Ava Diary เพราะทุกชีวิตมีเรื่องราว by Akiko

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า การเขียนนั้นสามารถเปลี่ยนชีวิตของเราได้จริงๆ เพราะการเขียนเป็นกระบวนการเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกและเรื่องราวของเราให้เป็นตัวหนังสือ ดังนั้นการเขียนหนังสือทุกๆ วัน อย่างสม่ำเสมอจะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าเราคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ต้องการและไม่ต้องการอะไรในชีวิต และการเขียนมีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำให้เราได้มีโอกาสในการทบทวนตัวเองมากขึ้นอีกด้วย
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและโลกออนไลน์นั้นทำให้เรามีความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตมากขึ้นในทุกๆ ด้าน ทั้งการจัดการเรื่องส่วนตัว การสื่อสารกับคนรอบข้าง หรือแม้แต่การทำงานและการประกอบอาชีพก็ตาม ทุกวันนี้ เราทำงานและจดบันทึกสิ่งต่างๆ ผ่านคอมพิวเตอร์ มือถือ และแท็ปเล็ต เราส่ง E-Card อวยพรวันเกิดเพื่อนแทนการเขียนการ์ด เราส่งอีเมลล์หากันแทนการเขียนจดหมาย เมื่อโลกและเทคโนโลยีหมุนไปอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องพยายามใช้ชีวิตให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและของโลก จนบางครั้งเราเองก็รู้สึกเหนื่อยที่จะวิ่งตามโลกแบบนี้ไปทุกวันเหมือนกัน

ความเจริญนั้นเปลี่ยนแปลงหลายๆ สิ่งในชีวิตของเราไปอย่างสิ้นเชิง #การเขียนหนังสือของเราก็เช่นกัน ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร หากเราลองลดความเร็วในการใช้ชีวิตดูบ้าง และลองกลับไปใช้ชีวิตวิถีเดิมๆ ก่อนเทคโนโลยีจะเข้ามาแทรกแซงชีวิตเราเสมือนกับว่าเป็นเซลเซลหนึ่งในร่างกาย ชีวิตเราอาจจะมีความสุขและสงบมากขึ้นหรือเปล่า หรืออย่างน้อยที่สุดร่างกายและหัวใจของเราก็มีโอกาสได้พักบ้าง ไม่ต้องวิ่งตามโลกตลอดเวลาเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา

เมื่อกล่าวถึงการเขียน ฉันเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่แทบจะไม่ได้เขียนอะไรเลยในหนึ่งวันเพราะเทคโนโลยีทำให้การเขียนนั้นไม่มีจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของเราอีกต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกได้กับตัวเองคือ การเขียนในสมุดนั้นทำให้เราจดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ยาวนานกว่าการพิมพ์ลงบนคอมพิวเตอร์ ฉันไม่คิดว่าสิ่งนี้คือการคิดไปเอง เพราะการเขียนทำให้เรากลั่นกรองเรื่องราวผ่านสมองน้อยๆ ของเราก่อนบันทึกลงไปในสมุด ซึ่งแตกต่างจากการพิมพ์ที่ถึงแม้จะรวดเร็วกว่าการเขียนมากมายนัก แต่สิ่งนั้นมักไม่ค่อยผ่านสมองเราเท่าไหร่ การลืมเรื่องที่เพิ่งพิมพ์ไปจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตของฉัน การจดบันทึกในสมุดจึงยังเป็นปัจจัยสำคัญของการเรียนและการทำงานของฉันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

แต่หากกล่าวถึงการจดบันทึกในชีวิตประจำวันหรือที่เราเรียกว่าการเขียนไดอารี่นั้น ส่วนใหญ่เราเห็นเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับคนที่ค่อนข้างมีอายุสักหน่อย หากจะมองหาการเขียนไดอารี่จากเด็กรุ่นใหม่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในยุคปัจจุบัน ฉันเคยถามผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เขียนไดอารี่ทุกวันซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่มีอายุมากกว่าฉันว่าทำไมท่านจึงต้องจดบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่คำตอบที่ฉันได้แทบไม่แตกต่างกันนั่นคือ "ฉันจะไม่ตอบสิ่งที่เธอถาม แต่ให้เธอลองเขียนไปสักสามเดือน แล้วกลับไปอ่าน เธอจะค้นพบว่า มันมีประโยชน์กับชีวิตเธออย่างมหาศาล" ฉันไม่เคยเชื่อจนเมื่อฉันได้ทดลองทำด้วยตัวของฉันเอง

จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็กๆ ก็บ้างเหมือนกันที่ฉันจดบันทึกเรื่องราวส่วนตัวลงในสมุด เขียนๆ เลิกๆ มาเป็นระยะ แต่เพิ่งจะมาเริ่มเขียนแบบจริงๆ จังๆ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันพยายามเขียนมันให้ได้ทุกวัน แต่ก็มีบางช่วงเวลาเหมือนกันที่ไม่ได้เขียนนานนับเดือน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ฉันต้องหยุดเขียนเรื่องราวของตัวเองไป ฉันก็จะต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ที่จริงฉันควรจะเขียนมันทุกวันโดยไม่มีข้อแม้ แต่ก็ยังมีบางวันที่ทำที่เป็นลืมหรือเผลอหลับไปเสียก่อนจนลืมทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จะบอกว่าฉันไม่ได้ให้ความสำคัญและสนใจมันเท่าที่ควรอย่างนั้นก็คงไม่ผิด แต่ไม่เป็นไร เราก็เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน แต่ก็อย่าให้มันต้องเริ่มต้นใหม่บ่อยจนเกินไป #ฉันกับการเขียนไดอารี่ก็เช่นกัน 
สิ่งที่ฉันจดบันทึกนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่ฉันให้ความสนใจ ทั้งตัวบุคคล เหตุการณ์ หรือสถานที่ใดๆ สักแห่งบนโลกใบนี้ หรืออาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของตัวเองและคนรอบข้างแล้วต้องการจะเก็บเรื่องราวนั้นไว้เพื่อเป็นความทรงจำ หรือแม้แต่เป็นบทเรียน หลายครั้งที่ได้กลับไปอ่านในสิ่งที่ตัวเองบันทึกเอาไว้ ก็พบว่าในวันนี้เรามีความคิดเห็นและท่าทีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง บางเรื่องที่เราโกรธมากมายในวันนั้นกลับเป็นเรื่องที่ไร้สาระในวันนี้ บางเรื่องที่เรารู้สึกดีใจในวันนั้นกลับเป็นเรื่องที่เรารู้สึกเฉยๆ และกลับมีคำถามกับตัวเองด้วยซ้ำว่า ทำไมวันนั้นถึงดีใจได้ขนาดนั้น มีหลายๆ เหตุการณ์ที่ฉันจดบันทึกเรื่องราวแห่งความสุขในชีวิตจากหลากหลายเหตุผล หลากหลายสถานการณ์........ 

......การได้เริ่มงานใหม่ (ที่ตื่นเต้นเสมอถึงแม้จะไม่ใช่การทำงานครั้งแรกของชีวิต)
......การทำงานหรือทำอะไรที่ตั้งใจไว้ประสบความสำเร็จ เช่น ภายในเดือนนี้จะต้องวิ่งสะสมให้ครบ 100 กิโลเมตร หรือตั้งใจว่าจะเดินทางกี่ครั้งในปีนี้ พอทำได้ก็จะจดบันทึกเอาไว้
......การได้รับการโปรโมทให้เลื่อนตำแหน่ง 
......การได้ไปเที่ยวสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกเป็นครั้งแรกและเป็นเสมือน Dream Destination ของฉัน
......ความดีใจที่เกิดจากการได้ของขวัญวันเกิดที่ถูกใจหรือสามารถเก็บเงินซื้อสิ่งของที่อยากได้มานานได้สำเร็จ 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป และเราได้กลับมาอ่านย้อนนึกถึงความสุขที่เคยได้รับ ตัวอักษรที่เราร่ายมนต์ลงไปในสมุดบันทึกพอจะบ่งบอกได้ถึงปริมาณความพึงพอใจและความสุขในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี จนเราสัมผัสได้ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม ฉันกลับพบว่าน้อยครั้งนักที่ความสุขจากวัตถุหรือสิ่งของจะทำให้เรายังคงอิ่มเต็มอยู่จนถึงปัจจุบัน เช่น การได้กระเป๋าใบใหม่ ซึ่งอาจจะว๊าวสุดๆ ในตอนนั้น แต่มาวันนี้มันก็เป็นเพียงของเก่าชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง ความสุขเหล่านี้มีอายุค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับประสบการณ์บางอย่างในชีวิตที่เราอาจไม่ต้องจ่ายเงินแพงนักในการได้มันมา แต่ช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างเสียเหลือเกินกับของบางอย่างที่เราต้องแลกมันมาด้วยราคาที่แสนแพงเพียงเพื่อจะลืมมันไปในวันหนึ่ง 
แต่สิ่งหนึ่งในสมุดบันทึกที่มักมีความหมายยาวนานเสมอมักเป็นความสุขที่เกิดการประสบการณ์ชีวิตที่เราสร้างขึ้นด้วยตัวของเราเองหรือแม้แต่การสร้างมันร่วมกันกับใครสักคน อาจจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูงหรือคนรอบข้าง เช่น การเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวครั้งแรก หรือการได้ลองกินอาหารแปลกๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้กินในชีวิตนี้ การเก็บเงินซื้อบ้านหลังแรกในชีวิตได้ หรือการให้เงินเดือนเดือนแรกแก่พ่อแม่เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ความทรงจำเหล่านี้ อาจไม่หรูหรา ไม่น่าสนใจในระยะสั้น แต่แน่นอนว่า มันจะเป็นความทรงจำที่จะทำให้เรายิ้มได้ทุกครั้งที่ได้กลับไปเปิดอ่านอย่างแน่นอน 

