เป็นตัวเอง......ดีที่สุข : I am the best by Akiko

ตั้งแต่ได้เกิดมาเป็นเด็กน้อย จนผ่านวัน เดือน ปี และรอดชีวิตจนกลายเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ ก็ได้มีโอกาสผ่านพบผู้คนรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่เพื่อนสมัยอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย หรือแม้แต่เพื่อนนอกโรงเรียน ไหนจะพี่ ป้า น้า อา เพื่อนของแม่ คนรู้จักของพ่อ ที่พวกเขาเหล่านั้นมักจะแนะนำลูกของตัวเองให้เพื่อนรู้จักด้วยการบอกชื่อสถานศึกษาหรืองานที่ทำก่อนชื่อของเรา (นี่ลูกสาว เรียนอยู่จุฬาฯ......นี่ลูกชาย เป็นกัปตัน อะไรแบบนี้เป็นต้น) แต่เป็นความโชคดีอย่างมาก ที่พ่อกับแม่ไม่เคยเอาฉันไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่น ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นเด็กที่ไม่ได้เพอร์เฟคเท่าไหร่ในสายตาของเขาทั้งคู่
นอกจากผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้ว ก็ยังมีเรื่องราว และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ได้เรียนรู้ หรือแม้แต่สิ่งที่ได้พบเจอจากการการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ กับพ่อแม่ตอนเด็กๆ จนเติบโตพอที่จะไปกับเพื่อน หรือแม้แต่ไปด้วยตัวเองได้

ในหนึ่งชีวิตของคนก็คงจะผ่านหลากหลายเรื่องราวที่ร้อยเรียงให้เราได้จดจำ ได้เรียนรู้ มีคนเคยบอกฉันว่า การที่มนุษย์เป็นเช่นไรนั้น เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาเติบโตมาด้วยสภาพแวดล้อมแบบนั้น พอมองย้อนกลับไปตอนตัวเองเป็นเด็กที่มักจะอยู่กับผู้ใหญ่มากกว่าอยู่กับเด็กด้วยกัน (เพราะเพื่อนไม่ค่อยเล่นด้วยหรือเปล่า 555) ความคิดความอ่านของฉันก็เลยโตเกินอายุไปด้วย ทั้งนิสัยปากไว ใจร้อน เถียงเก่ง และกล้าได้กล้าเสียมากจนเกินไป บางครั้งก็ส่งผลเสียกับหลายสิ่งหลายอย่างเมื่อโตขึ้นมา ทำให้ต้องพยายามปรับตัวเอง จนในที่สุดก็คุยกับตัวเองรู้เรื่องและตกลงกันได้ว่า

"ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องกลัวใคร หากเราไม่ได้ทำในสิ่งที่ผิด แต่ควรให้ความเคารพและให้เกียรติคนที่ควรได้รับสิทธิ์นั้นไม่ว่าเขาจะอายุน้อยกว่า ทำงานในตำแหน่งที่ต่ำกว่า หรือมีฐานะที่ด้อยกว่าก็ตาม แต่ตรงกันข้ามก็ไม่มีจำเป็นใดเช่นกันที่เราต้องเคารพหรือให้เกียรติคนที่ไม่สมควรได้รับ ไม่ว่าคนๆ นั้นจะอายุมากกว่า ตำแแหน่งสูงกว่า หรือรวยกว่าก็ตาม"

ซึ่งข้อนี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่สอนมาตั้งแต่เด็กๆ หรือที่พ่อเคยบอกว่า ถ้าคิดว่าใครทำแบบไหนแล้วเราไม่ชอบ ก็อย่าเผลอทำตัวแบบนั้น เพราะคนอื่นก็จะไม่ชอบเราเหมือนกัน แล้วก็อย่าเอาเปรียบคนอื่น อย่ากินแรงเพื่อน ทั้งเรื่องเรียน เรื่องทำงานหรือแม้แต่เรื่องเงิน เพราะถ้าเราต้องการ นั่นหมายความว่าคนอื่นเขาก็ต้องการเหมือนกัน เป็นต้น

ยอมรับว่าเวลาได้ฟังผู้ใหญ่คุยกัน ในตอนนั้นบางทีก็ไม่เข้าใจความหมายหรอก ได้แต่จดจำว่าคนแบบนี้เป็นแบบนี้ แล้วก็เก็บไว้เป็นชุดความคิดหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับอายุ ซึ่งบางทีก็ทำให้ฉันเผลอตัดสินคนอื่นก่อนที่มันควรจะเป็น เลยอดคิดไม่ได้ว่าผู้ใหญ่ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันก็มีส่วนอย่างมาก

สมัยเด็กๆ ฉันเคยเป็นเด็กขี้อิจฉา ไม่ว่าจะอิจฉาเพื่อนที่เรียนเก่งกว่า อิจฉาเพื่อนที่สวยกว่า อิจฉาเพื่อนที่บ้านรวยมากๆ แล้วพ่อแม่ก็ตามใจ อิจฉาเพื่อนที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือแม้แต่ตอนทำงานใหม่ๆ ก็อิจฉาเพื่อนที่ได้ทำงานบริษัทดีๆ ได้เงินเดือนเยอะๆ เป็นแบบนี้เรื่อยมา แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น
เป็นความโชคดีมากๆ ที่ฉันได้มีโอกาสเจอเพื่อนคนหนึ่งอีกครั้งตอนฉันรับปริญญา ก็ถามถึงสารทุกข์สุขดิบ และเรื่องราวของแต่ละคน เพราะไม่ได้เจอกันนานมาก ฉันขอบคุณนางมากๆ ที่มาในวันนั้น มันเปลี่ยนชีวิตฉันไปเลย นางบอกว่า รู้มั้ย ตลอดเวลา 10 ปีที่รู้จักกันมา นางอิจฉาฉันมาตลอด นางอิจฉาที่ฉันเรียนเก่งกว่านาง อิจฉาที่มีพ่อแม่ที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด คอยไปรับไปส่งที่โรงเรียน ครั้งหนึ่งนางเคยมานอนค้างที่บ้านฉันเพราะมีกิจกรรมที่โรงเรียนตอนเช้า นางเห็นพ่อของฉันตื่นแต่เช้าและนั่งขัดรองเท้านักเรียนให้ฉันจนเงาวับ เห็นแม่เตรียมกับข้าวให้กิน ซึ่งเป็นปลาที่แกะแล้วและไร้ก้าง หลังจากนั้น พ่อของฉันก็ไปส่งเราสองคนที่โรงเรียนพร้อมกัน

