ซึ่งหลายๆ เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้ฉันพอจะสรุปใจความสำคัญของทั้งสองคำนี้ได้ในนิยามของตัวฉันเอง และฉันคิดว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องนำนิยามของฉันไปเปรียบเทียบกับนิยามของสังคม หรือของคนอื่นๆ เพราะบางครั้งนิยามของใครต่อใครก็ดูเหมือนจะยุ่งยากและซับซ้อนจนเกินความเข้าใจของเรา
ฉันคิดเองว่า ชีวิตจะดีได้ต้องเริ่มจากการดูแลหัวใจของตัวเองให้ดีก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ต้องรักและภูมิใจในตัวเองให้เป็น ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร และใช้ชีวิตให้พอดี
ฉันเชื่อว่าในทุกๆ วันเกิดของเราหรือแม้แต่วันปีใหม่ที่เพิ่งจะผ่านมาสดๆ ร้อนๆ เราจะได้รับคำอวยพรต่างๆ มากมาย แต่ที่ติดอันดับท็อปฮิตก็คือขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งคำว่าสุขภาพที่ผู้อวยพรส่วนใหญ่หมายถึงนั้นคือ สุขภาพกาย ที่ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นสิ่งความสำคัญ แต่จะมีสักกี่ครั้งกี่หนที่เราได้รับคำอวยพรว่า ขอให้มีสุขภาพใจที่แข็งแรง ถ้าวัดจากประสบการณ์ส่วนตัวกว่า 30 ปีของฉันนั้น นับครั้งได้ แต่คนหนึ่งที่เคยพูดแบบนี้กับฉันก็คือแม่ของฉันเอง
ตัดภาพไปที่เช้าวันหนึ่งซึ่งฝนตกหนักตั้งแต่เช้าตรู่และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ในระหว่างที่ฉันกำลังขับรถไปทำงานก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับรถที่ติดมากเป็นพิเศษถึงแม้จะพยายามออกจากบ้านให้เช้ากว่าเดิมแล้วก็ตาม ฉันขับรถไปหงุดหงิดไป จนมาติดไฟแดงตรงสี่แยกแห่งหนึ่ง มีคุณลุงคนหนึ่งเดินตากฝนเพื่อขายพวงมาลัย แต่หน้าตาของคุณลุงกลับยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนวันนี้เป็นวันดีๆ อีกวันหนึ่งในชีวิต แล้วฉันก็ขับรถไปเรื่อยๆ ผ่านป้ายรถเมล์ป้ายแล้วป้ายเล่า เห็นคนจำนวนมากต้องยืนตากฝนเพื่อรอรถ บางคนเนื้อตัวและเสื้อผ้าเปียกปอน บางคนเสื้อผ้าเลอะเทอะเพราะถูกน้ำกระเด็นใส่จากรถที่ขับผ่านไปมา ฉันไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนกำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขากำลังหงุดหงิดเหมือนฉันหรือไม่ ซึ่งถ้าเขาเหล่านั้นจะหงุดหงิดและหัวเสียบ้าง อาจเป็นเรื่องที่สมควรมากกว่าความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นกับฉันในตอนนี้ ทั้งๆ ที่ฉันไม่ต้องยืนเมื่อยตากฝนเหมือนคนอื่นๆ อีกหลายคน ทั้งคุณลุงและคนที่ฉันพบเจอที่ป้ายรถเมล์ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัวและถามตัวเองว่า ในเมื่อฉันเองก็ไม่สามารถทำให้ฝนหยุดตก หรือทำให้รถไม่ติดได้ แล้วฉันจะหงุดหงิดไปเพื่ออะไร.....
#ถึงฝนจะตก แต่คุณลุงขายพวงมาลัยอาจจะคิดว่า วันนี้เป็นวันดีๆ อีกวันที่คุณลุงยังมีสุขภาพดี ออกมาขายพวงมาลัยเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวหรือส่งลูกเรียนได้ แถมฝนที่ตกลงมาทำให้พวงมาลัยของคุณลุงดูสดชื่นไม่เหี่ยวเฉาอีกด้วย
#คนที่ยืนตากฝนที่ป้ายรถเมล์ อาจจะเป็นคนทำงานที่กำลังสู้ชีวิตเพื่อลูก ภรรยาหรือสามี จึงทำให้การยืนตากฝนเพื่อรอรถไปทำงานเป็นปัญหาเล็กน้อย เพราะปัญหาในชีวิตของเขาเหล่านั้นอาจจะหนักหนากว่านี้มากนัก
พอเริ่มมีสติ ใจที่ฟุ้งซ่านและหงุดหงิดก็เริ่มสงบลงทีละน้อย ซึ่งใช้เวลานานพอสมควรเลยทีเดียว จริงๆ แล้วครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มีอีกหลายร้อยหลายพันครั้งที่ฉันโมโห หงุดหงิด โกรธ เครียด เพราะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่รู้ตัว ปล่อยให้ความคิดไหลไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่มันมักจะไหลลงต่ำและเป็นความคิดลบ สำหรับฉันแล้ว 30% เป็นความกังวลเรื่องอนาคต ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดหรือไม่ ส่วนอีก 70% เป็นการคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ทำไปแล้ว ฉายหนังซ้ำวนไปเวียนมา หลายครั้งฉันเป็นทุกข์ หรือรู้สึกเครียดไปโดยไม่จำเป็น ทำให้เสียพลังดีๆ ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ไม่ต้องอะไรมากหรอกค่ะ เพียงแค่บางครั้งที่เรานึกถึงภาพคนที่เราไม่ชอบ หัวใจเราก็เต้นรัว ในหัวมีแต่ภาพความไม่ดีของเขาหรือเธอคนนั้นเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เราอารมณ์เสีย กังวลใจ รู้สึกไม่ดีได้ง่ายๆ บางครั้งก็เครียดและอารมณ์เสียเอง บางครั้งก็เผลอระบายความหงุดหงิดใส่คนข้างๆ ทั้งๆ ที่คนๆ นั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย หลายปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตฉันอย่างมาก ฉันจึงมานั่งสังเกตตัวเองและพบว่า ถ้าครั้งไหนที่ฉันจับทางความคิดตัวเองได้ ฉันจะสามารถหยุดมันได้ก่อนไหลไปสู่ความคิดลบๆ ฉันจึงคิดว่ามันเป็นความจำเป็นที่ฉันต้องฝึกตัวเองให้รู้ทันความคิดตัวเองอยู่เสมอ แล้วดิวกับมันให้ถูกวิธี เพื่อไม่ให้มันไหลลงต่ำอย่างที่เคยเป็นมา
นอกจากการดูแลความคิดและจิตใจของตัวเองให้ดีแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และไม่ต้องแข่งขันกับใครๆ ก็ทำให้เรามีความสุขมากขึ้นเช่นกัน ถึงแม้ว่าคนกลุ่มหนึ่งจะบอกว่า คนที่คิดแบบนี้จะไม่มีทางพัฒนาตัวเองได้ เพราะไม่เคยออกไปดูเลยว่าคนอื่นเขาไปกันถึงไหนแล้ว ยิ่งคนสมัยนี้ให้ความสำคัญกับ ความเหนือกว่า เด่นกว่า สวยกว่า รวยกว่า เราจึงอดไม่ได้ที่จะต้องเปรียบเทียบและแข่งขันกับคนอื่น รวมไปถึงการเปรียบเทียบกับมาตรฐานของสังคมที่เราคุ้นชินตลอดเวลา เพื่อวัดว่าเราเหนือกว่าหรือด้อยกว่าคนอื่นอย่างไรบ้าง
#สิ่งที่ตัวเองเป็น สิ่งที่ตัวเองมี เหมือนหรือต่าง มากกว่าหรือน้อยกว่าคนอื่น
#เราอยู่ในจุดที่ใกล้เคียงหรืออยู่ห่างจากมาตรฐานสังคม
#เราเป็นไปตามความคาดหวังของคนอื่นๆ ที่อยากให้เราเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทำนู่นทำนี่หรือไม่
ซึ่งการเปรียบเทียบทำให้เราให้ความสนใจเรื่องของคนอื่นมากกว่าเรื่องของตัวเอง จริงๆ แล้วมันจะเป็นข้อดี หากมันทำให้เรามีความพยายามพัฒนาตัวเองไปสู่จุดที่ดีขึ้น แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของฉันแล้วพบว่า ยิ่งเราชอบเปรียบเทียบมากเท่าไหร่ ยิ่งอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่องมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เราเป็นทุกข์ และไม่มีความสุข มากกว่าจะเป็นแรงผลักดันชีวิต
#เพราะเรามักไม่ค่อยมองคนที่แย่กว่า มีน้อยกว่า หรือด้อยกว่าเรา ทั้งๆ ที่คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีน้อยไปกว่าคนที่ได้ดิบได้ดีกว่าเราหรือเหนือกว่าเรา
#เรามักมองแต่คนที่เราคิดเอาเองว่าเขามีชีวิตที่ดีกว่าเรา เขาอาจจะรวยกว่า สวยกว่า เก่งกว่า แล้วเราก็เลยเหมาเอาเองว่าเขามีชีวิตที่ดีกว่าเรา แล้วก็มีความทุกข์ เพราะว่าอยากจะเป็น อยากจะมีแบบนั้นบ้าง
#เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่เรามักจะใส่ใจคนที่เราไม่ชอบมากกว่าคนที่เราชอบเสียอีก และเรามักมองเห็นว่าคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีชีวิตที่ดีกว่าเรา มีความสุขมาก รวยมาก สวยมาก หรืออะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะทุกวันนี้ใครๆ ก็สร้างภาพให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองมีความสุข เราต้องอวดความสุข ใครสุขมากกว่าชนะ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าใครสุขจริง ใครสุขไม่จริง แต่ที่แน่ๆ เราทุกข์ไปแล้วเมื่อเข้าไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเขา
มันไม่เป็นไรหรอกถ้าเราจะไม่รับรู้เรื่องของคนอื่นเสียบ้าง ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีกับชีวิตเสียด้วยซ้ำ ถ้าเราจะเอาเวลาอันมีค่านั้นมาโฟกัสที่ตัวเอง สนใจว่าชีวิตเราต้องการอะไร อยากเป็นอะไร อยากได้อะไร อยากมีอะไร อยากไปที่ไหน อยากทำอะไรที่ทำแล้วไม่เบียดเบียนตัวเอง คนอื่น และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วพยายามทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาให้ได้