จะว่าไปฉันเองก็นึกไม่ออกแล้วว่าตอนที่แม่ซื้อรถคันแรกให้นั้น ฉันรู้สึกอย่างไร เพราะรถก็เก่ามากจนต้องขายทิ้งไปแล้ว แต่การที่ฉันได้ไปเที่ยวยุโรปกับแม่ครั้งแรกและเราได้เล่นสกีด้วยกันบนยอดเขาจรุงฟราว ประเทศสวิสเซอร์แลนด์นั้น ฉันจะไม่มีวันลืม :) 
นอกเหนือจากเรื่องราวความสุขที่เรามักกลับไปอ่านเจอเมื่อเวลาผ่านไปแล้วนั้น ก็มีความทุกข์อีกจำนวนไม่น้อยที่อาจทำให้เราต้องเสียน้ำตาให้กับมัน และดูเหมือนว่าตอนนั้นฉันจะไม่สามารถผ่านมันไปได้ มันทั้งชอกช้ำและทรมาน แต่เมื่อมาถึงวันนี้ก็มีหลายเรื่องราวที่น่าขำและน่าหัวเราะใส่หน้าตัวเองสุดๆ ว่าวันนั้นฉันเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร ใครหลายคนเคยกล่าวว่า เมื่อเวลาผ่านไปและเราได้กลับไปอ่านไดอารี่ของตัวเอง เราอาจหัวเราะให้กับบางความทรงจำที่เจ็บปวด แต่จริงๆ แล้วฉันคิดว่า ก็คงมีบางครั้งเหมือนกันที่เราร้องไห้ให้กับสิ่งที่เราเคยหัวเราะในวันเก่าก่อน

