มีหลายคนบอกว่า บางครั้งและบางคนก็ซื้อนาฬิกาเพื่อดูนาฬิกา ไม่ใช่เพื่อดูเวลา ซึ่งก็จริง เพราะถ้าดูเวลาเราคงดูที่มือถือ หรือแม้แต่ที่คอมพิวเตอร์ก็ยังได้ สะดวกกว่าต้องมาดูที่ข้อมือด้วยซ้ำ
ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ เราไม่มี passion ด้านนาฬิกาเลย ก็ใส่ Tag Heuer กับพวก Tudor ซึ่งจริงๆ ชอบ Tag Heuer Fomular 1 Ceramic มากๆ มันสวย เรียบๆ ซื้อมาร่วม 10 ปี ก็คือใส่บ่อยมากและทนสุดๆ แต่แค่คิดว่าอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ก็อยากมีนาฬิกาดีๆ ไว้ซักเรือนหนึ่งเอาไว้ใส่ยาวๆ แบบเรียบๆ ที่เข้ากันกับการแต่งตัวหลายๆ แบบ สีแสตนเลสนี่แหละ ไม่ต้องเพชรพลอยเยอะแยะ คนที่บ้านก็แนะนำว่า ให้ซื้อ Rolex เพราะเมื่อพูดถึงนาฬิกาที่ต้องมีไว้สักเรือนในชีวิต และเป็นความฝันของใครๆ ก็คงไม่พ้นยี่ห้อนี้แหละ เป็นนาฬิกาที่มีคุณค่าและมูลค่าเป็นของตัวเอง แต่ในช่วง 5 ปีนี้คือซื้อยากมาก ส่วนใหญ่ต้องซื้อ resell ก็จะโดนบวกเยอะ ช่วงนี้บวกกันเรือนหนึ่งเป็นแสน ขนาดเป็นรุ่น Date Just ที่เมื่อก่อนเคยหาซื้อได้ ตอนนี้ก็ไม่สามารถหาได้เลย เคยไปลงชื่อจองมาตั้งแต่ก่อน covid จนตอนนี้ ยังไม่เคยได้รับการติดต่อเลย เจ้ผู้ซึ่งทำงานที่บริษัทที่นำเข้า Rolex แถลงว่า ซื้อไม่ได้หรอก คิวจองยาวมาก แล้วเค้าก็จะให้สิทธิ์คนที่มีโควต้าก่อน ยิ่งสีเขียวก็คือยากมาก คู่แข่งเยอะ ก็เลยถอดใจไปแล้ว
อีกอย่างคือคิดว่านาฬิกามันเป็นอะไรที่ใช้ได้ยาวๆ จนแก่ ถ้าไม่ขายกินซะก่อน และนาฬิกายี่ห้อดีๆ ก็ไม่น่าทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจอะไรมากมาย ประกอบกับได้เห็นผู้หญิงที่ใส่นาฬิกาแบบคลาสสิค มันก็ดูดีนะ ถึงใส่มานานมีรอยเต็มไปหมดก็ยังดูไม่น่าเกียจ ไม่เหมือนกระเป๋า เป็นรอยนิดหน่อย ก็ดูไม่ดีแล้ว และนาฬิกาเป็นสิ่งที่เราสามารถใส่ได้ทุกวัน และมีโอกาสเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยกว่ากระเป๋า แล้วนาฬิกามันก็ราคาขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ก็ต้องซื้อตอนที่ราคาแพงขึ้นอยู่ดี (ลอจิกอะไรก็ไม่รู้ 555) ก็ดูมาเรื่อยๆ หลายๆ ยี่ห้อ ก็เห็นว่า โอ้โห นาฬิกาเดี๋ยวนี้ราคาแพงจัง ดูไป ดูมา จนไปต้องตายี่ห้อหนึ่ง คิดว่ามันเหมาะกับตัวเอง นั่นก็คือ Cartier ต้องบอกว่าเราไม่ได้สนใจยี่ห้อนี้ตั้งแต่ต้น เพราะเค้าค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องเครื่องประดับมากกว่า อย่างกำไรตะปู อะไรแบบนั้น