ฉันเองก็เคยเป็นคนที่ชอบยุ่งแต่เรื่องของคนอื่นเหมือนกัน วันๆ นั่งดูแต่เฟสบุ๊ค แล้วก็เวิ่นเว้อถึงปัญหาชีวิต อยากนู่นอยากนี่ อกหักรักคุด ไม่ตั้งใจทำงาน ย่ำอยู่กับที่ไม่ก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับชีวิตตัวเอง บ่นทุกอย่างบนโลกนี้ในเฟสบุ๊ค แล้วก็มีคนมากดไลท์ คอมเมนต์ให้กำลังใจ แต่ก็ไม่เห็นว่าชีวิตจะมีอะไรที่แตกต่างหรือดีขึ้น ปัญหาที่มีก็ไม่ใช่ว่าจะถูกแก้ไขในทางที่ควร ฉันไม่เคยนั่งคิดว่าตัวเองคู่ควรกับอะไร ชีวิตช่วงนั้นก็เลยมีแต่สิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิต ทั้งการงานที่ไม่มีความคืบหน้า สมองที่ไม่มีการพัฒนา การเงินที่มีปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง การดูแลตัวเองบกพร่อง สุขภาพกายก็ไม่ดี สุขภาพใจยิ่งไม่ต้องพูดถึง
พอมองย้อนกลับไปถึงเข้าใจว่าที่ชีวิตมันเป็นแบบนั้นเพราะเราทำตัวเองทั้งหมด ปัญหาที่เจอในตอนนั้นเล็กน้อยและไร้สาระสิ้นดีเมื่อเทียบกับปัญหาที่ต้องแก้ไขเมื่อเติบโตขึ้นมา นิสัยแบบนั้นไม่ได้เพียงแต่ทำให้ฉันไม่พัฒนาตัวเอง แต่ยังทำให้ความสุขมวลรวมของตัวฉันเองลดน้อยถอยลงทุกวันอีกด้วย ฉันมีปัญหาหลายอย่างในตอนนั้น ชนิดจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะไม่รู้จะดิวกับเรื่องไหนก่อนดี จนฉันรู้สึกเบื่อกับชีวิตเดิม ฉันนั่งคุยกับตัวเองอย่างจริงจังในฐานะเพื่อนคนสนิทที่สุดของตัวเอง ซึ่งรู้ทาสแท้และความจริงทุกอย่าง เป็นเรื่องแปลกที่เวลาเราให้คำปรึกษาคนอื่น สอนคนอื่น เราจะรู้ดีไปเสียทุกเรื่องราวกับว่าเรียนจบด็อกเตอร์มาอย่างไรอย่างนั้น แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองกลับยากเข็นสิ้นดี คิดไม่ออก หาหนทางไม่เจอ งมงายจนถึงวาระสุดท้าย เพราะเรามักฉลาดกับเรื่องของชาวบ้านแต่โง่เขลาเสมอกับเรื่องของตัวเอง นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่หลังจากผ่านวิกฤติครั้งนั้นมา ฉันมักจะชอบคุยกับตัวเองเสมอ จนบางทีก็เหมือนคนบ้า แต่มันได้ผลดีนักแล
สุดท้ายเมื่อคุยกับรู้เรื่อง ฉันจึงปรับเปลี่ยนตัวเองทั้งหมด ทั้งความคิด และการกระทำ ตอนแรกๆ ออกจะฝืนเสียหน่อย แต่เมื่อตั้งใจแล้วก็ต้องทำให้ได้ เพราะฉันอ่อนข้อกับตัวเองมามากพอแล้ว เมื่อเปลี่ยนความคิดและการกระทำแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปนิสัยของฉันก็เปลี่ยนไปเอง และฉันกลับไม่รู้สึกฝืนทนอีกต่อไป เพราะการเริ่มทำอะไรที่ดีกับตัวเองมันยากเสมอ
#จากเคยเอาเวลาไปสนใจเรื่องคนอื่น ก็เอาเวลามาใส่ใจและพิจารณาตัวเอง
ถามตัวเองเสมอว่าจริงๆ แล้วต้องการอะไรในชีวิต และอยากเป็นแบบไหน ตอนนี้มีความสุขหรือไม่
ถ้าไม่ ทำไมถึงไม่มีความสุข แล้วจะทำให้มีความสุขได้อย่างไร
#จากการดู New Feed ใน Social Media ตั้งแต่นาทีแรกที่ตื่นนอน
ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการเข้าไปดูเฉพาะสิ่งที่เราสนใจจริงๆ ไม่ต้องไล่ New Feed ตั้งแต่ต้นจนจบ
เพื่อให้รู้เรื่องของทุกคน และสุดท้ายมาจบตรงการอ่านหนังสือให้เยอะขึ้นแทนการเล่นเฟสบุ๊คหรืออินสตาแกรม จากวันนั้นจนถึงวันนี้ฉันอ่านหนังสือไปแล้วเกือบๆ 100 เล่ม
#จากการเอาเวลามาบ่นทุกอย่างบนโลกนี้เปลี่ยนมาเป็นการจดบันทึกชีวิตตัวเองในทุกๆ วัน
และพยายามแก้ไขปัญหาทีละข้อแทนการการบ่นในเฟสบุ๊คที่สุดท้ายแล้วปัญหาจะยังอยู่เหมือนเดิม
#จากการเอาแต่สงสัยว่าทำไมคนนี้เที่ยวบ่อยจัง ซื้อกระเป๋าบ่อยจัง กินข้าวร้านอาหารดังๆ บ่อยจัง เปลี่ยนเป็นการศึกษาเรื่องการออมและการลงทุนเพื่อให้มีเงินไปใช้ชีวิตในแบบที่ฉันต้องการ ซึ่งเมื่อฉันได้ใช้ชีวิตตามต้องการแล้ว ฉันก็ไม่มีความสงสัยในตัวใครอีกเลย
บทเรียนชีวิตบทนี้สอนให้ฉันรู้ว่า การเผือก การคิดหรือสงสัยในชีวิตคนอื่น เป็นเรื่องไร้สาระที่หาประโยชน์ไม่ได้ เพราะใครจะเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของเขา คนที่เราไม่ชอบก็ไม่ต้องไม่ยุ่งกับเขา อะไรที่เราไม่ชอบก็อย่าทำกับคนอื่นๆ เรียนรู้ แล้วจบมันซะ จะดีกว่ามาก หากเราถามตัวเองอยู่เสมอ ว่าเราอยากทำอะไรกับชีวิตของตัวเอง แทนการเอาชีวิตของตัวเองไปเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น เพราะบางครั้ง การเปรียบเทียบทำให้เราอยากเป็น อยากทำ อยากมี สิ่งที่คนอื่นยอมรับว่ามันดี มันเก๋ มันดูเหนือ ทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่ใช่ชีวิตแบบที่เราต้องการจริงๆ เช่น จริงๆ แล้วเราอาจชอบท่องเที่ยว อยากเดินทางรอบโลก แต่เรากลับเอาเงินเก็บที่มีไปซื้อรถคันใหม่เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเรามีรถใหม่ คนอื่นเห็นแล้วอาจจะว้าว เพราะมันตอบโจทย์เขา แต่มันอาจไม่ช่วยเติมเต็มชีวิตของเราเลย ก็เป็นได้
