''ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองต้องการไปที่ไหน แล้วจะเลือกเส้นทางถูกได้อย่างไร"
พอพูดถึงเรื่องนี้ หลายๆ คนก็คงรู้สึกกระอักกระอ่วน #ฉันก็เช่นกัน ยิ่งเมื่อกลับมามองตัวเอง ด้วยอายุอานามที่เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน หรือแม้แต่การได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าในวันเลี้ยงรุ่น ที่บางคนก็เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว มีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีนั่นมีนี่ หรือบางคนก็เริ่มสร้างครอบครัว มีลูกมีเต้า ได้ออกมาทำหน้าที่แม่บ้านดูแลลูกน้อยและสามีอย่างเต็มตัว และเริ่มมองถึงอนาคตอันไกลโพ้นของลูกและครอบครัวตัวเอง พอได้นั่งคุยกันอย่างออกรส ก็ทำให้เราเห็นตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉันเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางเป้าหมายชีวิตหรอก แล้วก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย ไม่ได้เป็นคนรวยระดับชาติที่มีเงินจำนวนมากจนสามารถซื้ออะไรก็ซื้อได้ไม่จำกัด ตรงกันข้ามฉันเองก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่ยังต้องกลับมาถามตัวเองเช่นกัน ว่าเป้าหมายของชีวิตฉันคืออะไร สิ่งที่ฉันได้พบจากการนั่งคุยกับตัวเอง ทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาและอนาคตที่กำลังจะมาถึง ฉันพบว่า ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่มีแผนการอะไรในอนาคตเท่าไหร่ และไม่มีเป้าหมายในชีวิตเหมือนกับคนหมู่มากในสังคม
จะเป็นไรมั้ย ถ้าฉันจะตั้งเป้าหมายในชีวิตของฉันในวันนี้
สิ่งที่ฉันคิดว่า มันจะสามารถทำให้ฉันมีชีวิตดี๊ดีได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
#ในส่วนของอดีตนั้นขอให้มันผ่านพ้นไป......
ข้อหนึ่ง ฉันจะรักตัวเอง ทำแต่สิ่งดีๆ ให้ตัวเอง ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ข้อสอง ฉันจะทำความเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างให้ดียิ่งขึ้น ฉันจะเริ่มฝึกมันเสียตั้งแต่วันนี้
ข้อสาม ฉันจะวางแผนทางการเงินของตัวเองให้ดี ดูแลตัวเองให้ได้และไม่เป็นภาระของคนอื่น
ซึ่งในข้อนี้ฉันคิดว่า ฉันทำมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว
ข้อสี่ ฉันจะเดินทาง อ่านหนังสือ และทำสิ่งแปลกใหม่ในชีวิตเสมอ เพื่อลดอัตตาอันมากโขของตัวเอง
ในส่วนของข้อหนึ่ง เราอาจจะคิดว่า เราทำได้แน่ๆ อยู่แล้ว ใครจะไม่รักตัวเอง เราก็อยากให้ตัวเองได้รับแต่สิ่งดีๆ อยู่แล้ว #ฉันก็เช่นกัน แต่สิ่งที่ดีไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ บ้านที่ดี รถที่ดี กระเป๋าแบรนด์เนม อาหารดีๆ และการออกกำลังกายเพียงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงเป้าหมายข้อสองของชีวิตฉันด้วย นั่นก็คือ การทำให้จิตใจสูงขึ้น เมตตามากขึ้น โกรธคนอื่นน้อยลง เข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้น ยอมรับในความไม่เหมือนของตัวเองกับคนอื่นๆ อย่างที่ฉันเคยพูดเสมอว่าความสุขประกอบด้วย
การไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น
การไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น รักและพอใจตัวเอง
การไม่ตัดสินคนอื่น
