ทริปนี้ดีอย่างที่คิดไว้ อาจมีความผิดพลาดก็ตรงเลือกช่วงเวลาผิดไปนิสนึง อากาศเลยค่อนข้างร้อนไปหน่อย ไม่งั้นจะอินน์มากกว่านี้ เลยอยากบอกไว้ก่อนเลยว่า ช่วงเวลาในการไปท่องเที่ยวที่นี่ที่ดีที่สุดคือช่วงปลายปี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนมกราคม อย่างช้าไม่ควรเกินเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เพราะอากาศกำลังเย็นสบาย ทำให้เราดื่มด่ำศิลปะวัฒนธรรมของอาณาจักรขอมอันยิ่งใหญ่ได้มากขึ้นค่ะ แต่ถึงอย่างไรเราก็เดินทางมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือสิ่งที่ดีที่สุดเสมอชิมิ
เราออกจากรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าตรู๊ตรู่ โดยสายการบินไทยสมาย เราไปถึงสนามบินที่เสียมเรียบประมาณ 9 โมงครึ่ง ซึ่งใช้เวลาบิน 40 นาที บินเร็วเชอะ หายใจทิ้งไปไม่กี่ครั้งก็ถึงแล้ว สนามบินที่นี่น่ารักมว๊ากอ่า ทำให้เราย้อนนึกถึงอดีต แต่เราจริงๆ ในอดีตก็ไม่เคยเห็นสนามบินนานาชาติที่ไหนที่มีลักษณะแบบนี้ สนามบินที่เสียมเรียบคล้ายกันกับสนามบินสมุยบ้านเรา ก็ไม่รู้ว่าใครลอกใคร
เราออกจากรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าตรู๊ตรู่ โดยสายการบินไทยสมาย เราไปถึงสนามบินที่เสียมเรียบประมาณ 9 โมงครึ่ง ซึ่งใช้เวลาบิน 40 นาที บินเร็วเชอะ หายใจทิ้งไปไม่กี่ครั้งก็ถึงแล้ว สนามบินที่นี่น่ารักมว๊ากอ่า ทำให้เราย้อนนึกถึงอดีต แต่เราจริงๆ ในอดีตก็ไม่เคยเห็นสนามบินนานาชาติที่ไหนที่มีลักษณะแบบนี้ สนามบินที่เสียมเรียบคล้ายกันกับสนามบินสมุยบ้านเรา ก็ไม่รู้ว่าใครลอกใคร
หลังจากเข้ามาที่อาคารผู้โดยสาร ก็สามารถผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้เลย เพราะคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าในการเข้าเมืองนี้ค่ะ หลังจากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก ซึ่งจะมีรถตู้ของโรงแรมรอรับเราอยู่ เราพักที่นี่สองคืนที่โรงแรมธาราอังกอร์ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์ของเสียมเรียบ และอยู่ไม่ไกลจากสนามบินมากนักค่ะ เราเอากระเป๋ามาฝากที่โรงแรมก่อน เพราะจริงๆ แล้วสามารถเช็คอินได้ตอนบ่ายสอง โรงแรมนี้ถือว่าโอเค สะอาด ใหญ่ สะดวกสบาย หลังจากนั้นก็ไลน์หาตุ๊กๆ ที่เราติดต่อไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทย พี่คนนี้ชื่อพี่เป้า เรานัดพี่เขา 11 โมง แต่ว่าเราไปถึงเร็ว ก็เลยเดินออกไปหากาแฟกิน แล้วก็ให้พี่เป้าไปรับเราที่ร้าน แผนการท่องเที่ยวของเราวันนี้คือ เราจะไปซื้อตั๋ว Angkor pass แบบ 3 วัน ราคา 62 เหรียญ ลืมบอกว่า ที่นี่ใช้เงินเป็น US Dollar ค่ะ ดังนั้นหน่วยเหรียญที่หมายถึงนั้น จะหมายถึงเหรียญ US Dollar นะคะ