นางบอกว่า วันนั้นนางเรียนไม่รู้เรื่องทั้งวัน โกรธเกลียดพ่อแม่ตัวเอง และก็พาลรู้สึกโกรธฉันเล็กน้อย (เหมือนเวลาที่ฉันอิจฉาใครสักคน ก็จะโกรธคนๆ นั้นเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ฉันเลย 555) เพราะพ่อกับแม่ของนางแยกทางกันตั้งแต่นางยังเล็ก พ่อไม่เคยกลับมาสนใจใยดีเลยแม้แต่น้อย ส่วนแม่ก็มีสามีใหม่ สุดท้ายต้องอยู่กับยายตามลำพัง เลยไม่เคยได้มีโอกาสแบบที่ฉันมี นางเล่าไปขำไป แต่ฉันกลับสะอึก ขำไม่ออกเลย พาลคิดได้ว่า ตลอดเวลาที่ฉันอิจฉาคนอื่น อิจฉาเพื่อนคนนู้น เพื่อนคนนี้ ในขณะเดียวกันก็มีคนที่อิจฉาฉันอยู่เช่นกัน ฉันมองดูชีวิตคนจำนวนมากที่ชีวิตดี๊ดี และตรูก็อยากจะมีเหมือนมรึงบ้างจังเลย แต่กลับมีคนอีกกลุ่มที่อยากมี อยากเป็น แบบที่ฉันเป็น บ่อยครั้งที่ฉันชักดิ้นชักงออยากเป็นแบบใครๆ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องเป็นตัวเองอยู่ดี

ตอนทำงานใหม่ๆ ฉันเคยรู้สึกกดดันเวลาเพื่อนถามว่า ทำงานบริษัทอะไร แล้วพอบอกไปก็ไม่มีคนรู้จัก หรือแม้แต่การได้เจอเพื่อนเก่าๆ ที่เรียนมาด้วยกันแล้วเพื่อนก็ได้ดิบได้ดีเป็นแอร์โฮสเตส ฉันก็น้อยใจตัวเอง และอิจฉาเพื่อน แต่พอได้มาเจอกัน ได้มีโอกาสคุยกัน อ้าว เพื่อนแอร์คนนี้ก็อิจฉาเพื่อนแอร์ด้วยกันที่ได้สามีรวย เป็นชาวต่างชาติ บลาๆๆ และตลอดเวลาที่กินข้าวอยู่ด้วยกัน ก็ยังว่าคนนั้น ด่าคนนี้ วิจารณ์คนอื่น ตั้งแต่หน้าตา การแต่งตัว เสื้อผ้า หน้า ผม ของเขาราวกับว่าคนเหล่านั้นทำอะไรผิดมา นางดูไม่มีความสุขเลย ดูรุ่มร้อน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะเล่าให้เพื่อนฟังอยู่หยกๆ ว่านางเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวยุโรป ได้เงินเดือนสองแสนกว่า และเพิ่งถอยกระเป๋า Chanel มาเมื่อไม่นานนี้ ฉันฟังไปก็พลันคิดได้ว่า ถ้าคนภายนอกมองมา ก็คงอิจฉานางกันทั้งกราว เพราะผู้หญิงหลายคนก็อยากมีชีวิตดีๆ แบบนี้ แต่ถ้าได้มานั่งโต๊ะเดียวกันกับฉันในวันนั้นแล้ว คงจะรู้สึกแตกต่างออกไป

ตัดภาพกลับมาที่ออฟฟิสหนึ่งที่ฉันทำงาน มีน้องที่ทำงานสองคนที่ไม่ได้มีความโดดเด่นในด้านใดเป็นเศษ เป็นคนธรรมดาๆ ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราอะไร แต่นางกลับดูมีเสน่ห์ นางใช้ชีวิตโดยที่ไม่ได้สนใจคนอื่น หรือจะต้องเป็นแบบคนอื่น เที่ยวตามที่นางอยากจะไป เป็นแบบที่อยากจะเป็น แต่งตัวแบบที่อยากแต่ง ไม่ได้แฟชั่นนิสต้าจ๋าแต่ก็ไม่ได้เชยจนเป็นคุณป้า มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ก็ไม่ได้มากเกินไปจนดูโอเว่อร์ และนางดูมีความสุขตลอดเวลา ทั้งๆ ที่นางไม่ได้มีเงินเดือนสองแสนกว่า ไม่ได้มีกระเป๋า Chanel ไม่ได้ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อยๆ แต่นางก็มีความสุขตามอัตภาพของนางและไม่เคยนั่งด่าหรือวิจารณ์ใคร ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรให้ ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรทำให้น้องคนนี้มีความสุขได้ขนาดนี้
เพราะความสุขการไม่เสือกเรื่องของคนอื่น หรือ ความสุขคือใช้ชีวิตให้ผ่านเกณฑ์ความพอใจส่วนตัว และไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร แต่ถ้าดูจากน้องคนนี้แล้ว น่าจะต้องประกอบกันทั้งสองข้อ
กับเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ มันไม่มีจุดสิ้นสุดสำหรับอะไรทั้งนั้น ถึงแม้ตอนนี้ความคิดความอ่านจะเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจนัก ว่าคนเราจะรู้จักพอจริงๆ คนที่ยังไม่มีก็อยากมี อยากเป็น อยากได้สิ่งที่ยังไม่ได้มา เป็นเช่นนี้วนไปค่ะ แต่กับคนที่จัดการกับความคิดของตัวเองได้ ก็จะมีความสุข เพราะไม่ต้องมัวแต่ไปอิจฉาคนอื่น แต่ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี ไม่ต้องอยากมีมันไปทุกอย่าง แต่กับคนที่ตกลงกับตัวเองไม่ค่อยได้ ก็อาจจะต้องอิจฉาคนอื่นเรื่อยไป และทำยังไงก็ไม่มีความสุข

