ทริปนี้เป็นทริปเพื่อเพื่อน มันเกิดจากการที่เราอยากไปเที่ยวด้วยกันหลังจากที่ห่างหายไม่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข นอนกลางดินกินกลางทรายด้วยกันเลย จนได้เวลาอันสมควรแล้ว จึงตกลงใจกันที่จะไปญี่ปุ่นอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของเราทุกคนที่ไปญี่ปุ่น แต่เป็นครั้งแรกที่เราได้ไปฮอกไกโด สำหรับฉันเองการไปเที่ยวฮอกไกโดในช่วงฤดูนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ หลายคนอาจจะบอกว่ามันไม่มีอะไร มีแต่หิมะ แต่ในฐานะคนที่เคยไปท่องโลกมาบ้างแล้วก็บอกได้ว่า เราอาจไม่จำเป็นต้องเสียเงินไปสวิส เพราะที่นี่แลดูคล้ายอย่างมาก และบรรยากาศก็เป็นใจมากเลย
ช่วงเวลาที่เราไปที่นี่คือปลายเดือนกุมภาพันธ์ย่างเข้าต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นหน้าหนาวมากของฮอกไกโดและมีเทศกาลหิมะ (Snow Festival) ในแต่ละเมืองของเกาะฮอกไกโดค่ะ เราตั้งใจไปช่วงนี้เพราะอยากไปเทศกาลนี้โดยเฉพาะและมีความอยากหนาว เนื่องจากเมืองไทยร้อนเสียเหลือเกิน
ทริปนี้เราเดินทางโดยสายการบินไทย ซึ่งบินตรงไปยังสนามบินชิโตเสะเลย ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ก่อนเดินทางก็แวะไปใช้บริการที่ Royal Orchid Lounge ไปหาอะไรรองท้องกรุบกริบกันไปค่ะ สำหรับบางท่านที่ไม่ได้บินการบินไทย แต่มีบัตรสมาชิก King Power ก็จะมีเลาจ์สำหรับบริการเช่นกัน แต่อาจจะไม่ดีเท่า แต่ก็ไม่เป็นไรโน๊ะ เพราะของฟรี สำหรับเราก็ดีทั้งนั้น
เราถึงที่สนามบินชิโตเสะประมาณ 8 โมงเช้า กว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอันเข้มงวด ก็กินเวลาไปชั่วโมงกว่า แต่ก็ไม่เป็นไร ทริปนี้เป็นทริปชิว ไม่รีบค่ะ ที่สนามบินที่นี่จะมีห้างอยู่ติดกันและมี แต่น แตน แต๊น Doraemon Skypark ที่สนามบินนี้ด้วย ซึ่งเป็นอาคารที่ติดกัน พอออกผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองก็เอากระเป๋าไปฝากที่ Logger และไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์โดราเอม่อนแห่งนี้ คือบับ น่าร๊อกอ่า เราเองเป็นคนไม่ชอบโดราเอม่อน เราก็ยังว่ามันน่ารักดี
พอเวิ่นเว้อเพ้อฝันอยู่ในโลกแห่งโดราเอม่อน ม่อน ม่อน โดราเอมี่ มี่ มี่ จนอิ่มแล้ว ก็ออกมาด้านนอกซึ่งจะมีโซนร้านค้าที่ขายของที่เกี่ยวกับโดราเอม่อน เช่น ร้านกาแฟที่จะขายขนมไทยากิซึ่งเป็นขนมคล้ายๆขนมโดรายากิที่โดราเอม่อนชื่นชอบ และยังมีโซนห้องสมุดจะมีหนังสือการ์ตูนโดราเอม่อนขายด้วย
ซึ่งเดี๊ยนขอแนะนำนมคาราเมล คือบับอร่อยมว๊วกกกค่ะ เดี๊ยนกินไปสองแก้วเลยค่ะ
เสร็จแล้วก็ไปเอากระเป๋า แล้วก็ออกมาด้านนอก พอออกมาด้านนอกได้ อื้อหือ หนาวขนลุกไปถึงหัว รีบเอาเสื้อออกจากกระเป๋ากันแทบไม่ทัน ทริปนี้เราเดินทางโดยรถนะคะ เพราะฉะนั้นอาจต้องขออภัยหากไม่สามารถให้ข้อมูลการเดินทางโดยรถไฟฟ้าได้นะคะ
