เป็นตัวเอง......ดีที่สุข : I am the best by Akiko

ตั้งแต่ได้เกิดมาเป็นเด็กน้อย จนผ่านวัน เดือน ปี และรอดชีวิตจนกลายเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ ก็ได้มีโอกาสผ่านพบผู้คนรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่เพื่อนสมัยอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่เพื่อนนอกโรงเรียน ไหนจะพี่ ป้า น้า อา เพื่อนของแม่ คนรู้จักของพ่อ ที่พวกเขาเหล่านั้นมักจะแนะนำลูกของตัวเองให้เพื่อนรู้จักด้วยการบอกชื่อสถานศึกษาหรืองานที่ทำก่อนชื่อของเรา (นี่ลูกสาว เรียนอยู่จุฬาฯ......นี่ลูกชาย เป็นกัปตัน อะไรแบบนี้เป็นต้น) แต่เป็นความโชคดีอย่างมาก ที่พ่อกับแม่ไม่เคยเอาฉันไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่น ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเด็กที่ไม่ได้เพอร์เฟคเท่าไหร่ในสายตาของเขาทั้งคู่
นอกจากผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้ว ก็ยังมีเรื่องราว และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ได้เรียนรู้ หรือแม้แต่สิ่งที่ได้พบเจอจากการการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ กับพ่อแม่ตอนเด็กๆ จนเติบโตพอที่จะไปกับเพื่อน หรือแม้แต่ไปด้วยตัวเองได้

ในหนึ่งชีวิตของคนก็คงจะผ่านหลากหลายเรื่องราวที่ร้อยเรียงให้เราได้จดจำ ได้เรียนรู้ มีคนเคยบอกฉันว่า การที่มนุษย์เป็นเช่นไรนั้น เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาเติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมแบบนั้น พอมองย้อนกลับไปตอนตัวเองเป็นเด็กที่มักจะอยู่กับผู้ใหญ่มากกว่าอยู่กับเด็กด้วยกัน (เพราะเพื่อนไม่ค่อยเล่นด้วยหรือเปล่า 555) ความคิดความอ่านของฉันก็เลยโตเกินอายุไปด้วย ทั้งนิสัยปากไว ใจร้อน เถียงเก่ง และกล้าได้กล้าเสียมากจนเกินไป บางครั้งก็ส่งผลเสียกับหลายสิ่งหลายอย่างเมื่อโตขึ้นมา ทำให้ต้องพยายามปรับตัวเอง จนในที่สุดก็คุยกับตัวเองรู้เรื่องและตกลงกันได้ว่า

"ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องกลัวใคร หากเราไม่ได้ทำในสิ่งที่ผิด แต่ควรให้ความเคารพและให้เกียรติคนที่ควรได้รับสิทธิ์นั้นไม่ว่าเขาจะอายุน้อยกว่า ทำงานในตำแหน่งที่ต่ำกว่า หรือมีฐานะที่ด้อยกว่าก็ตาม แต่ตรงกันข้ามก็ไม่มีจำเป็นใดเช่นกันที่เราต้องเคารพหรือให้เกียรติคนที่ไม่สมควรได้รับ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะอายุมากกว่า ตำแแหน่งสูงกว่า หรือรวยกว่าก็ตาม"

ซึ่งข้อนี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่สอนมาตั้งแต่เด็กๆ หรือที่พ่อเคยบอกว่า ถ้าคิดว่าใครทำแบบไหนแล้วเราไม่ชอบ ก็อย่าเผลอทำตัวแบบนั้น เพราะคนอื่นก็จะไม่ชอบเราเหมือนกัน แล้วก็อย่าเอาเปรียบคนอื่น อย่ากินแรงเพื่อน ทั้งเรื่องเรียน เรื่องทำงานหรือแม้แต่เรื่องเงิน เพราะถ้าเราต้องการ นั่นหมายความว่าคนอื่นเขาก็ต้องการเหมือนกัน เป็นต้น

ยอมรับว่าเวลาได้ฟังผู้ใหญ่คุยกัน ในตอนนั้นบางทีก็ไม่เข้าใจความหมายหรอก ได้แต่จดจำว่าคนแบบนี้เป็นแบบนี้ แล้วก็เก็บไว้เป็นชุดความคิดหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับอายุ ซึ่งบางทีก็ทำให้ฉันเผลอตัดสินคนอื่นก่อนที่มันควรจะเป็น เลยอดคิดไม่ได้ว่าผู้ใหญ่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันก็มีส่วนอย่างมาก

