ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจะข่าวร้าย ข่าวลือต่างๆ ที่ฉ่ำมากๆ ตั้งแต่ต้นปีกันเลยทีเดียว


Photo Credit : Pinterest XXROSE.SS

เอาจริงๆ เราเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องปีชง ด้วยเหตุผลที่ว่า คนบนโลกนี้มี 7000 ล้านคน คนที่เกิดปีชงมีเยอะมาก เพราะปีเกิดของเรามีแค่ 12 ปีนักษัตร มันจะเป็นไปได้จริงๆ หรอ ที่คนเป็นร้อยล้านคนจะพบเจอเรื่องร้ายๆ ในช่วงเวลาเดียวกันทั้งหมด ความน่าจะเป็นก็คือน้อยมาก และถ้าตั้งข้อสังเกตให้ดีก็คือ เรื่องปีชงจะมีผลกับคนที่เกิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น อ้าว แสดงว่าคนยุโรป หรืออเมริกา ก็คือจะไม่มีการชงใดๆ แบบนี้เหรอ 

โดยส่วนตัวเราคิดว่า ทุกคนมีช่วงชีวิตของตัวเอง มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและไม่ดี ที่เกิดจากปัจจัยที่ควบคุมได้และไม่ได้ พื้นฐานชีวิตเราไม่เคยเกิดมาแล้วต้องลำบากมากๆ แต่ที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยมากจนได้ทุกอย่างมาง่ายๆ ตั้งแต่เรียนจบมา เราก็ต้องตั้งใจทำงานหาเงินด้วยตัวเองเหมือนกัน ต้องทำงานหนักมากๆ เพื่อแลกกับการได้มีบ้าน มีรถเป็นของตัวเอง มีของที่เราอยากได้ อยากมี ได้ไปเที่ยวหรือหาประสบการณ์ในแบบที่เราอยากจะเป็น อยากทำ และไม่เคยมีอะไรง่ายสำหรับเราเลย เราเลยมองว่า คนเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองนี่แหละ มันไม่มีทางลัดสำหรับอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างต้องใช้ความพยายาม และความอดทน เราเลยมีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่า ความโชคดีบางอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา มันมาจากพื้นฐานการใช้ชีวิตของเรานั่นแหละ ว่าเราใช้ชีวิตแบบไหน โชคร้ายก็เช่นกัน แน่นอนว่า เราควบคุมบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ แต่อะไรหลายๆ อย่างที่เราควบคุมได้ ก็ทำมันให้ดี แล้วถ้าจะต้องเจอกับโชคร้าย มันจะกลายเป็นเบาเอง

แล้วช่วงนี้ก็มีข่าวเยอะมากๆ ที่ดึงดูดความสนใจของคนไทย โดนส่วนตัวแล้ว เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่อ่านข่าวเลย เพราะเราคิดเองว่า มีแค่ไม่กี่ข่าวหรอก ที่มันมีความสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ และข่าวพวกนั้น มันจะมีถึงหูเราเอง ขนาดข่าวที่ไม่ได้สำคัญกับชีวิตเรา เราก็ยังได้ยินเพื่อนที่ออฟฟิสเมาส์กันฉ่ำทุกวัน 555 

อย่างช่วงที่ผ่านมาก็มีข่าวของดาราทั้งไทยและเทศที่สร้างความสนใจในสังคมไทยไม่น้อย ทั้งดาราฆ่าตัวตาย ดาราที่เกี่ยวพันกับการฆ่าตัวตายของดาราคนนั้น มาจนถึงดาราอีกท่านที่มีชีวิตหรูหรามากๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่กลับมาพบว่า กลายเป็นคนที่ยืมของแบรนด์เนมของคนอื่นไปขาย คอนโดที่เคยถ่ายทำ content จริงๆ แล้วก็เป็นการเช่ามา รถสปอร์ตที่บอกว่าซื้อเป็นของขวัญวันเกิดก็ไม่ได้ซื้อจริงๆ แต่เป็นการทดลองขับและถ่าย content เท่านั้น และเรื่องราวต่างๆ อีกมากมาย

Credit photo : Pinterest Fabricerie

เราไม่ได้อยากเมาส์ข่าว แต่ดันมีคนโยงว่าปีนี้เป็นปีชงของพวกเค้ารึป่าว แต่จากที่เราได้เห็นได้ฟังข้อมูลจากข่าวและสื่อหลายๆ ช่องทาง ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อของเราว่า ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรามากกว่า ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไปของตัวมันเองอยู่แล้ว และเราก็ไม่ได้ตัดสินว่าพวกเค้าเป็นคนไม่ดี เพราะเราก็ไม่รู้ชีวิตทุกด้านของเค้า ความจำเป็นในชีวิตของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เงื่อนไขการใช้ชีวิตต่างๆ แต่เราอยากบันทึกไว้เพื่อเตือนตัวเองว่า ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง และความลับก็ไม่มีในโลก เลยเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราต้องใช้ชีวิตให้ดีตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้หรอกว่า วันที่เป็นขาลงของเรามันจะมาเมื่อไหร่

เช่นกัน เวลาที่เราเห็นใครชีวิตดี๊ดีในอินสตาแกรมหรือเฟสบุ๊ค ก็ไม่ต้องไปอิจฉาเค้าหรอก เพราะน้อยคนนักที่จะเปิดเผยความเจ็บปวด มุมมืด หรือด้านลบๆ ของตัวเอง เพราะมนุษย์อยากเป็นที่รัก เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม อย่างตัวเราเอง เวลาที่เรามีปัญหา เราก็ไม่ได้โพสต์ว่ากำลังมีปัญหาอะไรอยู่ เครียดแค่ไหน ชีวิตลำบากยังไง แต่เราจะโพสต์ตอนที่เราไปเที่ยว ได้กินอาหารดีๆ ตอนที่เรามีความสุข เพราะเราอยากจะเก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้ ซึ่งมันอาจจะเป็นแค่ครั้งหนึ่งในชีวิต หรือแม้แต่อยากให้คนอื่นเข้ามาแสดงความยินดี หรือชื่นชมก็ตาม เราก็เลยไม่เคยอิจฉาใครเลยเวลาที่เห็นเค้าไปเที่ยว หรือซื้อนู่น ซื้อนี่ เพราะมันก็ชีวิตของเค้า และเป็นสิทธิส่วนบุคคล เอาเป็นว่าใช้ชีวิตของเราให้ดีตลอดเวลาก็พอ ไม่เบียดเบียนตัวเองและคนอื่น พยายามมีความสุขกับชีวิตมากๆ เพราะเราก็ไม่รู้เช่นกันว่า วันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเรา

Panlapa Akiko

Reset ชีวิตต้อนรับปีใหม่ เพื่อ Best Version ของเรากันเถอะ

ผ่านช่วงปีใหม่มาไม่นาน หลายๆ คนอาจจะอยาก reset และเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ จะด้วยอยากแก้ไขนิสัยบางอย่างหรือเปลี่ยนแปลงบางสิ่งที่เคยทำ หรือเคยเป็นในปีที่ผ่านมา เพื่อทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น หรือประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วย โดยเราสามารถแบ่งสิ่งที่เราต้องการเริ่มต้นใหม่ หรือพัฒนาออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่

1.ด้านร่างกายและจิตใจ ที่เราตั้งข้อนี้เป็นข้อแรกเนื่องจากเรามองว่า ร่างกายหรือสุขภาพที่ดีของเรา และจิตใจที่ดี มีความสุขของเรา เป็นพื้นฐานของสิ่งต่างๆ ในชีวิต เราอาจเคยได้ยินว่า เราต้องรักตัวเอง เคารพตัวเอง และดูแลตัวเองให้ดีก่อน หากเรารักและเคารพตัวเองมากพอแล้ว เราถึงจะทำภารกิจอื่นๆ ได้สำเร็จ 

ช่วงปลายปีได้ไปตรวจสุขภาพประจำปี ก็ปกติไม่มีอะไร ผลเลือดออกมาค่อนข้างดี ทั้งส่วนของคลอเรสเตอรอล ไขมันต่างๆ รวมถึงไม่มีไขมันพอกตับด้วย แต่ถึงจะดีแบบนั้น ในปีนี้เราก็ยังตั้งเป้าหมายในการเดินทุกวันๆ ละ 30 นาที เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวบ้าง ด้วยตัวเราเองทำงานออฟฟิส บางทีก็ประชุมทั้งวัน ทำให้เราไม่ได้เคลื่อนไหวมากเท่าที่ควร เราจะเลิกอ้างว่าไม่มีเวลาเสียที รวมถึงการกินอาหารให้ดีขึ้น ด้วยการลดของหวานให้น้อยลงและกินโปรตีนมากขึ้น และดื่มน้ำมากขึ้นด้วย 

หลายๆ คนอาจจะกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ทุกวัน เราเองก็เหมือนกัน ดังนั้นจะกินวิตามินเพื่อช่วยเสริมในเรื่องต่างๆ ด้วย ตัวที่เรากินอยู่เป็นประจำจะเป็นวิตามินบี ซี น้ำมันปลา และซิงค์ ส่วนวิตามินเอ จะกิน 3 เดือน และหยุด 3 เดือน ทั้งนี้ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ว่าเราต้องการเสริมตัวไหนเป็นพิเศษ รวมถึงการดูแลเรื่องผิวด้วย ด้วยความที่เราไม่ชอบเสียเวลากับการดูแลเรื่องความงามมากนัก และเราไม่ได้เป็นคนมีพื้นฐานผิวดีมากนัก ยิ่งอายุเลย 40 ก็คือหนักเลย สิ่งที่เราทำก็คือ การเข้าคลินิคบ้าง และมาส์คหน้าเป็นประจำ รวมถึงการทาครีมกันแดดในทุกๆ วันด้วย

อ่อ นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าในการนั่งสมาธิทุกวันๆ ละ 10 นาที และเขียน journal ทุกวันอีกด้วย ซึ่งสองสิ่งนี้ช่วยลดความเครียด ความกังวลได้ดีมากๆ 

ในหัวข้อนี้ยังรวมไปถึงการจัดสภาพแวดล้อมต่างๆ ให้เรารู้สึกดี สบายใจ สบายกายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดโต๊ะทำงาน หรือจัดบ้านให้เรียบร้อย โดยการแยกของที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อนำไปบริจาค หรือกำจัดทิ้งไป หรือของสิ่งไหนที่เรายังใช้งานอยู่ ก็จัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ก็จะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้เช่นกัน

2.ด้านการงาน เชื่อว่าในปีที่ผ่าน หลายคนคงได้เห็นผลการประเมินหรือมีการคุยกับหัวหน้าสำหรับการประเมินผลงานประจำปีแล้ว และพอรู้แล้วว่า เราต้องปรับปรุงและพัฒนาในเรื่องอะไรบ้าง และมีเรื่องอะไรที่เป็นจุดแข็งที่เราต้องรักษาและพัฒนาให้ดียิ่งๆ ขึ้นต่อไป 

ในปีที่ผ่านมาเราได้เรียนอะไรหลายอย่างมากจากการทำงาน ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า ทำงานมาเกือบ 20 ปี แล้ว แต่ก็ยังได้รับบทเรียนมากมายขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ที่จะเป็นหัวหน้าแบบไหน ที่ลูกน้องจะเคารพและศรัทธาในตัวเรา มันไม่ใช่แค่เรื่องของตำแหน่ง แต่มันคือความเคารพที่เค้ามีต่อเรา ความเชื่อใจ แน่นอนว่ามันไม่มีสิ่งไหนที่่จะดีกว่าไปกว่า การลงมือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ถ้าคุณอยากให้ลูกน้องขยัน ตั้งใจทำงาน ทุ่มเท และใส่ใจ คุณเองก็ต้องทำแบบนั้นก่อน ให้เค้าเห็นและทำตามในที่สุด อย่างน้อยถ้าเค้าจะไม่ทำ เค้าก็จะรู้สึกกระดากใจหรือละอายใจ 