ตอนที่ออกมาก็ประมาณเที่ยงแล้ว เราเลยแวะกินข้าวก่อน เพราะนอกจากขนมก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนที่เราออกเดินทาง
นี่วิวหน้าร้าน การที่เราตัดสินใจเดินทางมาในช่วงนี้ ทำให้เราคิดว่าเราตัดสินใจถูก เพราะมองไปทางไหนก็สวยไปหมด (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวและส่วนรวมของเพื่อนร่วมทริปอีกสองคนด้วยค่ะ)
หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังเมืองอาซาฮิกาว่า เพื่อไปดูน้องเพนกวินที่สวนสัตว์อาซาฮิยาม่า ที่นี่เป็นสวนสัตว์เปิด สัตว์จะไม่ถูกกักขังในกรง เดินชมได้เสมือนกับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสวนสัตว์แห่งนี้เลยทีเดียว เดินไปๆ เราก็แอบคิดว่า เอ๊ะ นี่เราคือพันธุ์อะไร
พอไปถึงจะเป็นช่วงเวลาที่มีการแสดงการเดินพาเหรดของนกเพนกวิน ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอก แต่เราเห็นว่า ทำไมคนถึงวิ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย ก็คิดว่าจะต้องมีอะไรซักอย่างแน่ๆ เลย ก็เลยเดินตามเขาไป จนถึงทางเดินช่วงหนึ่งของสวนสัตว์ ที่มีคนต่อแถวเรียงกัน และเว้นที่ตรงกลางมั้ย เหมือนแห่อะไรซักอย่างของเมืองไทย และสิ่งที่เราเห็นก็คือ ขบวนพาเหรดนกเพนกวิน ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ น่ารักเชอะ เดินเรียงกันเป็นขบวน บางตัวก็แตกแถวตลอดเวลา บางตัวก็จะเดินสวนกับขบวน ตลกดี โชว์นีประมาณ 20 นาทีได้ แต่ด้วยความที่เคยดูเพนกวินที่เกาะฟิลลิป ที่เมลเบิร์นมา ก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ก็ถ่ายรูปมาประมาณ 100 กว่ารูป ก็ไม่ได้อะไรมากมายค่ะ
จากนั้นก็เดินต่อไปเพื่อไปดูหมี เห็นหมีหนูมั้ย เห็นหมีหนูมั้ย
ไปดีกว่า ก่อนที่คนอื่นจะคิดว่าเราเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งของที่นี่
เราออกจากที่นี่และเดินทางต่อไปเมืองโซอุนเคียว ซึ่งคืนนี้เราจะค้างคืนกันที่นี่ค่ะ เมืองโซอุนเคึยวเป็นเมืองเล็กๆในอ้อมกอดของขุนเขา โรงแรมที่เราพักชื่อ Sounkyo Kanko Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่อยู่ใกล้กับบริเวณที่จัดเทศกาลน้ำแข็งเมืองโซอุนเคียว เทศกาลประจำฤดูหนาวหรือที่เรียกว่า Hyobaku Matsuri ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี อย่างที่บอกว่าพอเป็นหน้าหนาว มองไปทางไหนก็สวยไม่หมด ช๊อบชอบค่ะ อันนี้เป็นด้านหน้าของโรงแรมค่ะ อื้อหืออออออออ