ความอยากเป็นคนนั้น คนนี้ อยากมีแบบนั้น แบบนี้ มันอยู่กับฉันเรื่อยมาจนอายุยี่สิบปลายๆ ได้ผ่านโลก ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านคนมากขึ้น จึงคิดได้ว่า เป็นตัวเองดีที่สุด การพยายามเป็นแบบคนนั้นคนนี้แมร่งเหนื่อยมากค่ะ แต่พอยอมรับชีวิตตัวเอง พอใจในชีวิตของตัวเอง ให้เกียรติตัวเอง อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นเยอะเลย พักหลังๆ มา ฉันนั่งคุยกับตัวเองบ่อยมากจนเรียกได้ว่าเสพติด (หรือว่าบ้า) ตกลงกับตัวเองให้ได้ในเวลาที่สับสนหรือต้องตัดสินใจ ยอมรับข้อเสียและจุดด้อยของตัวเองได้มากขึ้น แล้วเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน (ยอมรับในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า อ่ะ ตรูนิสัยไม่ดี ทำงานห่วยแตก อ่ะ ชาวบ้าน ช่วยรับตรูให้ได้ด้วย ตรูจะไม่เปลี่ยนอะไรทั้งนั้น อันนี้ก็จะปัญญาอ่อนเกินไปหน่อย) ไม่เก่งก็ยอมรับว่าไม่เก่ง แล้วเรียนรู้ แต่ไม่ต้องสร้างภาพว่ารู้ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ไม่มีเงินก็ยอมรับว่าไม่มี เราไม่ได้มีเหมือนคนอื่นเขา แต่เราก็ไม่ลำบากเหมือนคนอื่นเขาเช่นกัน ก็ใช้ชีวิตตามอัตภาพของเรา ใช้จ่ายให้เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ต้องดิ้นรนสร้างภาพให้ดูมีตลอดเวลา จนบางครั้งตัวเองก็รู้สึกอึดอัด บีบคั้น ไม่มีความสุขเสียเอง หรืออาจจะถึงต้องกู้หนี้ยืมสินและเบียดเบียนคนอื่น สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้อย่างหนึ่งคือ ที่เราคิดว่าคนอื่นสนใจเรา จริงๆ แล้วไม่มีใครสนใจเราหรอกค่ะ เราคิดไปเอง

หลายสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทำให้ฉันรู้ว่า ฉันไม่มีจำเป็นต้องเป็นเหมือนเพื่อนคนไหน ไม่จำเป็นต้องมีเหมือนใคร ไม่จำเป็นต้องทำแบบที่ใครๆ เขาทำ แค่ทำตัวเองให้มีความสุข เข้าใจตัวเองมากๆ ว่าต้องการอะไรในชีวิต เป้าหมายในชีวิตคืออะไร ซึ่งดีกว่าการมัวแต่สนใจเรื่องของคนอื่นเป็นไหนๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงทุกข์ร้อนเวลาที่เพื่อนถามว่าทำงานที่ไหน แล้วพอตอบไปก็ไม่มีใครรู้จัก หรือแม้แต่เพื่อนบางคนที่ลาออกไปจากที่เคยทำงานอยู่ที่เดียวกัน แล้วได้ไปทำงานบริษัทใหญ่โต ได้ดิบได้ดี ย้อนกลับมาถามฉันว่า ยังทำงานที่นี่อยู่อีกหรือ ฉันก็คงตอบแบบไม่รู้สึกอะไร เพราะฉันรู้แล้วว่าฉันโครตรักตัวเองเลย และไม่จำเป็นต้องอิจฉาใครเลยสักคน ถ้าทำแบบนี้แล้วจะดูชิค ดูแพง แต่มันไม่ใช่ตัวเอง อ่ะงั้นฉันไม่ชิคไม่แพงก็ได้ แต่ฉันพอใจ ฉันชอบที่ตัวเองถึงจะดูไม่ชิค ดูไม่แพงเหมือนคนอื่นๆ เพราะฉันมีความเชื่ออย่างหนักแน่น ว่าฉันจะเป็นคนที่มีความสุขได้ ไม่ว่าฉันจะหน้าตาแบบไหน จะอ้วน จะผอม จะทำงานที่ไหน เงินเดือนเท่าไหร่ ขับรถอะไร ใช้กระเป๋ายี่ห้ออะไร เพราะสิ่งที่เหล่านี้ทำให้ฉันมีความสุขน้อยลงไม่ได้ ฉันรู้แล้วว่า สิ่งเดียวที่จะทำให้ฉันมึความสุขน้อยลงก็คือ ความคิดของตัวฉันเอง ถ้าเราชอบตัวเองแล้วทุกอย่างจะสมานฉันท์
ฉันขอยกความดีความชอบให้กับทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งที่ดีต่อฉันอย่างจริงใจ หรือแม้แต่คนที่เคยดูถูกฉัน เคยนินทาว่าร้าย ขอขอบคุณที่คนเหล่านั้นที่ทำให้ฉันเป็นคนที่รู้จักรักตัวเองอย่างจริงใจ

อย่าเสียเวลากับอะไรที่ไร้สาระเหมือนอย่างที่ฉันเคยเป็นเลยค่ะ

Akiko


ชายตาหาความสุข : What's the passion?

ผ่านชีวิตมานานกว่า 30 ปี เคยตื่นมาแล้วถามตัวเองว่า
สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ งานที่ทำอยู่ตอนนี้ ชีวิตตอนนี้ มันใช่แบบที่เราต้องการจริงๆ มั้ย
แน่นอนว่า ฉันก็ยังเป็นพนักงานออฟฟิส ที่ไม่ได้มีชีวิตที่ดีเริ่ด ไม่ได้รวยล้นฟ้า
จนไม่ต้องทำมาหากินอะไรอีกแล้วตลอดชีวิต
ไม่มีสามีรวยๆ มาเลี้ยงดูให้เป็นคุณนายไปวันๆ ไม่ได้มีความสุขตลอด 24 ชั่วโมง
ฉันก็ยังเป็นคนที่ต้องผจญรถติดทุกๆ วันตอนมาทำงาน ยังต้องเครียดกับประชุมในแต่ละวัน
ยังต้องนั่งทำงานที่ต้องต่อสู้กับคนหลากหลายรูปแบบ ยังต้องนั่งกินข้าวไปด้วยทำงานไปด้วย
ยังต้องรับโทรศัพท์ในวันหยุดและตอบอีเมลล์ในวันลาพักร้อน
แต่ฉันก็มักถามตัวเองอยู่เสมอ ว่าตอนนี้ฉันโอเคกับชีวิตตัวเองมั้ย
หลายๆ ครั้งที่นั่งบ่นกับชีวิต ทั้งเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัวก็ตามแต่ บ่นแต่ก็ยังทำ บ่นแต่ก็ยังเป็น มันเป็นเพราะเราอดทนไม่มีทางเลือกหรือมันเป็นเพราะเราเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ พอมองย้อนกลับไปเวลามีปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องอะไร เราก็เหวี่ยงตัวเอง เหวี่ยงทุกคนบนโลกนี้ แล้วก็พ่นๆๆๆ ว่าจะไม่ทนอีกแล้ว จะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว จะหนีไปให้พ้น แต่พอผ่านพ้นปัญหานั้นไปได้ ก็กลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้ว ก็ไม่ได้อยากจะหนีไปให้พ้น แล้วพอปัญหาใหม่ผ่านมาก็มีความรู้สึกแบบนั้นอีก วนไปเช่นนี้มาเป็นสิบปี และหลายครั้งที่คิดว่าเปลี่ยนแล้วจะดีขึ้น ทั้งเปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนการใช้ชีวิต เปลี่ยนงาน แล้วกลับพบว่า สุดท้าย ทุกสิ่งอย่างมีปัญหาแตกต่างกัน ต่อให้เปลี่ยนหนีไปเท่าไหร่ ก็มีปัญหารออยู่ตรงหน้าเสมอ