หรือแม้แต่การทำงานร่วมกับเพื่อร่วมงานคนอื่น เราเคยเป็นคนที่ active มากๆๆๆๆ เวลาเราเห็นคนที่เค้าทำงานไม่เป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น หรือทำไมเค้าไม่เป็นแบบนั้น แบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราจะพยายามบังคับ หรือบอกให้เค้าเป็นไปตามสิ่งที่เราต้องการ อยากให้เค้าเปลี่ยนแปลง อยากให้เค้าทำแบบนั้นแบบนี้ แต่เราได้เรียนรู้แล้วว่า มันไม่มีประโยชน์เลย สิ่งที่เราทำมันยิ่งทำให้เค้ารู้สึกไม่ชอบเราด้วยซ้ำ แล้วทุกอย่างก็เลวร้ายลงไปอีก เราเลยเปลี่ยนวิธีการรับมือโดยการอธิบายหลักการและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และให้เหตุผลว่าทำไมเค้าถึงต้องทำ ส่วนว่าเค้าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ จะทำหรือไม่ทำ เราว่ามันไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว และเราก็จะไม่เสียอารมณ์กับคนแบบนี้อีกต่อไปแล้ว มันไม่คุ้มค่าเลยที่เราจะเอาเวลาและพลังบวกของเราไปเสียกับคนแบบนี้ เอาพลังงานดีๆ มาปรับใช้กับเรื่องอื่นๆ ในการทำงานจะก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่า

นอกจากนี้แล้ว การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเอง โดยการเพิ่มความรู้ในด้านอื่นๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับสายงานที่เราทำอยู่และความรู้ใหม่ๆ ที่อยู่นอกเหนือจากงานที่เราทำแต่เป็นสิ่งที่เราสนใจ เพื่อให้เราได้เรียนรู้ในหลากหลาย Area เพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าเราเองก็ไม่ได้ชอบงานที่เราทำอยู่เท่าไหร่ ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีในการ re skill เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการเปลี่ยนสายงานก็ยังได้ ต้องท่องจำไว้เสมอว่า "เราเป็นพนักงานอิสระ" ที่จะเปลี่ยนงานเมื่อไหร่ก็ได้ และไม่มีงานไหนที่มีความมั่นคง เพื่อให้เราต้องพัฒนาตัวเองให้สดใหม่อยู่เสมอ

3. ด้านการเงิน หลายๆ คนอาจจะพังทางด้านการเงิน เนื่องจากช็อปเก่งเหลือเกิน หรือเที่ยวเก่งเหลือเกิน ปีใหม่นี้เรามา reset ทางด้านการเงินได้โดยการตั้งเป้าหมายทางการเงิน สำหรับเราตั้งไว้แค่ 3 ข้อ ไม่ต้องเยอะ เพื่อให้เราโฟกัสในเป้าหมายของเราได้มากขึ้น

เช่น การปลดหนี้บ้าน x บาทให้หมดภายในปีนี้ หรือการลงทุน DCA เดือนละ 1,000 บาท ทุกเดือน ลดการช็อปปิ้งและสั่ง grab ให้เหลือเดือนละไม่เกิน 1,500 บาท เป็นต้น

เมื่อเราตั้งเป้าหมายแล้วก็ควรมีการจดบันทึกและ track ตัวเองทุกๆ เดือนหรือสองอาทิตย์ด้วย เพื่อให้เรารู้ว่าเราสามารถทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ หากไม่ได้ จะได้ปรับวิธีการต่อไป

นอกจากนี้ การศึกษาหาความรู้ทางด้านการเงินเพิ่มขึ้นก็เป็นสิ่งจำเป็นมากๆ มีหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวว่า ในระหว่างนี้หากคุณไม่มีความสนใจในเรื่องไหนเป็นพิเศษ ขอให้คุณศึกษาเรื่องการเงินให้เข้าใจอย่างแท้จริง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี การลงทุนต่างๆ ที่จะตอบโจทย์เป้าหมายแต่ละช่วงชีวิต ซึ่งความรู้ทางด้านการเงินเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับชีวิตของเราตั้งแต่เราเกิดจนเราตาย

4. ด้านความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร เพื่อน เพื่อนร่วมงานหรือคนรู้จัก ปีนี้เราตัดสินใจที่จะตัดความสัมพันธ์ที่เรารู้สึกว่ามันสร้างพลังลบให้กับชีวิตเรา ถึงแม้จะเป็นญาติพี่น้องที่เค้าสร้างแต่ความไม่สบายใจให้กับเรา สร้างเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจให้เราตลอดเวลา เราพยายามช่วยเหลือ พูดคุย จูงใจให้เค้าเปลี่ยนนิสัย แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น แบบนี้ก็ตัดออกไปจากชีวิตเถอะ หรือเพื่อนที่เราไม่สามารถเชื่อใจได้ เอาความลับของเราไปบอกคนอื่น หรือพูดจากระแนะกระแหนตลอดเวลา เวลาที่เราประสบความสำเร็จ หรือทำอะไรที่มีความสุข ก็ควรปลดปล่อยและปล่อยวางความสัมพันธ์แบบนี้ไปเสีย เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิตเราเลย เอาเวลาไปรักษาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ ความสัมพันธ์ที่ช่วยอุ้มชู หรือผลักดันให้ชีวิตเราดีขึ้นดีกว่า 

และเช่นกัน หากเราเองก็เป็นความสัมพันธ์ของใครซักคน ถ้าเราไม่ได้เป็นพลังบวกในชีวิตใครก็อย่าเป็นขยะในชีวิตเค้า เราถือคติเรื่องนี้เป็นสัมพันธ์ในการสร้าง Relationship ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่เราสนิท เพื่อนร่วมงาน partner ญาติพี่น้อง และคนที่เราได้พบเจอ อย่าพยายามสร้างพลังลบโดยการพูดไม่ดีใส่คนอื่น การบ่น ดราม่าใส่คนอื่นตลอดเวลา เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร และมันยังทำให้พลังลบของเราถูกถ่ายทอดไปหาคนอื่นด้วย ถ้าเรากำลังทำแบบนั้นอยู่ก็ไม่ต้องแปลกใจเลยที่จะมีหลายๆ คนไม่อยากเข้าใกล้เรา เพราะไม่มีอยากอยู่ใกล้คนที่ไม่มีความสุขหรอกค่ะ

มาสร้าง Best Version ให้กับชีวิตตัวเองกันเถอะค่ะ 

Welcome my new year : การตั้งเป้าหมายในปี 2024 แบบหวังผล


ในที่สุดก็เข้าสู่เดือน ธันวาคมเสียที ซึ่งเป็นเดือนที่เราชอบมากที่สุด และรอคอยมาตั้งแต่ต้นปี เพราะเราชอบ Feeling ช่วงคริสต์มาสมากๆ ยิ่งถ้าไปเที่ยวต่างประเทศแถบยุโรป จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก เพราะแถบนั้นคือเข้มข้นมากเว่อร์ คริสต์มาสกันทั้งเดือนแล้วอากาศก็จะหนาวๆ ด้วย มันเป็นเดือนที่เรารู้สึกว่าผ่อนคลาย เป็นฤดูกาลแห่งการให้ของขวัญทั้งแก่ตัวเองและคนอื่นที่เรารักและปราถนาดีต่อเค้า เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ค่อยหนาว แต่เราก็รู้สึก festive เฟสใจกันอยู่เหมือนกัน เราชอบเวลาที่ประเทศของเรามีการตกแต่งช่วงเทศกาลคริส์มาส มันทำให้เรารู้สึกว่าประเทศของเราเป็นประเทศแถวๆ ยุโรป เป็นประเทศพัฒนาแล้ว 

ถึงแม้ว่าปีนี้จะทุลักทะเลพอสมควร ทั้งเรื่องชีวิตและเรื่องการงาน แต่เราก็ผ่านมันมาได้จนถึงตอนนี้ เหลืออีกไม่ถึงเดือนก็จะเข้าสู่ปีใหม่แล้ว และเชื่อว่าหลายๆ คนก็เริ่มเขียน Resolution 2024 ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพ การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือ การเก็บเงิน เหล่านี้น่าจะเป็นเป้าหมายหลักๆ ที่หลายคนอยากเริ่มต้นใหม่ หรือบางคนอาจจะอยากทำให้ดีกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็ถือโอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ให้กับชีวิต


นอกเหนือจากการตั้งเป้าหมายในช่วงปีใหม่แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การทบทวนช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับชีวิตของเราบ้าง ทั้งเหตุการณ์ที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและชีวิตของเรา จะมากจะน้อย ซึ่งสำหรับเรา เราเขียน journal อยู่แล้ว การกลับไปอ่าน มันทำให้เราได้กลับมาทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เรามีความสุข มีอะไรบ้าง แล้วเรามีความสุขแค่ไหน ทำให้เรารู้สึกขอบคุณช่วงเวลานั้นๆ บุคคล สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง หรือถ้าเป็นเรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี เสียใจ หรือเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกหรือชีวิตของเรา ก็ทำให้เราได้นึกถึงบทเรียนที่เราได้จากเรื่องนั้นๆ อีกครั้ง ทำให้เราได้ตอกย้ำตัวเองว่าเราจะไม่กลับไปผิดพลาดในจุดเดิมๆ ซ้ำอีก 

เริ่มต้นจากการเขียนสรุปปีที่ผ่านมา โดยการเขียนเป็นเหมือนสรุปข่าวใหญ่ของตัวเราเองจำนวน 12 ข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในแต่ละช่วงเวลา แต่ละเดือน ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ สามารถปรับได้ตามสะดวกเลย และจะเขียนสรุปไว้ที่ท้ายเล่มของสมุดบันทึกประจำปี 2023 หรือจะแยกเขียนไว้ใน blog หรือเขียนใน ipad ก็คือได้หมด ไม่ติดค่ะ

เมื่อสรุปข่าวใหญ่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มคิดถึงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงว่า จากสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา เราต้องการทำอะไรบ้าง สำหรับเราจะแยกเป็นหัวข้อเป็น 4 หัวข้อหลักๆ คือ


- เป้าหมายที่ต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เพราะปีที่ผ่านมามันไม่ไหวเลยสาว เช่น ปีที่ผ่านมาเราคิดลบบ่อย ก็จะตั้งเป้าว่า เราจะปรับทัศนคติของตัวเองให้ดีขึ้น พยายามสร้างพลังเชิงบวก มีสติมากขึ้นจะได้รู้สึกตัวและปรับโฟกัสใหม่เวลาที่เราคิดลบกับตัวเอง หรือเราขี้โมโห ขี้หงุดหงิดมาก เราจะตั้งเป้าว่า เราจะเป็นคนใจเย็น และรับฟังคนอื่นมากขึ้น เราจะพยายามเข้าใจคนอื่นให้มากกว่าเดิม แต่เราจะไม่เขียนว่า เราจะไม่ดุคนอื่น เพราะสมองของเราจะตัดคำว่า "ไม่" ออกไปจากประโยคและสุดท้ายก็จะไม่ได้ผลเลย (อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัว) เราพยายามเขียนเป้าหมายให้เป็นประโยค positive ที่เราเชื่อว่า มันทำให้เราทำให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้มากกว่า หรืออาจจะเป็นเรื่องการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น การกินอาหารให้ดีขึ้น แต่ให้เขียนลงรายละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น เราเป็นคนสุขภาพดีที่ออกกำลังกายอย่างน้อย 4 วันต่อสัปดาห์ หรือเราจะกินอาหารตามใจตัวเองช่วงวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น หรือเราจะอ่านหนังสือวันละ 10 หน้าทุกวัน แบบนี้ก็จะช่วยให้เราสามารถโฟกัสที่การพัฒนาตัวเองของเราได้มากขึ้น 