พอ Checkin เสร็จก็เข้าห้องพัก เรานอนด้วยกันสามคนค่ะ ค่าโรงแรมที่นี่ประมาณ 7,xxx บาทต่อคืน เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลทำให้ราคาสูงกว่าช่วงปกติค่อนข้างมากค่ะ แต่ถือเป็นโรงแรมที่วิวดีนะคะ ด้านหลังโรงแรมจะเป็นป่าๆ หน่อย ทำให้สวยงามอร่ามตามากเวลามองออกไปค่ะ
พอเก็บของเสร็จก็แต่งตัวและเตรียมตัวให้พร้อมนะคะ เพราะเราจะไป Snow festival กันค่ะ
จากโรงแรมเดินไปประมาณกิโลกว่าๆ ก็จะถึงงาน แต่ด้วยหิมะตกพริ้วๆ ตลอดเวลาประกอบกับลมที่ค่อนข้างแรงและอากาศที่หนาวระดับติดลบ ทำให้ระยะทางเหมือน 10 กิโล ถ้าจะฉีดโบท็อกซ์ตอนนี้คิดว่าไม่เป็นปัญหาเลย เพราะตบยังไงก็ไม่เจ็บแล้วค่ะ
ในงานนี้จะมีการจุดพลุด้วย ซึ่งเราก็รอดูพลุ ท่ามกลางความหนาวจนเป็นเหน็บ บริเวณงานจะมีตู้คล้ายๆ คอนเทนเนอร์ที่ขายพวกนมอุ่นๆ และอาหารว่างเล็กๆ น้อยๆ แต่คนเยอะมาก เราต้องรอคิวเพื่อเข้าไปขอความอบอุ่นในนั้นก่อนที่เราจะตายไปเสียก่อน
รอจนพลุกำเนิดขึ้น สุดท้ายเราก็พบว่าพลุก็ไม่ได้เยอะแยะ อลังการอะไรมากมายอย่างที่เรานึกภาพเอาไว้ แหมพี่ฮอกไกโดก็ไม่น่าหลอกพวกหนูขนาดนี้เลยนะคะ ที่เมืองไทยเรียกดอกไม้ไฟค่ะ ไม่ได้เรียกพลุ
เสร็จแล้วก็กลับมาที่โรงแรมประมาณสามทุ่ม ก็ไปออนเซ็นกันเกร๋ๆ ตามสไตล์ยุ่นโกะ และลงมาซื้อเหล้าบ๊วยและเบียร์ประจำเกาะขึ้นไปปาร์ตี้ที่ห้องเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ซึ่งปกติเราสามคนไม่ดื่มกันเลยจริงๆ ค่ะ แต่เพราะอากาศที่หนาว บังคับให้เราต้องดื่มค่ะ อันนี้ไม่ได้สร้างภาพ และต้องขออภัยที่ไม่ได้เบลอภาพนะคะ
แต่เราก็ไม่ได้ดื่มจนเมามายนะคะ ถ้าดูจากรูป แค่พอให้ข้างในอุ่นๆ แล้วก็เข้านอนค่ะ เพราะว่ายังมีโปรแกรมเยอะแยะมากมายรออยู่ในวันพรุ่งนี้ บัย กรู๊ดดดไนท์ค่ะ
ตื่นเช้ามาด้วยแสงจากหน้าต่างมาแยงตา อื้อหือ อีกรอบ วิวสวยมว๊าก มากกว่าตอนเย็นที่เรามาถึงเมื่อวานนี้ อาจเป็นเพราะเมื่อคืนหิมะตกทั้งคืน ก็ไม่รีรอที่จะชงชาเขียวอุ่นๆ มานอนจิบและชมวิวในห้องก่อนจะต้องลาวิวนี้ไปในช่วงสาย
หลังจากนั้นก็เก็บของและลงไปกินข้าวเช้า checkout ออกจากโรงแรมด้วยความอาลัย (อยากจะอยู่ตรงนี้ตลอดไป แล้วเพื่อนก็ตบหัวและบอกว่า ไม่มีคำว่าตลอดไปสำหรับอะไรทั้งนั้น เฮ่อ)
ชักภาพก่อนกลับและออกจากโรงแรมไปยัง น้ำตกกิงกะและน้ำตกริวเซ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมอีกเช่นกัน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่ติดอันดับของญี่ปุ่น น้ำตกทั้งสองแห่งนี้ไหลมาจากภูเขาโซอุนเคียว แต่ฤดูหนาวน้ำตกทั้งสองแห่งจะกลายเป็นน้ำตกแข็งค่ะ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เป็นก้อนเชอะ
จริงๆ มันสวยมากแต่เราไม่สามารถชมความงามของมันได้นานนัก เพราะมันหนาวมาก และหิมะก็ตกพริ้วๆ ตลอดเวลา ก็เลยเดินทางไปต่อเมืองคามิคาวะ เพื่อไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์น้ำแข็ง (ICE PAVILLION) เป็นสถานที่จัดแสดงงานศิลปะจากหิมะดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาเยอะ
พอมาถึง ก่อนเข้าไปข้างใน จะมีเจ้าหน้าที่จะให้เราระบายสีแบบนี้ แล้วพอเราเข้าไปข้างในที่อุณหภูมิต่ำมากๆ สีมันจะหายไป เดี๊ยนลองแล้วค่ะ เลยอยากคุณๆ ไปลองกัน ไปเล่นอะไรแบบเด็กๆ ดูบ้าง ก็สนุกและมีความสุขไปอีกแบบนะคะ
ที่นี่เป็นที่แสดงผลงานการปั้นตุ๊กตาหิมะและการแกะสลักหิมะของเหล่าบรรดาศิลปินที่มีชื่อเสียง นอกจากนี้ภายในถ้ำยังมีความสวยงามของหิมะที่เหมือนกับอยู่ในถ้ำหินงอกหินย้อยให้เราได้สัมผัสความหนาวเย็นกับอุณหภูมิ -41 องศาเซลเซียส และพบกับฟามน่าร๊อกกกกกของนางฟ้าทะเล คลีโอเน่ (Sea Angle) ด้วยค่ะ
หลังจากนั้นก็เดินออกมาที่ลานด้านนอกซึ่งจะมีปั้นและแกะหิมะเป็นรูปต่างๆ ค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ไปแวะกินชาบูและซูชิที่ตลาดปลา ซึ่งเป็นทางผ่าน ด้านหน้าจะมีรูปปูตัวใหญ่ๆ แต่ว่าเราหารูปที่ถ่ายมามิเจอ แล้วที่นี่เราก็ได้ซื้อสตรอแบรี่มาชิมคนละถาดด้วย หอม หวาน อร่อย ชื่นใจ
แล้วก็เดินทางต่อไปยังเมืองบิเอ เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณกลางเกาะฮอกไกโด ในรีวิวบอกว่ามันคือ “Small Town Of The Most Beautiful Hills” ความเล็กที่แสนน่ารักของเมืองนี้อยู่ที่ภาพวิวทิวทัศน์แบบพาโนรามา ระหว่างที่เรานั่งรถไฟไป ก็ชมวิวไป คือบับ ฟินมาก ฉันพยายามบอกทุกคนว่า นี่แหละ สวิสเซอแลนด์แห่งเอเชีย เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ อันนี้ไม่ได้มั่ว เพราะเคยไปมาแล้ว บอกเลยว่า วิวไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยค่ะ สูสีมาก แถมไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลขนาดนั้น
แล้วก็เดินทางต่อไปยังเมืองบิเอ เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณกลางเกาะฮอกไกโด ในรีวิวบอกว่ามันคือ “Small Town Of The Most Beautiful Hills” ความเล็กที่แสนน่ารักของเมืองนี้อยู่ที่ภาพวิวทิวทัศน์แบบพาโนรามา ระหว่างที่เรานั่งรถไฟไป ก็ชมวิวไป คือบับ ฟินมาก ฉันพยายามบอกทุกคนว่า นี่แหละ สวิสเซอแลนด์แห่งเอเชีย เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ อันนี้ไม่ได้มั่ว เพราะเคยไปมาแล้ว บอกเลยว่า วิวไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยค่ะ สูสีมาก แถมไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลขนาดนั้น
วันนี้เรามี plan ไปลานสกี แต่เราไม่ได้เล่นสกีหรอก เพราะว่าเราเล่นไม่เป็น แต่เราจะไปขับ Snow Mobile แทน ซึ่งเป็นกิจกรรมสุดเสียวแสนประทับใจบนสานสกี ฉันชอบจนต้องเล่นสองรอบ เอาให้มึนกันไปข้างหนึ่ง
