ตอนแรกทางเราก็ไม่เข้าใจหรอกว่า ทำไมทุกคนต้องตื่นตูมกันมากขนาดนี้ ในใจก็คิดว่าเบื่อประเทศไทย และเบื่อคนไทยที่เสพดราม่ากันจนเคยตัว เบื่อความตื่นตระหนกที่เกินเรื่องเกินราวของบางคน ที่สักแต่กลัวจนไม่ลืมหูลืมตา ตรงกันข้าม ตัวเราเองที่เพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น กลับไม่รู้สึกว่าที่ญี่ปุ่นน่ากลัวเลยสักนิด และคิดว่ามันไม่แฟร์ เพราะประเทศไทยก็ยังปล่อยนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากทั่วโลก เข้ามาในประเทศโดยที่คุณไม่สามารถกักตัวคนเหล่านั้นได้ ซึ่งใครสามารถรับประกันได้ว่า คนเหล่านั้นจะไม่ใช่คนที่แพร่เชื้อเสียเอง แต่สุดท้ายเราก็ต้องปฏิบัติตามคำขอความร่วมมือของทางรัฐบาลและกฎของบริษัทที่เราทำงานอยู่ และเพื่อให้ส่วนรวมได้เกิดความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นจากการกระทำของเรา
ในช่วงเวลา 14 วันที่เราต้องอยู่แต่ในบ้าน ทำให้เรามีเวลามากขึ้นในการหาข้อมูล ฟังข่าวสารต่างๆ จึงได้รู้ว่า ไข้หวัดโคโรน่า (COVID-19) เป็นเรื่องที่มีความซีเรียสจริง และเริ่มเข้าใจถึงการสั่งให้ Work at Home ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของคนส่วนใหญ่ และเป็นสิ่งที่เราพึงต้องทำด้วยความรับผิดชอบ
วันหนึ่ง ทางเราได้อ่านข่าวของผู้หญิงคนหนึ่งที่กลับมาจากญี่ปุ่นแล้วป่วยไปทำการตรวจคัดกรองโรคที่โรงพยาบาล จึงโทรไปสอบถามที่โรงพยาบาลจึงได้ทราบว่า ผู้ที่กลับมาจากต่างประเทศ สามารถไปทำการตรวจคัดกรองได้โดยไม่ต้องรอ 14 วัน ผู้ที่มีเชื้อ อาจจะไม่แสดงอาการป่วยใดๆ แต่สามารถแพร่เชื้อให้กับคนอื่นๆ ได้ แต่ถ้าเราทำการตรวจคัดกรอง เราจะรู้ทันทีว่าเรามีเชื้อหรือเปล่า เพราะเราอาจคือคนหนึ่งที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ
ใจหนึ่งเราก็คิดว่า ที่เราไปญี่ปุ่นครั้งนี้ เราบิน First Class ซึ่งเป็นห้องโดยสารแยกต่างหาก ที่ไม่ปะปนกับคนหมู่มาก และมีผู้เดินทางน้อย น่าจะทำให้เราปลอดภัย ประกอบกับตลอดเวลาที่อยู่ที่ญี่ปุ่น เราก็สวมหน้ากากอนามัย และใช้แอลกอฮอล์ล้างมือตลอดเวลา และส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อมักเป็นเด็ก, ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งเราไม่เข้าข่ายทั้ง 3 กรณี แต่เพื่อความสบายใจทั้งของตัวเองและคนรอบข้าง เราเลยไปทำการตรวจคัดกรองโรค โดยออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดประมาณ 6,000 บาท ซึ่งการตรวจจะใช้วิธีเอาเหล็กยาวๆ แหย่เข้าไปที่จมูกและลำคอ เพื่อนำสารคัดหลั่งไปตรวจหาเชื้อ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมงจึงจะทราบผล
นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ไปตรวจคัดกรอง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง ถ้าหากไม่มีอาการป่วย หลายคนจึงเลือกที่จะกักตัว 14 วันแทน ซึ่งความเป็นจริงแล้วเชื้อสามารถฟักตัวได้สูงสุด 27 วัน
วันรุ่งขึ้น เราไปโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อฟังผลตรวจ คุณหมอบอกว่า "ตรวจแล้วไม่พบเชื้อนะครับ แต่คุณต้องกักตัวต่อจนครบ 14 วันตามประกาศของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นะครับ" พอได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ จะได้พูดอย่างเต็มปากว่า เรารับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง แต่ค่ารับผิดชอบต่อสังคมก็แพงเหลือเกิน
ถึงแม้จะอยู่ที่บ้าน แต่เรายังต้องทำงานทุกวัน ทั้งตอบอีเมลล์ รับโทรศัพท์จากคู่ค้าและเพื่อนร่วมงาน ทำให้ 14 วันนี้ไม่ได้น่าเบื่อมากจนเกินไป เวลาที่ได้คืนมาจากการไม่ต้องขับรถไปทำงานทั้งตอนเช้าและตอนเย็นและจากการไม่ต้องเข้าประชุม ที่บางครั้งก็แยกแยะไม่ออกว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็น ทำให้เราสามารถทำงานหลายอย่างให้เสร็จได้อย่างรวดเร็ว และบางวันสามารถทำงานได้ปริมาณมากกว่าตอนที่อยู่ออฟฟิสด้วยซ้ำ
