Journal คืออะไร จริงๆ แล้วมันคล้ายๆ กับการที่เราเขียน Diary สมัยที่เรายังเด็ก แต่จะมีหัวข้อหรือเนื้อหาในการเขียนที่ชัดเจนและมีความต่อเนื่องมากกว่าการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และยังเป็นการบันทึกอารมณ์ ความรู้สึกของเราที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ทางเราก็เขียนไดอารี่บ้างเป็นพักๆ 📓📝📔 แต่ก็เขียนๆ หยุดๆ มาตลอดเน้นเขียนตามอารมณ์ เพราะแค่ต้องการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของตัวเอง แต่ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ด้วยภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เราเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มีความกังวล และความเครียด ค่อนข้างมาก จนกระทบต่อการใช้ชีวิต เราไม่สามารถนอนหลับได้อย่างปกติ พอนอนไม่พอก็หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห และชอบบ่น (ซึ่งมาถึงตอนนี้เรารู้เลยว่า คนขี้บ่น น่ารำคาญมาก และเราจะไม่เป็นแบบนั้นอีก) เราเจอปัญหานี้มาประมาณ 6 เดือนในขณะที่ต้องทำงานหนักมากๆ และจัดการเรื่องต่างๆ มากมาย แน่นอนว่าชีวิตไม่ค่อยดีหรอก แต่ก็พยายามฝืนจนไม่ไหวละ คิดว่าประสาทจะแ_กเต็มทน 😞😞
จนได้คุยกับพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง ซึ่งต้องขอบคุณมากที่เค้าช่วยแนะนำหนังสือ "แด่เธอ บนดาวเคราะห์ช่างกังวล (Notes on A Nervous Planet) เขียนโดย Matt Haig" ซึ่งผู้เขียนเค้าเขียนหนังสือตอนที่เค้าเป็นโรคซึมเศร้า เราเริ่มรู้สึกสงสัยและสนใจว่า การเขียนจะช่วยให้เราลดความเครียดและความกังวลได้ยังไง ก็เลยฟัง podcast เกี่ยวกับ Journaling และ Free Writing มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ podcast ของ Jo and Nes ที่แนะนำเกี่ยวกับการเขียนบ่อยมาก ว่ามันช่วยให้เราเครียดน้อยลงและจัดการตัวเองได้ดีขึ้นจริงๆ และการเขียนเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าร่วมกับการให้ยาด้วย เราเริ่มลงมือเขียนจริงๆ จังๆ ช่วงต้นปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มปีใหม่พอดี เหมาะเลยที่เราจะเริ่มต้นสร้างกิจวัตรใหม่ๆ ประกอบกับเราเพิ่งได้สมุดบันทึกมาหลายเล่มจากการเติมเงิน Starbucks แล้วสมุดก็น่ารักมากกกกกกก ยิ่งทำให้อยากเขียนมากขึ้นไปอีก ก็เลยตั้งใจว่าปี 2021 เราจะเริ่มเขียน journal อย่างจริงจังซะที และต้องเขียนทุกวัน จะได้รู้ซะทีว่ามันดีแบบที่เค้าว่ากันรึป่าว
😊เริ่ม😊
จริงๆ การเขียน journal มีหลายแบบมาก จะเขียนเป็น paragraph ก็ได้ เป็น Bullet ก็ได้ (ซึ่งโดยส่วนตัว แบบ Bullet เราใช้สำหรับ to do list การจัด priority เรื่องงานมากกว่า) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ Bullet journal method วิถีบันทึกแบบบูโจ เขียนโดย Ryder Carroll บางคนก็เขียนแบบ Morning page ตามคำแนะนำ จากหนังสือ The artist way ของ Julia Cameron ที่แนะนำว่า ทุกๆ เช้า ช่วงที่เพิ่งตื่นนอนให้เราเขียนบันทึก 