เล่นเสร็จก็เดินถ่ายรูปไปอะไร งามแงะที่ฝุด ฉันเล่นหิมะเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนคนไม่เคยเจอหิมะมาก่อนในชีวิต แต่หิมะที่นี่หนานุ่มมว๊ากอ่า ธรรมชาติที่นี่สวยมากจริงๆ ค่ะ
ออกจากที่นี่ก็มุ่งหน้าไปเมืองซัปโปโร ทีนี้เดินทางนานหน่อยประมาณ 3 ชั่วโมงได้ค่ะ วันนี้เรามี plan shopping ในคืนนี้ เพราะเรายังไม่ได้เสียทรัพย์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย อ่อ mission อีกอย่างหนึ่งของการมาที่นี่คือ เราจะมาซื้อรองเท้าผ้าใบเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการออกกำลังกายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวค่ะ คืนนี้เราเลยจะพักในย่านซูซูกิโนะ โรงแรมของเราคืนนี้คือ New Otani Inn Sapporo ค่าเสียหายอยู่ที่ประมาณ 5,xxx บาทค่ะ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากย่านช้อปปิ้งมากนัก ถ้าเดินก็ประมาณ 2 กิโลเมตร ถ้านั่งแท็กซี่ก็ไม่กี่บาท ประมาณ 5 นาทีถึง ย่านซูซูกิโนะจะมีห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่างๆ มากมาย มันคล้ายๆ ชินไชบาชิของโอซาก้าและชินจูกุของโตเกียวน่ะแหละ แต่ไม่เยอะเท่า แต่ก็มีของหลากหลายให้เลือกช้อปค่ะ
พอ check in เก็บกระเป๋าอะไรเรียบร้อย ก็เริ่มกันเลย ขาไปเราเดินจากโรงแรมไปย่านช้อปปิ้ง เราอยากช้อป เราเลยมีแรงเดิน เหนื่อยเราไม่เหนื่อย เมื่อยเราไม่เมื่อย ฮึบๆๆๆ วันนี้มื้อเย็นของเราเป็นบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง ซึ่งประกอบด้วยขาปูสามชนิด และหอยนานานานาชนิด รวมไปถึงขนมและ soft cream มากมาย
พออิ่มแล้วก็ตามล่าหาของที่แต่ละคนต้องการ พอช้อปจนหมดตัวแล้วก็หมดแรง โอ้ยยยย เดินไม่ไหวค่ะ นั่งแท็กซี่กลับโรงแรมกันเถอะค่ะเพื่อน ก่อนเข้าโรงแรมก็แวะซุปเปอร์เพื่อหาเครื่องดื่มที่ช่วยให้ความอบอุ่นกับร่างกาย จะได้นอนหลับสบาย อำลากันไปด้วยภาพนี้ นอนหลับฝันดีนะคะ
พออิ่มแล้วก็ตามล่าหาของที่แต่ละคนต้องการ พอช้อปจนหมดตัวแล้วก็หมดแรง โอ้ยยยย เดินไม่ไหวค่ะ นั่งแท็กซี่กลับโรงแรมกันเถอะค่ะเพื่อน ก่อนเข้าโรงแรมก็แวะซุปเปอร์เพื่อหาเครื่องดื่มที่ช่วยให้ความอบอุ่นกับร่างกาย จะได้นอนหลับสบาย อำลากันไปด้วยภาพนี้ นอนหลับฝันดีนะคะ
วันที่สาม ตื่นเช้ามาด้วยความฉดใฉ วันนี้จะไปไหนดี เอิ่มมมม วันนี้เราจะไปเมืองโนโบริเบ็ตซึ ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเกาะฮอกไก จริงๆ ไปหน้านี้ก็คงจะตากไม่ไหว แต่ไหนๆ มาแล้วก็ต้องไปตากนิดตากหน่อยก็ยังดีเน๊อะ ออกจากโรงแรมประมาณ 9 โมง สถานที่แรกที่เราไปวันนี้คือ หมู่บ้านชาวไอนุ ปัจจุบันที่นี่จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ชนพื้นเมืองไอนุ เราไม่ได้อยากไปดูวิถีชีวิตชาวไอนุ แต่ว่าที่นี่มีทะเลสาบที่สวยงามอยู่ด้านหน้า แต่ว่าทะเลสาบแข็งไปแล้ว ก็เลยนั่งจิบกาแฟร้อนๆ นั่งใช้ชีวิตแบบ slowlife บับชีวิตดี๊ดี อะไรอย่างงี้ไป