พอได้มาศึกษาประวัติศาสตร์ของ Cartier ก็เจอว่า โอ้โห เค้าทำนาฬิกามาเป็นร้อยปีแล้ว และคนอื่นก็รู้จักเป็นอย่างดี ยกเว้นเรา โดยรุ่นที่ชอบมากๆ ก็คือ Cartier Tank เลยตัดสินใจไปลองดูที่ shop ลองปุ๊บก็ชอบมาก ด้วยความเป็นทรงเหลี่ยม ไม่ค่อยเหมือนกันใครดี เลยซื้อเรือนแรกมาเป็น Cartier Tank Large Size สายเหล็ก ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า มันสวยมาก และโครตจะคลาสสิคสุดๆ และตอนที่ซื้อสามารถ extend warranty เป็น 8 ปีได้ด้วย ข้อดีคือเข้ากับการแต่งตัวได้ทุกลุคจริงๆ ใส่แล้วทำให้ดูมีคลาส แต่ข้อเสียคือ สายเป็นรอยง่ายมาก และเยอะมาก
พอซื้อมาได้ซักเดือนหนึ่ง ราคาก็ปรับขึ้นมาประมาณหมื่นกว่าบาท ตอนนั้นดีใจมาก ที่ได้ซื้อของถูก (หลอกตัวเอง) ประกอบกับ ใช้ point บัตรเครดิตเท่ายอดซื้อก็จะได้ลดอีก 12% ด้วย
จริงๆ แล้ว Cartier ไม่ได้มีแค่รุ่นนี้ที่สวย แต่ยังมีอีกหลายรุ่นเลย จนวันหนึ่งกดไปเจอ review นาฬิกา Santos De Cartier Dumont รุ่นที่ขอบเป็น Rose Gold ก็รู้สึกว่า สวยดีเหมือนกัน เลยลองไปดูที่ Shop ไปลองใส่ดูก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับตัวเอง เพราะไซส์เล็กก็เล็กเกินไป ไซส์ใหญ่ก็ใหญ่กว่าข้อมือไปอีก แล้วนาฬิการาคาแบบนี้ ก็ต้องเลือกให้ดีๆ เพราะเราก็ต้องทำงานเก็บเงินซื้อมันมา พ่อแม่เราก็ไม่ได้รวยเน๊อะ 555 จน สุดท้ายลองไปลองมา ก็ไปจบที่ Santos De Cartier Medium size สีเงินเช่นเดิม คือเพื่ออะไรก่อน 555 แต่สุดท้ายก็ซื้อมันมา
ที่เคยบอกว่าอยากได้นาฬิกาขอบ Rose Gold ก็คือลืมๆ มันไป
แม้เวลาจะผ่านไป ความอยากได้นาฬิกาหน้า Rose Gold ก็ยังไม่หายไป ยังวนเวียน วอแวตลอดเวลา ก็ยังมองหาอยู่เรื่อยๆ จนไปเจอยี่ห้อ Omega แล้วถูกใจอยู่รุ่นหนึ่ง นั่นก็คือ Speed Master Cappucino size 38 MM โดยปกตินาฬิกาสี Rose Gold จะแพงมากๆ เมื่อเทียบกับตัวแสตนเลสในรุ่นเดียวกันจะมีราคาแพงกว่าประมาณ 2-3 เท่า ด้วยความที่ใช้วัสดุที่แพงกว่า แต่ Omega ออกนาฬิกามารุ่นหนึ่งได้สัก 5 ปีแล้ว ขอบหน้าปัดเป็น Rose Gold แต่ตัวเรือนยังเป็นแสตนเลสอยู่ ราคาก็เลยย่อมเยาว์ลงมา จะมี 2 รุ่นคือรุ่นที่มีเพชร กับรุ่นที่ไม่มี เราต้องการรุ่นที่ไม่มี เพราะเป็นคนไม่ค่อยระวัง และกังวลว่าเพชรที่อยู่ด้านนอกจะหลุด แล้วต้องซ่อมแพงอีกอะไรอีก แล้วราคาก็แพงกว่ากันประมาณแสนกว่า แต่รุ่นที่ไม่มีเพชรดันเป็นรุ่นขายดี ทำให้ไม่มีของ เลยต้องสั่งไว้ และรอของประมาณเกือบๆ สองเดือน ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเข้ากับข้อมือตัวเองมั้ย เพราะสั่งไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลอง แต่เซลบอกว่า