- เป้าหมายทางด้านการงาน คือ การวางแผนการทำงานและการเติบโตในด้านการงานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตำแหน่ง รายได้ หรือหากเราไม่พอใจกับงานที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะด้วยตัวงาน เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ก็เป็นเวลาที่ดีที่เราจะถามตัวเองว่า แล้วงานที่เราชอบเป็นแบบไหน คนที่จะทำงานแบบนั้นต้องเป็นคนแบบไหน แล้วเราก็พยายามพัฒนา skill ในด้านต่างๆ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เช่น เราอยากทำงานอิสระ เพราะชอบอยู่บ้าน ก็หาข้อมูลว่า งานแบบไหนที่ตอบโจทย์ชีวิตแบบนั้น แล้วต้องมีทักษะอะไรบ้างที่เราต้องมีเพื่อจะให้ได้งานนั้น สำหรับข้อนี้ ขอให้คิดให้ดีๆ และรอบคอบ เพราะทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย พยายามหาข้อมูลและคิดถึงความต้องการของตัวเองเป็นหลัก


- สิ่งที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มขึ้นในปีหน้า อาจจะไม่ถึงขั้นไปเรียนใน class แต่แค่อ่านหนังสือก็นับเป็นการเรียนรู้แล้ว หรือการเรียน online หรือศึกษาจาก Youtube ก็ได้ โดยเราจะเลือกหัวข้อที่เราสนใจ และเลือกอ่านหนังสือ หรือศึกษาเรื่องนั้นๆ เป็นพิเศษ เช่น การเงิน หรือเรื่องที่ต้องการพัฒนาเพื่อการทำงาน เช่น การทำ presentation / Digital Marketing หรือวิธีการพูดในแต่ละสถานการณ์ หรือศิลปะในการสื่อสารที่จะช่วยให้เราสามารถอธิบายหรือพูดคุยให้คนอื่นสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น พวกนี้ช่วยเราในเรื่องการทำงานได้มากๆ หรือบางเรื่อง อาจจะนอกเหนือจาก อาชีพของเราไปเลย แต่เป็นสิ่งที่เราสนใจ อย่างเช่น การตัดต่อวีดีโอ เป็นต้น


- เป้าหมายทางด้านการเงิน เป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญ โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือส่วนของสินทรัพย์ และหนี้สิน

                    สินทรัพย์ ก็คือ เงินเก็บ หุ้น กองทุน ทองคำต่างๆ อันนี้จริตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่มีถูก ผิด บางคนออมเงินไว้ในบัญชีเพราะรู้สึกสบายใจที่สุด ก็ไม่ผิด บางคนออมทอง เพราะหวังผลกำไร ก็ไม่ผิด บางคนออมกองทุน ออมหุ้น ก็ไม่ผิด แต่ให้ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เฉพาะเจาะจง เช่น จะเก็บเงินให้ได้ 100,000 บาท แล้วการจะเก็บได้ 100,000 บาทคืออะไร เช่น การเปิดบัญชีแยกแล้วหักจากเงินเดือน 20% ตั้งแต่วันที่เงินเดือนออกเลย หรือ ตั้งเป้าซื้อทองให้ได้ 5 บาทในปีหน้า อย่างไร ด้วยวิธีไหน ซึ่งปัจจุบันเราก็สามารถเปิดบัญชีออมทองได้แล้ว แถมซื้อขายผ่านแอปได้ด้วย

                    หนี้สิน หากเรามีหนี้บ้าน หนี้รถ สิ่งที่ควรทำควบคู่กันกับการวางแผนเรื่องการออมเงินก็คือ การจัดการหนี้สิน ควรวางแผนการโปะหนี้ต่างๆ ให้หมดเร็วขึ้น เช่น การผ่อนบ้านเพิ่มขึ้น 10% เพราะปัจจุบันเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น และไม่มีแนวโน้มว่าจะกลับไปต่ำแบบเดิมอีกแล้ว อย่างตอนนี้เราก็ผ่อนบ้านอยู่เหมือนกัน เราก็วางแผนระยะสั้นคือ ผ่อนบ้าน 2x ทุกเดือน และพยายามปลดหนี้บ้านให้หมดภายใน 5 ปี เพราะเราก็อายุ 40 กว่าแล้ว ไม่อยากเป็นหนี้ไปจนเกษียณ เป็นต้น

                    เมื่อทำครบสองส่วนแล้วให้กลับมาคิดเพิ่มเติม แล้วสิ่งที่เราอยากเป็นหรืออยากได้มีอะไรบ้าง เช่น อยากไปเที่ยวที่ไหน อยากได้อะไร ก็เขียนออกมา ระบุจำนวนเงินให้เฉพาะเจาะจง ช่วงเวลา และวิธีการ ก็จะช่วยให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายได้มากขึ้นด้วย เช่น พาแม่ไปเที่ยวญี่ปุ่น ใช้เงิน 100,000 บาท ไปตอนไหน อย่างไร เช่น ไปเมืองไหน บินสายการบินอะไร ที่พักเป็นแบบไหน จะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง เป็นต้น 


                    ทั้งนี้ขอให้เราตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ให้เราอยู่กับตัวเองและถามตัวเองว่า เราต้องการให้ชีวิตเราเป็นแบบไหน อะไรที่เราชอบ และไม่ชอบ อย่าหลงตามกระแส ยิ่งปัจจุบัน เรามักเสพโซเชียลเยอะมากๆ และมองดูชีวิตคนอื่น ก็เลยตั้งเป้าหมายตามคนอื่น เช่นเห็นคนนั้นทำอย่างนั้น คนนี้มีอย่างนี้ ก็อยากจะเป็น อยากจะได้แบบที่เค้ามี ซึ่งมันไม่ผิดเลย ถ้ามันเป็นความต้องการจากส่วนลึกของเราจริงๆ เราดูเพื่อให้เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต เพราะเราเคยเป็นคนหนึ่งที่ตั้งเป้าหมายตามที่เพื่อน ตามคนอื่นที่เราไม่ได้รู้จักชีวิตเค้าดีพอด้วยซ้ำ แล้วก็พยายามไปให้ถึงจุดนั้น จนเมื่อบรรลุเป้าหมายนั้นแล้วเราก็ได้รู้ว่า จริงๆ แล้วมันไม่ได้ทำให้เราอิ่มใจ หรือดีใจมากขนาดนั้น เพราะว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ 

                    และนี่ก็คือสิ่งที่เราทำในช่วงนี้ ซึ่งห้าปีที่ผ่านมา เราทำแล้ว เราสามารถทำสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จตามเป้าหมายได้เยอะขึ้นมาก เมื่อเทียบกับการคิดลอยๆ เหมือนที่ผ่านๆ แล้ว ก็เลยอยากแชร์สิ่งที่เราทำแล้วโอเค ให้คนอื่นลองทำดูบ้าง เพราะเราก็หวังว่า วันหนึ่งจะมีคนที่เค้าได้เรียนรู้อะไรมา แล้วมันดีกับชีวิตเค้า เค้าจะแชร์ให้เรารู้ด้วยเช่นกัน ^^

Akiko Diaries...





สรุปข้อคิดที่ได้จากหนังสือ "THE FIVE SECRETS YOU MUST DISCOVER BEFORE YOU DIE" ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย

หลังจากที่เราได้อ่านหนังสือ "THE FIVE SECRETS YOU MUST DISCOVER BEFORE YOU DIE" ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย เขียนโดย ดร.จอห์น ไอโซ แล้วเรารู้สึกอินมาก😍😌 จนอยากเขียนสรุปเก็บเอาไว้ เราคิดว่ามันคือหลักการที่สามารถเอามาใช้กับชีวิตได้จริงๆ และสำคัญเลยทีเดียว

โดยหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เราซื้อมานานหลายปี โดยคุณโหน่ง วงศ์ทนง เคยแนะนำหนังสือเล่มนี้ไว้ในรายการ เจาะใจ หืมมมมม แค่ฟังชื่อรายการก็รู้แล้วเน๊อะ ว่านานแค่ไหน แต่เราเพิ่งจะได้มีโอกาสอ่านในปีนี้ ด้วยปณิธานปีใหม่ของปี 2023 ว่าจะอ่านหนังสือให้ได้ 52 เล่มใน 52 สัปดาห์ และเล่มนี้ก็เป็นเล่มหนึ่งที่เราอยากพูดถึงและรู้สึกประทับ แอบคิดว่าทำไมไม่อ่านตั้งนานแล้วนะ ประกอบกับเราพยายามเอามันมาปรับใช้กับชีวิตตัวเอง แล้วพบว่า มันดีมากจริงๆ😊

หนังสือเล่มนี้เป็นการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปทั่วโลกหลายร้อยคนเกี่ยวกับคำแนะนำที่กลุ่มคนเหล่านั้นอยากแนะนำคนรุ่นหลังเพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข หรืออยากแนะนำให้ทำตั้งแต่ตอนนี้เพื่อที่จะไม่ต้องรู้สึกเสียดายหรือเสียใจทีหลัง ซึ่งทางผู้เขียนได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ดังกล่าวและพบว่า มีคำตอบที่ระบุถึง 5 สิ่ง ที่ผู้สูงอายุหลายท่านแนะนำตรงกัน ได้แก่

1.จงซื่อสัตย์กับตัวเอง ซึ่งเป็นหลักการข้อเดียวกับที่หนังสือหลายๆ เล่ม พยายามบอกเราว่า ให้ซื่อสัตย์และฟังเสียงหัวใจของตัวเอง อะไรคือความต้องการที่แท้จริง อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของเรา และให้ถามตัวเองเสมอว่า เรากำลังใช้ชีวิตของตัวเอง หรือเรากำลังใช้ชีวิตของคนอื่นกันแน่ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของชีวิต เรื่องการทำงาน หรืองานอดิเรกอื่นๆ ที่เราอยากทำ เราได้ทำอย่างที่หัวใจเรียกร้องแล้วหรือยัง

หลายคนอาจจะผูกติดอยู่กับหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถผละตัวออกมาทำในสิ่งที่เรารัก หรือต้องการจริงๆ ได้ทั้งหมด แต่บางส่วนของชีวิต เราสามารถบริหารจัดการเวลาที่เรามี เพื่อทำสิ่งที่เรารัก และสิ่งนั้นจะช่วยเติมเต็มชีวิตของเราให้ก้าวเดินต่อไปได้อย่างมีความสุข

2. อย่ารู้สึกเสียดายทีหลัง ในหัวข้อนี้พูดถึงการเสี่ยงกับชีวิตและกล้าลงมือทำมากขึ้น แทนที่จะกลัวความล้มเหลว เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่กล่าวตรงกันว่า พวกเค้าเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทดลองทำมากกว่าสิ่งที่ทำแล้วประสบกับความล้มเหลว เพราะการยอมรับความเสี่ยงและลงมือทำนั้น โอกาสประสบความสำเร็จจะเท่ากับ 50% แต่ถ้าเราไม่กล้าแม้แต่จะลอง ก็เท่ากับเราได้เจอกับความล้มเหลว 100%