และเป็นธรรมดาที่สุดที่เราจะไม่สามารถหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ และอาจมีบ้างที่อิจฉาคนที่เขามีมากกว่า รวยกว่าเรา เหนือกว่าเรา แล้วเราก็กดตัวเองในที่สุด
"วิธีที่ฉันใช้และคิดว่ามันได้ผลคือการให้"
การให้แก่คนที่ด้อยกว่าเราทำให้เรารู้ว่า เราเหนือกว่าคนอีกมากมายทั้งด้านโอกาส เงินทอง หน้าที่การงาน ส่วนการให้คนที่มีมากกว่า เราอาจไม่ได้รู้สึกว่าเหนือกว่า แต่เราจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้น เช่น เมื่อก่อนถ้าฉันรู้สึกว่า ทำไมฉันด้อยกว่าคนอื่น ฉันจะซื้อของและไปบริจาคเงินให้บ้านเด็กกำพร้า หรือบ้านเด็กพิการซ้ำซ้อน พอกลับมาหัวใจจะฟูมาก ใจจะกลับมาดีเหมือนเดิม
แต่การให้ที่ดี คือการให้ที่พอเหมาะพอดีกับตัวเอง ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นสิ่งของเงินทอง การให้ความรู้ หรือคำแนะนำที่ดี ก็คือการให้เช่นกัน และที่สำคัญ ผู้รับก็ต้องเป็นผู้รับที่ดีและคู่ควร
พอเราหยุดเปรียบเทียบ หยุดสนใจเรื่องของคนอื่น เราจะหันมามองตัวเองมากขึ้นโดยอัตโนมัติ เราจะสนใจตัวเอง วิเคราะห์ตัวเอง สุดท้ายก็อยากจะทำตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน เราอาจจะ.......
#รักตัวเองมากขึ้น
#มีคุณภาพชีวิต จิตใจ และความคิดที่ดีขึ้น
#อยากมีเงินเก็บเพิ่มขึ้น อยากทำงานให้ดีขึ้น
#อยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ซึ่งมันแปลกมากที่พอเราไม่ค่อยสนใจคนอื่น เราก็จะรู้สึกไม่ชอบคนอื่นน้อยลงไปโดยปริยาย เพราะรู้แล้วว่าถ้าคนอื่นจะไม่ชอบเรานั่นเป็นปัญหาของเขา แต่ถ้าเราจะไม่ชอบใคร อันนั้นก็เป็นปัญหาของเราค่ะ
ฉันกลับมามีความสุข ชอบตัวเอง รักและภูมิใจในตัวเองขึ้นมาซะอย่างนั้น ใครจะดีกว่า สวยกว่า เก่งกว่า รวยกว่า ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับฉันเลย เพราะฉันชอบตัวเอง ฉันเลิกแข่งกับคนอื่นมานานแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่า ที่เลิกแข่งเพราะว่าสู้ไม่ได้น่ะสิ ก็ไม่รู้เหมือนกันและไม่มีความจำเป็นต้องตอบในข้อสงสัยนี้ ฉันรู้เพียงว่า การแข่งขันที่ดีที่สุดสำหรับฉันคือการแข่งขันกับตัวเอง ถ้าวันนี้เรามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดีกว่าเมื่อวาน เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ฉันถือว่ามันคือการพัฒนาทั้งสิ้น ความผิดพลาดในชีวิตและสิ่งต่างๆ ผ่านเข้ามา จะทำให้เราเรียนรู้ได้เองว่า คนที่มีความสุขจะไม่ถามตัวเองว่ากำลังมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่สำคัญหรือเปล่า แต่จะถามตัวเองว่า เรามุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่สำคัญต่อเราจริงๆ หรือเปล่ามากกว่า
พอมองย้อนกลับไปถึงเข้าใจว่าที่ชีวิตมันเป็นแบบนั้นเพราะเราทำตัวเองทั้งหมด ปัญหาที่เจอในตอนนั้นเล็กน้อยและไร้สาระสิ้นดีเมื่อเทียบกับปัญหาที่ต้องแก้ไขเมื่อเติบโตขึ้นมา นิสัยแบบนั้นไม่ได้เพียงแต่ทำให้ฉันไม่พัฒนาตัวเอง แต่ยังทำให้ความสุขมวลรวมของตัวฉันเองลดน้อยถอยลงทุกวันอีกด้วย ฉันมีปัญหาหลายอย่างในตอนนั้น ชนิดจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะไม่รู้จะดิวกับเรื่องไหนก่อนดี จนฉันรู้สึกเบื่อกับชีวิตเดิม ฉันนั่งคุยกับตัวเองอย่างจริงจังในฐานะเพื่อนคนสนิทที่สุดของตัวเอง ซึ่งรู้ทาสแท้และความจริงทุกอย่าง เป็นเรื่องแปลกที่เวลาเราให้คำปรึกษาคนอื่น สอนคนอื่น เราจะรู้ดีไปเสียทุกเรื่องราวกับว่าเรียนจบด็อกเตอร์มาอย่างไรอย่างนั้น แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองกลับยากเข็นสิ้นดี คิดไม่ออก หาหนทางไม่เจอ งมงายจนถึงวาระสุดท้าย เพราะเรามักฉลาดกับเรื่องของชาวบ้านแต่โง่เขลาเสมอกับเรื่องของตัวเอง นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่หลังจากผ่านวิกฤติครั้งนั้นมา ฉันมักจะชอบคุยกับตัวเองเสมอ จนบางทีก็เหมือนคนบ้า แต่มันได้ผลดีนักแล