ฉันจึงได้เรียนรู้ว่า ชีวิตมันก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีหรอกที่จะราบรื่นตลอดเวลา อย่างน้อยมันจะต้องมีบทเรียนอะไรสักอย่างมาดิวกับเราเสมอ ให้เราแพ้หรือไม่ก็ชนะ เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ฉันมีปัญหาเรื่องงานอย่างหนัก จนคิดลบกับทุกสิ่งอย่าง ทั้งกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน รวมถึงคิดลบกับตัวเองด้วย เลยตั้งใจว่ารอได้โบนัสแล้วจะลาออก ส่วนจะไปอยู่เมืองนอกสักพัก หรือหางานใหม่ เดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าจะเอาชนะ ทำให้พวกเขาได้รู้สึกเสียบ้าง แต่ในจังหวะเดียวกัน ตอนนั้นได้ไปเที่ยวยุโรปพอดี ได้เข้าไปที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ในนั้นมีคนนั่งสวดมนต์ขอพรจากพระเจ้า ฉันจึงเดินดูรอบๆ เจอกระดาษที่มีบทสวดของศาสนาคริสต์ เขียนว่า.......

God, grant me the serenity to accept the things I cannot change,
Courage to change the things I can,And wisdom to know the difference.

พออ่านแล้วก็รู้สึกชอบมาก
เนื้อหาจะประมาณว่า
ขอให้ลูกมีจิตใจที่สงบ สามารถยอมรับในสิ่งที่ลูกเปลี่ยนแปลงไม่ได้
ขอให้ลูกมีความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ลูกเปลี่ยนแปลงได้
และขอให้ลูกมีสติปัญญาที่จะแยกแยะความแตกต่างของสองกรณีนี้ได้

ขอออกตัวก่อนว่าฉันไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ และจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองนับถือศาสนาอะไร
หรือไม่ อย่างไร และถ้าแปลผิดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
จากบทสวดทำให้จิตใจฉันสงบขึ้น แยกแยะด้วยสติปัญญามากขึ้น เอาอารมณ์มาตัดสินตัวเองและคนอื่นน้อยลง
แล้วก็ได้เข้าใจว่า ที่ทุกข์อยู่ตอนนั้นมันเป็นเพราะคนอื่น เพราะที่ทำงาน
หรือมันเป็นเพราะตัวเองกันแน่ ก็เลยได้รู้คำตอบอย่างชัดเจน และยอมรับได้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เป็นอะไร มนุษย์ทุกคนก็ไม่สามารถหลีกหนีสิ่งที่เกลียด สิ่งที่กลัวได้พ้น
และคนที่ทำให้เราทุกข์ได้มากที่สุดก็คือตัวเราเอง ชีวิตมันก็เป็นเช่นนั้นแหละ

ในบางครั้ง ถ้าเราคิดว่าชีวิตเราบัดซบถ่มถุยมาก ให้ออกไปข้างนอกไปดูผู้คน หรือไปเดินทาง
แล้วเราจะได้เห็นว่า ชีวิตเรายังดีนะ มีคนอีกมากมายที่ชีวิตแย่กว่ามาก แล้วทำไม
เราต้องทำให้ชีวิตยุ่งยาก ทำไมต้องสร้างเงื่อนไข สร้างความทุกข์ให้ตัวเองเยอะขนาดนี้

หลายตำราชอบบอกว่า เราต้องทำสิ่งที่เรารัก เราถึงจะทำได้ดี แต่ฉันกลับไม่คิดแบบนั้น
ตราบใดที่เรายังต้องหากินด้วยสิ่งไหน ก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องทำด้วยสิ่งนั้นให้ดี
การรักไม่รัก ชอบไม่ชอบ ฉันมองว่าเป็นข้อแก้ตัวของความห่วยแตกของคนมากกว่า
สำหรับตรรกะส่วนตัวนั้นฉันมองว่า หากทำสิ่งใดด้วยความตั้งใจที่มากพอ จะชอบไม่ชอบ
ผลจะออกมาในมุมที่พอรับได้ค่อนข้างไปทางดี แต่จะไม่ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง
นั่นเป็นเพราะเราเกิดมาเพื่อใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ และไม่เชื่อเลยว่า
คนเราจะไม่มีความสุขโดยสิ้นเชิงจากการทำงานที่เราไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ
เพราะอย่าลืมว่า เราไม่ได้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ยังมีเวลาอีกไม่น้อยในแต่ละสัปดาห์
แต่ละเดือน แต่ละปี ที่มากพอจะให้เราเอาไปใช้กับสิ่งที่เราเรียกว่า passion จะนอนเฉยๆ
ดูหนังฟังเพลง อ่านหนังสือ เดินทางท่องเที่ยว ช็อปปิ้ง
ทำสิ ถ้าอยากทำ ส่วนใหญ่คนที่บ่น มักจะไม่ลงมือทำ แล้วก็พูดแต่ว่า ไม่มีเวลาจะไปเที่ยว
ไม่มีเวลาจะทำนู่นทำนี่ อ้างเงื่อนไขต่างๆ นาๆ ในการทำตัวเบื่อโลก ดราม่าไปวันๆ
ถ้า passion คือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ก็ทำเลย อย่ามัวแต่อยาก
อยากมีความสุข ก็ตัดคำว่าอยากทิ้ง แล้วมีความสุขเลย
ทำไมต้องอยู่อย่างอยาก........