ทะเลสาบแข็งเชอะ
อูววววว์ สโลว์ไลฟ์^^
จากนั้นก็เดินทางต่อไปยัง ภูเขาจิโกกุดานิ (Jigoku Hell) หรือ หุบเขานรก ตรงนี้แหละที่บอกว่าเหมือนสวิสเลย ถ้าไม่ถ่ายติดป้ายก็แอ๊ปว่าไปยุโรปได้เลยทีเดียวเชียว เกิดจากภูเขาไฟซึ่งยังไม่ดับจึงก่อให้เกิดน้ำพุร้อนและบ่อโคลนเดือดค่ะ เค้าว่ากันอย่างนั้น
เธอผี ทีเผลอ
จากนั้นก็ไปดูอีกภูเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนั้น ภูเขาแห่งนี้ก็เป็นภูเขาไฟเหมือนกันชื่อโชวะซินซัง (Showa Mountain) ซึ่งเป็นภูเขาไฟน้องใหม่ ที่นี่เป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติแห่งพิเศษ
มาฮอกไกโดก็ต้องกิน Soft Cream ซึ่งที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องนมอยู่แล้ว ต้องชิมอ่ะ พูดเลย ยิ่งรสเมล่อนยิ่งอร่อยมากที่สุดจนหยุดไม่ได้ ส่วนชาเขียวก็ดีงามพระรามแปดค่ะ
วันนี้เราจะเข้าที่พักเร็วหน่อย เพราะที่พักเราคืนนี้สวยมาก โดยเฉพาะในหน้าหนาว เราเดินทางอีกประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงโรงแรมค่ะ ระหว่างทางก็มีวิวเขา ป่า ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ สวยมาก เพลินจนไม่คิดว่าจะเดินทางนานขนาดนี้ คืนนี้เราจะพักที่ Toya Sun Palace คืนนี้ค่าเสียหายประมาณ 1x,xxx ค่ะ ซึ่งรวมอาหารเย็นและอาหารเช้า เนื่องจากที่นี่ค่อนข้างไกล และรอบๆ โรงแรมไม่ค่อยมีอะไรเลย มีแต่ธรรมชาติที่สวยงาม การกินบุฟเฟ่ต์ขาปูที่โรงแรมเป็นมื้อเย็นและไปแช่ออนเซนท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายเป็นเรื่องที่ควรทำ
วิวรอบๆ โรงแรมสวยมากจนเราต้องฝ่าความหนาวมาเดินชมธรรมชาติก่อนดวงอาทิตย์จะลาลับฟ้าไปในคืนนี้
ได้เวลาอันสมควรก็ขึ้นไปเปลี่ยนชุดเพื่อความสะดวกสบายในการกินบุฟเฟ่ต์ตอนเย็น
หลังจากกินเสร็จก็ขึ้นไปนอนพักผ่อนซักแพร๊บให้อาหารย่อย แล้วก็ไปแช่ออนเซ็นกันเหอะ ที่นี่มีออนเซ็นสองแบบทั้งแบบ indoor และ outdoor แต่ถ้าจะให้ได้บรรยากาศจริงๆ ก็ควร outdoor เพราะส่วนล่างเราจะร้อนมากเหมือนซ้อมตกกระทะทองแดง แต่หน้าเราจะเย็นชามากจนใครตบก็ไม่เจ็บอีกต่อไป เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เค่อะ
เราสามารถแช่ออนเซ็นได้ถึงเที่ยงคืนเลย แต่ว่าเราอาจจะเปื่อยได้ ก็เอาแต่พอสมควรให้เลือดลมไหลเวียน ผิวเนียนลื่นซักหน่อยก็ขึ้นมาพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ห้อง ก่อนขึ้นก็แวะซื้อของที่ระลึกและเครื่องดื่มก่อนนอนจากร้านค้าในโรงแรม ปาร์ตี้ต่อนิสหน่อยก็เข้านอนค่ะ
