ชายตาหาความสุข : What's the passion?

ผ่านชีวิตมานานกว่า 30 ปี เคยตื่นมาแล้วถามตัวเองว่า
สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ งานที่ทำอยู่ตอนนี้ ชีวิตตอนนี้ มันใช่แบบที่เราต้องการจริงๆ มั้ย
แน่นอนว่า ฉันก็ยังเป็นพนักงานออฟฟิส ที่ไม่ได้มีชีวิตที่ดีเริ่ด ไม่ได้รวยล้นฟ้า
จนไม่ต้องทำมาหากินอะไรอีกแล้วตลอดชีวิต
ไม่มีสามีรวยๆ มาเลี้ยงดูให้เป็นคุณนายไปวันๆ ไม่ได้มีความสุขตลอด 24 ชั่วโมง
ฉันก็ยังเป็นคนที่ต้องผจญรถติดทุกๆ วันตอนมาทำงาน ยังต้องเครียดกับประชุมในแต่ละวัน
ยังต้องนั่งทำงานที่ต้องต่อสู้กับคนหลากหลายรูปแบบ ยังต้องนั่งกินข้าวไปด้วยทำงานไปด้วย
ยังต้องรับโทรศัพท์ในวันหยุดและตอบอีเมลล์ในวันลาพักร้อน
แต่ฉันก็มักถามตัวเองอยู่เสมอ ว่าตอนนี้ฉันโอเคกับชีวิตตัวเองมั้ย
หลายๆ ครั้งที่นั่งบ่นกับชีวิต ทั้งเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัวก็ตามแต่ บ่นแต่ก็ยังทำ บ่นแต่ก็ยังเป็น มันเป็นเพราะเราอดทนไม่มีทางเลือกหรือมันเป็นเพราะเราเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ พอมองย้อนกลับไปเวลามีปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เราก็เหวี่ยงตัวเอง เหวี่ยงทุกคนบนโลกนี้ แล้วก็พ่นๆๆๆ ว่าจะไม่ทนอีกแล้ว จะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว จะหนีไปให้พ้น แต่พอผ่านพ้นปัญหานั้นไปได้ ก็กลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้ว ก็ไม่ได้อยากจะหนีไปให้พ้น แล้วพอปัญหาใหม่ผ่านมาก็มีความรู้สึกแบบนั้นอีก วนไปเช่นนี้มาเป็นสิบปี และหลายครั้งที่คิดว่าเปลี่ยนแล้วจะดีขึ้น ทั้งเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนการใช้ชีวิต เปลี่ยนงาน แล้วกลับพบว่า สุดท้าย ทุกสิ่งอย่างมีปัญหาแตกต่างกัน ต่อให้เปลี่ยนหนีไปเท่าไหร่ ก็มีปัญหารออยู่ตรงหน้าเสมอ

ฉันจึงได้เรียนรู้ว่า ชีวิตมันก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีหรอกที่จะราบรื่นตลอดเวลา อย่างน้อยมันจะต้องมีบทเรียนอะไรสักอย่างมาดิวกับเราเสมอ ให้เราแพ้หรือไม่ก็ชนะ เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ฉันมีปัญหาเรื่องงานอย่างหนัก จนคิดลบกับทุกสิ่งอย่าง ทั้งกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน รวมถึงคิดลบกับตัวเองด้วย เลยตั้งใจว่ารอได้โบนัสแล้วจะลาออก ส่วนจะไปอยู่เมืองนอกสักพัก หรือหางานใหม่ เดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าจะเอาชนะ ทำให้พวกเขาได้รู้สึกเสียบ้าง แต่ในจังหวะเดียวกัน ตอนนั้นได้ไปเที่ยวยุโรปพอดี ได้เข้าไปที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ในนั้นมีคนนั่งสวดมนต์ขอพรจากพระเจ้า ฉันจึงเดินดูรอบๆ เจอกระดาษที่มีบทสวดของศาสนาคริสต์ เขียนว่า.......

God, grant me the serenity to accept the things I cannot change,
Courage to change the things I can,And wisdom to know the difference.