และการไม่คิดแทนคนอื่น
การที่ 1 และ 2 นั้น ฉันฝึกมันมาหลายปีแล้ว แต่เรียกได้ว่าตอนนี้ค่อนข้างชำนาญการเลยทีเดียว ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ยกเว้นแต่คนอื่นที่ว่าจะอยากให้ฉันรับรู้เรื่องของเขา ฉันชอบเอาเวลาที่มีมาทำเรื่องของตัวเอง เช่น การนั่งคุยกับตัวเอง (จนบางทีก็เหมือนคนบ้า เพราะคุยออกเสียงด้วย) หรือแม้แต่คุยกับโซฟา โต๊ะ เตียงที่บ้าน เวลาทำความสะอาดบ้าน คุยกับแก้วสตาบัค เป็นต้น และตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลายๆ ครั้งที่เรานั่งคุยกับตัวเอง เราจะอยากรู้ว่า เราต้องการอะไร แล้วมันจะโฟกัสอยู่แต่สิ่งนั้น พอทำได้ด้วยตัวเอง ก็จะรู้สึกดี และโครตรักตัวเอง (ตรูนี่ก็ไม่เบานะเนี่ยะ) แล้วเราก็จะไม่อยากเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไปโดยปริยาย
แต่การที่ 3 และ 4 คือสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องฝึกฝนอย่างมาก เพราะมันส่งผลทางลบต่อชีวิตของฉันจนรู้สึกได้ หนักถึงขั้นว่า บางครั้งการได้ยินหรือเพียงแค่มองเห็นคนบางคน ก็ทำให้ฉันอารมณ์เสียได้อย่างมากมาย ไหนจะเรื่องเหวี่ยง วีน โวยวาย โดยเฉพาะเรื่องงาน ถ้าไม่ได้อย่างใจ หรือไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ เพื่อนร่วมงานอาจจะตายเรียบราวกับออกศึก สิ่งที่ได้รับไม่ใช่ผลงานที่ดีขึ้น แต่ความเครียดของฉันต่างหากที่เพิ่มขึ้น ความผิดพลาดต่างๆ ก็เพิ่มขึ้น อารมณ์เสียกลับมาที่บ้าน จนบางครั้งเข้านอนแล้วก็ยังไม่วายต้องคิดถึงคนที่เราโกรธ และไม่พอใจ เป็นแบบนี้มาหลายปี ในเมื่อคนเราต่างที่มา และต่างมีเหตุผลของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น หลายครั้งหลายหน ที่มีคนพร่ำบอกว่าการปรับตัวเองนั้นง่ายกว่าการพยายามเปลี่ยนสิ่งอื่นๆ คนอืนๆ ซึ่งเขาก็เป็นแบบนั้นมาทั้งชีวิตเช่นกัน
ที่ผ่านมานั้น ฉันได้ผ่านเหตุการณ์และเรื่องราว อีกทั้งผู้คนมากมาย ทำให้ได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง ได้เรียนรู้ที่จะอยู่ จะเป็นในแบบต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป บ้างก็ดี บ้างก็เป็นบทเรียนให้เราได้รู้ว่า เราอยากเป็นเจ้านายแบบไหน เป็นลูกน้องแบบไหน เป็นพี่น้อง เพื่อนฝูงแบบไหน แบบแฟนแบบไหน หลายๆ อย่างจะทำให้เราเติบโตต่อไปในทิศทางที่มันควรจะเป็น หรือแม้แต่การปฏิสัมพันธ์ในทางสร้างสรรค์กับคนที่ฉันไม่ค่อยถูกชะตา ฉันได้เรียนรู้ว่า การวางเฉย ไม่สุงสิงนั้น เป็นการปฏิสัมพันธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เราไม่ชอบ ไม่จำเป็นต้องหงุดหงิด อารมณ์เสีย หรือด่ากราด แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องปั้นหน้า เสแสร้งแกล้งทำว่าชอบเช่นกัน
#ไม่ต้องรักมากหรือเกลียดมากจนเกินไป เอากลางๆ ก็พอ
#ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา วางเฉยและฝึกความเมตตาไป
#ถ้าเราเกลียดใครในสมองเราจะคิดแต่เรื่องของคนๆ นั้น เสียเวลาชีวิต
และนี่อาจถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องปรับเพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตของตัวเอง
"เงินซื้อความสุขได้ค่ะ แต่เงินช่วยคลายความทุกข์ไม่ได้"