สุดท้ายเมื่อคุยกับรู้เรื่อง ฉันจึงปรับเปลี่ยนตัวเองทั้งหมด ทั้งความคิด และการกระทำ ตอนแรกๆ ออกจะฝืนเสียหน่อย แต่เมื่อตั้งใจแล้วก็ต้องทำให้ได้ เพราะฉันอ่อนข้อกับตัวเองมามากพอแล้ว เมื่อเปลี่ยนความคิดและการกระทำแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปนิสัยของฉันก็เปลี่ยนไปเอง และฉันกลับไม่รู้สึกฝืนทนอีกต่อไป เพราะการเริ่มทำอะไรที่ดีกับตัวเองมันยากเสมอ
#จากเคยเอาเวลาไปสนใจเรื่องคนอื่น ก็เอาเวลามาใส่ใจและพิจารณาตัวเอง
ถามตัวเองเสมอว่าจริงๆ แล้วต้องการอะไรในชีวิต และอยากเป็นแบบไหน ตอนนี้มีความสุขหรือไม่
ถ้าไม่ ทำไมถึงไม่มีความสุข แล้วจะทำให้มีความสุขได้อย่างไร
#จากการดู New Feed ใน Social Media ตั้งแต่นาทีแรกที่ตื่นนอน
ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการเข้าไปดูเฉพาะสิ่งที่เราสนใจจริงๆ ไม่ต้องไล่ New Feed ตั้งแต่ต้นจนจบ
เพื่อให้รู้เรื่องของทุกคน และสุดท้ายมาจบตรงการอ่านหนังสือให้เยอะขึ้นแทนการเล่นเฟสบุ๊คหรืออินสตาแกรม จากวันนั้นจนถึงวันนี้ฉันอ่านหนังสือไปแล้วเกือบๆ 100 เล่ม
#จากการเอาเวลามาบ่นทุกอย่างบนโลกนี้เปลี่ยนมาเป็นการจดบันทึกชีวิตตัวเองในทุกๆ วัน
และพยายามแก้ไขปัญหาทีละข้อแทนการการบ่นในเฟสบุ๊คที่สุดท้ายแล้วปัญหาจะยังอยู่เหมือนเดิม
#จากการเอาแต่สงสัยว่าทำไมคนนี้เที่ยวบ่อยจัง ซื้อกระเป๋าบ่อยจัง กินข้าวร้านอาหารดังๆ บ่อยจัง เปลี่ยนเป็นการศึกษาเรื่องการออมและการลงทุนเพื่อให้มีเงินไปใช้ชีวิตในแบบที่ฉันต้องการ ซึ่งเมื่อฉันได้ใช้ชีวิตตามต้องการแล้ว ฉันก็ไม่มีความสงสัยในตัวใครอีกเลย
บทเรียนชีวิตบทนี้สอนให้ฉันรู้ว่า การเผือก การคิดหรือสงสัยในชีวิตคนอื่น เป็นเรื่องไร้สาระที่หาประโยชน์ไม่ได้ เพราะใครจะเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของเขา คนที่เราไม่ชอบก็ไม่ต้องไม่ยุ่งกับเขา อะไรที่เราไม่ชอบก็อย่าทำกับคนอื่นๆ เรียนรู้ แล้วจบมันซะ จะดีกว่ามาก หากเราถามตัวเองอยู่เสมอ ว่าเราอยากทำอะไรกับชีวิตของตัวเอง แทนการเอาชีวิตของตัวเองไปเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น เพราะบางครั้ง การเปรียบเทียบทำให้เราอยากเป็น อยากทำ อยากมี สิ่งที่คนอื่นยอมรับว่ามันดี มันเก๋ มันดูเหนือ ทั้งๆ ที่มันอาจจะไม่ใช่ชีวิตแบบที่เราต้องการจริงๆ เช่น จริงๆ แล้วเราอาจชอบท่องเที่ยว อยากเดินทางรอบโลก แต่เรากลับเอาเงินเก็บที่มีไปซื้อรถคันใหม่เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าเรามีรถใหม่ คนอื่นเห็นแล้วอาจจะว้าว เพราะมันตอบโจทย์เขา แต่มันอาจไม่ช่วยเติมเต็มชีวิตของเราเลย ก็เป็นได้
และเป็นธรรมดาที่สุดที่เราจะไม่สามารถหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ และอาจมีบ้างที่อิจฉาคนที่เขามีมากกว่า รวยกว่าเรา เหนือกว่าเรา แล้วเราก็กดตัวเองในที่สุด
"วิธีที่ฉันใช้และคิดว่ามันได้ผลคือการให้"
การให้แก่คนที่ด้อยกว่าเราทำให้เรารู้ว่า เราเหนือกว่าคนอีกมากมายทั้งด้านโอกาส เงินทอง หน้าที่การงาน ส่วนการให้คนที่มีมากกว่า เราอาจไม่ได้รู้สึกว่าเหนือกว่า แต่เราจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้น เช่น เมื่อก่อนถ้าฉันรู้สึกว่า ทำไมฉันด้อยกว่าคนอื่น ฉันจะซื้อของและไปบริจาคเงินให้บ้านเด็กกำพร้า หรือบ้านเด็กพิการซ้ำซ้อน พอกลับมาหัวใจจะฟูมาก ใจจะกลับมาดีเหมือนเดิม
แต่การให้ที่ดี คือการให้ที่พอเหมาะพอดีกับตัวเอง ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นสิ่งของเงินทอง การให้ความรู้ หรือคำแนะนำที่ดี ก็คือการให้เช่นกัน และที่สำคัญ ผู้รับก็ต้องเป็นผู้รับที่ดีและคู่ควร
พอเราหยุดเปรียบเทียบ หยุดสนใจเรื่องของคนอื่น เราจะหันมามองตัวเองมากขึ้นโดยอัตโนมัติ เราจะสนใจตัวเอง วิเคราะห์ตัวเอง สุดท้ายก็อยากจะทำตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน เราอาจจะ.......