ถ้าบอกว่าช่วงเวลาในการทำงานที่ไม่ได้รักเป็นความทุกข์
ธรรมชาติก็ไม่ได้สร้างให้มนุษย์เกิดมาเพื่อมีความสุขตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้วหรือเปล่า
และถ้าเป็นแบบนั้น เรายอมรับและปล่อยวาง แล้วทำหน้าที่ ทำชีวิตของตัวเองให้ดีที่สุดดีกว่ามั้ย
อย่างแย่ที่สุด ถ้าเราต้องเป็นทุกข์ 8 ชั่วโมงใน 1 วันที่มี 24 ชั่วโมง เท่ากับว่า เรามีความทุกข์
แค่ 1 ใน 3 ของแต่ละวันเองนะ ยังมีเวลาอีกตั้ง 2 ใน 3 ของวันที่เราสามารถใช้อย่างมีความสุขได้

จากวิกฤติวัยกลางคนที่ได้เจอทำให้รู้ว่า มันไม่แปลกเลยที่เรายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
ถนัดอะไร อยากเป็นอะไร แต่จะแปลกมาก ถ้าคนๆ หนึ่งจะไม่อยากทำอะไรสักอย่าง
ที่เป็นหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ เช่น การทำงานให้ดี มีประสิทธิภาพ
ให้สามารถสร้างคุณค่าแก่คนอื่นได้ มีรายได้เพียงพอที่จะจุนเจือตัวเองให้ไม่เดือดร้อน
ให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติงานที่เราทำอยู่ ให้เกียรติชีวิตของตัวเอง
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข

คนสมัยนี้มีความสามารถขั้นสูงในการยุ่งเรื่องชาวบ้าน จะดารา ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน
หรือแม้แต่คนอื่นที่เราไม่รู้จักเขาเลยด้วยซ้ำ เราจะรู้เรื่องของเขามาก
จนบางครั้งก็อาจมากกว่าเรื่องของตัวเอง ในบางวัน เราไม่เคยถามตัวเองเลยด้วยซ้ำว่า
ชีวิตที่เป็นอยู่ ดีแล้ว พอใจแล้วหรือยัง เห็นบางคนนั่งดูแต่ข่าวดารา ยุ่งอยู่แต่กับเรื่องของคนอื่น
ในขณะที่ประสิทธิภาพในการทำงานค่อนข้างต่ำ (แต่เอาจริงๆ คนเราก็ไม่รู้ตัวเองหรอก
เรามักจะคิดว่าเราทำงานดีแล้วเสมอ #ฉันก็เป็นเช่นกัน) เรื่องแบบนี้เป็นวิจารณญาณขั้นสูง
ของมนุษย์เกี่ยวกับการประเมินตัวเอง บางครั้งต้องให้คนรอบข้างเป็นคนให้คะแนน
ว่าเราทำถูกควรหรือไม่ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมองด้วยใจเป็นกลางเช่นกันว่าคนอื่นมองด้วยอคติ
หรือเราเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ฉันมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเราทำดีพอ
คนจะไม่ด่าเรามากจนเกินไป แต่มันก็ต้องมีบ้าง เพราะในเวลาหนึ่งๆ
เราคงไม่สามารถทำตามใจใครทุกคนได้ เนื่องด้วยในช่วงเวลาที่มีคนได้ประโยชน์
ก็จะมีคนส่วนหนึ่งที่เสียประโยชน์เสมอ แต่ถ้าวันไหนที่มองไปทางไหนก็ไม่มีใครอยากคุยกับเรา
สิ้นความศรัทธา หมดความน่าเชื่อถือ พูดอะไรไปก็ไม่มีใครเชื่อ
วันนั้นก็คงถึงวันที่ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองเสียแล้ว

ในหนึ่งวันเราควรจะหาเวลามานั่งคุยกับตัวเอง สำรวจจิตใจตัวเองบ้าง
หรือแม้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่กับลมหายใจโดยไม่คิดอะไรเลยก็ยังดี
ให้ชีวิตได้มีโอกาสใช้ชีวิตแบบละเลียดบ้าง ไม่ต้องล่ก หรือลวกๆ ไปซะทุกอย่าง

ถ้าคำว่า อนาคต ในแง่หนึ่งเป็นสิ่งที่คนทุกคนมีความกลัว
กลัวสิ่งที่กำลังจะเกิด หรือยังไม่เกิด ก็ควบคุมมันพอประมาณ
ไม่ประมาทมากนัก แล้ววางมันไว้ที่อนาคต กลับมาอยู่กับปัจจุบัน
แล้วทำมันให้ดีที่สุด แบบนี้ก็น่าจะเวิร์คเหมือนกันเน๊อะ^^

Akiko

ก่อนจะผ่านพ้นไปอีกปี : New year Resolution by Akiko

''ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองต้องการไปที่ไหน แล้วจะเลือกเส้นทางถูกได้อย่างไร"


ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา เราคงได้ยินได้เห็นว่า คนที่ประสบความสำเร็จ ทั้งดารา กูรู นักพูด นักเขียน นักสร้างแรงบันดาลใจ ต่างกรูกันลุกขึ้นมาพูดเรื่องเป้าหมายในการดำเนินชีวิตอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ว่าเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งสำคัญ หากเราไม่มีเป้าหมายของตัวเองแล้ว มันก็เหมือนกับการที่เราไม่รู้ว่าตัวเองต้องการเดินทางไปที่ไหน เมื่อไม่รู้ปลายทาง แล้วเราจะเลือกเส้นทางเพื่อให้ไปถึงยังจุดหมายปลายทางนั้นได้อย่างไร

พอพูดถึงเรื่องนี้ หลายๆ คนก็คงรู้สึกกระอักกระอ่วน #ฉันก็เช่นกัน ยิ่งเมื่อกลับมามองตัวเอง ด้วยอายุอานามที่เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน หรือแม้แต่การได้กลับไปเจอเพื่อนเก่าในวันเลี้ยงรุ่น ที่บางคนก็เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว มีธุรกิจเป็นของตัวเอง มีนั่นมีนี่ หรือบางคนก็เริ่มสร้างครอบครัว มีลูกมีเต้า ได้ออกมาทำหน้าที่แม่บ้านดูแลลูกน้อยและสามีอย่างเต็มตัว และเริ่มมองถึงอนาคตอันไกลโพ้นของลูกและครอบครัวตัวเอง พอได้นั่งคุยกันอย่างออกรส ก็ทำให้เราเห็นตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น

ฉันเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางเป้าหมายชีวิตหรอก แล้วก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมาย ไม่ได้เป็นคนรวยระดับชาติที่มีเงินจำนวนมากจนสามารถซื้ออะไรก็ซื้อได้ไม่จำกัด ตรงกันข้ามฉันเองก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่ยังต้องกลับมาถามตัวเองเช่นกัน ว่าเป้าหมายของชีวิตฉันคืออะไร สิ่งที่ฉันได้พบจากการนั่งคุยกับตัวเอง ทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาและอนาคตที่กำลังจะมาถึง ฉันพบว่า ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่มีแผนการอะไรในอนาคตเท่าไหร่ และไม่มีเป้าหมายในชีวิตเหมือนกับคนหมู่มากในสังคม

จะเป็นไรมั้ย ถ้าฉันจะตั้งเป้าหมายในชีวิตของฉันในวันนี้
สิ่งที่ฉันคิดว่า มันจะสามารถทำให้ฉันมีชีวิตดี๊ดีได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
#ในส่วนของอดีตนั้นขอให้มันผ่านพ้นไป......