ช่วงเวลา 14 วันนี้นับเป็นช่วงเวลาที่เราได้อยู่บ้านนานที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ จะว่าไปก็เหมือนกับ การซ้อมตกงานไปในตัว บางวันจิตใจก็โหลงเหลงมากๆ การอยู่แต่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน ทำให้คนเรามีความวิตกกังวลและเกิดความเครียดได้ง่ายๆ ไม่แปลกใจที่หลายตำราบอกว่า หากเรารู้สึกว่าชีวิตไม่โอเค ให้เราออกไปนอกบ้าน ไปทำกิจกรรมอะไรที่มีความแปลกใหม่ ไปดูผู้คน แล้วเราจะรู้สึกดีขึ้น ทฤษฎีนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องจริง
การอยู่บ้าน 14 วันทำให้เรารู้เลยว่า เราชอบไปทำงาน และชอบทำงาน ไม่ได้ชอบนั่งว่างๆ เป็นคุณนาย การทำงานทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย และมีคุณค่า มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินทอง ที่เป็นสิ่งตอบแทนจากการทำงาน แต่มันคือความรู้สึกภายในจิตใจของเราเอง ทำให้เรารู้เลยว่า งานที่เราทำอยู่มีคุณค่ามากแค่ไหน ยิ่งได้อ่านข่าวคนตกงานที่มีมากขึ้นทุกวันในยุคนี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกรักงานมากขึ้นไปอีก อยากขอบคุณที่ทุกวันนี้เรายังมีงานทำอยู่ และเราจะทำมันให้ดีที่สุด
การอยู่บ้าน 14 วันทำให้เราได้ทำความสะอาดบ้านอย่างละเมียดละไมมากขึ้น ใส่ใจมากขึ้น ทำให้เห็นคุณค่าของคำว่า "ที่ซุกหัวนอน" ได้ลึกซึ้งขึ้น การได้เช็ดถูของสะสมต่างๆ ที่พอเช็ดๆ ไปก็รู้สึกขึ้นมาว่า ของพวกนี้ทำให้เรามีความสุขจริงมั้ยนะ หรือมันเป็นภาระให้เราต้องดูแลมันอย่างดีกันแน่ พาลระลึกไปถึงเงินแต่ละบาทที่เสียไป บางจังหวะก็สะอึกและรู้สึกเสียดายขึ้นมา จริงๆ แล้วช่วงเวลานี้ทำให้เราคิดอะไรได้หลายอย่างเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการซื้อของต่างๆ และการใช้เงินแบบไม่รู้คุณค่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงขั้นปฏิญาณตนกับตัวเองไว้ว่า จะลด ละ เลิก อะไรหลายๆ อย่าง
การอยู่บ้าน 14 วัน ทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง และอยู่ในบ้านที่เราอยู่มานานจนชิน ได้พินิจพิจารณาสิ่งของต่างๆ รอบตัวที่มีอยู่มากมายนับชิ้นไม่ถ้วน แต่สุดท้ายแล้ว ก็มีเพียงไม่กี่ชิ้นที่เราได้ใช้มันบ่อยๆ และใช้มันอย่างจริงจัง หลายอย่างที่เราซื้อมาแล้ววางไว้ บางทียังไม่ได้แกะด้วยซ้ำ หนักกว่านั้นคือลืมไปแล้วว่าซื้อมา เรารู้สึกเลยว่า ของบางอย่างที่เราคิดเองว่ามันต้องมี จริงๆ แล้วไม่มีก็ได้นะ และไม่เห็นเป็นอะไรด้วย ออกจะประหยัดดีด้วยซ้ำถ้าจะไม่มี :)
การอยู่บ้าน 14 วันทำให้เราได้มองเห็นคุณค่าของครอบครัว ว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ครอบครัวไม่เคยทิ้งเราไปไหน และเค้าพร้อมจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ โดยเฉพาะพ่อแม่ ที่เป็นห่วงเป็นใยเราทุกอย่าง เราได้มองเห็นน้ำใจและความห่วงใยอย่างแท้จริงจากเพื่อนบางคน บางกลุ่ม ที่ทำให้เรารู้ว่า เราต้องรักษาคนๆ นี้ไว้ อย่าให้หายไปจากชีวิตของเรา ในขณะเดียวกันก็ได้รู้ว่า ใครบ้างที่เราควรสละออกไปจากชีวิตเสียที
การอยู่บ้าน 14 วันทำให้เราได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่าในยามปกติ ชีวิตก็มีอะไรให้ทำมากมายจนไม่มีเวลามานั่งพิจารณาเรื่องราวของตัวเอง นานแล้วเหมือนกันที่ไม่เคยเอาเวลามานั่งทบทวนอดีต ช่วงเวลานี้จึงเป็นเวลาที่ดีที่จะได้กลับมามองตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง และนั่งตรึกตรองว่า มีอะไรบ้างที่อยากแก้ไข อะไรบ้างที่จำเป็นต้องทำ อะไรบ้างที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น และอะไรบ้างที่ควรปล่อยวาง