สมัยเด็กๆ ฉันเคยเป็นเด็กขี้อิจฉา ไม่ว่าจะอิจฉาเพื่อนที่เรียนเก่งกว่า อิจฉาเพื่อนที่สวยกว่า อิจฉาเพื่อนที่บ้านรวยมากๆ แล้วพ่อแม่ก็ตามใจ อิจฉาเพื่อนที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือแม้แต่ตอนทำงานใหม่ๆ ก็อิจฉาเพื่อนที่ได้ทำงานบริษัทดีๆ ได้เงินเดือนเยอะๆ เป็นแบบนี้เรื่อยมา แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น
เป็นความโชคดีมากๆ ที่ฉันได้มีโอกาสเจอเพื่อนคนหนึ่งอีกครั้งตอนฉันรับปริญญา ก็ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ และเรื่องราวของแต่ละคน เพราะไม่ได้เจอกันนานมาก ฉันขอบคุณนางมากๆ ที่มาในวันนั้น มันเปลี่ยนชีวิตฉันไปเลย นางบอกว่า รู้มั้ย ตลอดเวลา 10 ปีที่รู้จักกันมา นางอิจฉาฉันมาตลอด นางอิจฉาที่ฉันเรียนเก่งกว่านาง อิจฉาที่มีพ่อแม่ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด คอยไปรับไปส่งที่โรงเรียน ครั้งหนึ่งนางเคยมานอนค้างที่บ้านฉันเพราะมีกิจกรรมที่โรงเรียนตอนเช้า นางเห็นพ่อของฉันตื่นแต่เช้าและนั่งขัดรองเท้านักเรียนให้ฉันจนเงาวับ เห็นแม่เตรียมกับข้าวให้กิน ซึ่งเป็นปลาที่แกะแล้วและไร้ก้าง หลังจากนั้น พ่อของฉันก็ไปส่งเราสองคนที่โรงเรียนพร้อมกัน

นางบอกว่า วันนั้นนางเรียนไม่รู้เรื่องทั้งวัน โกรธเกลียดพ่อแม่ตัวเอง และก็พาลรู้สึกโกรธฉันเล็กน้อย (เหมือนเวลาที่ฉันอิจฉาใครสักคน ก็จะโกรธคนๆ นั้นเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ฉันเลย 555) เพราะพ่อกับแม่ของนางแยกทางกันตั้งแต่นางยังเล็ก พ่อไม่เคยกลับมาสนใจใยดีเลยแม้แต่น้อย ส่วนแม่ก็มีสามีใหม่ สุดท้ายต้องอยู่กับยายตามลำพัง เลยไม่เคยได้มีโอกาสแบบที่ฉันมี นางเล่าไปขำไป แต่ฉันกลับสะอึก ขำไม่ออกเลย พาลคิดได้ว่า ตลอดเวลาที่ฉันอิจฉาคนอื่น อิจฉาเพื่อนคนนู้น เพื่อนคนนี้ ในขณะเดียวกันก็มีคนที่อิจฉาฉันอยู่เช่นกัน ฉันมองดูชีวิตคนจำนวนมากที่ชีวิตดี๊ดี และตรูก็อยากจะมีเหมือนมรึงบ้างจังเลย แต่กลับมีคนอีกกลุ่มที่อยากมี อยากเป็น แบบที่ฉันเป็น บ่อยครั้งที่ฉันชักดิ้นชักงออยากเป็นแบบใครๆ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องเป็นตัวเองอยู่ดี