ข้อหนึ่ง ฉันจะรักตัวเอง ทำแต่สิ่งดีๆ ให้ตัวเอง ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ข้อสอง ฉันจะทำความเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างให้ดียิ่งขึ้น ฉันจะเริ่มฝึกมันเสียตั้งแต่วันนี้
ข้อสาม ฉันจะวางแผนทางการเงินของตัวเองให้ดี ดูแลตัวเองให้ได้และไม่เป็นภาระของคนอื่น
ซึ่งในข้อนี้ฉันคิดว่า ฉันทำมาได้ส่วนหนึ่งแล้ว
ข้อสี่ ฉันจะเดินทาง อ่านหนังสือ และทำสิ่งแปลกใหม่ในชีวิตเสมอ เพื่อลดอัตตาอันมากโขของตัวเอง
ในส่วนของข้อหนึ่ง เราอาจจะคิดว่า เราทำได้แน่ๆ อยู่แล้ว ใครจะไม่รักตัวเอง เราก็อยากให้ตัวเองได้รับแต่สิ่งดีๆ อยู่แล้ว #ฉันก็เช่นกัน แต่สิ่งที่ดีไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ บ้านที่ดี รถที่ดี กระเป๋าแบรนด์เนม อาหารดีๆ และการออกกำลังกายเพียงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงเป้าหมายข้อสองของชีวิตฉันด้วย นั่นก็คือ การทำให้จิตใจสูงขึ้น เมตตามากขึ้น โกรธคนอื่นน้อยลง เข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้น ยอมรับในความไม่เหมือนของตัวเองกับคนอื่นๆ อย่างที่ฉันเคยพูดเสมอว่าความสุขประกอบด้วย
การไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น
การไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น รักและพอใจตัวเอง
การไม่ตัดสินคนอื่น
และการไม่คิดแทนคนอื่น

การที่ 1 และ 2 นั้น ฉันฝึกมันมาหลายปีแล้ว แต่เรียกได้ว่าตอนนี้ค่อนข้างชำนาญการเลยทีเดียว ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ยกเว้นแต่คนอื่นที่ว่าจะอยากให้ฉันรับรู้เรื่องของเขา ฉันชอบเอาเวลาที่มีมาทำเรื่องของตัวเอง เช่น การนั่งคุยกับตัวเอง (จนบางทีก็เหมือนคนบ้า เพราะคุยออกเสียงด้วย) หรือแม้แต่คุยกับโซฟา โต๊ะ เตียงที่บ้าน เวลาทำความสะอาดบ้าน คุยกับแก้วสตาบัค เป็นต้น และตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลายๆ ครั้งที่เรานั่งคุยกับตัวเอง เราจะอยากรู้ว่า เราต้องการอะไร แล้วมันจะโฟกัสอยู่แต่สิ่งนั้น พอทำได้ด้วยตัวเอง ก็จะรู้สึกดี และโครตรักตัวเอง (ตรูนี่ก็ไม่เบานะเนี่ยะ) แล้วเราก็จะไม่อยากเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไปโดยปริยาย

แต่การที่ 3 และ 4 คือสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องฝึกฝนอย่างมาก เพราะมันส่งผลทางลบต่อชีวิตของฉันจนรู้สึกได้ หนักถึงขั้นว่า บางครั้งการได้ยินหรือเพียงแค่มองเห็นคนบางคน ก็ทำให้ฉันอารมณ์เสียได้อย่างมากมาย ไหนจะเรื่องเหวี่ยง วีน โวยวาย โดยเฉพาะเรื่องงาน ถ้าไม่ได้อย่างใจ หรือไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ เพื่อนร่วมงานอาจจะตายเรียบราวกับออกศึก สิ่งที่ได้รับไม่ใช่ผลงานที่ดีขึ้น แต่ความเครียดของฉันต่างหากที่เพิ่มขึ้น ความผิดพลาดต่างๆ ก็เพิ่มขึ้น อารมณ์เสียกลับมาที่บ้าน จนบางครั้งเข้านอนแล้วก็ยังไม่วายต้องคิดถึงคนที่เราโกรธ และไม่พอใจ เป็นแบบนี้มาหลายปี ในเมื่อคนเราต่างที่มา และต่างมีเหตุผลของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น หลายครั้งหลายหน ที่มีคนพร่ำบอกว่าการปรับตัวเองนั้นง่ายกว่าการพยายามเปลี่ยนสิ่งอื่นๆ คนอืนๆ  ซึ่งเขาก็เป็นแบบนั้นมาทั้งชีวิตเช่นกัน

ที่ผ่านมานั้น ฉันได้ผ่านเหตุการณ์และเรื่องราว อีกทั้งผู้คนมากมาย ทำให้ได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง ได้เรียนรู้ที่จะอยู่ จะเป็นในแบบต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า มันให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป บ้างก็ดี บ้างก็เป็นบทเรียนให้เราได้รู้ว่า เราอยากเป็นเจ้านายแบบไหน เป็นลูกน้องแบบไหน เป็นพี่น้อง เพื่อนฝูงแบบไหน แบบแฟนแบบไหน หลายๆ อย่างจะทำให้เราเติบโตต่อไปในทิศทางที่มันควรจะเป็น หรือแม้แต่การปฏิสัมพันธ์ในทางสร้างสรรค์กับคนที่ฉันไม่ค่อยถูกชะตา ฉันได้เรียนรู้ว่า การวางเฉย ไม่สุงสิงนั้น เป็นการปฏิสัมพันธ์ที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เราไม่ชอบ ไม่จำเป็นต้องหงุดหงิด อารมณ์เสีย หรือด่ากราด แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องปั้นหน้า เสแสร้งแกล้งทำว่าชอบเช่นกัน

#ไม่ต้องรักมากหรือเกลียดมากจนเกินไป เอากลางๆ ก็พอ
#ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา วางเฉยและฝึกความเมตตาไป
#ถ้าเราเกลียดใครในสมองเราจะคิดแต่เรื่องของคนๆ นั้น เสียเวลาชีวิต

และนี่อาจถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องปรับเพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตของตัวเอง
"เงินซื้อความสุขได้ค่ะ แต่เงินช่วยคลายความทุกข์ไม่ได้"