3 หน้าทันที และเขียนอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เขียนทุกอย่างที่อยู่ในหัว เรื่องอะไรก็ได้ เป็นแบบไหนก็ได้ ดีหรือไม่ดีก็ได้ และไม่ต้องกลัวว่าจะเขียนผิด ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครอ่านมั้ย เค้าไม่ให้เราใช้ความคิด แต่ให้เขียนทุกสิ่งที่อยู่ในหัวทุกอย่างออกมา จะหงุดหงิดใคร โกรธ เกลียดใครหรือกังวลอะไรก็ให้เขียนออกมาให้หมด แล้วพอครบ 3 หน้าแล้วให้หยุดเขียนเลย แล้วไม่ต้องกลับไปอ่านอีก อย่างน้อย 120 วัน หรือบางคนก็เขียนก่อนนอน ก็คือแล้วแต่เลยว่าเราสะดวกแบบไหนก็ทำแบบนั้น แต่ของเรา เราเขียนเวลาที่เราว่างๆ มีเวลาอยู่นิ่งๆ กับตัวเอง และไม่เร่งรีบ ซึ่งส่วนใหญ่คือตอนเช้าไม่ก็ตอนพักกลางวัน หัวข้อที่เราจะเขียนก็จะมีประมาณนี้คือ
1.วันนี้เรามีอะไรดีๆ ในชีวิตบ้างที่เรารู้สึกขอบคุณ มีหลายคนแนะนำให้ทำ แต่เราว่ามันเพ้อเจ้อมาก จนเรายอมบังคับตัวเอง ให้เริ่มคิดถึงสิ่งดีๆ ในชีวิตเราเป็นอย่างแรกแล้วเขียนลงไปในสมุดบันทึกทุกวันๆ ละ 5 อย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนกระทั่งถึงเรื่องใหญ่ วันแรกๆ คิดไม่ออกเลย เขียนถึงผัดกระเพราบ้าง โจ๊กบ้าง ขนมปังบ้าง เหมือนง่ายแต่ยากมาก เราใช้เวลา 3 เดือนในการฝึกเรื่องนี้ และทุกวันนี้เราสามารถเขียนได้เยอะมาก
เช่น ขอบคุณที่เราได้อยู่ในบ้านที่ดีและอบอุ่น🏠บ้านเรามีมุมน่ารักๆ เยอะมาก เหมือนคาเฟ่เลย แล้วเราก็ชอบมันมาก ขอบคุณตัวเองที่จัดจานขนมได้สวยงามและน่ากินมาก ขอบคุณที่แม่สุขภาพดีมาก แข็งแรงสุดๆ และแม่ยังช่วยเราดูแลบ้านที่เพชรบุรี แล้วก็ไม่เคยรบกวนอะไรเราเลย 👪ขอบคุณที่เรามีเงินใช้ทุกวัน ไม่เคยรู้สึกขาดเลย ขอบคุณที่เราแข็งแรงมาก จนเราสามารถทำงานดึกๆ ดื่นๆ ได้💪ขอบคุณที่วันนี้ไม่มีปัญหาหนักๆ เลย และเราสามารถรับมือทุกอย่างได้สบายมาก ขอบคุณที่เจ้านายเห็นด้วยกับไอเดียของเรา ขอบคุณที่วันนี้ไม่ปวดไหล่เลย😜ขอบคุณที่เรามีของดีๆ มากมายให้เราใช้สอย ขอบคุณที่เรามีงานทำ พอเรามีงานทำเราก็มีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ได้กินของอร่อยๆ ขอบคุณที่ทีมงานเราดีมาก ทำให้เราไม่เหนื่อยจนเกินไป พวกนี้ เราสามารถเขียนไปได้ทุกวัน จะเขียนซ้ำเรื่องเดิมก็ได้
สิ่งสำคัญคือ เราต้องฝึกพอใจสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ตอนนี้ อย่ารู้สึกขาดไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น และให้รู้สึกว่าเราโชคดี พอทำแบบนี้บ่อยๆ มันก็โชคดีจริงๆ นะ การที่เราเขียนสิ่งดีๆ มันยิ่งทำให้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่มันคือ ความคิดของเราที่มีต่อชีวิตของตัวเอง
2.วันนี้เป็นยังไงบ้าง รู้สึกยังไง มีความสุข สบายใจ หรือกำลังเครียดและกังวลอยู่ อาจมีการย้อนไปเมื่อวานด้วย หากเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกเยอะๆ เช่น รู้สึกอึดอัดมากที่ต้องไปเจอคนกลุ่มนี้ รู้สึกไม่ชอบที่ต้องคุยกับคนนี้ รู้สึกนอนไม่หลับเลยเพราะกังวลเรื่องนี้ เป็นต้น