หลังจากนั้นก็เดินเข้ามาด้านในตัวปราสาท ซึ่งแนะนำให้เดินจากด้านซ้ายไปขวา จะมีรูปสลักนูนต่ำบนฝาผนังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกองทัพของพระเจ้าชัยวรมันและเรื่องราวทางศาสนา และที่นี่เราจะได้เห็นรูปสลักนางอัปสราหลากหลายลีลา เอาเป็นว่าเพลินอ่ะคุณ
เดินชมไปเรื่อยๆ ก็เข้ามาถึงตรงกลางของปราสาทซึ่งจะเจอจุดต่อแถวสำหรับขึ้นปราสาทประธานข้างบน ปราสาทประธานจะปิด 5 โมงเย็น แต่พอประมาณ 4 โมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็จะเอาที่กั้นมากั้นไม่ให้เข้าแล้ว ที่นี่ไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ขึ้น รวมทั้งคนท้องด้วย แต่ต้องแต่งตัวเรียบร้อยนะยูว์ แบบว่ากางเกงขาสั้น เสื้อแขนกุด เซ็กกะซี่นี่ไม่ได้เลยค่ะ ต่อคิวเบาๆ ไป 1 ชั่วโมง ก็ต้องยอมรับว่าของเค้าฮอตจริง อะไรจริง แดดแรงขนาดนี้ก็ยังยืนต่อแถวกันอย่างหนักแน่นไม่ถอยหนี
ด้านบนเราจะได้เจอกับนางอัปสราอีกหลายตัวเลยทีเดียวเชียว และมองเห็นวิวมุมสูงของปราสาทด้วย
ชมวิวพอสมควรแล้วก็ลงมา ขณะนี้ก็ประมาณ 5 โมงพอดี เราเดินออกมาและนั่งชมวิวบริเวณด้านหน้าปราสาท ถ้าใครอยากชมวิวพระอาทิตย์ตกก็นั่งดูได้ แต่เราหิว ก็เลยมุ่งหน้าไปยังตลาด Old Market ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ Pub Street วันนี้เราจะชิม street food ของที่นี่ อาหารแนะนำก็คือ หมี่เหลืองผัด ราคาก็อยู่ที่คนละประมาณ 5 เหรียญไม่เกินนี้ อร่อยได้ใช้นะคะ
จากนั้นเราก็เริ่มกันที่ปราสาทตาพรหมกันก่อนเลย ที่นี่เป็นสถานที่หลักในการถ่ายทำหนังเรื่อง Tomb Raider ที่ฉันเคยดูเมื่อครั้งยังเยาว์วัย จากโรงแรม เราใช้เวลาเดินทางประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึง ปราสาทตาพรหมแล้วค่ะ
ปราสาทแห่งนี้มีต้นสะปงคลุมอยู่ ที่นี่เรามองหารูปแกะสลักของนางอัปสราหน้ารูปไข่ แต่ดูเหมือนฝรั่งที่มาที่นี่ก็ไม่ได้อินกับนางอัปสราเหมือนฉัน แต่ค่อนข้างอินกับต้นสะปงที่มีรากขนาดยักษ์มาคลุมปราสาทแต่ละหลังในบริเวณนี้ไว้มากกว่า เดินชมที่นี่ได้สักพักก็ออกมากินข้าวเที่ยงกันแถวๆ ปราสาท และร้านที่เราเลือกคือขแมร์วิลเลจเรสเตอรอง ซึ่งอยู่ใกล้กับสระสรง ที่นี่อาหารอร่อยและวิวดี อาหารที่ถือเป็นซิกเนเจอร์เมนูที่เราต้องกินคือ Amok อาม๊อกปลา มันเหมือนห่อหมก แต่อร่อยกว่า