ทั้งนี้ยังรวมถึงความสัมพันธ์ที่ต้องเยียวยา หรือค้างคา มีการมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ความโกรธ ความเกลียดที่ค้างคาใจ ยิ่งนับวันจะยิ่งทำร้ายตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความเจ็บปวดให้กับตัวเอง ดังนั้นจงเคลียร์ปัญหาเหล่านี้ให้จบ เคลียร์ความรู้สึกของตัวเอง การกล่าวขอโทษ หรือกล่าวขอบคุณ กับคนรอบตัวที่เรารู้สึกติดค้าง หรือค้างคาใจ จะทำให้รู้สึกสบายใจ และมีความสุขมากขึ้น

3. ใช้ชีวิตด้วยความรัก ความรักในที่นี้ไม่ใช่อารมณ์รัก แต่เป็นความรู้สึกเข้าใจในทุกๆ สิ่ง ทั้งการรักตัวเอง รักคนที่เรามีความสัมพันธ์รอบตัว และรักผู้อื่น

สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับการรักตัวเอง คือการเข้าใจและยอมรับตัวเองอย่างแท้จริง ทุกคนไม่สมบูรณ์แบบ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มุมมองของเราต่อสถานการณ์ต่างๆ คือสิ่งที่เราควบคุมได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจไม่สามารถทำได้เลยในตอนนี้ แต่เราสามารถฝึกฝนได้ หัดให้อภัยตัวเอง พูดดีๆ กับตัวเอง ปลอบใจตัวเอง และชื่นชมตัวเองบ้าง

รักความสัมพันธ์รอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ครอบครัว สามี ภรรยา ลูก รวมไปถึงเพื่อน เพื่อนร่วมงาน คนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรา ให้รักและเข้าใจพวกเค้าแม้ในวันที่พวกเค้าไม่น่ารัก 

และสุดท้ายคือการมองผู้อื่นด้วยความรัก จะทำให้เรารู้สึกโกรธ เกลียด คน สัตว์ สิ่งของและสถานการณ์รอบตัวที่ไม่เป็นดั่งใจน้อยลง 

มันทำยากมากกกกกกกกกกกกกก (กอไก่ล้านตัว) เราเองก็ยังทำไม่ได้ แต่คิดว่า จะฝึกตั้งแต่วันนี้ ฝึกให้มีควาเมตตาต่อตัวเองและคนรอบข้าง และพยายามเข้าใจว่าทำไมเค้าทำตัวไม่น่ารัก มันคงไม่ได้ 100% หรอกแต่มันน่าจะช่วยให้สุขภาพจิตเราดีขึ้น เพราะความจริงไม่มีใครสมบูรณ์แบบบนโลกใบนี้ และเราไม่สามารถบังคับให้ใครทำแต่สิ่งที่เราชอบได้ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังทำในสิ่งที่เราไม่ชอบเลย

4. อยู่กับปัจจุบัน ข้อนี้เข้าใจง่ายมาก คือทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด 

ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เช่นตั้งใจเข้าประชุม โดยไม่ทำงานอื่น (ซึ่งเราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน 555)

ให้เวลาและให้ความสนใจคนที่อยู่ตรงหน้าเราในขณะนี้ เวลานี้ มากที่สุด โดยไม่สนใจสิ่งอื่น ตั้งใจฟังในสิ่งที่เค้าพูด 

ตั้งใจกินข้าวโดยไม่ดูโทรศัพท์หรือทำอย่างอื่น หรือแม้แต่อาบน้ำแบบตั้งใจอาบน้ำจริงๆ 

ประมาณนี้ ซึ่งมันพูดง่ายแต่ทำยากมาก เพราะทุกวันนี้เราพยายามทำตัว multi tasking แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้เรื่องซักอย่าง ในหนังสือบอกว่าให้เราระลึกเสมอว่า ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเตือนตัวเองให้เรา อิ่มเอม และใช้เวลาทุกช่วงเวลาอย่างตั้งใจ

5. จงให้มากกว่ารับ ให้ถามตัวเองทุกวันว่าวันนี้ เราได้สร้างประโยชน์อะไรให้แก่โลกหรือคนรอบข้างบ้างแล้วหรือยัง สิ่งแรกที่เราสามารถทำได้คือ การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน เพียงเท่านี้เราก็สามารถช่วยโลกได้แล้ว และการช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ มีความเมตตาต่อผู้คน จะทำให้เรามีความสุขเมื่อได้ย้อนนึกถึงเรื่องราวและสิ่งที่เราประโยชน์เหล่านั้น ทำให้รู้สึกอิ่มเอม มากกว่า ตำแหน่งหน้าที่งานของคุณ ทรัพย์สิน เงินทองต่างๆ เสียอีก เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีคุณค่า

ขอยกตัวอย่างสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้คือ เราอาจจะทำงานหลักที่เราไม่ได้รู้สึกรักมันเสียทีเดียว แต่เราก็พยายามมองหาข้อดีจากการทำงานดังกล่าว แน่นอนว่าเราได้ค่าเหนื่อยและผลตอบแทนเป็นเงินที่สามารถเอาไปต่อยอดหาเงินในช่องทางอื่นๆ ได้ ทำให้เราสามารถไปใช้ชีวิตหรือทำสิ่งที่ชอบและต้องการได้ เช่นการเขียน blog ต่างๆ โดยในวันหยุด เราสามารถใช้เงินก้อนนี้ไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่เราชอบและทำความฝันให้เป็นจริง รวมไปถึงการซื้อหนังสือมาอ่านเพื่อพัฒนาตัวเอง หรือเข้าคอร์สเรียนเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตัวเองเพิ่มมากขึ้น การทำแบบนี้เราก็ได้ตอบสนองจิตวิญญาณของเราแล้วนะ เราก็ได้ซื่อสัตย์กับตัวเองแล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถทำได้ทุกเรื่องก็ตาม

และในการทำงานของเราสามารถช่วย support หรือช่วยเหลือคนอื่นได้ ทั้งเพื่อนร่วมงาน หรือคนอื่นๆ ทั้งในรูปแบบของการใช้ความสามารถของตัวเราเองและรูปแบบของเงินที่เราสามารถแบ่งปันบางส่วนให้คนอื่นได้ 

นอกจากนี้ เรายังลงมือทำทุกอย่างทันที โดยไม่คิดว่า "เดี๋ยวค่อยทำ" ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ งานที่ต้องทำ ถึงแม้จะไม่อยากทำ และการขอโทษหรือขอบคุณคนที่เรารู้สึกคั่งค้างอยู่ในใจ มันทำให้เรารู้สึกสบายใจจริงๆ นะ สิ่งหนึ่งที่อยากทำได้มากกว่านี้ ก็คือ การอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้เป็นข้อที่ยากที่สุดสำหรับเรา แต่ก็ตั้งใจว่าจะพยายามทำให้ดีขึ้นทุกวัน 

อ่านเถอะ ไหว้แหละ

Panlapa Akiko😉


รีวิว Gucci Horsebit 1955 vs Dior Bobby vs Celine Triomphe Bag : ใบไหนดีที่จะใช้ได้ยาวๆ จากประสบการณ์การใช้งานจริงทุกใบ


ถ้าพูดถึงของใช้สำหรับผู้หญิง ก็คงหนีไม่พ้น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางค์ เครื่องประดับต่างๆ หลายๆ คนก็อาจจะบอกว่า เราก็สนใจทุกเรื่องที่ใช้เงิน😂😂 (ซึ่งก็อาจจะจริง หุๆ) แต่ที่เราเห็นผู้หญิงให้ความสำคัญค่อนข้างมากก็คือ กระเป๋า นั่นเอง เพราะมันแทบจะติดตัวเราไปตลอด ซึ่งชาวเรามีสัมภาระติดตัวกันค่อนข้างเยอะ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้กระเป๋ากันอยู่ทุกวัน และก็มีหลายคนที่มีกระเป๋าเยอะมาก เสมือนกับมีชีวิตอยู่สองหมื่นปี ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีกระเป๋าเยอะแยะมากมายขนาดนั้น แค่มี 1 ใบที่มีลักษณะที่ดูดี มีการตัดเย็บที่ดี อาจจะเป็นหนังที่มีคุณภาพดี สามารถใช้ได้กับหลายลุค แมชกับการแต่งตัวได้ง่ายทั้งแบบทางการและไม่ทางการ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเป็นกระเป๋าคู่ใจ

แต่พอเราทำงานมาได้สักระยะหนึ่ง พอสร้างเนื้อสร้างตัวได้ พอมีเงินเก็บและมีเงินเหลือจากการทำภารกิจสำคัญต่างๆ อย่างผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ดูแลครอบครัวแล้ว ก็คงไม่ผิดที่เราอยากจะมีของดีๆ หรือที่เราชอบเอาไว้ใช้บ้างตามความเหมาะสม 

ซึ่งเราจะมาพูดถึงกระเป๋าที่ดูคลาสสิค มีขนาดที่ใช้งานได้จริง หมายถึงใส่ของได้จริง ใช้งานได้จริง และไม่ต้องทะนุถนอมมากนัก สามารถใช้ได้ยาวๆ 3 ใบ เรียกได้ว่าเป็น It Bag เลยก็ว่าได้ ซึ่งอาจจะมีคนรีวิวแต่ละรุ่นไว้แล้วมากมายว่าแต่ละรุ่นต่างกันมีลักษณะด้านนอก ด้านใน เป็นแบบไหนบ้าง แต่เราจะทำการเปรียบเทียบการใช้งานจริงหลังจากที่ได้งานแล้วระยะหนึ่งด้วย โดยเราจะไม่พูดเรื่องราคา แต่จะเน้นที่การใช้งานและการเปรียบเทียบของแต่ละรุ่นมากกว่า

เริ่มรุ่นแรกที่เป็นรุ่นฮิตสำหรับผู้หญิงหลายๆ คนก็คือ Gucci Horsebit 1955 Shoulder Bag ซึ่งเราเลือกเป็นไซส์ใหญ่เนื่องจากเป็นผู้หญิงที่ทำงานจริงๆ ของเยอะจริงๆ เราเลือกเป็นลายโมโนแกรม ด้านนอกเป็นแคนวาสลาย GG ส่วนด้านในเป็นหนังผสมกับผ้าไมโครไฟเบอร์ ซึ่งกระเป๋ารุ่นนี้มาด้วยช่องใส่ของจุใจมาก ช่องใหญ่ถึง 3 ช่อง คืออยากใส่ก็ใส่ได้เลยตามอำเภอใจ สามารถใส่กระเป๋าสตางค์ใบยาวได้ด้วย ไอโฟนใหญ่ยักษ์อย่าง iphone pro max ก็สามารถอยู่ร่วมกันกับกระเป๋าสตางค์ใบยาวได้ไม่ติดขัดใดๆ เครื่องสำอางค์เอย อะไรเอย สามารถยัดทุกสิ่งได้เลยค่ะ 

รุ่นนี้จุของได้เยอะ และไม่ต้องรักษาเยอะเลย เพราะไม่เป็นริ้วรอยใดๆ จะโดนเล็บจิกหรือจะฟาดนู่น ขูดนี่บ้าง น้องก็อดทนสุดๆ 😍😍😍เนื่องจากเป็นแคนวาส อาจจะมีตรงก้นกระเป๋าบ้างซึ่งเราคิดว่ามันไม่เป็นนัยยะสำคัญ สำหรับสายก็สามารถปรับระดับได้ดีเลย จะใช้แบบชิคๆ ก็ปรับสายสั้นหน่อย อยาก Cross body น้องก็สามารถทำได้อย่างดี 

