มนุษย์เงินเดือนเที่ยวอิตาลีและฝรั่งเศส by Akiko

ในปี 2015 ฉันได้มีโอกาสไปเที่ยวอิตาลีและฝรั่งเศสอีกครั้ง แต่เป็นการเดินทางเอง ไม่เหมือนครั้งแรกที่ไปกับแม่เมื่อปี 2005 โอ้โห สมัยยังสาวๆ อยู่เลย

เส้นทางของฉันในครั้งนี้คือเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปอิตาลี โดยสายการบินไทย
วันแรกเราถึงกรุงโรมประมาณบ่ายโมง โรงแรมที่เราจองอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟหลักของกรุงโรมเลย เป็น B&B hostel ชื่อ Dream Station Rome ซึ่งดีตรงมีครัวส่วนกลางและมีตู้เย็นให้เราแช่ของได้ และเราสามารถใช้ครัวเวลาไหนก็ได้ เอาที่เราสบายใจ เราจะพักที่นี่เป็นเวลา คืนค่ะ
หลังจากเช็คอินและเก็บกระเป๋าเรียบร้อย ก็นั่งรถไฟไป Colosseum เราใช้บัตร Roma Pass ที่จองในเว็บไซต์ตั้งแต่อยู่เมืองไทย และไปรับบัตรในวันที่เรามาถึง แล้วก็เข้าไปชมด้านใน
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ฉันได้มาที่นี่ ความยิ่งใหญ่และความขลังยังคงเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือปิดปรับปรุงซ่อมบางส่วนจ้า ประกอบกับแดดแรงโพดๆ และผู้คนมากมาย ทำให้อยู่ข้างในได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องออกมาถ่ายรูปแก้ขัดกับประตูชัยที่อยู่ข้างๆ กัน 
หลังจากนั้นก็เดินเลยไปอีกหน่อยเข้าไปยัง Roman Forum ซึ่งเป็นซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ แดดทำให้เราไม่ค่อยอินกับความขลังเท่าไหร่ เพราะเหงื่อไหลเปียกจิ๊กโกแร้ 
เดินชมความงามและความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน ท่ามกลางแสงแดดที่ต้อนรับเราอย่างรุนแรง