ดังนั้นเป้าหมายชีวิตข้อสามจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ฉันตั้งเป้าว่าฉันจะต้องวางแผนทางการเงินของตัวเองให้ดี ดูแลตัวเองให้ได้และไม่เป็นภาระของคนอื่น และไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ฉันได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมีข้อความว่า หากเราไม่รู้ว่าเป้าหมายชีวิตของเราคืออะไร เราจะไม่มีทางตั้งเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้อความนี้เป็นความจริง
เมื่อก่อนฉันคิดว่า เป้าหมายทางการเงินที่ดี คือการทำยังไงก็ได้ให้มีเงินไม่จำกัด สามารถจัดหาทุกอย่างได้ตามความต้องการ แต่บรรดาคนที่ประสบความสำเร็จและมีอิสรภาพทางการเงินหลายคนกลับพูดตรงกันว่า พอคนเรามีอิสรภาพทางด้านการเงินแล้ว จะอยากซื้ออยู่ไม่กี่อย่าง และมีบางส่วนเป็นการซื้อเพื่อแก้ปมในวัยเด็ก เพราะฉะนั้นที่ตั้งต้นมาว่าอยากมีเงินเพื่อตอบสนองกิเลสของตัวเองได้ มันกว้างเกินไปและแทบจะจับต้องไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายที่แย่สิ้นดี
#เพราะกิเลสคนเรายังไงก็ไม่มีวันจบสิ้นหรอก ต่อให้เราหาเงินได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์ก็จะมีความสามารถในการขยับความอยากของตัวเองให้เทียบเท่ากับรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ในหนังสือบอกว่าให้ถามตัวเองว่า ชีวิตต้องการทำอะไร อยากเป็นอะไร อยากไปที่ไหน ถ้ายังคิดไม่ออก ให้ปิดห้องนั่งคุยกับตัวเอง แล้วเอากระดาษกับดินสอมาจด ไล่สิ่งที่อยากมี อยากทำ อยากเป็นทั้งหมด แล้วหลับตาคิดว่า ถ้าวันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต สิ่งไหนที่เรายังไม่ได้ทำ ยังไม่มี ยังไม่เป็น แล้วเรารู้สึกเสียใจมากที่สุด นั่งมโนให้ถึงขั้นสะเทือนใจ อะไรที่โผล่มาตอนนั้น นั่นแหละคือสิ่งที่ควรทำ และจากผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์กับระหว่างเรากับใครสักคน ไม่ว่าจะพ่อแม่ พี่น้อง สามี ภรรยา ลูก หรือแม้แต่คนรอบตัว
ดังนั้นจึงไม่ควรเอาเรื่องเงินมาตั้งเป็นเป้าหมายชีวิต แต่ควรเอาเป้าหมายชีวิตตั้งต้น เพื่อค้นหาเป้าหมายทางด้านการเงินมากกว่า บางคนตั้งเป้าว่าอยากมีเงินร้อยล้าน แต่พอถามว่า ถ้ามีแล้วจะเอาไปทำอะไร ก็ตอบได้แค่ว่า จะได้ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ พอถามต่อว่าอยากได้อะไร บางทีก็ยังตอบไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากได้อะไร แล้วแบบนี้จะไปถึงจุดๆ นั้นได้อย่างไร เพราะเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้ คือเป้าหมายที่ชัดเจนและอธิบายได้อย่างไม่ตกหล่น ตอบได้ทุกรายละเอียด #เรื่องเงินก็เช่นกัน
สำหรับฉันแล้ว กิเลสหรือความอยากมีสองมุม มุมหนึ่ง ฉันตั้งชื่อเองว่า กิเลสที่บริสุทธิ์ คือ ความอยากได้ อยากมี ที่เป็นความต้องการของตัวเราจริงๆ เราอยากได้เพราะเรารู้สึกว่าเราคู่ควร มันเหมาะกับเรา ส่วนอีกมุมหนึ่ง คือ กิเลสที่ถูกเจือปน ซึ่งเป็นการอยากได้ อยากมี เพื่อต้องการให้คนอื่นเห็นว่าเรามี แต่จริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่ได้มีความสุขกับการมีสิ่งนั้นเท่าไหร่ แต่จะมีความสุขต่อเมื่อคนอื่นรับรู้ว่าตัวเองมีเสียมากกว่า คนส่วนใหญ่มีทั้งสองมุม