พออ่านแล้วก็รู้สึกชอบมาก
เนื้อหาจะประมาณว่า
ขอให้ลูกมีจิตใจที่สงบ สามารถยอมรับในสิ่งที่ลูกเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ขอให้ลูกมีความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ลูกเปลี่ยนแปลงได้
และขอให้ลูกมีสติปัญญาที่จะแยกแยะความแตกต่างของสองกรณีนี้ได้

ขอออกตัวก่อนว่าฉันไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ และจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองนับถือศาสนาอะไร
หรือไม่ อย่างไร และถ้าแปลผิดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
จากบทสวดทำให้จิตใจฉันสงบขึ้น แยกแยะด้วยสติปัญญามากขึ้น เอาอารมณ์มาตัดสินตัวเองและคนอื่นน้อยลง
แล้วก็ได้เข้าใจว่า ที่ทุกข์อยู่ตอนนั้นมันเป็นเพราะคนอื่น เพราะที่ทำงาน
หรือมันเป็นเพราะตัวเองกันแน่ ก็เลยได้รู้คำตอบอย่างชัดเจน และยอมรับได้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เป็นอะไร มนุษย์ทุกคนก็ไม่สามารถหลีกหนีสิ่งที่เกลียด สิ่งที่กลัวได้พ้น
และคนที่ทำให้เราทุกข์ได้มากที่สุดก็คือตัวเราเอง ชีวิตมันก็เป็นเช่นนั้นแหละ

ในบางครั้ง ถ้าเราคิดว่าชีวิตเราบัดซบถ่มถุยมาก ให้ออกไปข้างนอกไปดูผู้คน หรือไปเดินทาง
แล้วเราจะได้เห็นว่า ชีวิตเรายังดีนะ มีคนอีกมากมายที่ชีวิตแย่กว่ามาก แล้วทำไม
เราต้องทำให้ชีวิตยุ่งยาก ทำไมต้องสร้างเงื่อนไข สร้างความทุกข์ให้ตัวเองเยอะขนาดนี้

หลายตำราชอบบอกว่า เราต้องทำสิ่งที่เรารัก เราถึงจะทำได้ดี แต่ฉันกลับไม่คิดแบบนั้น
ตราบใดที่เรายังต้องหากินด้วยสิ่งไหน ก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องทำด้วยสิ่งนั้นให้ดี
การรักไม่รัก ชอบไม่ชอบ ฉันมองว่าเป็นข้อแก้ตัวของความห่วยแตกของคนมากกว่า
สำหรับตรรกะส่วนตัวนั้นฉันมองว่า หากทำสิ่งใดด้วยความตั้งใจที่มากพอ จะชอบไม่ชอบ
ผลจะออกมาในมุมที่พอรับได้ค่อนข้างไปทางดี แต่จะไม่ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง
นั่นเป็นเพราะเราเกิดมาเพื่อใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ และไม่เชื่อเลยว่า
คนเราจะไม่มีความสุขโดยสิ้นเชิงจากการทำงานที่เราไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ
เพราะอย่าลืมว่า เราไม่ได้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ยังมีเวลาอีกไม่น้อยในแต่ละสัปดาห์
แต่ละเดือน แต่ละปี ที่มากพอจะให้เราเอาไปใช้กับสิ่งที่เราเรียกว่า passion จะนอนเฉยๆ
ดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือ เดินทางท่องเที่ยว ช็อปปิ้ง
ทำสิ ถ้าอยากทำ ส่วนใหญ่คนที่บ่น มักจะไม่ลงมือทำ แล้วก็พูดแต่ว่า ไม่มีเวลาจะไปเที่ยว
ไม่มีเวลาจะทำนู่นทำนี่ อ้างเงื่อนไขต่างๆ นาๆ ในการทำตัวเบื่อโลก ดราม่าไปวันๆ
ถ้า passion คือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ก็ทำเลย อย่ามัวแต่อยาก
อยากมีความสุข ก็ตัดคำว่าอยากทิ้ง แล้วมีความสุขเลย
ทำไมต้องอยู่อย่างอยาก........