พออิ่มแล้ว ก็ได้เวลาไปลุยอีกที นั่นคือนครธม ก็ขึ้นรถตุ๊กๆ เข้าไปยังบริเวณนครธม ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทบายน ในส่วนของนครธมนั้นเป็นปราสาทที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในเสียมเรียบ บริเวณประตูของแต่ละที่ ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจบัตรตลอด เพราะฉะนั้น ห้ามหาย ทางที่ดี ให้ซื้อสายคล้องคอห้อยบัตรไว้ตลอดเลยน่าจะดีกว่าค่ะ
แค่ประตูทางเข้าก็ทำเอาขนลุก นครธมมีทางเข้า 5 ทาง พี่เป้าบอกว่าแบบนั้น แต่ละทางจะมีซุ้มทางเข้าและมีสะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งล้อมรอบบริเวณนครธมไว้
พี่เป้ามาส่งเราบริเวณลานช้าง ซึ่งให้เราได้ชมความงามและเดินไปเรื่อยๆ เพื่อชมปราสาทน้อยใหญ่ย่อยๆ ที่อยู่ในบริเวณนครธม
แต่ก่อนนครธมหรืออังกอร์ธมเป็นปราสาทที่ถูกลืมเหมือนๆ กับปราสาทอื่นๆ ของเสียมเรียบ การเติบโตของต้นไม้นานาชนิดทำให้ตัวปราสาทเสียหายไปมาก จนมีนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสเดินทางมาสำรวจประเทศในแถบอินโดจีน จึงได้ค้นพบปราสาทต่างๆ ในกัมพูชา
จนถึงปราสาทบายน ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจบัตรอีกรอบก่อนเข้า
ถึงล้าวปราสาทบายน ที่นี่เป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่หลังสุดท้ายของอาณาจักรขอมอันรุ่งเรือง ซึ่งมีภาพสลักที่สวยงาม เดิมมีปรางค์ปราสาทอยู่ 54 ยอด แต่ปัจจุบันมีปรางค์ปราสาทอยู่ประมาณ 50 ยอดได้ (ประมาณจากสายตาที่เห็นตอนนี้) แสดงว่าจะมีใบหน้าบายนอยู่ประมาณ 200 หน้า น่าจะได้
เดินชมเรื่อยๆ ก็จะเห็นภาพสลักสวยงามและดูขลังมาก ถึงเวลาอันสมควรก็นัดหมายกับพี่เป้าให้มารับบริเวณด้านทิศตะวันตกของปราสาทเพื่อกลับไปโรงแรมเพื่อเช็คอินและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากที่มอมแมมมาทั้งวัน
พี่เป้ามารับเราอีกครั้งประมาณ 6 โมงครึ่งเพื่อไปหามื้อเย็นตอบสนองความต้องการของกระเพาะ วันนี้เราจะไปที่ Pub Street ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่มีร้านอาหารมากมาย ทั้งอาหารขแมร์ ฝรั่ง อิตาเลี่ยน แต่วันนี้เราเลือกร้าน Cambodian Soup restaurant และอดไม่ได้ที่จะชิมเบียร์อังกอร์ด้วยเข่อะ
ที่นี่ทำให้เราคิดถึงข้าวสาร อารมณ์ประมาณนั้นเลย หลังจากกินข้าวเสร็จก็เดินเล่นซักพักและพี่เป้าก็มารับเราไปส่งที่โรงแรม วันนี้เราจ่ายค่าเช่ารถเหมาไป 30 เหรียญ (รวมทิปคนขับด้วย) วันนี้ต้องรีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เรามีภารกิจสำคัญคือ การดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ปราสาทนครวัด ก่อนเข้านอน เราติดต่อเคาน์เตอร์โรงแรมเพื่อให้เขาจัดอาหารเช้าให้เราตอนตีห้าด้วย เพื่อเอาอาหารกล่องไปกินตอนรอดูพระอาทิตย์ขึ้น กู๊ดไนท์เค่อะ