เราจะเขียนแบบนี้แยกเป็นเหตุการณ์ออกมา แล้วอธิบายมันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนจะเพ้อเจ้อ แต่รู้มั้ยว่า การเขียนแบบนี้ทำให้เรารู้เรื่องของตัวเองเยอะขึ้นมาก เพราะเราเป็นคนเครียดง่าย การจดบันทึกทำให้เรารู้ว่า เราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ไม่ชอบคนแบบไหน เพื่อคอย track ตัวเองด้วยว่า เราอย่าเป็นแบบนั้น เช่น เราไม่ชอบคนไม่ตัดสินใจ คนที่ชอบให้เรื่องของตัวเอง เป็นภาระของคนอื่นตลอดเวลา อ่อนไหวไปซะทุกเรื่อง เราก็จะคอยเตือนตัวเองว่าอย่าเป็นคนแบบนั้น
อะไรทำให้เราทุกข์😔และอะไรทำให้เรามีความสุข😝เพื่อที่เราจะได้พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุข หรือทำกิจกรรมที่เรามีความสุขบ่อยๆ ซึ่งมันโครตดีมาก สำหรับเรา ให้เลือกสนิทกับคนที่เราอยากสนิทจริงๆ คนที่ทำให้เรารู้สึกมีพลังเวลาที่เราได้เจอหรือได้คุยกับเค้า หรือคนไหนที่คุยแล้วมีแต่พลังลบ เจอกันก็บ่นตลอดเวลา ด่าคนนั้นคนนี้ นินทาคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ หรือบางคนที่อาจจะพูดดีกับเรา ชมเราว่าดีแบบนั้นแบบนี้ แต่ลึกๆ แล้วเรารู้สึกได้เลยว่า คำพูดนั้นมันคือคำพูดกระแนะกระแหน ซึ่งเราไม่ชอบ เราก็จะพยายามห่างจากคนแบบนี้ เพราะมันทำให้เราเครียด พอเรารู้จักแยกแยะและหลบหลีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า เราเครียดน้อยลงมาก ทำให้รู้เลยว่า จริงๆ แล้วคนรอบตัวเรามีผลกับชีวิตเราขนาดไหน อาจจะทำไม่ได้ 100% เพราะเราก็ต้องทำงานและอยู่ในสังคมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ก็แยกแยะได้มากขึ้น
3. สิ่งที่เราเครียดหรือกังวล เราสามารถทำอะไรได้บ้าง จัดการอย่างไร เราได้อ่านหนังสือ The Little book of Stoicism ของ Jonas Salzgeber สำหรับเราเป็นหนังสือที่เข้าใจยากนะ อ่านสองรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจทุกหน้า แต่หลักการมันโอเคเลย คือเราต้องแยกแยะระหว่างสิ่งที่เราควบคุมได้ กับ สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ โดยสรุปคือ เราต้องทำสิ่งที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด เช่น ถ้ามีงานยากๆ ที่เจ้านายให้มาทำ แล้วต้องไปเสนอ ซึ่งเราก็จะเครียด เพราะไม่รู้ว่าจะผ่านมั้ย เค้าจะเห็นด้วยมั้ย จะโดนด่ามั้ย 555 แต่เราควบคุมความคิดเห็นของเจ้านายไม่ได้ เราก็แค่ทุ่มเท หาข้อมูล และทำให้ดีที่สุด ฝึกซ้อมนำเสนอ หาข้อมูล support ให้แน่นๆ ส่วนจะโอเคไม่โอเค ก็ให้เป็นธุระของเจ้านาย แล้วก็ปล่อยวาง หรือแม้แต่ความกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา ก็เป็นส่วนที่เราควบคุมไม่ได้เช่นกัน เพราะมันไม่มีทางที่เราจะทำทุกอย่างได้ถูกใจทุกคน ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ 100% แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ เราต้องเจอกับความเครียดและความกังวลแบบนี้ไปอีกหลายร้อยหลายพันครั้งจนกว่าจะตายไปจากโลกนี้แหละ😊