ถ้าบอกว่าช่วงเวลาในการทำงานที่ไม่ได้รักเป็นความทุกข์
ธรรมชาติก็ไม่ได้สร้างให้มนุษย์เกิดมาเพื่อมีความสุขตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้วหรือเปล่า
และถ้าเป็นแบบนั้น เรายอมรับและปล่อยวาง แล้วทำหน้าที่ ทำชีวิตของตัวเองให้ดีที่สุดดีกว่ามั้ย
อย่างแย่ที่สุด ถ้าเราต้องเป็นทุกข์ 8 ชั่วโมงใน 1 วันที่มี 24 ชั่วโมง เท่ากับว่า เรามีความทุกข์
แค่ 1 ใน 3 ของแต่ละวันเองนะ ยังมีเวลาอีกตั้ง 2 ใน 3 ของวันที่เราสามารถใช้อย่างมีความสุขได้

จากวิกฤติวัยกลางคนที่ได้เจอทำให้รู้ว่า มันไม่แปลกเลยที่เรายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
ถนัดอะไร อยากเป็นอะไร แต่จะแปลกมาก ถ้าคนๆ หนึ่งจะไม่อยากทำอะไรสักอย่าง
ที่เป็นหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ เช่น การทำงานให้ดี มีประสิทธิภาพ
ให้สามารถสร้างคุณค่าแก่คนอื่นได้ มีรายได้เพียงพอที่จะจุนเจือตัวเองให้ไม่เดือดร้อน
ให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติงานที่เราทำอยู่ ให้เกียรติชีวิตของตัวเอง
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข

คนสมัยนี้มีความสามารถขั้นสูงในการยุ่งเรื่องชาวบ้าน จะดารา ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน
หรือแม้แต่คนอื่นที่เราไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำ เราจะรู้เรื่องของเขามาก
จนบางครั้งก็อาจมากกว่าเรื่องของตัวเอง ในบางวัน เราไม่เคยถามตัวเองเลยด้วยซ้ำว่า
ชีวิตที่เป็นอยู่ ดีแล้ว พอใจแล้วหรือยัง เห็นบางคนนั่งดูแต่ข่าวดารา ยุ่งอยู่แต่กับเรื่องของคนอื่น
ในขณะที่ประสิทธิภาพในการทำงานค่อนข้างต่ำ (แต่เอาจริงๆ คนเราก็ไม่รู้ตัวเองหรอก
เรามักจะคิดว่าเราทำงานดีแล้วเสมอ #ฉันก็เป็นเช่นกัน) เรื่องแบบนี้เป็นวิจารณญาณขั้นสูง
ของมนุษย์เกี่ยวกับการประเมินตัวเอง บางครั้งต้องให้คนรอบข้างเป็นคนให้คะแนน
ว่าเราทำถูกควรหรือไม่ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมองด้วยใจเป็นกลางเช่นกันว่าคนอื่นมองด้วยอคติ
หรือเราเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ฉันมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเราทำดีพอ
คนจะไม่ด่าเรามากจนเกินไป แต่มันก็ต้องมีบ้าง เพราะในเวลาหนึ่งๆ
เราคงไม่สามารถทำตามใจใครทุกคนได้ เนื่องด้วยในช่วงเวลาที่มีคนได้ประโยชน์
ก็จะมีคนส่วนหนึ่งที่เสียประโยชน์เสมอ แต่ถ้าวันไหนที่มองไปทางไหนก็ไม่มีใครอยากคุยกับเรา
สิ้นความศรัทธา หมดความน่าเชื่อถือ พูดอะไรไปก็ไม่มีใครเชื่อ
วันนั้นก็คงถึงวันที่ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองเสียแล้ว

ในหนึ่งวันเราควรจะหาเวลามานั่งคุยกับตัวเอง สำรวจจิตใจตัวเองบ้าง
หรือแม้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่กับลมหายใจโดยไม่คิดอะไรเลยก็ยังดี
ให้ชีวิตได้มีโอกาสใช้ชีวิตแบบละเลียดบ้าง ไม่ต้องล่ก หรือลวกๆ ไปซะทุกอย่าง

ถ้าคำว่า อนาคต ในแง่หนึ่งเป็นสิ่งที่คนทุกคนมีความกลัว
กลัวสิ่งที่กำลังจะเกิด หรือยังไม่เกิด ก็ควบคุมมันพอประมาณ
ไม่ประมาทมากนัก แล้ววางมันไว้ที่อนาคต กลับมาอยู่กับปัจจุบัน
แล้วทำมันให้ดีที่สุด แบบนี้ก็น่าจะเวิร์คเหมือนกันเน๊อะ^^

Akiko

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...