดค่ะ เพราะทุกๆ การเดินทางนั้นย่อมมีอุปสรรคบางอย่างรอคุณอยู่เสมอ อย่างน้อยที่สุดคือการพยายามมีชีวิตอยู่ในสภาพที่คุณไม่คุ้นเคย หรือแม้การกินอาหารที่ใครๆ ก็กินกัน แต่ทำไมมันต้องเป็นเราที่ต้องกิน แบบนี้เป็นต้น ไหนจะเรื่องการเดินทาง การหลงทาง สาระพัด สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้มีโอกาสฝึกทักษะการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ยากลำบากบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีในชีวิต
ชีวิตที่มีความสะดวกคือชีวิตที่อยู่กับสิ่งที่เราคุ้นเคย และมีสภาพเหมือนเดิมทุกๆ วัน เพราะนั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกว่าปลอดภัย แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเราจะออกไปลองใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีความสะดวกบ้างเพื่อให้ชีวิตมีสีสัน ได้ลุ้นระทึก ได้ตื่นเต้น ได้หวาดกลัว ได้สนุก ได้เปิดหู เปิดตา เปิดกะโหลกของตัวเอง และเพื่อให้สมองบางส่วนที่เราไม่ค่อยได้ใช้งานในช่วงเวลาปกติ ได้มีโอกาสขัดเกลาหรือพัฒนาบ้าง
การเดินทางทำให้ฉันรู้ว่า "แม่เรานี่ทำกับข้าวโครตอร่อยเลย และบ้านเรานี่คือสุดยอดของความสบาย ถ้าถามว่า ประเทศใดเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลก ฉันจะตอบอย่างเต็มปากว่าประเทศนั้นคือ ประเทศไทย ประเทศที่ไม่เคยหลับใหล และเดินออกมาเมื่อไหร่ก็มีของกิน เพียงแค่มีฟุตบาทเป็นใช้ได้"
บางคนอาจคิดว่า การเดินทางหรือการท่องเที่ยวนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ สิ้นเปลือง หาประโยชน์ไม่ได้ เพราะเราอาจต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งที่สูงกว่าการใช้ชีวิตประจำวัน เพียงเพื่อเปลี่ยนสถานที่ในการใช้ชีวิต ยิ่งถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจคิดว่าก็ในเมื่อเราอยู่ในประเทศที่ดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว จะต้องเดินทางไปที่อื่นทำไมให้เสียเวลา แต่เชื่อเถอะค่ะว่าการเดินทางจะทำให้ความคิด ทัศนคติ และชีวิตของเราเปลี่ยนไป
"หากไม่ได้เดินทาง เราอาจไม่รู้สึกว่าเรามีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในชีวิตของเราแล้ว"
ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศเท่านั้น หากเราไม่มีความพร้อมทางด้านร่างกาย หรือการเงิน การแบกเป้สักใบไปเที่ยวทะเล การปีนเขา หรือเดินป่า ก็ให้ประสบการณ์และความรู้สึกที่ไม่ต่างกันค่ะ เราอาจซื้อหลายๆ สิ่งบนโลกใบนี้ได้ด้วยเงิน แต่แน่นอนสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "ประสบการณ์"
การอ่านหนังสือและการแสวงหาความรู้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นคือประสบการณ์มือสองที่ผู้เขียนหรือผู้รู้พยายามถ่ายทอดให้เราได้ทราบข้อมูลนั้นๆ ผ่านสิ่งที่เขาได้เรียนรู้หรือพบเห็นมา แต่กับบางสิ่งในชีวิตนั้น การได้ลงมือทำ ได้รู้ ได้เห็น ด้วยตาของตัวเอง ย่อมเป็นประสบการณ์ตรงที่สดใหม่กว่า เพราะมันทำให้เราได้ซึมซับ รู้สึก และลึกซึ้งกับสิ่งนั้น มากกว่าการอ่านหนังสือหรือการดูรูปผ่านอินเทอร์เน็ต ดังนั้น มันจึงเป็นความจำเป็นที่เราต้องทำทั้งสองสิ่งควบคู่กันไป
..........มันจะดีแค่ไหนหากเราได้เดินทางไปพร้อมกับหนังสือคู่ใจสักเล่ม
ที่สามารถหยิบออกมาอ่านได้ในระหว่างทาง...........
By Akiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น