ที่นี่เราได้ชิมเบียร์เด็กด้วย กินเท่าไหร่ก็ไม่เมาจนต้องแสร้งว่าเมาเพราะเสียดายเงิน
และไม่ลืมที่จะชงชาดื่มก่อนนอน หึๆ ดูเข้ากันมากเลยกับสิ่งที่ทำในคืนนี้ 555 สับสน ไม่รู้ว่าจะโหมดสุขภาพดี หรือโหมดเสเพลดี สำหรับวันนี้ ฝันดีและราตรีสวัสดิ์ค่ะ
อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน ออกหากินร่าเริงแจ่มใส เช้าแว้ว ไม่อยากตื่นเลย แต่ก็ต้องตื่น ที่นี่เป็นอีกที่ที่วิวตอนเช้าสวยมากเหมือนโรงแรมแรกที่เราไปพัก
วันนี้เราไปไหนกันดี....เราจะไปเมืองโอตารุกันโน๊ะ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักสำหรับทริปนี้ เราสามคนอยากมาถ่ายรูปที่คลองโอตารุ ที่สุดแสนโรแมนติก เมืองนี้ดูขลังคงความเก่าแก่แต่ดูน่ารัก งงมั้ย ไม่งงเน๊อะ เราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ สองข้างทางจะมีร้านค้าขายของเยอะแยะมากมาย รวมถึงร้านขนมซึ่งเป็นอีก mission ของเราด้วยค่ะ เริ่มจากคลองโอตารุก่อนเลย ไปชักภาพกันก่อนเน๊อะ ก่อนคนจะเยอะ เพราะตอนนั้นเราไปตอนเช้า เลยยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ เกร๋โน๊ะ นี่แหละ ข้อดีของการตื่นเช้า
จากนั้นก็เดินเลาะคลองไปเรื่อยๆ ชมความงามเงาะของคลองและอาคารเก่าแก่ตลอดทางที่เราเดินไป
เดินผ่านร้านค้าต่างๆ ไปยังพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี อาคารเก่าแก่สองชั้นที่ภายนอกถูกสร้างขึ้นจากอิฐแดง แต่โครงสร้างภายในทำด้วยไม้ ส่วนด้านหน้าจะมีนาฬิกาไอน้ำโบราณ สไตล์อังกฤษ เค้าว่ากันว่าเหลืออยู่เพียง 2 เรือนบนโลกเท่านั้น นาฬิกานี้จะพ่นไอน้ำ มีเสียงดนตรีดังขึ้นทุกๆ 15 นาที เหมือนกับนาฬิกาไอน้ำอีกเรือนที่แคนาดาค่ะ
สุดท้ายก็ได้กล่องดนตรีติดไม้ติดมือกลับมา น่าร๊อกเชอะ เดินเล่นอยู่ซักพักก็ต้องไปร้านเค้กในตำนาน ซึ่งเป็น mission หลักของพินนี่เพื่อนร่วมทริปค่ะ และนั่นก็คือ Letao (เลอตาโอะ)
พอเข้าไปก็ได้กลิ่นชีสเค้กที่หอมมาก ด้านล่างจะเป็นที่ขายเค้กสำหรับการซื้อกลับ ส่วนชั้นสองจะมีโต๊ะให้นั่งและเค้กเยอะมากจนละลานตาไปหมด
ส่วนชีสเค้ก คือ Highlight ค่ะ อันอื่นถือว่าเป็นน้ำจิ้มเพื่อให้ชีสเค้กของเราอร่อยขึ้นด้วย อ่อลืมบอก ชาเขียวที่นี่อร่อยมาก หอมติดจมูกเลย สามารถสั่งได้ทั้งร้อนและเย็นค่ะ
เมื่อสาแก่ใจของพินนี่แล้วก็เดินเที่ยวต่อจนไปเจออีกร้านที่รีวิวบอกว่าต้องลอง นั่นก็คือ Soft Cream ค่ะ
เธอๆ ช่วยเรากินหน่อย เราหนาว และเราอิ่มด้วยเพราะเราเพิ่งกินชีสเค้กมาสองชิ้น แหะๆ สีส้ม (เมล่อน) และสีม่วง (ลาเวนเดอร์) อร่อยค่ะ ส่วนรสอื่นก็ไม่ต่างจากร้านอื่นๆ ในฮอกไกโด