#รักตัวเองมากขึ้น
#มีคุณภาพชีวิต จิตใจ และความคิดที่ดีขึ้น
#อยากมีเงินเก็บเพิ่มขึ้น อยากทำงานให้ดีขึ้น
#อยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ซึ่งมันแปลกมากที่พอเราไม่ค่อยสนใจคนอื่น เราก็จะรู้สึกไม่ชอบคนอื่นน้อยลงไปโดยปริยาย เพราะรู้แล้วว่าถ้าคนอื่นจะไม่ชอบเรานั่นเป็นปัญหาของเขา แต่ถ้าเราจะไม่ชอบใคร อันนั้นก็เป็นปัญหาของเราค่ะ
ฉันกลับมามีความสุข ชอบตัวเอง รักและภูมิใจในตัวเองขึ้นมาซะอย่างนั้น ใครจะดีกว่า สวยกว่า เก่งกว่า รวยกว่า ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับฉันเลย เพราะฉันชอบตัวเอง ฉันเลิกแข่งกับคนอื่นมานานแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่า ที่เลิกแข่งเพราะว่าสู้ไม่ได้น่ะสิ ก็ไม่รู้เหมือนกันและไม่มีความจำเป็นต้องตอบในข้อสงสัยนี้ ฉันรู้เพียงว่า การแข่งขันที่ดีที่สุดสำหรับฉันคือการแข่งขันกับตัวเอง ถ้าวันนี้เรามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดีกว่าเมื่อวาน เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว ฉันถือว่ามันคือการพัฒนาทั้งสิ้น ความผิดพลาดในชีวิตและสิ่งต่างๆ ผ่านเข้ามา จะทำให้เราเรียนรู้ได้เองว่า คนที่มีความสุขจะไม่ถามตัวเองว่ากำลังมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่สำคัญหรือเปล่า แต่จะถามตัวเองว่า เรามุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่สำคัญต่อเราจริงๆ หรือเปล่ามากกว่า
การไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใครๆ จะทำให้เรารู้ตัวเองว่าอะไรพอดีกับเราด้วยตัวของเราเอง โดยไม่ต้องเทียบกับมาตรฐานของคนอื่น เมื่อไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร เราจะใช้ชีวิต เราจะเป็น เราจะทำ หรือเราจะมีตามความต้องการของตัวเองจริงๆ
แม่ของฉันสอนเสมอว่า ควรระวังตัวเองให้มากในการใช้ชีวิต เพราะมันอาจจะมีบางช่วงที่เราหลงระเริง ถ้าความอยากเป็น อยากได้ อยากมีของเรามากเกินตัว เราจะถูกตัวเองกดดันให้ต้องทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร ไปโดยปริยาย เพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากเป็น สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่อยากได้ แต่เชื่อเถอะว่า ความสุขนั้นจะอยู่กับเราได้ไม่นาน คำพูดติดปากของแม่ที่เป็นเหมือนหางเสือในการใช้ชีวิตของฉันคือ นกน้อยทำรังแต่พอตัว.......
อะไรคือความพอดี สำหรับนิยามของฉันแล้ว พอดีคือ
#ดูแลคุณภาพชีวิตของตัวเองให้พอดี คือเหมาะสมกับวัย เหมาะสมกับตัวตนของตัวเอง (ไม่ฝืนหรือพยายามเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง) เหมาะสมกับสถานภาพทางสังคม และเหมาะสมกับกำลังทรัพย์ที่หามาได้อย่างสุจริตโดยไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น
#ทำงานแต่พอดี ไม่ตึงเครียดมากจนเกินไปจนส่งผลกระทบต่อชีวิตด้านอื่นๆ แต่ก็ไม่น้อยไปจนไร้ประสิทธิภาพและส่งผลกระทบต่อการทำงานของคนอื่นๆ
#ดูแลสุขภาพให้พอดี กินแต่พอดี ออกกำลังกายแต่พอดี นอนแต่พอดี
#ใช้เงินให้พอดีกับความสามารถในการหาเงิน ไม่เกินตัวแต่ก็ไม่ตระหนี่มากจนเกินไป
#ควบคุมความอยากของตัวเองให้พอดี และบริหารจัดการมันให้ได้ เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าความอยากไม่มีที่สิ้นสุด คำว่า สุดท้ายไม่มีอยู่จริงในพจนานุกรมของมนุษย์
ฉันเคยทำงานหนักจนชีวิตมีแต่ความเครียด ย่ำแย่ทั้งร่างกายและจิตใจจนต้องไปพบจิตแพทย์
ฉันเคยกินเยอะมากจนน้ำหนัก น้ำตาล ไขมันเกิน แต่ก็ไม่เคยคิดจะควบคุมอาหาร
ฉันเคยนอนน้อยเกินไป จนร่างกายเสื่อมโทรม