4. เป้าหมายของวันนี้คืออะไร เดือนนี้คืออะไรบ้างที่ต้องทำให้สำเร็จ สำหรับเราเอาแค่ระดับเดือนพอ ไม่ต้องระดับปี เพราะเอาตรงๆ คือ Resolution ปีใหม่ เราทำได้น้อยมาก เพราะเราแทบจะไม่เคยกลับไปเปิดดูด้วยซ้ำว่าเราเขียนอะไรไว้บ้าง เราคิดแค่วันนี้ อาทิตย์นี้ เดือนนี้ก็พอ แล้วพยายามทำให้ครบตามที่ตั้งเอาไว้ เช่น การไปทำธุรกรรมที่ธนาคาร หรือการทำงานบ้าน การอ่านหนังสือ การพาแม่ไปทำธุระหรือไปกินข้าวหรือไปเที่ยว ซึ่งจะรวมธุระของคนอื่นๆ ในบ้านที่เราต้องมีส่วนร่วมในการทำไปแล้ว จากนั้นก็จัด priority และทำให้สำเร็จ ไม่ผัดวันไปเรื่อยๆ วิธีนี้จะช่วยให้เรารู้สึกกังวลกับเรื่องเหล่านี้น้อยลง รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย
ข้อสุดท้าย เขียนสิ่งที่เราชอบและอยากทำ หรืออยากได้มีอะไรบ้าง และจะต้องทำยังไงบ้างถึงจะได้มา ซึ่งข้อนี้ไม่ต้องเขียนทุกวัน แต่ให้กลับมาอ่านบ่อยๆ เพื่อทบทวน ว่าเรายังอยากได้อยู่มั้ย หรือยังอยากเป็นแบบที่เขียนไว้อยู่หรือเปล่า และ list นี้สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แต่ส่วนตัวคิดว่า อย่าเขียนเยอะเกินไป เพราะจะทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง หลายคนมี Happy List หรือ Wish List📝เราก็มีเหมือนกัน เราจะเขียนออกมาเลยว่าเราชอบอะไรบ้าง หรือเรามีความสุขเวลาเราทำอะไร เช่น
เราชอบเพื่อนคนนี้ พี่คนนี้ เวลาคุยแล้วเราสบายใจ รู้สึกว่าได้รับพลังดีๆ เราก็จะคุยกับเค้าบ่อยๆ อาจจะทักไลน์คุยกันทุกอาทิตย์ เป็นต้น
หรือเราอยากไปเที่ยวต่างประเทศ เขียนให้ละเอียดว่าประเทศอะไร ทำไมถึงอยากไป ถ้าไปแล้วจะไปทำอะไรบ้าง ต้องใช้เงินเท่าไหร่
หรือของที่เราอยากได้ ทำไมเราถึงอยากได้ เพราะชอบมันจริงๆ หรือแค่อยากมีเพราะคนอื่นมีกัน หรือแค่ตามแฟชั่น ถ้าได้มาแล้วเราจะรู้สึกอย่างไร แล้วเราจะทำอะไรตอบแทนที่เราได้ของชิ้นนั้นมา เช่น เราจะใช้มันให้คุ้มค่าไม่ต่ำกว่ากี่ปี หรือตั้งเป้าว่า เราจะซื้อของชิ้นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเก็บเงินได้เป็นสองเท่าของราคาของ แล้วซื้อของนั้นพร้อมกับโปะบ้าน หรือซื้อกองทุน เป็นต้น
เราเขียนแค่นี้เอง เขียนมาตลอด 3 ปี ก็รู้สึกว่า เราเครียดและกังวลน้อยลง โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องส่วนตัวหรือปัญหาส่วนตัวให้ใครฟัง ถ้าเค้าไม่ถาม เพราะเราคิดว่า ทุกคนก็มีปัญหาของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น และก็คงไม่มีใครอยากฟังปัญหาของคนอื่นเพิ่มเติม ซึ่ง Journaling จะเข้ามาช่วยเราในส่วนนี้ มันเหมือนเรามีเพื่อนที่รับฟังเราตลอดเวลา เราโกรธ โมโห หงุดหงิดโว้ยยยยยย อยากด่าเหลือเกิน ก็เขียนลงไปเลย จะได้รู้สึกดีขึ้นและใจเย็นลง
เราทำแล้ว เราคิดว่ามันดีกับชีวิตจริงๆ ก็อยากให้คนที่มีปัญหาแบบเราลองทำดู รับรองว่า ไม่เกิน 6 เดือนคุณจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตตัวเอง😉😊
Akiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น