วันที่สอง ตื่นแต่เช้าล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำ วันนี้ตื่นตีสี่ ออกจากโรงแรมตีห้า พี่เป้าก็มารับเราอย่างเคย พาเราซิ่งไปยังนครวัด ฟ้ายังมืดมาก แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีอุดมการณ์เดียวกับเรา เดินเข้าไปที่นครวัด เราก็เดินตามๆ เขาไป สำเร็จแล้ว เราได้นั่งแถวหน้าสุดเลย เห็นนครวัดในเงามืดอย่างชัดเจน ตำแหน่งที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้สวยที่สุดคือสระบัวฝั่งซ้ายมือ เมื่อหันหน้าเข้าตัวปราสาท นั่งรอไปหาวไปจนฟ้าเริ่มสว่าง คือสวยงามมากนะ ถึงแม้จะไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากเมฆบัง แต่ก็ไม่เป็นไร มันได้บรรยากาศอ่ะ พูดเลย
พอพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราจำต้องจากที่นี่ไปก่อน เพื่อไปปราสาทบาเตียสะเรย ซึ่งอยู่นอกเมือง แล้วเราค่อยกลับมาที่นี่อีกครั้งตอนบ่าย วันนี้เราออกนอกเมืองโดยซิ่งตุ๊กตุ๊กนี่แหละไปปราสาทบาเตียสะเรย ซึ่งเป็นปราสาทเดียวในเสียมเรียบที่สร้างด้วยหินทรายสีชมพู ปราสาทนี้สร้างโดยพราหมณ์ มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ด้วยสีสันและลวดลายที่สวยงาม ทำให้เป็นปราสาทที่มีคนมาเยือนจำนวนไม่น้อย แต่น่าแปลกที่ไม่เจอคนไทยที่นี่เลยในวันนี้ ประมาณ 40 นาที เราก็มาถึงปราสาทพิงกี้แห่งนี้
ปราสาทบาเตียสะเรยมีปราสาทย่อยตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน 3 หลังตามความเชื่อแบบตรีมูรติ คือ พระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ Highlight ของที่นี่คือ รูปสลักนางอัปสรา ที่ถูกเรียกว่า "โมนาลิซ่าแห่งเอเชีย" ซึ่งอยู่ด้านหลังปราสาทด้านทิศตะวันตก
หลังจากชมความงามของปราสาทเล็กพริกขี้หนูนี้หนำใจแล้ว เราก็ออกจากที่นี่เพื่อกลับเข้าเมือง และได้ไปแวะที่ปราสาทพระขรรค์ ซึ่งเป็นอีกปราสาทที่สวยงาม คนที่นี่เรียกว่าปราสาทเปรี๊ยะคัน
หลังจากนั้นก็ให้พี่เป้าไปส่งเราที่โรงแรม เพื่อพักแดดก่อนซักสองชั่วโมงแล้วค่อยออกมาใหม่ เรานัดหมายพี่เป้าช่วงบ่ายโมงให้มารับเราที่โรงแรมและออกไปกินข้าวบ่ายกัน วันนี้เราเลือกร้านที่ได้รับการแนะนำจากเว็บของฝรั่งว่าเป็นร้านอาหารที่โครตอร่อยของที่นี่ เป็นอาหารฝรั่งเศสชื่อร้าน Genevieve's เราต้องมาตอนบ่ายเพราะว่าเราโทรจองตอนเที่ยงแล้วเต็ม ร้านนี้มีฝรั่งมากินเยอะมาก เมนูที่เขาแนะนำคือ เป็ดอบกรอบราดซอส คืองานดีทั้งหน้าตาและรสชาติ คนรักเป็ดอย่างฉันก็ต้องไม่พลาด ส่วนเพื่อนอีกคนสั่งปลาแซลมอนก็น่ากินไม่แพ้กัน จ่ายค่าเสียหายไปประมาณ 30 เหรียญสำหรับสองคน