ฉันเคยเป็นคนมีปัญหาเรื่องเงิน เพราะใช้เงินไม่คิดและเก็บเงินไม่เป็น ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเกินความพอดี บ้าช็อปปิ้ง คิดแต่สร้างความสุขให้ตัวเอง ชีวิตดูเหมือนมีอะไร แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลย มองไปรอบๆ ตัวก็มีแต่ของบ้าๆ บอๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม แล้วก็มานั่งเสียใจที่ซื้อมันมา แต่โชคยังดีที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นหนี้เป็นสิน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วกฎการเงินมีอยู่ข้อเดียวคือ ถ้ามีเงินก็ใช้ไป ไม่มีก็ไม่ต้องใช้ ถ้าไม่มีแล้วอยากใช้ ก็ต้องหาเงินนั้นมาให้ได้ ด้วยวิธีการที่สุจริตและถูกต้อง แต่ถ้าหาไม่ได้ให้กลับไปดูที่ประโยคแรกสุด
#ความพอดีจึงควรอยู่ในทุกด้านของชีวิต
สิ่งที่ฉันเคยทำและผู้คนหลากหลายรูปแบบที่ฉันพบเจอรอบๆ ตัวเป็นเสมือนบทเรียนที่คอยสอนและคอยเตือนให้ฉันได้รู้ว่า ฉันควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร ฉันมักจะจดบันทึกลักษณะการใช้ชีวิตของตัวเองและคนเหล่านี้ในช่วงเวลาต่างๆ เอาไว้ บ้างก็เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญมากๆ บ้างก็เป็นข้อเตือนใจที่ดี ทำให้เรียนรู้ได้โดยไม่ต้องทดลองหรือบาดเจ็บด้วยตัวเองไปเสียทุกเรื่อง เพราะทุกๆ คนเป็นบทเรียนของเราได้เสมอ
#เพราะชีวิตที่ดีคือดีพอแบบพอดี
ถ้าถามฉันว่าชีวิตที่ดีต้องเป็นแบบไหน ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะตอบว่าการมีชีวิตที่ดีคือการมีชีวิตที่มีแต่ความสุข สมหวังไปเสียทุกอย่าง ร่ำรวย มีเงินทองขนาดที่ว่า ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด แต่พอโตขึ้นมาถึงได้เข้าใจว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มี ความพอเหมาะพอดีของความสุขและความทุกข์ ถ้าชีวิตไม่พบเจอความทุกข์ ความยากลำบากในชีวิต หรือสิ่งที่เราต้องอดทนฝันฝ่าเสียบ้าง ก็คงมีความสุขได้ยาก เพราะอย่างน้อยเราจะไม่มีทางรู้ เลยว่าความสุขเป็นอย่างไร บางทีฉันว่าชีวิตอาจจะเฉาๆ และเราอาจจะตายเร็วกว่าที่ควรเป็น เพราะเราคงจะอ่อนแอมากเสียจนไม่คู่ควรกับการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ อันที่จริงทุกครั้งที่มีปัญหา ฉันมักจะได้เรียนรู้อะไรเสมอ และเติบโตขึ้นจากความเจ็บๆ คันๆ ที่ได้เจอ
ดังนั้นถ้าเราสามารถในการบริหารจัดการความเครียด ความทุกข์ อุปสรรค หรือปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาได้เป็นอย่างดี จริงจังกับชีวิตเป็นบางจังหวะ แต่ในบางขณะก็สามารถที่จะปล่อยวางได้โดยไม่ต้องฝืน เพียงเท่านี้ฉันก็ถือว่าฉันประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว และไม่จำเป็นต้องนำขนาดความสำเร็จของเราไปเปรียบเทียบกับใครต่อใคร แค่ใช้ชีวิตให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน ทุกๆ ด้านก็พอแล้ว
ฉันเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่เก่งกาจ เป็นกูรู สอนใครต่อใครได้หรอก แต่สิ่งที่ฉันเขียนเสมือนเป็นบันทึกหน้าหนึ่งของการเติบโตผ่านวันเวลา ผ่านความสุข ผ่านความเจ็บปวดมานับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะรู้ว่าต้องอยู่อย่างไรจึงจะรอด ก็ใช้เวลานานเกือบครึ่งชีวิต มันเป็นสิ่งเตือนใจให้กับตัวฉันเอง อย่างน้อยที่สุดว่าฉันจะไม่ผิดซ้ำจุดเดิมๆ อีก
ก็ยังย้ำว่า.....
ดูแลหัวใจของเราให้ดี ทำจิตใจให้มั่นคงแข็งแรง
แม่ของฉันสอนเสมอว่า ควรระวังตัวเองให้มากในการใช้ชีวิต เพราะมันอาจจะมีบางช่วงที่เราหลงระเริง ถ้าความอยากเป็น อยากได้ อยากมีของเรามากเกินตัว เราจะถูกตัวเองกดดันให้ต้องทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร ไปโดยปริยาย เพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากเป็น สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่อยากได้ แต่เชื่อเถอะว่า ความสุขนั้นจะอยู่กับเราได้ไม่นาน คำพูดติดปากของแม่ที่เป็นเหมือนหางเสือในการใช้ชีวิตของฉันคือ นกน้อยทำรังแต่พอตัว.......