ถ้าลองใส่แล้วไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเป็นรุ่นที่ขายดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมัดจำ และแล้ววันนั้นก็มาถึง เซลโทรมาบอกว่าของมาแล้ว ก็เลยไปที่ shop พอได้ลองใส่ก็คือชอบมาก มันหวานมากๆ แล้วก็รู้สึกว่า มันเหมาะกับการใส่ออกงานด้วย หรือจะใส่แบบ sport ก็ไม่ติด ให้ฟีลหวานซ่อนเท่ห์ และเป็นขนาดที่เหมาะกับข้อมือเล็กๆ ของผู้หญิง
แต่ความเศร้าก็ปรากฎตอนที่ลองใส่แล้ว สายที่มากับตัวเรือนยาวเกินไปต่อให้เจาะรูเพิ่มก็ใหญ่เกินข้อมืออยู่ดี เซลแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนสายเป็นสายสั้นได้ ต้องซื้อสายสั้นเพิ่มอีกหมื่นกว่าบาท สะเทือนใจมากเหมือนกัน ไม่เคยซื้อนาฬิกาสายหนังแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรู้เลยว่าถ้าสายไม่พอดีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มด้วยโทษฐานที่คุณข้อมือไม่มาตรฐาน แต่พอซื้อมาได้ไม่เกินสองเดือน Omega ก็ประกาศปรับราคาขึ้นเกือบๆ สองหมื่นเลย ก็หายนอยไปนิดหนึ่ง แต่สุดท้ายเรือนนี้เป็นเรือนที่ชอบแต่ใส่น้อยที่สุด เพราะด้วยความเป็นหนัง exotic ทำให้ไม่เหมาะกับการโดนเหงื่อหรือน้ำ มีไว้ให้สบายใจ ข้อดีอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นนาฬิกาที่ถึกทนใช้ได้ ไม่ค่อยเป็นรอยอะไร ข้อเสียก็อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
แต่สายที่ติดมากับตัวเรือน size L นั้น ยาวไปสำหรับเราอีกแล้ว ถาม SA ว่าสายราคาเท่าไหร่ เค้าบอกว่า 11,000 บาท คือคิดหนักเลย เพราะมันค่อนข้างแพง แต่ SA บอกว่า ลูกค้าไม่ต้องกังวลนะครับ เราจะสั่งสายขนาดสั้นให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย คือยิ่งรักนางเข้าไปอีก แต่ต้องใช้เวลาในการสั่งประมาณ 2 เดือน ในระหว่างรอนั้น เค้าจะเจาะสายยาวเพื่อให้เราใส่ได้ไปก่อน แต่ก็จะเกินข้อมืออยู่นิดหน่อย และหลวมๆ แต่ด้วยความที่สายค่อนข้างแข็งเพราะเป็นสายหนังจระเข้ มันเลยไม่ได้หลวมมากจนดูแย่
พอลองใช้งานจริงก็พบว่า เป็นเรือนที่ใส่บ่อยที่สุด ด้วยความเป็นสีดำที่เข้ากับอะไรๆ ง่ายไปหมด จริงๆ Tank เรือนนั้นก็ไม่ได้เข้ากันยากกับสไตล์การแต่งตัว แต่โดยส่วนตัว รู้สึกชอบเรือนนี้มากกว่าเรือนสายเหล็ก แล้วก็เป็นเรือนที่แนะนำ สำหรับคนที่ชอบนาฬิกาสไตล์เหลี่ยมๆ เรียบๆ ด้วยเพราะว่า แมชได้ง่ายมากและเป็น Unisex สามารถใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