14 วันแห่งการรับผิดชอบต่อสังคมทำให้เราได้มีเวลาในการศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ รวมทั้งการคุยกับเพื่อนที่เป็นหมอ ซึ่งกล่าวตรงกันว่า จริงๆ แล้ว COVID-19 ก็เหมือนกับไข้หวัดจากไวรัสทั่วๆ ไป ที่หากร่างกายของเราแข็งแรงเพียงพอ เราจะสามารถต่อสู้กับมันได้ และถึงแม้ว่าเราติดเชื้อก็มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถหายได้ด้วยตัวของเราเอง เพราะปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มียาที่สามารถรักษาไวรัสตัวนี้ได้ แต่เป็นเพียงการรักษาตามอาการเช่นเดียวกันกับไข้หวัดใหญ่ ที่เราต้องเจอกันอยู่เป็นประจำ
นอกจากนี้เรายังรู้สึกว่า ป่วยการมากๆ ที่จะถามหาความรับผิดชอบจากคนอื่นๆ ทั้งผีน้อยเอย ทั้งคนที่เดินทางไปต่างประเทศแล้วกลับมาไม่ยอมกักตัวเองเพื่อดูอาการเอย คนเราแต่ละคนมีลักษณะนิสัย การเติบโต การศึกษาและสามัญสำนึกที่แตกต่างกัน ยิ่งโกรธแค้นตัวเองก็ยิ่งเครียดเปล่าๆ ไหนจะต้องต่อสู้กับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทั้งหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ เจลล้างมือ ต่างๆ นานา แค่ก็นี้ทำให้เราทุกคนปวดหัวกันไม่ใช่น้อยแล้ว
โดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่า เราเอาเวลามาหาวิธีการในการป้องกันตัวเราเองและคนในครอบครัวของเราให้ปลอดภัย หาเงินมาซื้อสิ่งของจำเป็นในยามนี้แทนการบ่นว่ามันแพง เพราะเราก็ต้องยอมรับว่าบางอย่างต้องใช้เงินในการแก้ปัญหา เราเอาตัวเองให้รอดก่อน ก็น่าจะดีกว่า การเผือกเรื่องของคนอื่นมากเกินไป ก็ไม่ทำให้เราปลอดภัยจาก COVID-19 ได้ ใครเค้าจะไปไหน กักตัว ไม่กักตัว ปล่อยเค้าไปเถอะ มานั่งจับผิดไป ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา อย่างดีก็แค่ด่ากันอย่างเมามันในโซเชียลเท่านั้น
ดูแลตัวเราเองให้ดี อย่าเครียด อย่าเสพดราม่ามากจนเกินไป ศึกษาข้อมูลต่างๆ ได้ แต่ต้องมาจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ และรักษาสุขภาพของเราให้ดีที่สุดเท่าที่เราสามารถจะทำได้ ใช้ชีวิตให้มีความสุข ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในยามนี้ที่ดูเหมือนว่าชีวิตมันจะหาความสุขยากขึ้นทุกวัน #ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเสมอมาและเสมอไป
อยากขอบคุณ 14 วันที่ผ่านมา เราได้อะไรเยอะมากจาก 14 วันนี้ มีเพื่อนหลายคนที่ไลน์มาคุยและเล่าว่า ต้องยกเลิกทริปต่างประเทศ เสียดายจังเลย แกโชคดีจังที่ได้ไปเที่ยวแล้ว บลาๆๆๆ
เอาจริงๆ ถามว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะยังตัดสินใจไปเที่ยวญี่ปุ่นมั้ย???
เราก็ยังยืนยันว่า ไป อยู่ดี เพราะการไปญี่ปุ่นครั้งนี้ เป็นการไปเที่ยวแบบที่เรียกว่า "สิ่งที่ฝันตรงกับสิ่งที่เจอมากที่สุด" เราได้รับประสบการณ์ดีๆ มากมาย ได้เจอซากุระแรกของปีนี้ ได้เห็นภูเขาไฟภูจิแบบเต็มๆ ตาตั้งแต่ตื่นมายันหลับไป ได้กินอาหารที่เราอยากกิน ได้ไปซื้อของที่เราอยากได้ ได้กลับไปย้อนรำลึกความทรงจำที่ได้ไปโตเกียวครั้งแรกเมื่อ 15 ปีที่แล้ว และได้เห็นว่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และไม่มีวันที่อะไรๆ จะเหมือนเดิม ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่น ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติของเราก็เช่นกัน ถึงแม้ว่ากลับมาแล้วจะต้องมาอยู่บ้านเหมือนติดคุกอีก 14 วัน แต่สำหรับเราแล้วมันก็เป็น 14 ที่ยอดเยี่ยมช่วงหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้
#saveตัวเอง #saveคนอื่น #รับผิดชอบต่อตัวเอง #รับผิดชอบต่อสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น