ไดอารี่ทำให้ฉันได้มีเวลาทบทวนตัวเองในแต่ละวัน รวมถึงการเรียบเรียงความคิดของตัวเองก่อนที่วันใหม่จะเดินทางมาถึง บางครั้งก็บันทึกความสำเร็จ  ความสุข แต่บางครั้งฉันก็ใช้มันเพื่อบันทึกความผิดพลาด ความไม่สบายใจหรือไม่พอใจ ซึ่งมักมีประโยชน์เสมอเมื่อเราได้กลับไปอ่านมันอีกครั้ง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ถึงแม้มันอาจจะเป็นเรื่องที่ปัญญาอ่อนมากๆ หรือไร้สาระมากๆ ในตอนนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่บอกความจริงกับเราได้เป็นอย่างดี ว่าบางทีเราก็เคยเป็นคนอ่อนแอ หรือทำอะไรปัญญาอ่อน จนหาเหตุผลไม่เจอ ไดอารี่ก็เหมือนหนังชีวิต ที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่า ชีวิตจริงของคนบางคนก็ยิ่งกว่าในละคร #ฉันเองก็เคยมีโมเม้นต์แบบนั้นเช่นกัน
ถ้าถามว่าทุกวันนี้มีคนจำนวนเท่าไหร่ที่ยังเขียนไดอารี่อยู่เป็นประจำ ถ้าฉันตอบว่ามันคือคน 90% ของคนทั่วไปในสังคม คุณจะเชื่อไหม เพราะทุกครั้งที่เราถ่ายรูป อาหารที่เรากิน สถานที่ท่องเที่ยวที่เราไป หรือกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำร่วมกันกับครอบครัวหรือเพื่อนๆ ลง Facebook หรือ instagram นั่นก็คือการเขียนไดอารี่แบบหนึ่งเช่นกัน แต่เป็นการจดบันทึกผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คแทนการจดในสมุดโน๊ต ที่เราอาจจะมีวัตถุประสงค์ในการเขียนหรือการบันทึกที่แตกต่างกันไป ไดอารี่ที่เป็นสมุดและบันทึกโดยวิธีการเขียนอาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้ใครมาอ่าน หรือล่วงรู้ความลับบางอย่างของเรา เราอาจเขียนในสิ่งที่เรารู้สึกแต่ไม่สามารถบอกกับใครได้ แต่การบันทึกบนโลกออนไลน์นั้น แน่นอนว่าคงไม่ใช่ความลับและมักเป็นเรื่องที่เราอยากบอกต่อให้คนอื่นรู้เสียด้วยซ้ำ และโซเชียลเน็ตเวิร์คในปัจจุบันก็อำนวยความสะดวกให้เราสามารถเขียนเรื่องราวและเก็บรูปภาพได้ในเวลาเดียวกัน แถมยังเช็คอินโลเคชั่นได้ด้วยว่าเคยไปที่ไหนบนโลกใบนี้มาบ้าง ดีกว่านั้นคือปัจจุบันในทุกๆ วัน เฟสบุ๊คก็จะมาบอกเราว่า วันนี้เมื่อหลายๆ ปีที่ผ่านมา เราไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกับใคร ทำให้เราได้มีโอกาสย้อนรำลึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเรา จะว่าไปเฟสบุ๊คก็มีข้อดีไม่น้อยเหมือนกัน

ในขณะเดียวกันบางคนก็อาจมีวัตถุประสงค์ในการเขียนเพื่อแชร์ประสบการณ์ดีๆ ที่อาจเป็นแนวทาง เป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นความรู้แก่คนอื่นๆ ต่อไป แต่คนบางกลุ่มที่มีทัศนคติลบๆ ก็จะคิดว่า คนนั้นคนนี้ขี้อวด แต่ในมุมกลับกันฉันคิดว่าคนที่คิดแบบนี้ก็เป็นคนขี้อิจฉาไม่เบาเช่นกันนะคะ 555 แต่เอาเป็นว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ใครอยากจะทำแบบไหนก็ได้ตามใจ เรามาถึงยุคที่มีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตของตัวเองกันแล้วค่ะ
สำหรับฉันแล้ว ฉันใช้ทุกช่องทางในการบันทึกเรื่องราวชีวิต ปัจจุบันช่องทางหลักในการเขียนไดอารี่ของฉันคือสมุดคู่ใจสีชมพู และมีบ้างที่อาจเขียนเรื่องราวการเดินทางหรือการท่องเที่ยว การกิน หรือการได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค และบล็อคส่วนตัวของฉัน ส่วนหนึ่งเพราะต้องการเช็คอินโลเคชั่นนั้นไว้ด้วย เพราะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมาก่อนที่โซเชียลเน็ตเวิร์คจะอุบัติขึ้นบนโลกใบนี้ ฉันเดินทางท่องเที่ยวไปหลายแห่ง เคยจดไว้ในสมุดเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าสถานที่นั้นมันอยู่ตรงส่วนไหนของโลกใบนี้อยู่ดี เพราะไม่แน่ว่า เราอาจจะได้มีโอกาสเดินทางไปยังสถานที่ที่เราเคยไปอีกครั้ง เราจะได้รู้ว่า อะไรอร่อย ตรงไหนควรไป ตรงไหนสวย ตรงไหนดี นอกจากนี้ยังเป็นการแชร์ประสบการณ์ให้คนที่ชอบเหมือนๆ กันกับเราได้มีโอกาสไปสัมผัสประสบการณ์ดีๆ แบบนั้นบ้างเช่นกัน

นอกจากเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวของฉันแล้ว ฉันก็ยังเขียนเรื่องราวชีวิตตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมาผ่านบล็อคส่วนตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งหนังชีวิตของฉันอาจไม่เข้มข้นเท่าเรื่องราวของใครหลายคนหรือในนิยายบางเรื่องที่เป็นกระแส แต่หลายๆ สิ่งที่ฉันได้ก้าวผ่านมานั้นมีทั้งความผิดพลาด บทเรียน ความทุกข์และความสุขที่กลมกล่อมมากๆ ถึงแม้ตอนนี้ชีวิตของฉันจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็อาจเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นข้อคิดเตือนใจในการดำเนินชีวิต เพื่อไม่ให้ชีวิตของเขาเหล่านั้นต้องเจ็บ ต้องทุกข์เหมือนกับที่ฉันเคยเป็น เพราะฉันก็ยังเชื่อว่าเราสามารถเรียนรู้ผ่านบทเรียนชีวิตของคนอื่นได้ ถึงแม้การบอกเล่าเรื่องราวบางเรื่องผ่านชีวิตของคนอื่นจะเป็นความรู้มือสอง แต่ก็ใช่ว่าทุกเรื่องในชีวิตจะคุ้มค่าที่จะเสี่ยงเสมอไป นี่ชีวิตจริงนะคะ ไม่ใช่การเล่นหวย ที่ถูกกินบ้างก็ไม่เป็นไร
นี่ก็ผ่านปีใหม่มาแล้วหลายเดือน แต่ก็คงไม่สายเกินไป ฉันเริ่มเขียนไดอารี่อีกครั้งหลังจากห่างหายจากสมุดคู่ใจมาราว 4 เดือนเศษ ครั้งนี้ฉันเริ่มเขียนมันในวัน April Fool Day และจะพยายามเขียนทุกวันอย่างเช่นที่เคยทำมา หนังสือหลายเล่มแนะนำให้เราจดบันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตทุกๆ วันและจงรู้สึกขอบคุณสิ่งเหล่านั้นด้วยความรู้สึกขอบคุณจริงๆ เช่น วันนี้แม่ผัดกระเพราอร่อยมาก หรือวันนี้กาแฟอร่อยเป็นพิเศษ เป็นต้น แล้วสิ่งดีๆ ในชีวิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นี่ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ ไม่ใช่เรื่องราวของไสยศาสตร์ แต่การที่เราพยายามนึกถึงสิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเองทุกวัน จะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้ง่ายขึ้น แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่บางคนอาจไม่ได้นึกถึงก็ตาม การทำแบบนี้ส่งผลดีต่อการปรับทัศนคติให้เป็นบวกมากขึ้น เมื่อความคิดบวก ชีวิตก็จะบวก บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับฉัน มันคือเรื่องจริง

เอาเป็นว่า อย่าเชื่อจนกว่าคุณจะได้ลอง.......

P.S.Ava แปลว่า ชีวิต

Akiko

เพราะโลกมันกว้าง การออกไปใช้ชีวิตบ้างจึงสำคัญ

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า สองสิ่งที่เมื่อเรามากๆ แล้วเราจะแตกต่างจากคนอื่น นั่นคือ......
"การเดินทางและการอ่านหนังสือ"
เมื่อพูดถึงการอ่าน หลายคนมักนึกถึงการอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ ที่สุดแสนจะน่าเบื่อ และเมื่อหลายปีก่อนเราคงเคยได้ยินผลสำรวจหนึ่งที่กล่าวว่า คนไทยอ่านหนังสือ 8 บรรทัดต่อปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฉันรู้สึกแปลกใจ เพราะในตอนที่เรายังเป็นเด็ก มนุษย์เด็กทุกคนจะต้องไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ และต้องมีการสอบวัดผลเพื่อเลื่อนชั้นเรียน เราทุกคนจึงถูกบังคับให้ต้องอ่านหนังสือเรียนกันเป็นประจำอยู่แล้ว นอกจากนี้คุณครูยังบังคับให้เราอ่านหนังสือนอกเวลาอีกเทอมละสองเล่มด้วย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เป็นแบบนี้เสมอมาจนเราเรียนจบ แต่พอเราเริ่มทำงาน ไม่มีสิ่งใดที่สามารถบังคับให้เราอ่านได้อีกต่อไป เราล้มเลิกกิจกรรมที่เราเคยทำในวัยเด็ก ทั้งๆ ที่มันเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์มากๆ ฉันไม่อยากโทษความเจริญของสังคมโลกที่ทำให้เราหมกมุ่นอยู่กับโลกออนไลน์และโซเชียลเน็ตเวิร์คมากจนเกินไปจนทำให้คนทั่วไปอ่านหนังสือน้อยลงมากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา #ฉันก็เช่นกัน