คิดว่าจะจบแล้วแหละสำหรับนาฬิกา เพราะหมดเงินไปเยอะแล้ว แล้วแฟนก็บอกว่าเธอซื้อ Cartier เยอะเกินไปแล้ว ก็คิดว่าจริง เลยตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสจะได้เป็นเจ้าของ Rolex จริงก็ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่เหตุการณ์นั้นมันมาถึงเร็วเกินกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนรู้จักที่ได้โควต้าในการซื้อนาฬิกา Rolex ซึ่งเป็นสีและไซส์ที่เคยลงชื่อจองไว้ แต่ขายราคาแพงกว่า shop ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติแหละ ก็ดูแล้วก็เออ สวยดี แต่คิดว่า ราคามันสูงอยู่เหมือนกัน อยากได้มั้ยก็อยากได้ เพราะก็คิดไว้แล้วว่าซักวันหนึ่งจะซื้อให้ได้ แต่พอเห็นราคาซึ่งเค้าบวกมาก็รู้สึกว่าแพงจัง แต่แฟนเชียร์ว่า เธอชอบก็ซื้อสิ โอกาสแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยๆ ถ้าไปซื้อตามร้าน resell ก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจได้มั้ย จะเป็นของแท้มั้ย แล้วเรือนนี้ก็คือเป็นของใหม่ออกจาก shop มานั่งคิดดูก็จริง เราไม่ได้โชคดีบ่อยๆ หรอก อีกอย่างเดือนนี้ก็เป็นเดือนเกิดด้วย แล้วใบก็ลงเป็นเดือนเกิดของเราพอดีด้วย สำหรับคนอื่น เงินแค่นี้อาจจะไม่มาก แต่สำหรับเรา นาฬิกาเรือนนี้คือของแบรนด์เนมที่ราคาแพงที่สุดในชีวิตเท่าที่เราเคยซื้อมา สุดท้ายก็เลยตกลงใจซื้อมา พอได้เห็นของจริงก็คือตะลึง ของจริงสวยกว่าที่คิดมากๆ แล้วมันก็ต่างจากยี่ห้ออื่นจริงๆ แหละ เข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงซื้อได้ยาก มันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มันเป็นเรื่องของบุญวาสนาด้วย 555
Rolex เอาตรงๆ ยังมองไม่เห็นข้อเสียเท่าไหร่ เพราะสายเป็นรอยค่อนข้างยาก ด้วยเราไม่ได้ติดฟิล์มใดๆ แต่ก็เป็นน้อยมาก ขอใช้ไปอีก 1 ปี แล้วจะกลับมารีวิวอีกครั้งว่าเป็นยังไงบ้าง
และนี่ก็คือเส้นทางเวลาของเราค่ะ
บันทึกนี้ก็เหมือนเป็นบันทึกหนึ่งในหลายๆ บันทึกในชีวิตที่เราเขียนเรื่องราวที่เราต้องการให้มันคงอยู่ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ต้องการจะอวดหรืออะไร เพราะมันก็เหมือนกับของที่เราชอบทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ หนังสือ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือรถยนต์ หรือแม้แต่กระทั่งอาหาร มันขึ้นอยู่กับว่า ใครมีความชอบแบบไหนมากกว่า ใครจะทำตามหรือไม่ทำตาม ใครจะคิดว่ามันเป็นของฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง ก็คือสิทธิ์ของเค้า และเค้าเองก็มีสิทธิ์ในการเอาเงินของเค้าไปใช้ในสิ่งที่เค้าต้องการ ซึ่งเราก็เคารพในความชอบของเค้าเช่นกัน ^_^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น