อิ่มแล้วก็เดินทางต่อได้ ขณะนี้ก็เวลาบ่ายสองครึ่ง เราก็มุ่งหน้าไปยังนครวัด เพื่อเข้าชมด้านใน ที่นี่เป็นปราสาทหลักของเมืองเลยก็ว่าได้ มีความสวยงามสูงมาก เข้าใจแล้วว่าทำไมอาร์โนลด์ ทอยด์บี ถึงบอกว่า See Angkor and Die ก่อนตายต้องได้เห็นอังกอร์ อืมมมม มันเป็นแบบนี้นี่เอง
พอเดินเข้าไปจะเจอซุ้มประตูก่อนถึงตัวปราสาท ซึ่งในอาคารนี้จะมีนางอัปสรายิ้มเห็นฟัน ซึ่งเป็น Highlight ของอาคารนี้ เดินหาตั้งนาน ที่ไหนได้อยู่ด้านหลัง ทางขวาของพระวิสณุ 8 กรนั่นเอง เห็นฟันจริงๆ ด้วยอ่ะหลังจากนั้นก็เดินเข้ามาด้านในตัวปราสาท ซึ่งแนะนำให้เดินจากด้านซ้ายไปขวา จะมีรูปสลักนูนต่ำบนฝาผนังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกองทัพของพระเจ้าชัยวรมันและเรื่องราวทางศาสนา และที่นี่เราจะได้เห็นรูปสลักนางอัปสราหลากหลายลีลา เอาเป็นว่าเพลินอ่ะคุณ
เดินชมไปเรื่อยๆ ก็เข้ามาถึงตรงกลางของปราสาทซึ่งจะเจอจุดต่อแถวสำหรับขึ้นปราสาทประธานข้างบน ปราสาทประธานจะปิด 5 โมงเย็น แต่พอประมาณ 4 โมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็จะเอาที่กั้นมากั้นไม่ให้เข้าแล้ว ที่นี่ไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ขึ้น รวมทั้งคนท้องด้วย แต่ต้องแต่งตัวเรียบร้อยนะยูว์ แบบว่ากางเกงขาสั้น เสื้อแขนกุด เซ็กกะซี่นี่ไม่ได้เลยค่ะ ต่อคิวเบาๆ ไป 1 ชั่วโมง ก็ต้องยอมรับว่าของเค้าฮอตจริง อะไรจริง แดดแรงขนาดนี้ก็ยังยืนต่อแถวกันอย่างหนักแน่นไม่ถอยหนี
ด้านบนเราจะได้เจอกับนางอัปสราอีกหลายตัวเลยทีเดียวเชียว และมองเห็นวิวมุมสูงของปราสาทด้วย
ชมวิวพอสมควรแล้วก็ลงมา ขณะนี้ก็ประมาณ 5 โมงพอดี เราเดินออกมาและนั่งชมวิวบริเวณด้านหน้าปราสาท ถ้าใครอยากชมวิวพระอาทิตย์ตกก็นั่งดูได้ แต่เราหิว ก็เลยมุ่งหน้าไปยังตลาด Old Market ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ Pub Street วันนี้เราจะชิม street food ของที่นี่ อาหารแนะนำก็คือ หมี่เหลืองผัด ราคาก็อยู่ที่คนละประมาณ 5 เหรียญไม่เกินนี้ อร่อยได้ใช้นะคะ
เสร็จแล้วก็เดินเล่นต่ออีกพักหนึ่งแล้วก็กลับโรงแรม วันนี้เราเสียค่ารถ 30 เหรียญค่ะ คืนนี้รีบนอนหน่อยเน๊อะ เพราะหนักหน่วงกันมาตั้งแต่ตีห้า บะบาย ฝันดีค่ะ