ข้อเสียของรุ่นนี้ก็คือ น้ำหนักค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับกระเป๋ารุ่นอื่นๆ ดังนั้นด้วยความใบใหญ่สามารถใส่ของได้เยอะก็จะยิ่งหนักมาก ไหล่ทรุดได้ หากต้องสะพายทั้งวัน 😁 หลายๆ คนอาจจะคิดว่าตัวเล็กจะใช้ไซส์นี้ได้มั้ย สำหรับเราคิดว่ามันไม่ได้ใหญ่ไปสำหรับคนตัวเล็ก แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่คนชอบ แนะนำว่าก่อนตัดสินใจซื้อควรไปลองสะพายที่ช็อปก่อนเพื่อดูว่าเราเหมาะกับไซส์ไหน และแบบไหนที่เราสามารถใช้งานได้จริง

ใดๆ ก็คือก่อนตัดสินใจซื้อ ไม่อยากมโนในใจแล้วกดๆ ถึงแม้ว่ากายพร้อม ใจพร้อม บัตรเครดิตพร้อม เพราะการซื้อของที่มีราคาแบบนี้สำหรับเรา สำหรับเรา เราอยากได้ของที่ดีและเหมาะสมกับเราที่สุด ถูกใจเราจริงๆ และสามารถอยู่ด้วยกันไปได้ยาวๆ เพราะกระเป๋าแบบนี้ ย้ำว่า เราไม่ได้ซื้อมาเพื่อเพิ่มมูลค่าของมัน ความคุ้มค่าจะเกิดขึ้นเมื่อเราได้ใช้มันบ่อยๆ และใช้ได้นานๆ มากกว่าค่ะ

ต่อมาอีกใบที่ดูมีความวินเทจแต่ยังดูเป็นกระเป๋าไม่ได้แฟชั่นจ๋า ใช้งานได้จริง ใส่ของได้จริงแม้จะมีช่องเดียวแต่เป็นช่องที่เอาเรื่องเอาราวค่ะ สามารถใส่ของได้เยอะมากและเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต และหลังจากที่ใช้งานมาแล้วระยะหนึ่งก็คืออยากแนะนำเลย นั่นก็คือ Dior Bobby size medium จริงๆ size small ก็ดูน่ารักแต่ใส่อะไรไม่ได้เลย ก็เลยคิดว่าไม่เหมาะกับชาวเรา พนักงานออฟฟิสผู้เยอะสิ่ง สำหรับรุ่นนี้มีให้เลือกหลายสีเลย แล้วสีก็คือละมุนมาก ทั้งฟ้าพาสเทล สีขาวก็คือปุ๊กปิ๊กไม่ไหว แต่สีที่เราชอบมากๆ และคิดว่าน่าจะใช้ได้ยาวๆ ก็คือสีน้ำตาลและสีดำ ตัดสินใจอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกสีดำมา
ด้วยน้องเป็นหนังลูกวัวผิวเรียบ หลายๆ คนอาจจะคิดว่า น้องเป็นรอยง่าย แต่สำหรับเรา น้องทนพอสมควรเลย แน่นอนว่าไม่เท่า Gucci ซึ่งเป็นแคนวาส การใช้งานอาจจะไม่ได้สมบุกสมบันเท่า แต่ก็ไม่ได้จะต้องทะนุถนอมน้องมากจนเกิดความกังวล ด้วยกระเป๋าใบนี้มีก้นกระเป๋าทรงกึ่งๆ ไปทางกลมมน ทำให้ดูวินเทจ และดูคลาสสิคในเวลาเดียวกัน แต่ก็ยังสามารถเข้ากับสไตล์การแต่งตัวได้หลากหลาย ทั้งสไตล์ casual และทางการ ก็คือมีใบเดียวสามารถใช้ได้ทุกกาละเทศะ มีความเท่ห์ซ่อนอยู่กรุบหนึ่ง นอกจากนี้น้องยังมีช่องด้านหลังสำหรับใส่แบงค์และการ์ดที่เราหยิบใช้บ่อยๆ ได้ด้วย
ส่วนสายก็สามารถปรับปรับระดับได้ และสามารถถอดสายได้ด้วย อ่อ ถ้าเป็น size small หากถอดสายแล้วคาดว่าจะถือเป็น คลัชไปงานต่างๆ ได้ด้วยค่ะ ก็อาจจะต้องลองเลือกดูว่า สไตล์เราเป็นแบบไหน หากเราเป็นสาวหวานไม่เน้นสัมภาระ size small ก็จะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน และราคาก็ย่อมเยาว์กว่าด้วยค่ะ

ใบสุดท้ายที่อยู่ในหมวดหมู่นี้ ดีต่อใจสาวๆ วัยทำงานก็คือ Celine Triomphe Bag ใบนี้เป็นใบที่ซื้อช้าที่สุด จริงๆ มองน้องมาตั้งแต่ราคายังไม่พุ่งขนาดนี้ แต่ก็คิดว่า เรามีสองใบนั้นอยู่แล้ว จะซื้อมาอีกจะดูเป็นการสิ้นเปลืองมั้ยนะ ตัดใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ตัดใจไม่ไหว เพราะน้องกวนใจเหลือเกิน ใบนี้มองไว้สีเดียวเลยก็คือสีดำเท่านั้นเพราะตัดกันกับอะไหล่ทองและ size medium ดูเหมือนจะมี combination ที่ลงตัวที่สุดในบรรดา 3 size อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวของเรานะคะ ส่วนใบเล็กจริงๆ ก็มีคนใช้เยอะเหมือนกัน แต่ออกแนวแฟชั่นมากกว่า เพราะน้องใส่ของได้น้อยมาก ใบนี้มีความคล้าย Dior Bobby ก็คือเป็นหนังลูกวัว หนังเรียบเหมือนกัน แต่มีความเงากว่า แล้ว Buckle Logo ของน้องก็คือสีทองตะโกน สวยมาก มองจากระยะ 500 เมตรก็ยังรู้ว่าอ่อ น้อง Celine ในกระเป๋าน้องมี 3 ช่องคือ 1 ช่องใหญ่ตรงกลางและ 2 ช่องด้านหน้าและด้านหลัง
สำหรับใบนี้ หนังน้องค่อนข้างเงา และมีความนิ่ม แต่อยู่ทรง หลังจากที่เราได้พาน้องไปผ่านสงครามมา น้องถึกใช้ได้เลย หนังไม่ได้เป็นรอยง่ายขนาดนั้น แต่น้องมีความดูดฝุ่น คือเราไม่แน่ใจว่าหนังน้องมีลักษณะอะตอมดึงดูดหรืออย่างไร ฝุ่นจะปลิวมาเกาะน้องตลอดเวลา ต้องคอยเอามือเช็ดออก รวมถึงเวลาเราใส่เสื้อผ้าที่มีขนด้วย

จากการใช้งานจริงทั้งสามใบ น้องๆ ใส่ของได้เยอะและสามารถใช้งานได้จริงทุกใบ ไม่สวยไปวันๆ แล้วก็ไม่เป็นรอยง่าย ทำให้สาวๆ ออฟฟิสที่ต้องใช้ชีวิตถึกๆ แบบเราๆ ไม่ต้องดูแลรักษาน้องเยอะ อ่อ ทุกใบผ่านฝนมาหมดแล้ว ก็ไม่เป็นรอยด่างใดๆ นะคะ แค่พอเข้าร่มแล้วก็เอาผ้าแห้งๆ นุ่มๆ ซับน้อง แค่นี้ก็พอแล้ว นับเป็นสามใบที่ซื้อมาแล้วจะไม่มีวันเสียใจแน่นอนค่ะ คุ้มค่าที่สุด

คะแนนความชอบโดยภาพรวม Celine (ชอบมากที่สุด) Dior (รองลงมา) Gucci (อันดับสาม)
น้ำหนักเรียงจากมากไปน้อย Gucci ชนะเลิศ ส่วน Celine กับ Dior ไม่ค่อยหนักค่ะ

อย่างที่บอกไปแต่ต้นว่า เราไม่ดราม่ากันนะคะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแต่ละคน ถ้าใครไม่ชอบก็ผ่านไปดู Topic อื่นๆ ได้นะคะ แต่สำหรับเรา มีเพื่อนและคนรู้จักหลายคนมาถามถึงกระเป๋าสามใบนี้บ่อยมาก ว่าเป็นยังไงบ้าง ดีมั้ย หนักมั้ย เราเลยทำรีวิวนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนที่กำลังตัดสินใจซื้อมีข้อมูลเบื้องต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แนะนำให้ไปลองสะพาย ดูสีและขนาดที่ shop อีกที และเลือกให้เหมาะกับตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนเรา เพราะทุกรุ่นก็มีขนาด สีสัน และวัสดุหลากหลายแบบให้เลือก ขอให้ Enjoy ค่ะ

Akiko


Journal เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเรา : การเขียน Journal เพื่อลดความเครียด คลายความกังวล By Akiko

Journal คืออะไร จริงๆ แล้วมันคล้ายๆ กับการที่เราเขียน Diary สมัยที่เรายังเด็ก แต่จะมีหัวข้อหรือเนื้อหาในการเขียนที่ชัดเจนและมีความต่อเนื่องมากกว่าการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และยังเป็นการบันทึกอารมณ์ ความรู้สึกของเราที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ทางเราก็เขียนไดอารี่บ้างเป็นพักๆ 📓📝📔 แต่ก็เขียนๆ หยุดๆ มาตลอดเน้นเขียนตามอารมณ์ เพราะแค่ต้องการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของตัวเอง แต่ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ด้วยภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เราเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มีความกังวล และความเครียด ค่อนข้างมาก จนกระทบต่อการใช้ชีวิต เราไม่สามารถนอนหลับได้อย่างปกติ พอนอนไม่พอก็หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห และชอบบ่น (ซึ่งมาถึงตอนนี้เรารู้เลยว่า คนขี้บ่น น่ารำคาญมาก และเราจะไม่เป็นแบบนั้นอีก) เราเจอปัญหานี้มาประมาณ 6 เดือนในขณะที่ต้องทำงานหนักมากๆ และจัดการเรื่องต่างๆ มากมาย แน่นอนว่าชีวิตไม่ค่อยดีหรอก แต่ก็พยายามฝืนจนไม่ไหวละ คิดว่าประสาทจะแ_กเต็มทน 😞😞

จนได้คุยกับพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง ซึ่งต้องขอบคุณมากที่เค้าช่วยแนะนำหนังสือ "แด่เธอ บนดาวเคราะห์ช่างกังวล (Notes on A Nervous Planet) เขียนโดย Matt Haig" ซึ่งผู้เขียนเค้าเขียนหนังสือตอนที่เค้าเป็นโรคซึมเศร้า เราเริ่มรู้สึกสงสัยและสนใจว่า การเขียนจะช่วยให้เราลดความเครียดและความกังวลได้ยังไง ก็เลยฟัง podcast เกี่ยวกับ Journaling และ Free Writing มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ podcast ของ Jo and Nes ที่แนะนำเกี่ยวกับการเขียนบ่อยมาก ว่ามันช่วยให้เราเครียดน้อยลงและจัดการตัวเองได้ดีขึ้นจริงๆ และการเขียนเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าร่วมกับการให้ยาด้วย เราเริ่มลงมือเขียนจริงๆ จังๆ ช่วงต้นปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มปีใหม่พอดี เหมาะเลยที่เราจะเริ่มต้นสร้างกิจวัตรใหม่ๆ ประกอบกับเราเพิ่งได้สมุดบันทึกมาหลายเล่มจากการเติมเงิน Starbucks แล้วสมุดก็น่ารักมากกกกกกก ยิ่งทำให้อยากเขียนมากขึ้นไปอีก ก็เลยตั้งใจว่าปี 2021 เราจะเริ่มเขียน journal อย่างจริงจังซะที และต้องเขียนทุกวัน จะได้รู้ซะทีว่ามันดีแบบที่เค้าว่ากันรึป่าว 