เสร็จแล้วก็เดินทางต่อไปยังโรงงานช็อคโกแลตอิชิยะ แหล่งผลิตช็อคโกแลตที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นค่ะ ตัวอาคารของโรงงานถูกสร้างขึ้นในสไตล์ยุโรปแวดล้อมไปด้วยสวนดอกไม้ ซึ่งมีช็อคโกแลตที่ขึ้นชื่อที่สุดของที่นี้คือ Shiroi Koibito ซึ่งหมายฟามว่าช็อคโกแลตขาวแด่คนรัก พอเข้าไปข้างในจะมีเจ้าหน้าที่อธิบายประวัติความเป็นมา และมีให้ทดลองทำช็อกโกแลตของตัวเองด้วยค่ะ แต่เราไม่ค่อยอินน์เท่าไหร่ เลยเดินออกมาข้างนอกเพื่อถ่ายรูปเล่น ในขณะที่หิมะก็เริ่มจะมาอีกล้าววววว
พอออกมาข้างนอกจะเห็นตึกทำเนียบรัฐบาลเก่าฮอกไกโดเก่า รวมถึงหอนาฬิกาซัปโปโร เป็นหอนาฬิกาที่เก่าแก่มากและเป็นอีกสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองซัปโปโรค่ะ
จากนั้นก็เดินทางไปยังโรงแรมค่ะ วันนี้เราพักที่เดิมที่เราพักในคืนที่สอง นั่นคือ New Otani Inn ค่ะ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายล้าว และเรามีนัดกันที่จะกลับไปช้อปที่ JR Tower ค่ะ เพราะเรายังไม่ได้รองเท้าวิ่งกันเลย
วันนี้ตอนเย็นเราเลยไปย่านช็อปปิ้งอีกครั้งและไปกินราเม็งที่นั่นเพื่อเป็นมื้ออำลาที่นี่อย่างสมบูรณ์แบบ
คืนนี้ต้องเตรียมเก็บของต่างๆ ให้เรียบร้อยเพราะพรุ่งนี้เช้าเราบินกลับตอนช่วงสายๆ นั่นแปลว่า เราต้องออกจากโรงแรมตั้งแต่แปดโมง เพราะฉะนั้นคืนนี้จะเมืองนี้ไม่ปิดไฟ เราจะไม่กลับแน่นวล
วันนี้ตอนเย็นเราเลยไปย่านช็อปปิ้งอีกครั้งและไปกินราเม็งที่นั่นเพื่อเป็นมื้ออำลาที่นี่อย่างสมบูรณ์แบบ
คืนนี้ต้องเตรียมเก็บของต่างๆ ให้เรียบร้อยเพราะพรุ่งนี้เช้าเราบินกลับตอนช่วงสายๆ นั่นแปลว่า เราต้องออกจากโรงแรมตั้งแต่แปดโมง เพราะฉะนั้นคืนนี้จะเมืองนี้ไม่ปิดไฟ เราจะไม่กลับแน่นวล
และนี่ก็เป็นทริปเฉพาะกิจของสามสหาย เป็นนัดกระชับความสัมพันธ์ค่ะ แต่เราก็ประทับใจกับทริปนี้มากถึงแม้จะเป็นทริปสั้นๆ แค่ 5 วัน 4 คืน จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายที่ที่เลยที่เรายังไม่ได้ไป และคิดกันไว้ว่า เราจะกลับมาที่นี่อีก แต่อาจจะเป็นหน้าร้อนของปีไหนซักปีหนึ่ง เพราะคนที่นี่บอกว่า ช่วง Summer ที่มีเทศกาลทุ่งลาเวนเดอร์ก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน แล้วจะมารีวิวใหม่อีกครั้งหากได้มาเยือนนะคะ
ทริปนี้ค่าเสียหายประมาณโดยเฉลี่ยนประมาณ 8x,xxx รวมทุกสิ่งอย่างค่ะ แต่บางคนอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับความเก่งในการช้อป และการกินของแต่ละคนด้วยค่ะ แต่ฉันได้มาทุกอย่างไม่ว่าจะกล่องดนตรีเอย ขนมเอย เค้กเอย ช็อกโกแลตเอย โอ้ย ได้ทุกอย่างอ่าค่ะ แถมกินตลอดเวลาด้วย ก็จะอยู่ราวๆ นี้
เพราะโลกมันกว้าง คนข้างๆ จึงสำคัญ แหวะ 555 ขอบคุณเพื่อนเลิฟทั้งสองคนด้วยที่ร่วมเดินทางด้วยกันในทริปนี้ รักนะยูว์
#AkikoinHokkaido
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น