สำหรับตอนนี้ เป้าหมายทางการเงินของฉันคือการผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้นด้วยการจ่ายมากกว่าค่าผ่อน 10% ในทุกๆ เดือน (ว่ากันว่า จะทำให้เราหมดหนี้เร็วขึ้น 8 ปี) แต่ในระหว่างเส้นทางการผ่อนบ้านนี้ ก็ต้องเก็บเงินเพื่อการเกษียณและเติมเต็มชีวิตตัวเองด้วยเช่นกัน ดังนั้นแผนทางการเงินจึงแบ่งได้ 6 ส่วนคือ
1 เงินเก็บฉุกเฉินที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 6 เดือนของค่าใช้จ่ายรายเดือนและค่าผ่อนบ้าน2 เงินออมที่ส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทฯ
3 เงินออมสำหรับจ่ายประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เอาไว้ออมเงิน และประกันสุขภาพที่รวมการคุ้มครองจากโรคร้ายต่างๆ พวกมะเร็งหรืออะไรพวกนั้น หากป่วยก็ไม่อยากเป็นภาระของครอบครัว
4 เงินออมเข้ากองทุน LTF เอาไว้ออมเงินและลดภาษี
5 เงินออมเข้ากองทุน RMF อันนี้ต้องลืมไปเลยว่าเคยออม เพราะกว่าจะถอนได้อีกทีก็อายุ 55 ปีนู่น ส่วนนี้เป็นส่วนที่เก็บน้อยที่สุดและเริ่มช้าที่สุด แต่มีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่าวันหนึ่งมันจะเป็นระเบิดเงินที่จะช่วยให้เรามีเงินใช้จ่ายยามเกษียณได้ อารมณ์ว่าไม่มีลูก ไม่มีผัว ก็อยู่ได้อะไรประมาณนั้น
6 เงินออมสำหรับเดินทางและเติมเต็มชีวิตตัวเองเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตข้อสี่ ฉันตั้งใจไว้ว่าอยากเดินทางท่องเที่ยวทุกปี หรือแม้แต่การซื้อของสะสมต่างๆ ตาม passion ของตัวเอง เชื่อว่าคนเราต้องมี passion อะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายให้ใครเข้าใจได้ และเราจะหมดเปลืองไปกับสิ่งนั้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องอยู่บนความพอดี พอดีคือใช้จ่ายในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเงินที่หามาได้ เพราะฉันได้เรียนรู้แล้วว่า ถ้า passion คือการเบียดเบียนตัวเอง การจ่ายจนไม่มีเงินเหลือเก็บ แบบนั้นไม่เรียกว่า passion เรียกว่า เวรกรรม มากกว่า
จริงๆ แล้ว ฉันปรับเป้าหมายทางการเงินของตัวเองมาได้สักพักหนึ่งแล้ว มันทำให้แนวทางในการดำเนินชีวิตชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ พอทำตามนั้นก็รู้สึกว่ามันดีกับชีวิต นี่แหละข้อดีของการมีอายุมากขึ้น เพราะทุกบทเรียน ทุกความผิดพลาดที่เราเคยทำมา มันได้หลอมรวมเป็นประสบการณ์ที่จะสั่งสอนให้เรารู้ผิดชอบชั่วดี และทำให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้น #รู้อะไรไม่สู้รู้งี้
ฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยผ่านการช็อปปิ้งอย่างบ้าคลั่ง มีเยอะเข้าไว้ ชอบซื้อของ sale ที่มีสีไม่มีไซส์ มีไซส์ไม่มีสี บางทีซื้อมายังไม่รู้เลยว่าจะเอามาทำอะไร สุดท้ายก็ได้เรียนรู้ตอนย้ายบ้านว่า ข้าวของประดามีนั้น จริงๆ แล้วไม่ต้องมีเยอะชิ้นนัก แต่ให้เน้นคุณภาพและมูลค่าของมันดีกว่า อย่าเน้นปริมาณเลย ซื้อของดีๆ ใช้ได้นานๆ ไม่ต้องตามสมัย ตามแฟชั่น หรือตามเทคโนโลยีมากจนเกินไป เพราะตามยังไงก็ไม่มีทางทัน ต้องคนที่เคยหมดเนื้อหมดตัวไปกับสิ่งนี้เท่านั้นถึงจะเข้าใจเป็นอย่างดี