😊เริ่ม😊

จริงๆ การเขียน journal มีหลายแบบมาก จะเขียนเป็น paragraph ก็ได้ เป็น Bullet ก็ได้ (ซึ่งโดยส่วนตัว แบบ Bullet เราใช้สำหรับ to do list การจัด priority เรื่องงานมากกว่า) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ Bullet journal method วิถีบันทึกแบบบูโจ เขียนโดย Ryder Carroll บางคนก็เขียนแบบ Morning page ตามคำแนะนำ จากหนังสือ The artist way ของ Julia Cameron ที่แนะนำว่า ทุกๆ เช้า ช่วงที่เพิ่งตื่นนอนให้เราเขียนบันทึก 3 หน้าทันที และเขียนอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เขียนทุกอย่างที่อยู่ในหัว เรื่องอะไรก็ได้ เป็นแบบไหนก็ได้ ดีหรือไม่ดีก็ได้ และไม่ต้องกลัวว่าจะเขียนผิด ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครอ่านมั้ย เค้าไม่ให้เราใช้ความคิด แต่ให้เขียนทุกสิ่งที่อยู่ในหัวทุกอย่างออกมา จะหงุดหงิดใคร โกรธ เกลียดใครหรือกังวลอะไรก็ให้เขียนออกมาให้หมด แล้วพอครบ 3 หน้าแล้วให้หยุดเขียนเลย แล้วไม่ต้องกลับไปอ่านอีก อย่างน้อย 120 วัน หรือบางคนก็เขียนก่อนนอน ก็คือแล้วแต่เลยว่าเราสะดวกแบบไหนก็ทำแบบนั้น แต่ของเรา เราเขียนเวลาที่เราว่างๆ มีเวลาอยู่นิ่งๆ กับตัวเอง และไม่เร่งรีบ ซึ่งส่วนใหญ่คือตอนเช้าไม่ก็ตอนพักกลางวัน หัวข้อที่เราจะเขียนก็จะมีประมาณนี้คือ

1.วันนี้เรามีอะไรดีๆ ในชีวิตบ้างที่เรารู้สึกขอบคุณ มีหลายคนแนะนำให้ทำ แต่เราว่ามันเพ้อเจ้อมาก จนเรายอมบังคับตัวเอง ให้เริ่มคิดถึงสิ่งดีๆ ในชีวิตเราเป็นอย่างแรกแล้วเขียนลงไปในสมุดบันทึกทุกวันๆ ละ 5 อย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนกระทั่งถึงเรื่องใหญ่ วันแรกๆ คิดไม่ออกเลย เขียนถึงผัดกระเพราบ้าง โจ๊กบ้าง ขนมปังบ้าง เหมือนง่ายแต่ยากมาก เราใช้เวลา 3 เดือนในการฝึกเรื่องนี้ และทุกวันนี้เราสามารถเขียนได้เยอะมาก

เช่น ขอบคุณที่เราได้อยู่ในบ้านที่ดีและอบอุ่น🏠บ้านเรามีมุมน่ารักๆ เยอะมาก เหมือนคาเฟ่เลย แล้วเราก็ชอบมันมาก ขอบคุณตัวเองที่จัดจานขนมได้สวยงามและน่ากินมาก ขอบคุณที่แม่สุขภาพดีมาก แข็งแรงสุดๆ และแม่ยังช่วยเราดูแลบ้านที่เพชรบุรี แล้วก็ไม่เคยรบกวนอะไรเราเลย 👪ขอบคุณที่เรามีเงินใช้ทุกวัน ไม่เคยรู้สึกขาดเลย ขอบคุณที่เราแข็งแรงมาก จนเราสามารถทำงานดึกๆ ดื่นๆ ได้💪ขอบคุณที่วันนี้ไม่มีปัญหาหนักๆ เลย และเราสามารถรับมือทุกอย่างได้สบายมาก ขอบคุณที่เจ้านายเห็นด้วยกับไอเดียของเรา ขอบคุณที่วันนี้ไม่ปวดไหล่เลย😜ขอบคุณที่เรามีของดีๆ มากมายให้เราใช้สอย ขอบคุณที่เรามีงานทำ พอเรามีงานทำเราก็มีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ได้กินของอร่อยๆ ขอบคุณที่ทีมงานเราดีมาก ทำให้เราไม่เหนื่อยจนเกินไป พวกนี้ เราสามารถเขียนไปได้ทุกวัน จะเขียนซ้ำเรื่องเดิมก็ได้ 

สิ่งสำคัญคือ เราต้องฝึกพอใจสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ตอนนี้ อย่ารู้สึกขาดไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น และให้รู้สึกว่าเราโชคดี พอทำแบบนี้บ่อยๆ มันก็โชคดีจริงๆ นะ การที่เราเขียนสิ่งดีๆ มันยิ่งทำให้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่มันคือ ความคิดของเราที่มีต่อชีวิตของตัวเอง

2.วันนี้เป็นยังไงบ้าง รู้สึกยังไง มีความสุข สบายใจ หรือกำลังเครียดและกังวลอยู่ อาจมีการย้อนไปเมื่อวานด้วย หากเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกเยอะๆ เช่น รู้สึกอึดอัดมากที่ต้องไปเจอคนกลุ่มนี้ รู้สึกไม่ชอบที่ต้องคุยกับคนนี้ รู้สึกนอนไม่หลับเลยเพราะกังวลเรื่องนี้ เป็นต้น

เราจะเขียนแบบนี้แยกเป็นเหตุการณ์ออกมา แล้วอธิบายมันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนจะเพ้อเจ้อ แต่รู้มั้ยว่า การเขียนแบบนี้ทำให้เรารู้เรื่องของตัวเองเยอะขึ้นมาก เพราะเราเป็นคนเครียดง่าย การจดบันทึกทำให้เรารู้ว่า เราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ไม่ชอบคนแบบไหน เพื่อคอย track ตัวเองด้วยว่า เราอย่าเป็นแบบนั้น เช่น เราไม่ชอบคนไม่ตัดสินใจ คนที่ชอบให้เรื่องของตัวเอง เป็นภาระของคนอื่นตลอดเวลา อ่อนไหวไปซะทุกเรื่อง เราก็จะคอยเตือนตัวเองว่าอย่าเป็นคนแบบนั้น 

อะไรทำให้เราทุกข์😔และอะไรทำให้เรามีความสุข😝เพื่อที่เราจะได้พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุข หรือทำกิจกรรมที่เรามีความสุขบ่อยๆ ซึ่งมันโครตดีมาก สำหรับเรา ให้เลือกสนิทกับคนที่เราอยากสนิทจริงๆ คนที่ทำให้เรารู้สึกมีพลังเวลาที่เราได้เจอหรือได้คุยกับเค้า หรือคนไหนที่คุยแล้วมีแต่พลังลบ เจอกันก็บ่นตลอดเวลา ด่าคนนั้นคนนี้ นินทาคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ หรือบางคนที่อาจจะพูดดีกับเรา ชมเราว่าดีแบบนั้นแบบนี้ แต่ลึกๆ แล้วเรารู้สึกได้เลยว่า คำพูดนั้นมันคือคำพูดกระแนะกระแหน ซึ่งเราไม่ชอบ เราก็จะพยายามห่างจากคนแบบนี้ เพราะมันทำให้เราเครียด พอเรารู้จักแยกแยะและหลบหลีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า เราเครียดน้อยลงมาก ทำให้รู้เลยว่า จริงๆ แล้วคนรอบตัวเรามีผลกับชีวิตเราขนาดไหน อาจจะทำไม่ได้ 100% เพราะเราก็ต้องทำงานและอยู่ในสังคมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ก็แยกแยะได้มากขึ้น

3. สิ่งที่เราเครียดหรือกังวล เราสามารถทำอะไรได้บ้าง จัดการอย่างไร เราได้อ่านหนังสือ The Little book of Stoicism ของ Jonas Salzgeber สำหรับเราเป็นหนังสือที่เข้าใจยากนะ อ่านสองรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจทุกหน้า แต่หลักการมันโอเคเลย คือเราต้องแยกแยะระหว่างสิ่งที่เราควบคุมได้ กับ สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ โดยสรุปคือ เราต้องทำสิ่งที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด เช่น ถ้ามีงานยากๆ ที่เจ้านายให้มาทำ แล้วต้องไปเสนอ ซึ่งเราก็จะเครียด เพราะไม่รู้ว่าจะผ่านมั้ย เค้าจะเห็นด้วยมั้ย จะโดนด่ามั้ย 555 แต่เราควบคุมความคิดเห็นของเจ้านายไม่ได้ เราก็แค่ทุ่มเท หาข้อมูล และทำให้ดีที่สุด ฝึกซ้อมนำเสนอ หาข้อมูล support ให้แน่นๆ ส่วนจะโอเคไม่โอเค ก็ให้เป็นธุระของเจ้านาย แล้วก็ปล่อยวาง หรือแม้แต่ความกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา ก็เป็นส่วนที่เราควบคุมไม่ได้เช่นกัน เพราะมันไม่มีทางที่เราจะทำทุกอย่างได้ถูกใจทุกคน ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ 100% แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ เราต้องเจอกับความเครียดและความกังวลแบบนี้ไปอีกหลายร้อยหลายพันครั้งจนกว่าจะตายไปจากโลกนี้แหละ😊


4. เป้าหมายของวันนี้คืออะไร เดือนนี้คืออะไรบ้างที่ต้องทำให้สำเร็จ สำหรับเราเอาแค่ระดับเดือนพอ ไม่ต้องระดับปี เพราะเอาตรงๆ คือ Resolution ปีใหม่ เราทำได้น้อยมาก เพราะเราแทบจะไม่เคยกลับไปเปิดดูด้วยซ้ำว่าเราเขียนอะไรไว้บ้าง เราคิดแค่วันนี้ อาทิตย์นี้ เดือนนี้ก็พอ แล้วพยายามทำให้ครบตามที่ตั้งเอาไว้ เช่น การไปทำธุรกรรมที่ธนาคาร หรือการทำงานบ้าน การอ่านหนังสือ การพาแม่ไปทำธุระหรือไปกินข้าวหรือไปเที่ยว ซึ่งจะรวมธุระของคนอื่นๆ ในบ้านที่เราต้องมีส่วนร่วมในการทำไปแล้ว จากนั้นก็จัด priority  และทำให้สำเร็จ ไม่ผัดวันไปเรื่อยๆ วิธีนี้จะช่วยให้เรารู้สึกกังวลกับเรื่องเหล่านี้น้อยลง รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย

ข้อสุดท้าย เขียนสิ่งที่เราชอบและอยากทำ หรืออยากได้มีอะไรบ้าง และจะต้องทำยังไงบ้างถึงจะได้มา ซึ่งข้อนี้ไม่ต้องเขียนทุกวัน แต่ให้กลับมาอ่านบ่อยๆ เพื่อทบทวน ว่าเรายังอยากได้อยู่มั้ย หรือยังอยากเป็นแบบที่เขียนไว้อยู่หรือเปล่า และ list นี้สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แต่ส่วนตัวคิดว่า อย่าเขียนเยอะเกินไป เพราะจะทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง หลายคนมี Happy List หรือ Wish List📝เราก็มีเหมือนกัน เราจะเขียนออกมาเลยว่าเราชอบอะไรบ้าง หรือเรามีความสุขเวลาเราทำอะไร เช่น