ดังนั้นเป้าหมายชีวิตข้อสามจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ฉันตั้งเป้าว่าฉันจะต้องวางแผนทางการเงินของตัวเองให้ดี ดูแลตัวเองให้ได้และไม่เป็นภาระของคนอื่น และไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ฉันได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมีข้อความว่า หากเราไม่รู้ว่าเป้าหมายชีวิตของเราคืออะไร เราจะไม่มีทางตั้งเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ข้อความนี้เป็นความจริง

เมื่อก่อนฉันคิดว่า เป้าหมายทางการเงินที่ดี คือการทำยังไงก็ได้ให้มีเงินไม่จำกัด สามารถจัดหาทุกอย่างได้ตามความต้องการ แต่บรรดาคนที่ประสบความสำเร็จและมีอิสรภาพทางการเงินหลายคนกลับพูดตรงกันว่า พอคนเรามีอิสรภาพทางด้านการเงินแล้ว จะอยากซื้ออยู่ไม่กี่อย่าง และมีบางส่วนเป็นการซื้อเพื่อแก้ปมในวัยเด็ก เพราะฉะนั้นที่ตั้งต้นมาว่าอยากมีเงินเพื่อตอบสนองกิเลสของตัวเองได้ มันกว้างเกินไปและแทบจะจับต้องไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายที่แย่สิ้นดี

#เพราะกิเลสคนเรายังไงก็ไม่มีวันจบสิ้นหรอก ต่อให้เราหาเงินได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์ก็จะมีความสามารถในการขยับความอยากของตัวเองให้เทียบเท่ากับรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ในหนังสือบอกว่าให้ถามตัวเองว่า ชีวิตต้องการทำอะไร อยากเป็นอะไร อยากไปที่ไหน ถ้ายังคิดไม่ออก ให้ปิดห้องนั่งคุยกับตัวเอง แล้วเอากระดาษกับดินสอมาจด ไล่สิ่งที่อยากมี อยากทำ อยากเป็นทั้งหมด แล้วหลับตาคิดว่า ถ้าวันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต สิ่งไหนที่เรายังไม่ได้ทำ ยังไม่มี ยังไม่เป็น แล้วเรารู้สึกเสียใจมากที่สุด นั่งมโนให้ถึงขั้นสะเทือนใจ อะไรที่โผล่มาตอนนั้น นั่นแหละคือสิ่งที่ควรทำ และจากผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์กับระหว่างเรากับใครสักคน ไม่ว่าจะพ่อแม่ พี่น้อง สามี ภรรยา ลูก หรือแม้แต่คนรอบตัว

ดังนั้นจึงไม่ควรเอาเรื่องเงินมาตั้งเป็นเป้าหมายชีวิต แต่ควรเอาเป้าหมายชีวิตตั้งต้น เพื่อค้นหาเป้าหมายทางด้านการเงินมากกว่า บางคนตั้งเป้าว่าอยากมีเงินร้อยล้าน แต่พอถามว่า ถ้ามีแล้วจะเอาไปทำอะไร ก็ตอบได้แค่ว่า จะได้ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ พอถามต่อว่าอยากได้อะไร บางทีก็ยังตอบไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากได้อะไร แล้วแบบนี้จะไปถึงจุดๆ นั้นได้อย่างไร เพราะเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้ คือเป้าหมายที่ชัดเจนและอธิบายได้อย่างไม่ตกหล่น ตอบได้ทุกรายละเอียด #เรื่องเงินก็เช่นกัน

สำหรับฉันแล้ว กิเลสหรือความอยากมีสองมุม มุมหนึ่ง ฉันตั้งชื่อเองว่า กิเลสที่บริสุทธิ์ คือ ความอยากได้ อยากมี ที่เป็นความต้องการของตัวเราจริงๆ เราอยากได้เพราะเรารู้สึกว่าเราคู่ควร มันเหมาะกับเรา ส่วนอีกมุมหนึ่ง คือ กิเลสที่ถูกเจือปน ซึ่งเป็นการอยากได้ อยากมี เพื่อต้องการให้คนอื่นเห็นว่าเรามี แต่จริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่ได้มีความสุขกับการมีสิ่งนั้นเท่าไหร่ แต่จะมีความสุขต่อเมื่อคนอื่นรับรู้ว่าตัวเองมีเสียมากกว่า คนส่วนใหญ่มีทั้งสองมุม
สำหรับตอนนี้ เป้าหมายทางการเงินของฉันคือการผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้นด้วยการจ่ายมากกว่าค่าผ่อน 10% ในทุกๆ เดือน (ว่ากันว่า จะทำให้เราหมดหนี้เร็วขึ้น 8 ปี) แต่ในระหว่างเส้นทางการผ่อนบ้านนี้ ก็ต้องเก็บเงินเพื่อการเกษียณและเติมเต็มชีวิตตัวเองด้วยเช่นกัน ดังนั้นแผนทางการเงินจึงแบ่งได้ 6 ส่วนคือ
1 เงินเก็บฉุกเฉินที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 6 เดือนของค่าใช้จ่ายรายเดือนและค่าผ่อนบ้าน
2 เงินออมที่ส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทฯ
3 เงินออมสำหรับจ่ายประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เอาไว้ออมเงิน และประกันสุขภาพที่รวมการคุ้มครองจากโรคร้ายต่างๆ พวกมะเร็งหรืออะไรพวกนั้น หากป่วยก็ไม่อยากเป็นภาระของครอบครัว
4 เงินออมเข้ากองทุน LTF เอาไว้ออมเงินและลดภาษี
5 เงินออมเข้ากองทุน RMF อันนี้ต้องลืมไปเลยว่าเคยออม เพราะกว่าจะถอนได้อีกทีก็อายุ 55 ปีนู่น ส่วนนี้เป็นส่วนที่เก็บน้อยที่สุดและเริ่มช้าที่สุด แต่มีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่าวันหนึ่งมันจะเป็นระเบิดเงินที่จะช่วยให้เรามีเงินใช้จ่ายยามเกษียณได้ อารมณ์ว่าไม่มีลูก ไม่มีผัว ก็อยู่ได้อะไรประมาณนั้น
6 เงินออมสำหรับเดินทางและเติมเต็มชีวิตตัวเองเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตข้อสี่ ฉันตั้งใจไว้ว่าอยากเดินทางท่องเที่ยวทุกปี หรือแม้แต่การซื้อของสะสมต่างๆ ตาม passion ของตัวเอง เชื่อว่าคนเราต้องมี passion อะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายให้ใครเข้าใจได้ และเราจะหมดเปลืองไปกับสิ่งนั้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องอยู่บนความพอดี พอดีคือใช้จ่ายในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเงินที่หามาได้ เพราะฉันได้เรียนรู้แล้วว่า ถ้า passion คือการเบียดเบียนตัวเอง การจ่ายจนไม่มีเงินเหลือเก็บ แบบนั้นไม่เรียกว่า passion เรียกว่า เวรกรรม มากกว่า