มาจนถึงตอนนี้ที่แก่พอจะระลึกได้ว่า ฉันเสียเวลากับมันมามากเท่าไหร่ หากฉันเอาเวลาที่บ้าคลั่งอยู่ในโลกโซเชียลมาอ่านหนังสือให้มากพอและฝึกเขียนหนังสืออย่างเป็นเรื่องเป็นราว ป่านนี้อาจมีชื่อของ Panlapa Akiko เป็นนักเขียนที่ติดอันดับ Best Seller ก็ได้หนา
จริงๆ แล้ว ฉันควรจะเริ่มอ่านหนังสือและเขียนหนังสืออย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ไม่เป็นไรในเมื่อไม่ได้เริ่มลงมือทำในเวลานั้น เวลาที่เหมาะสมรองลงมาก็คือ เวลานี้ 

ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน เราอ่านหนังสือกันน้อยลงจริงๆ แต่เรากลับให้ความสำคัญกับข้อมูลบนจอมือถือมากขึ้น เรารู้สึกว่าการซื้อหนังสือนั้นเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างแพง เพราะหนังสือสมัยใหม่ก็เล่มละหลายร้อยบาท บางเล่มก็มีราคาเป็นหลักพันบาท ในขณะที่ความรู้และข้อมูลที่หลั่งไหลอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นเป็นของฟรีที่สดใหม่กว่ามาก คนหลายคนจึงเลือกที่จะเสพข้อมูล ความรู้ทางด้านต่างๆ ที่ตัวเองสนใจผ่านโลกโซเชียลเสียมากกว่าการจับหนังสือที่เป็นกระดาษอ่านอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ฉันเป็นคนหนึ่งที่ใช้ความพยายามอย่างหนักมากในการลด ละ เลิก การเสพสื่อบนโลกโซเชียล ณ ปัจจุบัน และฉันก็ทำมันได้สำเร็จในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้หลายปีฉันเสพติดโซเชียลขั้นรุนแรงจนส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตในด้านต่างๆ ทั้งเรื่องการทำงานและการใช้เงิน คุณคงไม่เชื่อสินะว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นมีส่วนทำให้เราใช้เงินเพิ่มขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
สำหรับโซเชียลเน็ตเวิร์คในมุมมองของฉัน ณ ปัจจุบันนี้ ฉันคิดเอาเองว่าเต็มไปด้วยข้อมูลแฝงการขาย ทำให้รู้สึกว่า ข่าวสารหรือข้อมูลที่ได้รับมานั้นไม่ค่อยมีความบริสุทธิ์ของแก่นสารที่ต้องการจะสื่อเท่าไหร่นัก และหลายครั้งก็แฝงไปด้วยผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่เลวร้ายกว่านั้นคือการที่คนบางกลุ่มนำเรื่องส่วนตัวของบุคคลอื่นไปแชร์เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งพักหลังๆ เราเห็นข้อมูลข่าวสารในลักษณะนี้บ่อยมาก นี่อาจเป็นเหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจเสพโลกโซเชียลน้อยลง ไม่ได้ถึงกับตัดขาดหรอกนะ แต่ก็มีไว้เพียงเพื่อพอให้สามารถสื่อสารกับคนอื่น หรือเปิดรับข่าวสารที่เป็นประโยชน์จริงๆ บ้าง ในเวลาที่ฉันไม่มีหนังสืออยู่ในมือ ซึ่งก็ยังมีเว็บไซต์หรือเพจอีกจำนวนไม่น้อยที่เป็นสื่อกลางในการนำเสนอข้อมูลที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง 
แต่ในปี 2016 ที่ผ่านมา ผลสำรวจใหม่ของสำนักงานสิถิติแห่งชาติบอกว่าคนไทยอ่านหนังสือเยอะขึ้นมากจากเมื่อก่อน เฉลี่ยแล้ววันละ 66 นาที #ฉันก็เช่นกัน เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ฉันอ่านหนังสือได้เพิ่มขึ้นเยอะมาก ด้วยการใช้เวลาที่เมื่อก่อนนั้นหมดไปกับการเผือกเรื่องของชาวบ้านในโซเชียลเน็ตเวิร์ค เปลี่ยนมาบังคับให้ตัวเองอ่านหนังสืออย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดี หลังจากอ่านมาได้สักพัก จึงเห็นว่า แท้จริงแล้วหนังสือเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ ในช่วงเวลาที่เราต้องการอยู่คนเดียวเพื่อพักกาย พักใจ พักสมองจากเรื่องภายนอก มันทำให้เราไม่วอกแวกไปคิดนู่นคิดนี่ หรือคิดเรื่องไม่ดีเหมือนเวลาที่เรานั่งเฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไร ใจก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย หรือแม้แต่บางครั้งก็นั่งมโนเวลาที่ดูเรื่องราวของคนอื่นผ่านเฟสบุ๊คหรืออินสตาแกรม มันเหมือนเราได้ฝึกสมาธิไปในตัวอีกด้วย

อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันเชื่อว่า เมื่อเราทำมากๆ แล้วเราจะแตกต่างจากคนอื่นๆ นั่นคือ "การเดินทาง" สำหรับฉันแล้ว การเดินทาง กับ การท่องเที่ยว นั้นมีความหมายที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก

การเดินทาง คือ การไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เราอยากจะไป เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่ง ทุกอย่างในสถานที่นั้นๆ ไปทดลองใช้ชีวิตเฉกเช่นคนในพื้นที่นั้นๆ จังหวัดนั้นๆ ประเทศนั้นๆ ตลอดระยะเวลาที่เราต้องอยู่ที่นั่น ซึ่งการเดินทางทำให้เราต้องปรับตัวค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องอากาศ และความเป็นอยู่ กายและใจต้องมีความพร้อมที่จะรับมือกับความแตกต่าง และความผิดพลาดที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

แต่การท่องเที่ยวอาจเป็นเพียงการไปยังสถานที่ที่เราต้องการจะไปเห็นบางสิ่งที่อยากเห็น เมื่อได้เห็น ได้ถ่ายรูปด้วยกันแล้วก็ถือว่าโอเคจบ ได้ไปแล้ว แต่เราอาจไม่ได้สัมผัสมุมมองของสถานที่นั้นๆ ในแง่อื่นๆ ทำให้เราอาจจะไม่เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ หรือสิ่งที่เป็นของจริงของสถานที่นั้นๆ ที่อาจไม่ได้มีแค่ด้านที่สวยงาม เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง ก็ย่อมต้องแสดงแง่มุมที่สวยงามเพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่อย่างไรแล้วไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง หรือการท่องเที่ยวก็ดีทั้งคู่หากได้ทำบ้างในบางช่วงชีวิต
โดยส่วนตัวแล้ว ฉันกลับชอบเดินทางมากกว่าท่องเที่ยว เพราะมันทำให้เราได้มีโอกาสพบเจอสิ่งแปลกใหม่ที่เราไม่เคยได้รู้ได้เห็นมาก่อน หรือบางสิ่งอาจรู้ข้อมูลอยู่บ้าง แต่ของจริงนั้นช่างแตกต่างกับสิ่งที่เราเคยรับรู้มาโดยสิ้นเชิง การเดินทางทำให้เรายึดติดตัวตนและความต้องการของตัวเองน้อยลง และยอมรับสภาพความแตกต่างระหว่างเรากับโลกได้มากขึ้น รวมไปถึงมนุษย์ที่อาจมีลักษณะ นิสัยใจคอ วัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่างจากเรา ทำให้เขาแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่เหมือนเรา บางคนอาจคิดว่าการเดินทางนั้นคือการพักผ่อน ถ้าพูดถึงมุมของการพักผ่อนจากการทำงานหนักตลอดทั้งปีอาจจะใช่ แต่ถ้าคุณคิดว่ามันคือการพักผ่อนจากการใช้ชีวิต คุณคิดผิดค่ะ เพราะทุกๆ การเดินทางนั้นย่อมมีอุปสรรคบางอย่างรอคุณอยู่เสมอ อย่างน้อยที่สุดคือการพยายามมีชีวิตอยู่ในสภาพที่คุณไม่คุ้นเคย หรือแม้การกินอาหารที่ใครๆ ก็กินกัน แต่ทำไมมันต้องเป็นเราที่ต้องกิน แบบนี้เป็นต้น ไหนจะเรื่องการเดินทาง การหลงทาง สาระพัด สิ่งเหล่านี้ทำให้เราได้มีโอกาสฝึกทักษะการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ยากลำบากบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีในชีวิต

ชีวิตที่มีความสะดวกคือชีวิตที่อยู่กับสิ่งที่เราคุ้นเคย และมีสภาพเหมือนเดิมทุกๆ วัน เพราะนั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกว่าปลอดภัย แต่จะดีกว่ามั้ยถ้าเราจะออกไปลองใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีความสะดวกบ้างเพื่อให้ชีวิตมีสีสัน ได้ลุ้นระทึก ได้ตื่นเต้น ได้หวาดกลัว ได้สนุก ได้เปิดหู เปิดตา เปิดกะโหลกของตัวเอง และเพื่อให้สมองบางส่วนที่เราไม่ค่อยได้ใช้งานในช่วงเวลาปกติ ได้มีโอกาสขัดเกลาหรือพัฒนาบ้าง

การเดินทางทำให้ฉันรู้ว่า "แม่เรานี่ทำกับข้าวโครตอร่อยเลย และบ้านเรานี่คือสุดยอดของความสบาย ถ้าถามว่า ประเทศใดเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลก ฉันจะตอบอย่างเต็มปากว่าประเทศนั้นคือ ประเทศไทย ประเทศที่ไม่เคยหลับใหล และเดินออกมาเมื่อไหร่ก็มีของกิน เพียงแค่มีฟุตบาทเป็นใช้ได้"
บางคนอาจคิดว่า การเดินทางหรือการท่องเที่ยวนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ สิ้นเปลือง หาประโยชน์ไม่ได้ เพราะเราอาจต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งที่สูงกว่าการใช้ชีวิตประจำวัน เพียงเพื่อเปลี่ยนสถานที่ในการใช้ชีวิต ยิ่งถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจคิดว่าก็ในเมื่อเราอยู่ในประเทศที่ดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว จะต้องเดินทางไปที่อื่นทำไมให้เสียเวลา แต่เชื่อเถอะค่ะว่าการเดินทางจะทำให้ความคิด ทัศนคติ และชีวิตของเราเปลี่ยนไป

"หากไม่ได้เดินทาง เราอาจไม่รู้สึกว่าเรามีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในชีวิตของเราแล้ว"

ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศเท่านั้น หากเราไม่มีความพร้อมทางด้านร่างกาย หรือการเงิน การแบกเป้สักใบไปเที่ยวทะเล การปีนเขา หรือเดินป่า ก็ให้ประสบการณ์และความรู้สึกที่ไม่ต่างกันค่ะ เราอาจซื้อหลายๆ สิ่งบนโลกใบนี้ได้ด้วยเงิน แต่แน่นอนสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า "ประสบการณ์"

การอ่านหนังสือและการแสวงหาความรู้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นคือประสบการณ์มือสองที่ผู้เขียนหรือผู้รู้พยายามถ่ายทอดให้เราได้ทราบข้อมูลนั้นๆ ผ่านสิ่งที่เขาได้เรียนรู้หรือพบเห็นมา แต่กับบางสิ่งในชีวิตนั้น การได้ลงมือทำ ได้รู้ ได้เห็น ด้วยตาของตัวเอง ย่อมเป็นประสบการณ์ตรงที่สดใหม่กว่า เพราะมันทำให้เราได้ซึมซับ รู้สึก และลึกซึ้งกับสิ่งนั้น มากกว่าการอ่านหนังสือหรือการดูรูปผ่านอินเทอร์เน็ต ดังนั้น มันจึงเป็นความจำเป็นที่เราต้องทำทั้งสองสิ่งควบคู่กันไป

..........มันจะดีแค่ไหนหากเราได้เดินทางไปพร้อมกับหนังสือคู่ใจสักเล่ม
ที่สามารถหยิบออกมาอ่านได้ในระหว่างทาง...........

By Akiko

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...