เราชอบเพื่อนคนนี้ พี่คนนี้ เวลาคุยแล้วเราสบายใจ รู้สึกว่าได้รับพลังดีๆ เราก็จะคุยกับเค้าบ่อยๆ อาจจะทักไลน์คุยกันทุกอาทิตย์ เป็นต้น

หรือเราอยากไปเที่ยวต่างประเทศ เขียนให้ละเอียดว่าประเทศอะไร ทำไมถึงอยากไป ถ้าไปแล้วจะไปทำอะไรบ้าง ต้องใช้เงินเท่าไหร่ 

หรือของที่เราอยากได้ ทำไมเราถึงอยากได้ เพราะชอบมันจริงๆ หรือแค่อยากมีเพราะคนอื่นมีกัน หรือแค่ตามแฟชั่น ถ้าได้มาแล้วเราจะรู้สึกอย่างไร แล้วเราจะทำอะไรตอบแทนที่เราได้ของชิ้นนั้นมา เช่น เราจะใช้มันให้คุ้มค่าไม่ต่ำกว่ากี่ปี หรือตั้งเป้าว่า เราจะซื้อของชิ้นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเก็บเงินได้เป็นสองเท่าของราคาของ แล้วซื้อของนั้นพร้อมกับโปะบ้าน หรือซื้อกองทุน เป็นต้น

เราเขียนแค่นี้เอง เขียนมาตลอด 3 ปี ก็รู้สึกว่า เราเครียดและกังวลน้อยลง โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องส่วนตัวหรือปัญหาส่วนตัวให้ใครฟัง ถ้าเค้าไม่ถาม เพราะเราคิดว่า ทุกคนก็มีปัญหาของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น และก็คงไม่มีใครอยากฟังปัญหาของคนอื่นเพิ่มเติม ซึ่ง Journaling จะเข้ามาช่วยเราในส่วนนี้ มันเหมือนเรามีเพื่อนที่รับฟังเราตลอดเวลา เราโกรธ โมโห หงุดหงิดโว้ยยยยยย อยากด่าเหลือเกิน ก็เขียนลงไปเลย จะได้รู้สึกดีขึ้นและใจเย็นลง 

เราทำแล้ว เราคิดว่ามันดีกับชีวิตจริงๆ ก็อยากให้คนที่มีปัญหาแบบเราลองทำดู รับรองว่า ไม่เกิน 6 เดือนคุณจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตตัวเอง😉😊

Akiko


รีวิวนาฬิกาข้อมือสำหรับผู้หญิง พร้อมบอกข้อดีข้อเสียของแต่ละรุ่น (Omega / Cartier / Rolex)

มีหลายคนบอกว่า บางครั้งและบางคนก็ซื้อนาฬิกาเพื่อดูนาฬิกา ไม่ใช่เพื่อดูเวลา ซึ่งก็จริง เพราะถ้าดูเวลาเราคงดูที่มือถือ หรือแม้แต่ที่คอมพิวเตอร์ก็ยังได้ สะดวกกว่าต้องมาดูที่ข้อมือด้วยซ้ำ

ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ เราไม่มี passion ด้านนาฬิกาเลย ก็ใส่ Tag Heuer กับพวก Tudor ซึ่งจริงๆ ชอบ Tag Heuer Fomular 1 Ceramic มากๆ มันสวย เรียบๆ ซื้อมาร่วม 10 ปี ก็คือใส่บ่อยมากและทนสุดๆ แต่แค่คิดว่าอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ก็อยากมีนาฬิกาดีๆ ไว้ซักเรือนหนึ่งเอาไว้ใส่ยาวๆ แบบเรียบๆ ที่เข้ากันกับการแต่งตัวหลายๆ แบบ สีแสตนเลสนี่แหละ ไม่ต้องเพชรพลอยเยอะแยะ คนที่บ้านก็แนะนำว่า ให้ซื้อ Rolex เพราะเมื่อพูดถึงนาฬิกาที่ต้องมีไว้สักเรือนในชีวิต และเป็นความฝันของใครๆ ก็คงไม่พ้นยี่ห้อนี้แหละ เป็นนาฬิกาที่มีคุณค่าและมูลค่าเป็นของตัวเอง แต่ในช่วง 5 ปีนี้คือซื้อยากมาก ส่วนใหญ่ต้องซื้อ resell ก็จะโดนบวกเยอะ ช่วงนี้บวกกันเรือนหนึ่งเป็นแสน ขนาดเป็นรุ่น Date Just ที่เมื่อก่อนเคยหาซื้อได้ ตอนนี้ก็ไม่สามารถหาได้เลย เคยไปลงชื่อจองมาตั้งแต่ก่อน covid จนตอนนี้ ยังไม่เคยได้รับการติดต่อเลย เจ้ผู้ซึ่งทำงานที่บริษัทที่นำเข้า Rolex แถลงว่า ซื้อไม่ได้หรอก คิวจองยาวมาก แล้วเค้าก็จะให้สิทธิ์คนที่มีโควต้าก่อน ยิ่งสีเขียวก็คือยากมาก คู่แข่งเยอะ ก็เลยถอดใจไปแล้ว 

อีกอย่างคือคิดว่านาฬิกามันเป็นอะไรที่ใช้ได้ยาวๆ จนแก่ ถ้าไม่ขายกินซะก่อน และนาฬิกายี่ห้อดีๆ ก็ไม่น่าทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจอะไรมากมาย ประกอบกับได้เห็นผู้หญิงที่ใส่นาฬิกาแบบคลาสสิค มันก็ดูดีนะ ถึงใส่มานานมีรอยเต็มไปหมดก็ยังดูไม่น่าเกียจ ไม่เหมือนกระเป๋า เป็นรอยนิดหน่อย ก็ดูไม่ดีแล้ว และนาฬิกาเป็นสิ่งที่เราสามารถใส่ได้ทุกวัน และมีโอกาสเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยกว่ากระเป๋า แล้วนาฬิกามันก็ราคาขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ก็ต้องซื้อตอนที่ราคาแพงขึ้นอยู่ดี (ลอจิกอะไรก็ไม่รู้ 555)  ก็ดูมาเรื่อยๆ หลายๆ ยี่ห้อ ก็เห็นว่า โอ้โห นาฬิกาเดี๋ยวนี้ราคาแพงจัง ดูไป ดูมา จนไปต้องตายี่ห้อหนึ่ง คิดว่ามันเหมาะกับตัวเอง นั่นก็คือ Cartier ต้องบอกว่าเราไม่ได้สนใจยี่ห้อนี้ตั้งแต่ต้น เพราะเค้าค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องเครื่องประดับมากกว่า อย่างกำไรตะปู อะไรแบบนั้น

พอได้มาศึกษาประวัติศาสตร์ของ Cartier ก็เจอว่า โอ้โห เค้าทำนาฬิกามาเป็นร้อยปีแล้ว และคนอื่นก็รู้จักเป็นอย่างดี ยกเว้นเรา โดยรุ่นที่ชอบมากๆ ก็คือ Cartier Tank เลยตัดสินใจไปลองดูที่ shop ลองปุ๊บก็ชอบมาก ด้วยความเป็นทรงเหลี่ยม ไม่ค่อยเหมือนกันใครดี เลยซื้อเรือนแรกมาเป็น Cartier Tank Large Size สายเหล็ก ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า มันสวยมาก และโครตจะคลาสสิคสุดๆ และตอนที่ซื้อสามารถ extend warranty เป็น 8 ปีได้ด้วย ข้อดีคือเข้ากับการแต่งตัวได้ทุกลุคจริงๆ ใส่แล้วทำให้ดูมีคลาส แต่ข้อเสียคือ สายเป็นรอยง่ายมาก และเยอะมาก

พอซื้อมาได้ซักเดือนหนึ่ง ราคาก็ปรับขึ้นมาประมาณหมื่นกว่าบาท ตอนนั้นดีใจมาก ที่ได้ซื้อของถูก (หลอกตัวเอง) ประกอบกับ ใช้ point บัตรเครดิตเท่ายอดซื้อก็จะได้ลดอีก 12% ด้วย

จริงๆ แล้ว Cartier ไม่ได้มีแค่รุ่นนี้ที่สวย แต่ยังมีอีกหลายรุ่นเลย จนวันหนึ่งกดไปเจอ review นาฬิกา Santos De Cartier Dumont รุ่นที่ขอบเป็น Rose Gold ก็รู้สึกว่า สวยดีเหมือนกัน เลยลองไปดูที่ Shop ไปลองใส่ดูก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับตัวเอง เพราะไซส์เล็กก็เล็กเกินไป ไซส์ใหญ่ก็ใหญ่กว่าข้อมือไปอีก แล้วนาฬิการาคาแบบนี้ ก็ต้องเลือกให้ดีๆ เพราะเราก็ต้องทำงานเก็บเงินซื้อมันมา พ่อแม่เราก็ไม่ได้รวยเน๊อะ 555 จน สุดท้ายลองไปลองมา ก็ไปจบที่ Santos De Cartier Medium size สีเงินเช่นเดิม คือเพื่ออะไรก่อน 555 แต่สุดท้ายก็ซื้อมันมา


ที่เคยบอกว่าอยากได้นาฬิกาขอบ Rose Gold ก็คือลืมๆ มันไป 
ข้อดี มีสายมาให้ทั้งสายหนังและสายเหล็ก สามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม Mood and Tone การแต่งตัวของเรา และด้วยรูปร่างหน้าตา ที่ดูแมนๆ ทำให้คิดว่านาฬิการุ่นนี้เหมาะกับผู้ชายรึป่าว แต่สำหรับ size medium นั้น ถือว่า เข้ากับผู้หญิงได้ดี ยิ่งปัจจุบัน เรานิยมใส่นาฬิกา oversize ก็ถือว่าตอบโจทย์มากๆ มันสามารถเข้าได้กับทุกชุด ทุกแบบ ยิ่งเป็นสายเหล็กด้วย ยิ่งสะดวกมากๆ ที่สำคัญสามารถปรับความยาวได้ด้วยตัวเอง แต่อาจจะยากซักหน่อย ส่วนข้อเสียคือ บริเวณหน้าปัดเป็นรอยง่ายมากๆ ด้วยความที่เป็นแสตนเลสแบบเงา ที่ไม่ทนต่อรอยขีดข่วนใดๆ เลยแม้แต่น้อย สำหรับปี 2022 เราสามารถ extend warranty เป็น 8 ปีได้เช่นกัน และเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือน Cartier ก็ปรับราคาขึ้นมาอีกประมาณหมื่นกว่าบาท ก็ถือเป็นรุ่นที่คุ้มค่า เพราะสามารถใส่ได้ทุกวัน