วันที่สาม (วันสุดท้ายล้าว) วันนี้กะว่าจะเก็บตกในเมืองและปราสาทน้อยใหญ่ในเมืองอีกซักหน่อย วันนี้เราตื่นสายหน่อย และกินอาหารเช้าที่โรงแรม หลังจากนั้นพี่เป้าก็มายืนยิ้มรอรับเราหน้าโรงแรม พี่เป้าพาเราไปที่สะพานนาคตรงทางเข้านครธมอีกรอบเพื่อถ่ายรูป และไปยังปราสาทบาเค็ง แต่เราไม่ได้เข้าไป เพราะเรามาตอนเช้า แต่ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สามารถพระอาทิตย์ตกได้สวยงามที่สุดในเสียมเรียบเลยก็ว่าได้
จากนั้นก็ไปถ่ายรูปที่ลานช้างกัน เพราะวันแรกเราไม่ได้แวะถ่ายรูปที่นี่
ได้เวลาอันสมควรก็มุ่งหน้าไปยังปราสาทเนียกปวน หรือนาคพัน ปราสาทนี้อยู่กลางน้ำ ฉันชอบที่นี่เพราะทางเข้าสวยดี มีสระน้ำอยู่สองข้างทางที่เข้า
ชื่อนาคพัน มาจากรูปพญานาค 7 เศียร 2 ตัวที่พันอยู่บริเวณฐานของปราสาท สังเกตดีๆ จะเห็นม้าพลาหะที่ดูเหมือนจะหันผิดด้านรึป่าวไม่รู้
หลังจากนั้นก็ออกจากปราสาทนาคพันและอังกอร์กันต่อไป เรามาแวะที่ปราสาทตาสม ว่ากันว่า เป็นปราสาทยุคต้นๆ ของศิลปะบายนเลยทีเดียว ก็สวยอยู่น๊า
ไปต่อค่ะ ออกจากปราสาทตาสมก็ไปต่อกันที่ปราสาทบันทายกะเดย อ่อย เรียกยากมาก แต่ก็สวยดี แปลกที่ปราสาทเหล่านี้ไม่ค่อยมีคนมาดู อาจเป็นเพราะจริงๆ แล้ว ทุกๆ ที่มีศิลปะที่คล้ายๆ กัน
ใกล้ๆ กันก็จะมีปราสาทอีกที่ชื่อปราสาทแม่บุญตะวันออกอีกหนึ่งที่ ที่สวยงามไม่แพ้ที่อื่นเลย
และต่อกันด้วยปราสาทแปรรูป อ่ะ เอาให้มึนกันไปข้างหนึ่ง ตอนนี้เริ่มเมาปราสาทเล็กน้อยแล้วค่ะ
พอก่อนกับปราสาทอลังการล้านแปด วันนี้มีร้านแนะนำอีกหนึ่งร้าน ถ้าไม่ได้ไปจะโกรธตัวเองมาก เป็นร้านกาแฟที่ขาย cup cake ด้วย ร้านก็ดูสวยงามดี แต่ร้านนี้งามจากภายใน เพราะกาแฟโครตจะอร่อยมาก cup cake ก็เช่นกัน กินลืมอ้วนไปเลย
เค้กอร่อยทุกรส อันนี้พูดด้วยความสัตย์จริง อยากจะยกร้านนี้กลับมากรุงเทพฯ ด้วย รองท้องเบาๆ แล้วก็ได้เวลาชิว เขาว่ากันว่า ที่นี่เด็ดเรื่องนวด เราก็ไปนวดเท้ากันเกร๋ๆ เบาๆ กัน 1 ชั่วโมง จ่ายค่านวดไป 5 เหรียญ เสร็จแล้วก็เดินไปตลาด old market เพราะร้านนวดเราอยู่แถวๆ นั้น ก็เดินซื้อของฝากเพราะวันนี้เราต้องเดินทางกลับแล้ว และอำลากันด้วย food street อีกรอบให้ตราตรึงหัวใจ วันนี้กินผัดหมี่อีกรอบ ติดใจในรสชาติ น้ำเมล่อนปั่นก็เช่นกัน อร่อยเช่อะ
หลังจากนั้นก็ให้พี่เป้าไปส่งเราที่โรงแรม เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าอะไรให้เรียบร้อย แล้วก็แจ้งให้โรงแรมพาเราไปส่งที่สนามบิน
ไม่รู้จะพูดอะไรกับทริปนี้ ไม่รู้จะบรรยายยังไงให้เท่ากับความรู้สึกที่มี เอาเป็นว่า คุณอาร์โนลด์ โจเซฟ ทอยน์บีพูดถูกค่ะ See Angkor and Die ก่อนตายต้องได้เห็นอังกอร์
แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้านะคะ
Akiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น