จริงๆ แล้ว ฉันปรับเป้าหมายทางการเงินของตัวเองมาได้สักพักหนึ่งแล้ว มันทำให้แนวทางในการดำเนินชีวิตชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ พอทำตามนั้นก็รู้สึกว่ามันดีกับชีวิต นี่แหละข้อดีของการมีอายุมากขึ้น เพราะทุกบทเรียน ทุกความผิดพลาดที่เราเคยทำมา มันได้หลอมรวมเป็นประสบการณ์ที่จะสั่งสอนให้เรารู้ผิดชอบชั่วดี และทำให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้น #รู้อะไรไม่สู้รู้งี้

ฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยผ่านการช็อปปิ้งอย่างบ้าคลั่ง มีเยอะเข้าไว้ ชอบซื้อของ sale ที่มีสีไม่มีไซส์ มีไซส์ไม่มีสี บางทีซื้อมายังไม่รู้เลยว่าจะเอามาทำอะไร สุดท้ายก็ได้เรียนรู้ตอนย้ายบ้านว่า ข้าวของประดามีนั้น จริงๆ แล้วไม่ต้องมีเยอะชิ้นนัก แต่ให้เน้นคุณภาพและมูลค่าของมันดีกว่า อย่าเน้นปริมาณเลย ซื้อของดีๆ ใช้ได้นานๆ ไม่ต้องตามสมัย ตามแฟชั่น หรือตามเทคโนโลยีมากจนเกินไป เพราะตามยังไงก็ไม่มีทางทัน ต้องคนที่เคยหมดเนื้อหมดตัวไปกับสิ่งนี้เท่านั้นถึงจะเข้าใจเป็นอย่างดี

ในทางกลับกันบางคนก็มองว่าการใช้ของดีๆ ใช้แบรนด์เนม หรือเครื่องประดับของจริงเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เกินตัว แต่ถ้าเทียบกับอายุการใช้งานและมูลค่าของมัน อาจพอเห็นภาพว่าแบบไหนคุ้มกว่า ไม่ได้ดูถูกของถูก เพราะของดีไม่จำเป็นต้องแพง แต่ของแพงส่วนใหญ่จะดี (อันนี้เข้าใจตรงกันนะคะ) แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ใครฟุ่มเฟือยจนเกินตัว เราเท่านั้นที่รู้ตัวเองดีที่สุดค่ะว่าความพอดีอยู่ตรงไหน ถ้าเราอยู่ในจุดที่ไม่มีปัญหาทางด้านการเงิน หาเงินเองได้ ไม่เดือดร้อน ก็ใช้เลยค่ะ เพราะความสุขและเป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่มีการต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น
อย่างตัวฉันเอง ฉันให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก เพราะบ้านคือที่พักกายและพักใจที่ดีที่สุด พอเริ่มทำงาน เริ่มมีเงินเก็บ ก็จะคิดถึงเรื่องบ้านก่อนเป็นอันดับแรก และแม่ก็ค่อนข้างสนับสนุน เพราะฉันเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่เลยต้องหาทางออกด้วยการผ่อนบ้าน ซื้อกองทุน หรือทำยังไงก็ได้ให้ไม่มีเงินสดอยู่ที่ตัว ฉันฝันไว้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง บ้านหลังน้อยๆ ที่เหมาะสมกับชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง และเหมาะสมกับความสามารถในการหาเงินเพื่อผ่อนมันไปจนหมดอย่างไม่ลำบากกายลำบากใจจนเกินไป และเหมือนมันจะเป็นสิ่งเดียวที่คุ้มค่าที่สุดตั้งแต่เลือกซื้อมา

ตอนทำงานแรกๆ ก็เลือกคอนโดก่อน เพราะตอนนั้นเงินเดือนและเงินเก็บยังไม่พอจะผ่อนบ้าน และมันก็ไม่แพงจนเกินตัว พอโตขึ้น เก็บเงินได้เพิ่มขึ้น ถึงซื้อบ้าน ชอบอยู่บ้านมากกว่าคอนโด ส่วนเรื่องรถนั้นฉันไม่มี passion ด้านนี้เลย ดังนั้นจึงใช้อะไรก็ได้ ขอแค่มีรถไปไหนมาไหนได้ กันฝนได้ แค่นี้ก็เพียงพอ

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวนั้นเป็นอีก passion ที่ฉันมีความสนใจ ฉันอยากเดินทางท่องเที่ยวไปทุกๆ ที่ จะใกล้หรือไกล จะศิวิลัยหรือค่นแค้น ก็อยากไปทั้งนั้น อยากเดินทางในตอนที่ยังสามารถทำได้ ร่างกายและวัยยังเอื้ออำนวย การเงินยังอำนวยความสะดวกให้กับเราได้ หากวันหนึ่งที่ปัจจัยเหล่านี้ไม่เอื้ออำนวยให้เดินทางต่อไปได้ อย่างน้อย ฉันจะยังมีเรื่องราวดีๆ ให้ได้นึกถึงอีกนานแสนนาน เรื่องพวกนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลมากๆ ค่ะ ไม่มีผิดไม่มีถูก เพราะชีวิตใครก็ชีวิตมัน แต่ละคนมี passion ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ด้าน แต่สิ่งที่ต้องการสื่อคือ ถ้าเรารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รู้จักความพอดีและความเหมาะสม มันจะมีความสุข ไม่เดือดร้อน (ทั้งเรื่องชีวิตและเรื่องเงินทอง) อีกนัยหนึ่งคือ หากมีใช้ก็ใช้ไป ไม่ว่าจะบ้าน รถ เสื้อผ้า ของแบรนด์เนม การเดินทางท่องเที่ยว ทุกอย่างอยู่ที่ความพอดีและความเหมาะสม แต่ความพอดีและความเหมาะสมของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

#ไปที่ชอบที่ชอบ ทำที่ชอบที่ชอบ เสียตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิต เพราะเราไม่รู้หรอกว่าตายแล้วจะได้ไปที่ชอบที่ชอบหรือไม่

ตั้งเป้าหมายของชีวิตเสียแล้วใช้ชีวิตให้สอดคล้อง ทำงานให้ดี หาเงินให้เก่ง
เก็บเงินให้เป็น ใช้เงินให้สนุกและมีความสุขกับชีวิต

ชีวิตใครก็ชีวิตมัน อยากมีชีวิตดี๊ดีก็ต้องลงมือทำค่ะ

By Akiko

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...