อะไรคือความพอดี สำหรับนิยามของฉันแล้ว พอดีคือ
#ดูแลคุณภาพชีวิตของตัวเองให้พอดี คือเหมาะสมกับวัย เหมาะสมกับตัวตนของตัวเอง (ไม่ฝืนหรือพยายามเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง) เหมาะสมกับสถานภาพทางสังคม และเหมาะสมกับกำลังทรัพย์ที่หามาได้อย่างสุจริตโดยไม่เบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น
#ทำงานแต่พอดี ไม่ตึงเครียดมากจนเกินไปจนส่งผลกระทบต่อชีวิตด้านอื่นๆ แต่ก็ไม่น้อยไปจนไร้ประสิทธิภาพและส่งผลกระทบต่อการทำงานของคนอื่นๆ
#ดูแลสุขภาพให้พอดี กินแต่พอดี ออกกำลังกายแต่พอดี นอนแต่พอดี
#ใช้เงินให้พอดีกับความสามารถในการหาเงิน ไม่เกินตัวแต่ก็ไม่ตระหนี่มากจนเกินไป
#ควบคุมความอยากของตัวเองให้พอดี และบริหารจัดการมันให้ได้ เพราะเราก็รู้อยู่แล้วว่าความอยากไม่มีที่สิ้นสุด คำว่า สุดท้ายไม่มีอยู่จริงในพจนานุกรมของมนุษย์
ฉันเคยทำงานหนักจนชีวิตมีแต่ความเครียด ย่ำแย่ทั้งร่างกายและจิตใจจนต้องไปพบจิตแพทย์
ฉันเคยกินเยอะมากจนน้ำหนัก น้ำตาล ไขมันเกิน แต่ก็ไม่เคยคิดจะควบคุมอาหาร
ฉันเคยนอนน้อยเกินไป จนร่างกายเสื่อมโทรม
ฉันเคยเป็นคนมีปัญหาเรื่องเงิน เพราะใช้เงินไม่คิดและเก็บเงินไม่เป็น ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเกินความพอดี บ้าช็อปปิ้ง คิดแต่สร้างความสุขให้ตัวเอง ชีวิตดูเหมือนมีอะไร แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไรเลย มองไปรอบๆ ตัวก็มีแต่ของบ้าๆ บอๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม แล้วก็มานั่งเสียใจที่ซื้อมันมา แต่โชคยังดีที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นหนี้เป็นสิน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วกฎการเงินมีอยู่ข้อเดียวคือ ถ้ามีเงินก็ใช้ไป ไม่มีก็ไม่ต้องใช้ ถ้าไม่มีแล้วอยากใช้ ก็ต้องหาเงินนั้นมาให้ได้ ด้วยวิธีการที่สุจริตและถูกต้อง แต่ถ้าหาไม่ได้ให้กลับไปดูที่ประโยคแรกสุด
#ความพอดีจึงควรอยู่ในทุกด้านของชีวิต
สิ่งที่ฉันเคยทำและผู้คนหลากหลายรูปแบบที่ฉันพบเจอรอบๆ ตัวเป็นเสมือนบทเรียนที่คอยสอนและคอยเตือนให้ฉันได้รู้ว่า ฉันควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร ฉันมักจะจดบันทึกลักษณะการใช้ชีวิตของตัวเองและคนเหล่านี้ในช่วงเวลาต่างๆ เอาไว้ บ้างก็เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญมากๆ บ้างก็เป็นข้อเตือนใจที่ดี ทำให้เรียนรู้ได้โดยไม่ต้องทดลองหรือบาดเจ็บด้วยตัวเองไปเสียทุกเรื่อง เพราะทุกๆ คนเป็นบทเรียนของเราได้เสมอ
#เพราะชีวิตที่ดีคือดีพอแบบพอดี
ถ้าถามฉันว่าชีวิตที่ดีต้องเป็นแบบไหน ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะตอบว่าการมีชีวิตที่ดีคือการมีชีวิตที่มีแต่ความสุข สมหวังไปเสียทุกอย่าง ร่ำรวย มีเงินทองขนาดที่ว่า ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด แต่พอโตขึ้นมาถึงได้เข้าใจว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มี
ดังนั้นถ้าเราสามารถในการบริหารจัดการความเครียด ความทุกข์ อุปสรรค หรือปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาได้เป็นอย่างดี จริงจังกับชีวิตเป็นบางจังหวะ แต่ในบางขณะก็สามารถที่จะปล่อยวางได้โดยไม่ต้องฝืน เพียงเท่านี้ฉันก็ถือว่าฉันประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว และไม่จำเป็นต้องนำขนาดความสำเร็จของเราไปเปรียบเทียบกับใครต่อใคร แค่ใช้ชีวิตให้ดีขึ้นในทุกๆ วัน ทุกๆ ด้านก็พอแล้ว
ฉันเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่เก่งกาจ เป็นกูรู สอนใครต่อใครได้หรอก แต่สิ่งที่ฉันเขียนเสมือนเป็นบันทึกหน้าหนึ่งของการเติบโตผ่านวันเวลา ผ่านความสุข ผ่านความเจ็บปวดมานับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะรู้ว่าต้องอยู่อย่างไรจึงจะรอด ก็ใช้เวลานานเกือบครึ่งชีวิต มันเป็นสิ่งเตือนใจให้กับตัวฉันเอง อย่างน้อยที่สุดว่าฉันจะไม่ผิดซ้ำจุดเดิมๆ อีก
ก็ยังย้ำว่า.....
ดูแลหัวใจของเราให้ดี ทำจิตใจให้มั่นคงแข็งแรง
ยืนด้วยขาของตัวเองให้ได้ ใช้ชีวิตให้มีความสุข
แล้วหาเงินมารองรับกับขนาดความสุขของเราให้ได้
แล้วหาเงินมารองรับกับขนาดความสุขของเราให้ได้
ไม่ยึดติดความสุขที่เมื่อผ่านเข้าและไม่จมอยู่กับอดีตหรือความทุกข์จนโงหัวไม่ขึ้น
เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็จะผ่านไปทั้งหมดไม่ว่าดีหรือร้าย
ไม่ว่าทุกข์หรือสุขก็จะผ่านชีวิตเราไปด้วยความเร็วที่เท่ากัน
ถ้าเราไม่ให้ค่ากับข้างใดข้างหนึ่งมากจนเกินไปนัก
ชีวิตที่ดีนั้นดีที่ชีวิตค่ะ
Akiko
ไม่ว่าทุกข์หรือสุขก็จะผ่านชีวิตเราไปด้วยความเร็วที่เท่ากัน
ถ้าเราไม่ให้ค่ากับข้างใดข้างหนึ่งมากจนเกินไปนัก
ชีวิตที่ดีนั้นดีที่ชีวิตค่ะ
Akiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น