ในทางกลับกันบางคนก็มองว่าการใช้ของดีๆ ใช้แบรนด์เนม หรือเครื่องประดับของจริงเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เกินตัว แต่ถ้าเทียบกับอายุการใช้งานและมูลค่าของมัน อาจพอเห็นภาพว่าแบบไหนคุ้มกว่า ไม่ได้ดูถูกของถูก เพราะของดีไม่จำเป็นต้องแพง แต่ของแพงส่วนใหญ่จะดี (อันนี้เข้าใจตรงกันนะคะ) แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ใครฟุ่มเฟือยจนเกินตัว เราเท่านั้นที่รู้ตัวเองดีที่สุดค่ะว่าความพอดีอยู่ตรงไหน ถ้าเราอยู่ในจุดที่ไม่มีปัญหาทางด้านการเงิน หาเงินเองได้ ไม่เดือดร้อน ก็ใช้เลยค่ะ เพราะความสุขและเป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่มีการต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างตัวฉันเอง ฉันให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก เพราะบ้านคือที่พักกายและพักใจที่ดีที่สุด พอเริ่มทำงาน เริ่มมีเงินเก็บ ก็จะคิดถึงเรื่องบ้านก่อนเป็นอันดับแรก และแม่ก็ค่อนข้างสนับสนุน เพราะฉันเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่เลยต้องหาทางออกด้วยการผ่อนบ้าน ซื้อกองทุน หรือทำยังไงก็ได้ให้ไม่มีเงินสดอยู่ที่ตัว ฉันฝันไว้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านหลังน้อยๆ ที่เหมาะสมกับชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง และเหมาะสมกับความสามารถในการหาเงินเพื่อผ่อนมันไปจนหมดอย่างไม่ลำบากกายลำบากใจจนเกินไป และเหมือนมันจะเป็นสิ่งเดียวที่คุ้มค่าที่สุดตั้งแต่เลือกซื้อมา
ตอนทำงานแรกๆ ก็เลือกคอนโดก่อน เพราะตอนนั้นเงินเดือนและเงินเก็บยังไม่พอจะผ่อนบ้าน และมันก็ไม่แพงจนเกินตัว พอโตขึ้น เก็บเงินได้เพิ่มขึ้น ถึงซื้อบ้าน ชอบอยู่บ้านมากกว่าคอนโด ส่วนเรื่องรถนั้นฉันไม่มี passion ด้านนี้เลย ดังนั้นจึงใช้อะไรก็ได้ ขอแค่มีรถไปไหนมาไหนได้ กันฝนได้ แค่นี้ก็เพียงพอ
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวนั้นเป็นอีก passion ที่ฉันมีความสนใจ ฉันอยากเดินทางท่องเที่ยวไปทุกๆ ที่ จะใกล้หรือไกล จะศิวิลัยหรือค่นแค้น ก็อยากไปทั้งนั้น อยากเดินทางในตอนที่ยังสามารถทำได้ ร่างกายและวัยยังเอื้ออำนวย การเงินยังอำนวยความสะดวกให้กับเราได้ หากวันหนึ่งที่ปัจจัยเหล่านี้ไม่เอื้ออำนวยให้เดินทางต่อไปได้ อย่างน้อย ฉันจะยังมีเรื่องราวดีๆ ให้ได้นึกถึงอีกนานแสนนาน เรื่องพวกนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลมากๆ ค่ะ ไม่มีผิดไม่มีถูก เพราะชีวิตใครก็ชีวิตมัน แต่ละคนมี passion ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ด้าน แต่สิ่งที่ต้องการสื่อคือ ถ้าเรารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รู้จักความพอดีและความเหมาะสม มันจะมีความสุข ไม่เดือดร้อน (ทั้งเรื่องชีวิตและเรื่องเงินทอง) อีกนัยหนึ่งคือ หากมีใช้ก็ใช้ไป ไม่ว่าจะบ้าน รถ เสื้อผ้า ของแบรนด์เนม การเดินทางท่องเที่ยว ทุกอย่างอยู่ที่ความพอดีและความเหมาะสม แต่ความพอดีและความเหมาะสมของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
#ไปที่ชอบที่ชอบ ทำที่ชอบที่ชอบ เสียตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิต เพราะเราไม่รู้หรอกว่าตายแล้วจะได้ไปที่ชอบที่ชอบหรือไม่
ตั้งเป้าหมายของชีวิตเสียแล้วใช้ชีวิตให้สอดคล้อง ทำงานให้ดี หาเงินให้เก่ง
เก็บเงินให้เป็น ใช้เงินให้สนุกและมีความสุขกับชีวิต
ชีวิตใครก็ชีวิตมัน อยากมีชีวิตดี๊ดีก็ต้องลงมือทำค่ะ
By Akiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น