ตอนทำงานใหม่ๆ ฉันเคยรู้สึกกดดันเวลาเพื่อนถามว่า ทำงานบริษัทอะไร แล้วพอบอกไปก็ไม่มีคนรู้จัก หรือแม้แต่การได้เจอเพื่อนเก่าๆ ที่เรียนมาด้วยกันแล้วเพื่อนก็ได้ดิบได้ดีเป็นแอร์โฮสเตส ฉันก็น้อยใจตัวเอง และอิจฉาเพื่อน แต่พอได้มาเจอกัน ได้มีโอกาสคุยกัน อ้าว เพื่อนแอร์คนนี้ก็อิจฉาเพื่อนแอร์ด้วยกันที่ได้สามีรวย เป็นชาวต่างชาติ บลาๆๆ และตลอดเวลาที่กินข้าวอยู่ด้วยกัน ก็ยังว่าคนนั้น ด่าคนนี้ วิจารณ์คนอื่น ตั้งแต่หน้าตา การแต่งตัว เสื้อผ้า หน้า ผม ของเขาราวกับว่าคนเหล่านั้นทำอะไรผิดมา นางดูไม่มีความสุขเลย ดูรุ่มร้อน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเล่าให้เพื่อนฟังอยู่หยกๆ ว่านางเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวยุโรป ได้เงินเดือนสองแสนกว่า และเพิ่งถอยกระเป๋า Chanel มาเมื่อไม่นานนี้ ฉันฟังไปก็พลันคิดได้ว่า ถ้าคนภายนอกมองมา ก็คงอิจฉานางกันทั้งกราว เพราะผู้หญิงหลายคนก็อยากมีชีวิตดีๆ แบบนี้ แต่ถ้าได้มานั่งโต๊ะเดียวกันกับฉันในวันนั้นแล้ว คงจะรู้สึกแตกต่างออกไป

ตัดภาพกลับมาที่ออฟฟิสหนึ่งที่ฉันทำงาน มีน้องที่ทำงานสองคนที่ไม่ได้มีความโดดเด่นในด้านใดเป็นเศษ เป็นคนธรรมดาๆ ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราอะไร แต่นางกลับดูมีเสน่ห์ นางใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้สนใจคนอื่น หรือจะต้องเป็นแบบคนอื่น เที่ยวตามที่นางอยากจะไป เป็นแบบที่อยากจะเป็น แต่งตัวแบบที่อยากแต่ง ไม่ได้แฟชั่นนิสต้าจ๋าแต่ก็ไม่ได้เชยจนเป็นคุณป้า มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ก็ไม่ได้มากเกินไปจนดูโอเว่อร์ และนางดูมีความสุขตลอดเวลา ทั้งๆ ที่นางไม่ได้มีเงินเดือนสองแสนกว่า ไม่ได้มีกระเป๋า Chanel ไม่ได้ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อยๆ แต่นางก็มีความสุขตามอัตภาพของนางและไม่เคยนั่งด่าหรือวิจารณ์ใคร ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรให้ ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรทำให้น้องคนนี้มีความสุขได้ขนาดนี้
เพราะความสุขการไม่เสือกเรื่องของคนอื่น หรือ ความสุขคือใช้ชีวิตให้ผ่านเกณฑ์ความพอใจส่วนตัว และไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร แต่ถ้าดูจากน้องคนนี้แล้ว น่าจะต้องประกอบกันทั้งสองข้อ
กับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ มันไม่มีจุดสิ้นสุดสำหรับอะไรทั้งนั้น ถึงแม้ตอนนี้ความคิดความอ่านจะเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจนัก ว่าคนเราจะรู้จักพอจริงๆ คนที่ยังไม่มีก็อยากมี อยากเป็น อยากได้สิ่งที่ยังไม่ได้มา เป็นเช่นนี้วนไปค่ะ แต่กับคนที่จัดการกับความคิดของตัวเองได้ ก็จะมีความสุข เพราะไม่ต้องมัวแต่ไปอิจฉาคนอื่น แต่ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี ไม่ต้องอยากมีมันไปทุกอย่าง แต่กับคนที่ตกลงกับตัวเองไม่ค่อยได้ ก็อาจจะต้องอิจฉาคนอื่นเรื่อยไป และทำยังไงก็ไม่มีความสุข

