ตั้งแต่วันที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ลืมตาดูโลก ผ่านการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้อง จนเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม กระโปรงบานขาสั้น ยันเสื้อไซส์เล็กสุด xxs ที่ต้องพยายามใส่ให้ได้ตอนเรียนมหาวิทยาลัย จนเรียนจบ เป็นผู้เป็นคน ทำงาน ฝันเฟื่อง ลงมือทำ ล้มเลิก ล้มเหลว ท้อแท้ ฮึกเหิม ผ่านวันเวลาและเหตุการณ์ต่างๆ มาจนอายุ 30 บวก ก็ยอมรับว่าใช้ชีวิตค่อนข้างสิ้นเปลือง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสิ้นคิดก็ได้
ไม่ว่าจะนิสัยที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนตอนเด็กๆ เอาแต่ฟังเพลง อ่านเนื้อเพลงจากปกเทปเป็นเรื่องเป็นราวจนจำเนื้อเพลงได้มากกว่าหนังสือเรียนวิชาไหนๆ แล้วก็เอากระดาษเขียนจดหมาย sanrio มาเขียนเพลงพวกนั้นให้รุ่นพี่ รุ่นน้อง บ้าบอคอแตก ไหนจะหนังสือกลอนต่างๆ ที่ซื้อมาเพื่อไว้ส่งข้อความหาคนที่ปลื้มทางเพจเจอร์ ซึ่งตอนนี้ก็ได้ตกยุคไปเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นที่ทับกระดาษของบางบ้านไปโดยปริยาย ส่วนจดหมายที่ตั้งหน้าตั้งตาเขียนมากกว่าทำการบ้านหรือจดเลกเชอร์ก็ได้กลายเป็นขยะที่ถูกย่อยสลายจนเป็นปุ๋ยไปแล้ว
ไหนจะสมุดสะสมรูปสติ๊กเกอร์ที่ในตอนนั้น ใครแอคท่าได้มากกว่าถือว่าชนะ แต่ตอนนี้ก็ไปกองรวมกันอยู่ในห้องเก็บของ หรือหวีสับและกิ๊บติดผมปลาวาฬของ EVITA หวีแปรงของ Body Shop ไปจนถึงนาฬิกา Baby G และ G Shock สรรพสิ่งนานาชนิดที่ฮิตและนิยม และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ที่ยังไม่รู้ว่าสาระสำคัญของมันอยู่ตรงไหน แต่ฉันเชื่อว่า คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยผ่านช่วงชีวิตแบบนี้มาไม่ต่างจากฉัน ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนั้นเราคิดอะไรกันอยู่ แต่เราเพิ่งมารู้สึกในตอนนี้ว่า ทำไมเราถึงต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องทำเหมือนๆ กันทั้งโรงเรียน ทำไมต้องเหมือนเพื่อนที่พอเพื่อนมีอะไร เราก็อยากจะมีบ้าง ซึ่งเราไม่เคยกลับไปถามตัวเองเลยด้วยซ้ำว่า เราอยากได้ของสิ่งนั้นจริงๆ หรือเปล่า หรือเราอยากได้เพียงเพราะคนอื่นเขามีกัน และเราไม่อยากจะแตกต่าง แล้วทำไมของเหล่านั้นจึงถูกทิ้ง หรือไปอยู่ที่ห้องเก็บของ เพราะมันเป็นความต้องการชั่วคราวของเราหรือเพราะว่าแท้จริงแล้ว เราไม่เคยต้องการมันเลยด้วยซ้ำไป
ไหนจะสมุดสะสมรูปสติ๊กเกอร์ที่ในตอนนั้น ใครแอคท่าได้มากกว่าถือว่าชนะ แต่ตอนนี้ก็ไปกองรวมกันอยู่ในห้องเก็บของ หรือหวีสับและกิ๊บติดผมปลาวาฬของ EVITA หวีแปรงของ Body Shop ไปจนถึงนาฬิกา Baby G และ G Shock สรรพสิ่งนานาชนิดที่ฮิตและนิยม และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ที่ยังไม่รู้ว่าสาระสำคัญของมันอยู่ตรงไหน แต่ฉันเชื่อว่า คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยผ่านช่วงชีวิตแบบนี้มาไม่ต่างจากฉัน ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนั้นเราคิดอะไรกันอยู่ แต่เราเพิ่งมารู้สึกในตอนนี้ว่า ทำไมเราถึงต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องทำเหมือนๆ กันทั้งโรงเรียน ทำไมต้องเหมือนเพื่อนที่พอเพื่อนมีอะไร เราก็อยากจะมีบ้าง ซึ่งเราไม่เคยกลับไปถามตัวเองเลยด้วยซ้ำว่า เราอยากได้ของสิ่งนั้นจริงๆ หรือเปล่า หรือเราอยากได้เพียงเพราะคนอื่นเขามีกัน และเราไม่อยากจะแตกต่าง แล้วทำไมของเหล่านั้นจึงถูกทิ้ง หรือไปอยู่ที่ห้องเก็บของ เพราะมันเป็นความต้องการชั่วคราวของเราหรือเพราะว่าแท้จริงแล้ว เราไม่เคยต้องการมันเลยด้วยซ้ำไป