แม้เวลาจะผ่านไป ความอยากได้นาฬิกาหน้า Rose Gold ก็ยังไม่หายไป ยังวนเวียน วอแวตลอดเวลา ก็ยังมองหาอยู่เรื่อยๆ จนไปเจอยี่ห้อ Omega แล้วถูกใจอยู่รุ่นหนึ่ง นั่นก็คือ Speed Master Cappucino size 38 MM โดยปกตินาฬิกาสี Rose Gold จะแพงมากๆ เมื่อเทียบกับตัวแสตนเลสในรุ่นเดียวกันจะมีราคาแพงกว่าประมาณ 2-3 เท่า ด้วยความที่ใช้วัสดุที่แพงกว่า แต่ Omega ออกนาฬิกามารุ่นหนึ่งได้สัก 5 ปีแล้ว ขอบหน้าปัดเป็น Rose Gold แต่ตัวเรือนยังเป็นแสตนเลสอยู่ ราคาก็เลยย่อมเยาว์ลงมา จะมี 2 รุ่นคือรุ่นที่มีเพชร กับรุ่นที่ไม่มี เราต้องการรุ่นที่ไม่มี เพราะเป็นคนไม่ค่อยระวัง และกังวลว่าเพชรที่อยู่ด้านนอกจะหลุด แล้วต้องซ่อมแพงอีกอะไรอีก แล้วราคาก็แพงกว่ากันประมาณแสนกว่า แต่รุ่นที่ไม่มีเพชรดันเป็นรุ่นขายดี ทำให้ไม่มีของ เลยต้องสั่งไว้ และรอของประมาณเกือบๆ สองเดือน ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเข้ากับข้อมือตัวเองมั้ย เพราะสั่งไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลอง แต่เซลบอกว่า ถ้าลองใส่แล้วไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเป็นรุ่นที่ขายดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมัดจำ และแล้ววันนั้นก็มาถึง เซลโทรมาบอกว่าของมาแล้ว ก็เลยไปที่ shop พอได้ลองใส่ก็คือชอบมาก มันหวานมากๆ แล้วก็รู้สึกว่า มันเหมาะกับการใส่ออกงานด้วย หรือจะใส่แบบ sport ก็ไม่ติด ให้ฟีลหวานซ่อนเท่ห์ และเป็นขนาดที่เหมาะกับข้อมือเล็กๆ ของผู้หญิง


แต่ความเศร้าก็ปรากฎตอนที่ลองใส่แล้ว สายที่มากับตัวเรือนยาวเกินไปต่อให้เจาะรูเพิ่มก็ใหญ่เกินข้อมืออยู่ดี เซลแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนสายเป็นสายสั้นได้ ต้องซื้อสายสั้นเพิ่มอีกหมื่นกว่าบาท สะเทือนใจมากเหมือนกัน ไม่เคยซื้อนาฬิกาสายหนังแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรู้เลยว่าถ้าสายไม่พอดีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มด้วยโทษฐานที่คุณข้อมือไม่มาตรฐาน แต่พอซื้อมาได้ไม่เกินสองเดือน Omega ก็ประกาศปรับราคาขึ้นเกือบๆ สองหมื่นเลย ก็หายนอยไปนิดหนึ่ง แต่สุดท้ายเรือนนี้เป็นเรือนที่ชอบแต่ใส่น้อยที่สุด เพราะด้วยความเป็นหนัง exotic ทำให้ไม่เหมาะกับการโดนเหงื่อหรือน้ำ มีไว้ให้สบายใจ ข้อดีอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นนาฬิกาที่ถึกทนใช้ได้ ไม่ค่อยเป็นรอยอะไร ข้อเสียก็อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

คิดไว้ในใจว่าจะหยุดซื้อนาฬิกาแล้ว เพราะสามเรือนที่ผ่านมาก็หลายแสนแล้ว สิ่งหนึ่งที่มั่นใจก็คือ ความอยากได้มักเกิดจากการไถ feed IG แบบไม่หยุดหย่อน พอเป็นช่วงที่ยุ่งๆ เราจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ เพราะมีหลายอย่างที่ต้องจัดการ ทั้งต้องเก็บเงินไว้ดาวน์บ้าน ต่อเติม และซื้อของเข้าบ้านอีก ก็เลยหยุดไปเลย ด้วยความกังวลหลายอย่าง กลัวว่าเดี๋ยวเงินจะไม่พอ หลายเดือนเหมือนกันที่เรากลับสนใจเรื่องการแต่งบ้านและการดูเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แทน จากเดิมที่เคยไปพารากอน ก็กลายเป็นอิเกีย โฮมโปร แทน จนจัดการเรื่องบ้านเรียบร้อย เข้าที่เข้าทาง 

วันดีคืนดีใน Youtube ก็มีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งขึ้นมาที่หน้า Feed ใน Youtube นางทำคลิป review Cartier Tank สีดำที่เพิ่งออกมาช่วงกลาง 2022 จริงๆ รุ่นนี้เคยเป็นรุ่นที่ Cartier ออกเป็น Limited Edition ตอนครบรอบอะไรซักอย่าง ที่ทำมาจำนวนจำกัด และแน่นอนว่าคนธรรมดาแบบเราก็คงบุญไม่ถึง จนนาฬิการุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นมาอีกครั้ง แต่จะต่างกันตรงที่ เม็ดมะยมของรุ่น limited จะเป็นสีดำ แต่รุ่นที่ผลิตออกมาจะมีเม็ดมะยมสีน้ำเงินเหมือนกับ Tank รุ่นอื่นๆ ลืมบอกว่า ที่เราเลือก Tank เป็นตัวตั้งต้นเพราะชอบความเม็ดมะยมที่เป็นเอกลักษณ์มาก ดูในระยะไกลก็ยังรู้เลยว่าคือ Cartier พอดูนางคนนั้นรีวิว ก็รู้สึกชอบ Tank รุ่นนี้ ด้วยความเรียบและไม่มีอะไรเลยบนหน้าปัด ขึ้นชื่อเรื่องดูเวลายากต่างๆ ด้วย Mood & Tone ใดๆ ก็คือแตกต่างกับ Tank Classic โดยสิ้นเชิง ก็เลยไลน์ไปถาม SA ที่เคยซื้อนาฬิกา Cartier ก่อนหน้านั้น เค้าบอกว่าไม่มีของเลย มีแต่ Size Small ส่วนไซส์ที่เราอยากได้เป็น Size Large ซึ่งค่อนข้างหายากกว่า เราก็เร้าหรือเค้าหลายรอบมาก จนเค้าบอกว่า มีเรือนที่หลุดจอง ให้มาดูที่ shop พอไปลองก็คือ ดูเวลาไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ อย่างที่เค้ารีวิวกัน แต่ชอบมันมาก มันออกแนวเท่ห์ๆ ดูทันสมัย แต่ถ้าอยากหรูๆ หน่อยน้องก็สามารถทำได้ค่ะ และคิดว่าสามารถแมชกับเสื้อผ้าได้ทุกแบบ 


แต่สายที่ติดมากับตัวเรือน size L นั้น ยาวไปสำหรับเราอีกแล้ว ถาม SA ว่าสายราคาเท่าไหร่ เค้าบอกว่า 11,000 บาท คือคิดหนักเลย เพราะมันค่อนข้างแพง แต่ SA บอกว่า ลูกค้าไม่ต้องกังวลนะครับ เราจะสั่งสายขนาดสั้นให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย คือยิ่งรักนางเข้าไปอีก แต่ต้องใช้เวลาในการสั่งประมาณ 2 เดือน ในระหว่างรอนั้น เค้าจะเจาะสายยาวเพื่อให้เราใส่ได้ไปก่อน แต่ก็จะเกินข้อมืออยู่นิดหน่อย และหลวมๆ แต่ด้วยความที่สายค่อนข้างแข็งเพราะเป็นสายหนังจระเข้ มันเลยไม่ได้หลวมมากจนดูแย่

พอลองใช้งานจริงก็พบว่า เป็นเรือนที่ใส่บ่อยที่สุด ด้วยความเป็นสีดำที่เข้ากับอะไรๆ ง่ายไปหมด จริงๆ Tank เรือนนั้นก็ไม่ได้เข้ากันยากกับสไตล์การแต่งตัว แต่โดยส่วนตัว รู้สึกชอบเรือนนี้มากกว่าเรือนสายเหล็ก แล้วก็เป็นเรือนที่แนะนำ สำหรับคนที่ชอบนาฬิกาสไตล์เหลี่ยมๆ เรียบๆ ด้วยเพราะว่า แมชได้ง่ายมากและเป็น Unisex สามารถใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

คิดว่าจะจบแล้วแหละสำหรับนาฬิกา เพราะหมดเงินไปเยอะแล้ว แล้วแฟนก็บอกว่าเธอซื้อ Cartier เยอะเกินไปแล้ว ก็คิดว่าจริง เลยตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสจะได้เป็นเจ้าของ Rolex จริงก็ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่เหตุการณ์นั้นมันมาถึงเร็วเกินกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนรู้จักที่ได้โควต้าในการซื้อนาฬิกา Rolex ซึ่งเป็นสีและไซส์ที่เคยลงชื่อจองไว้ แต่ขายราคาแพงกว่า shop ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติแหละ ก็ดูแล้วก็เออ สวยดี แต่คิดว่า ราคามันสูงอยู่เหมือนกัน อยากได้มั้ยก็อยากได้ เพราะก็คิดไว้แล้วว่าซักวันหนึ่งจะซื้อให้ได้ แต่พอเห็นราคาซึ่งเค้าบวกมาก็รู้สึกว่าแพงจัง แต่แฟนเชียร์ว่า เธอชอบก็ซื้อสิ โอกาสแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยๆ ถ้าไปซื้อตามร้าน resell ก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจได้มั้ย จะเป็นของแท้มั้ย แล้วเรือนนี้ก็คือเป็นของใหม่ออกจาก shop มานั่งคิดดูก็จริง เราไม่ได้โชคดีบ่อยๆ หรอก อีกอย่างเดือนนี้ก็เป็นเดือนเกิดด้วย แล้วใบก็ลงเป็นเดือนเกิดของเราพอดีด้วย สำหรับคนอื่น เงินแค่นี้อาจจะไม่มาก แต่สำหรับเรา นาฬิกาเรือนนี้คือของแบรนด์เนมที่ราคาแพงที่สุดในชีวิตเท่าที่เราเคยซื้อมา สุดท้ายก็เลยตกลงใจซื้อมา พอได้เห็นของจริงก็คือตะลึง ของจริงสวยกว่าที่คิดมากๆ แล้วมันก็ต่างจากยี่ห้ออื่นจริงๆ แหละ เข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงซื้อได้ยาก มันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มันเป็นเรื่องของบุญวาสนาด้วย 555 


Rolex เอาตรงๆ ยังมองไม่เห็นข้อเสียเท่าไหร่ เพราะสายเป็นรอยค่อนข้างยาก ด้วยเราไม่ได้ติดฟิล์มใดๆ แต่ก็เป็นน้อยมาก ขอใช้ไปอีก 1 ปี แล้วจะกลับมารีวิวอีกครั้งว่าเป็นยังไงบ้าง

และนี่ก็คือที่มาของคำว่า เจ็บแต่จบ ของจริง คิดว่าต้องจบแล้วแหละ

และนี่ก็คือเส้นทางเวลาของเราค่ะ

บันทึกนี้ก็เหมือนเป็นบันทึกหนึ่งในหลายๆ บันทึกในชีวิตที่เราเขียนเรื่องราวที่เราต้องการให้มันคงอยู่ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ต้องการจะอวดหรืออะไร เพราะมันก็เหมือนกับของที่เราชอบทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ หนังสือ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือรถยนต์ หรือแม้แต่กระทั่งอาหาร มันขึ้นอยู่กับว่า ใครมีความชอบแบบไหนมากกว่า ใครจะทำตามหรือไม่ทำตาม ใครจะคิดว่ามันเป็นของฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง ก็คือสิทธิ์ของเค้า และเค้าเองก็มีสิทธิ์ในการเอาเงินของเค้าไปใช้ในสิ่งที่เค้าต้องการ ซึ่งเราก็เคารพในความชอบของเค้าเช่นกัน ^_^


ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...