ความอยากเป็นคนนั้น คนนี้ อยากมีแบบนั้น แบบนี้ มันอยู่กับฉันเรื่อยมาจนอายุยี่สิบปลายๆ ได้ผ่านโลก ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านคนมากขึ้น จึงคิดได้ว่า เป็นตัวเองดีที่สุด การพยายามเป็นแบบคนนั้นคนนี้แมร่งเหนื่อยมากค่ะ แต่พอยอมรับชีวิตตัวเอง พอใจในชีวิตของตัวเอง ให้เกียรติตัวเอง อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นเยอะเลย พักหลังๆ มา ฉันนั่งคุยกับตัวเองบ่อยมากจนเรียกได้ว่าเสพติด (หรือว่าบ้า) ตกลงกับตัวเองให้ได้ในเวลาที่สับสนหรือต้องตัดสินใจ ยอมรับข้อเสียและจุดด้อยของตัวเองได้มากขึ้น แล้วเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน (ยอมรับในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า อ่ะ ตรูนิสัยไม่ดี ทำงานห่วยแตก อ่ะ ชาวบ้าน ช่วยรับตรูให้ได้ด้วย ตรูจะไม่เปลี่ยนอะไรทั้งนั้น อันนี้ก็จะปัญญาอ่อนเกินไปหน่อย) ไม่เก่งก็ยอมรับว่าไม่เก่ง แล้วเรียนรู้ แต่ไม่ต้องสร้างภาพว่ารู้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ไม่มีเงินก็ยอมรับว่าไม่มี เราไม่ได้มีเหมือนคนอื่นเขา แต่เราก็ไม่ลำบากเหมือนคนอื่นเขาเช่นกัน ก็ใช้ชีวิตตามอัตภาพของเรา ใช้จ่ายให้เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ต้องดิ้นรนสร้างภาพให้ดูมีตลอดเวลา จนบางครั้งตัวเองก็รู้สึกอึดอัด บีบคั้น ไม่มีความสุขเสียเอง หรืออาจจะถึงต้องกู้หนี้ยืมสินและเบียดเบียนคนอื่น สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้อย่างหนึ่งคือ ที่เราคิดว่าคนอื่นสนใจเรา จริงๆ แล้วไม่มีใครสนใจเราหรอกค่ะ เราคิดไปเอง

หลายสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทำให้ฉันรู้ว่า ฉันไม่มีจำเป็นต้องเป็นเหมือนเพื่อนคนไหน ไม่จำเป็นต้องมีเหมือนใคร ไม่จำเป็นต้องทำแบบที่ใครๆ เขาทำ แค่ทำตัวเองให้มีความสุข เข้าใจตัวเองมากๆ ว่าต้องการอะไรในชีวิต เป้าหมายในชีวิตคืออะไร ซึ่งดีกว่าการมัวแต่สนใจเรื่องของคนอื่นเป็นไหนๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงทุกข์ร้อนเวลาที่เพื่อนถามว่าทำงานที่ไหน แล้วพอตอบไปก็ไม่มีใครรู้จัก หรือแม้แต่เพื่อนบางคนที่ลาออกไปจากที่เคยทำงานอยู่ที่เดียวกัน แล้วได้ไปทำงานบริษัทใหญ่โต ได้ดิบได้ดี ย้อนกลับมาถามฉันว่า ยังทำงานที่นี่อยู่อีกหรือ ฉันก็คงตอบแบบไม่รู้สึกอะไร เพราะฉันรู้แล้วว่าฉันโครตรักตัวเองเลย และไม่จำเป็นต้องอิจฉาใครเลยสักคน ถ้าทำแบบนี้แล้วจะดูชิค ดูแพง แต่มันไม่ใช่ตัวเอง อ่ะงั้นฉันไม่ชิคไม่แพงก็ได้ แต่ฉันพอใจ ฉันชอบที่ตัวเองถึงจะดูไม่ชิค ดูไม่แพงเหมือนคนอื่นๆ เพราะฉันมีความเชื่ออย่างหนักแน่น ว่าฉันจะเป็นคนที่มีความสุขได้ ไม่ว่าฉันจะหน้าตาแบบไหน จะอ้วน จะผอม จะทำงานที่ไหน เงินเดือนเท่าไหร่ ขับรถอะไร ใช้กระเป๋ายี่ห้ออะไร เพราะสิ่งที่เหล่านี้ทำให้ฉันมีความสุขน้อยลงไม่ได้ ฉันรู้แล้วว่า สิ่งเดียวที่จะทำให้ฉันมึความสุขน้อยลงก็คือ ความคิดของตัวฉันเอง ถ้าเราชอบตัวเองแล้วทุกอย่างจะสมานฉันท์
ฉันขอยกความดีความชอบให้กับทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งที่ดีต่อฉันอย่างจริงใจ หรือแม้แต่คนที่เคยดูถูกฉัน เคยนินทาว่าร้าย ขอขอบคุณที่คนเหล่านั้นที่ทำให้ฉันเป็นคนที่รู้จักรักตัวเองอย่างจริงใจ

อย่าเสียเวลากับอะไรที่ไร้สาระเหมือนอย่างที่ฉันเคยเป็นเลยค่ะ

Akiko


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...