เมื่อเราเติบโตขึ้น เราคงผ่านช่วงเวลาที่หมดหวังไปกับอะไรหลายๆ อย่างที่ได้แต่ฝัน แต่ไม่ได้ลงมือทำ สุดท้ายก็เป็นแค่ฝันเหมือนเดิม พอเข้าสู่อายุ 30 ปี ก็เกิดคำถามในใจมากมายว่า เราอยากได้ชีวิตแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า เราต้องการอะไรในชีวิตกันแน่ ความฝันที่แท้จริงของเราคืออะไร แล้วถ้าไม่มีมันจะผิดไหม บ้างก็รู้สึกไม่ชอบงานที่ทำอยู่ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต ยิ่งบางคนที่มีปัญหาชีวิตหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวหรือเงินทองด้วยแล้ว อาจยิ่งทำให้เรารู้สึกท้อแท้ในชีวิตมากขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่เราเพิ่งข้ามผ่านวัยกลางคนมาได้ไม่เท่าไหร่
บางทีความทุกข์ของงานมันอาจเกิดจากเพื่อนร่วมงานที่ทำงานไม่ถูกใจเรา ทำงานช้าจนเป็นภาระของเราเสมอ หรือเพื่อนร่วมงานจอมขโมยซีน เอาหน้าไปวันๆ แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง ไหนจะหัวหน้าที่งี่เง่า เอาตัวรอดไปวันๆ ไม่เคยสนับสนุนงานของเรา เหมือนผลักให้เราไปตายตลอดเวลา งานที่มีแต่ปัญหา เพื่อนร่วมงานที่ (เราคิดว่า) นิสัยไม่โอเค หรือแม้แต่อาจจะเป็นตัวเราเองนั่นแหละที่ไม่โอเค เป็นตัวเจ้าปัญหา เลยพลอยทำให้มองทุกอย่างไม่โอเคไปเสียหมด ฉันก็เจอ ฉันอารมณ์เสียทุกครั้งที่ประชุม และบ่นสิ่งรอบตัวทุกวัน ฉันมองว่ามันเป็นการระบาย ที่อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ซึ่งฉันจะทำต่อไป ปัญหาที่ว่ามา ไม่เพียงแต่ฉันที่เจอ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็เจอไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง หรืออาจจะหลายข้อ เจอทุกที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนที่ทำงานมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่เราทุกคนก็ยังดำเนินชีวิตต่อไปได้ใช่มั้ย แล้วทำไมเราถึงเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นเงื่อนไขของชีวิตล่ะ การที่คุณยังไปทำงานและนั่งอยู่ที่ออฟฟิสนั้นๆ ได้ แสดงว่ามันยังต้องมีข้อดี ไม่อย่างนั้นก็คงลาออกไปนานแล้ว จริงไหม
หลายคนก็คงมีความฝันว่าจะได้ทำงานที่รักและมีความสุขมากจนชีวิตนี้ไม่มีวันทำงานอีกต่อไป #ฉันก็เคยฝันแบบนั้นเช่นกัน ซึ่งมันอาจจะเป็นไปได้และไม่ยากเกินความพยายามของมนุษย์และมันก็ไม่ได้ง่ายจนถึงขนาดที่คนส่วนใหญ่ของสังคมได้มีโอกาสใช้ชีวิตแบบนั้น มันจึงเป็นความจำเป็นที่เราต้องพยายามใช้ชีวิตให้สมดุลด้วยการทำงานที่เราพอจะรักมันได้และสามารถทำมันได้ดี งานที่มันไม่ได้เลวร้ายและยังมีข้อดี ยังมีโอกาส และความหวัง ถึงแม้จะต้องเจอปัญหามากมายในแต่ละวันก็ตาม แล้วทำมันให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังสมองและกำลังกายของเราสามารถจะทำได้ ทำงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเองให้แล้วเสร็จให้เร็วที่สุด ไม่ทำตัวเป็นภาระของเพื่อนร่วมงานด้วยการเอางานที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ ไปให้คนอื่นทำอย่างไร้สามัญสำนึกและทำให้มีคุณภาพเพื่อเอาเวลาที่เหลือไปทำในสิ่งที่ฉันต้องการ ไปเดินเล่นบ้าง กินข้าวกับเพื่อนบ้างเพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ออกไปใช้ชีวิต ไปท่องโลกบ้างตามที่โอกาสและการเงินจะเอื้ออำนวย (ซึ่งฉันมีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่า เรื่องนี้เราสามารถบริหารจัดการได้) ได้ฝึกเขียนหนังสือ หรืออ่านหนังสือบ้างเพื่อเพิ่มรอยหยักในสมอง ไปงานสัมมนาบ้างทั้งเรื่องการเงินและเรื่องอื่นๆ ที่เราสนใจ มันดีออกนะ เพราะชีวิตไม่ได้ต้องการความราบเรียบตลอดเวลา บางทีงานที่ทำอยู่ เพื่อนร่วมงานที่เราอาจจะไม่โอเค หรือหัวหน้าที่เราไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่ เหล่านี้แหละรสชาติชีวิต
รู้แบบนี้แล้ว จะเลือกใช้ชีวิตแบบไหนดี ใช้ชีวิตให้ตรงตามอุปสงค์บางส่วนของตัวเอง (ย้ำกว่าบางส่วนไม่ต้องทั้งหมด) หรือนั่งบ่น นั่งเบื่อกับชีวิตต่อไป ในวันที่เรามีเวลาว่างมากพอที่จะทบทวนตัวเอง ว่าเราทำตัวแบบไหน เป็นเพื่อนร่วมงานแบบไหน ใช้ชีวิตแบบไหน บางทีเราจะมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นก็ได้
Akiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น