จากนั้นก็นั่งรถไฟไปอีกที่เพื่อไปเยี่ยมเยียน น้ำพุเทรวี่ และบันไดสเปน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก น่าเสียดายที่ตอนนั้น น้ำพุเทรวี่กำลังปิดซ่อมทาสีใหม่ แต่ถึงกระนั้น คนก็ยังเยอะมากจนถ่ายรูปออกมาแล้วหาตัวเองไม่เจอ
ถ้าจะร้อนเบอร์นี้ก็พลาดบ่อได้ดอกกับ Gelato แห่งโรม มาถึงนี่ก็ต้องกินซะหน่อยโน๊ะ ร้าน Grom Gelato เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ก็จัดสิคะ รออะไร 
หลังจากนั้นก็ไม่ให้เสียเที่ยว มาอิตาลี ก็ต้องกินอาหารอิตาลีเน๊อะ วันนี้อาหารเย็นของเราจะฝากท้องไว้ที่ Pizza in Trevi ฉันกินได้ขนมปังหน้ามะเขือเทศสด โอ้ บร๊ะเจ้า ไม่เคยกินมะเขือเทศที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน เราได้เรียนรู้ว่า ขนมปังสามารถกินกับมะเขือเทศสด โรยเกลือและออริกาโน่ โยนๆ แล้วก็กินได้เลย แล้วก็กินพิซซ่าของเจ้าถิ่น ซึ่งต่างอย่างแรงกล้ากับพิซซ่าบ้านเรา มะเขือเทศก็คือมะเขือเทศ ชีสคือชีส แป้งบางกรอบไม่มีอยู่จริงสำหรับที่นี่
อิ่มแล้วก็เดินต่อไปที่ Pantheon วันนี้คือวันดี คนเยอะทุกที่ เข้าไปชมความขลังและความสวยงามของเขาเสียหน่อย ไหนๆ เราก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงนี่แล้ว แล้วก็เดินๆๆๆ กลับที่พัก จนเดินไม่ไหว นั่งรถไฟฟ้าเต๊อะ ก็จบวันแรกอย่างสมบุกสมบัน
วันที่สอง ตื่นมาก็ประโคม breakfast ที่โรงแรมและออกจากโรงแรมตั้งแต่ โมง (เสมือนกับว่าเมื่อวานไม่เหนื่อยเท่าไหร่) ทำไมน่ะเหรอคะ ก็วันนี้เราจะไปโบสถ์ St Peter กันนะคะ ถ้าเราไปสาย เราจะต้องไปตบตีกับคนจีนและกรุ๊ปทัวร์ และเราต้องการรูปถ่ายที่ไม่ติดใครเลยที่ด้านหลังของเรา เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ค่ะคุณ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีจากโรงแรมก็ถึงโบสถ์แล้วค่ะ ลืมบอกว่าเราเดินทางมาที่นี่โดยรถบัสนะคะ เราก็เข้าไปอิน ชื่นชมความศักดิ์สิทธิ์ และความงามของโบสถ์ ที่นี่ถ่ายรูปได้นะคะ เอาให้เต็มที่ค่ะ แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ขึ้นไปหอระฆังด้านบน เพราะครั้งที่แล้วเคยขึ้นไปแล้ว และอยากเก็บแรงไว้ เพราะวันนี้ฉันคงต้องธุดงหนักไม่แพ้จากเมื่อวาน หลังจากเต็มอิ่มกับความงามของโบสถ์ St Peter แล้ว ก็เดินออกมาเรื่อยๆ เพื่อเข้าชมความยิ่งใหญ่ อลังการงานสร้างของ Vatican Museum ก็เก่าแก่ ยิ่งใหญ่ สมกับเป็นนครวาติกันผู้รุ่งเรืองในสมัยโบราณ
เที่ยงแล้ว หาอะไรกินดีกว่า พอเดินออกมาจาก Vatican Museum ด้านข้างจะมีร้านอาหารมากมาย รวมทั้งร้านกาแฟด้วย แต่เราเลือกร้าน Hostaria De Pastini Ristorante เราเลือกโดยไม่มีหลักการอะไรเลยค่ะ รู้แค่ว่าอยากชิมร้านนี้ ร้านนี้เราสั่งสปาเกตตี้ (ก็เรามาอิตาลี เราก็ต้องกินอาหารอิตาลีเน๊อะ) แล้วก็ไก่ย่างกับมันฝรั่งอบ แล้วก็ดอกไม้อะไรไม่รู้ซึ่งเอามาต้มเหมือนหน่อไม้บ้านเรา แต่ว่าจะมันๆ หน่อย แต่เค้า recommend ว่าต้องชิม อ่อ ทุกร้านที่นี่จะมีถาดขนมปังวางให้เรา ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะกินหรือไม่นั้น ก็เสียเงินทุกกรณีค่ะ ราคาประมาณ 3-5 ยูโร ก็กระเดือกๆ ไปละกันโน๊ะ มันก็แข็งๆ ดี จะได้อยู่ท้อง
ตกบ่ายก็เดินไป Castel Sant’ Angelo เพื่อขึ้นไปชมวิวเมืองที่สวยงามมว๊าก ที่นี่ก็จะเห็นวิวเมือง คูคลองที่สวยงาม โบสถ์ บ้านเรือนที่ดูคลาสสิค ฉันชอบวิวเมืองจากจุดนี้นะ ยืนดูได้นานและไม่เบื่อ มันดี
หลังจากนั้นก็เดินต่อไปยัง Piazza Navona บอกแล้วว่าต้องออมแรง เพราะวันนี้เดินเยอะจริงๆ 
ตรงนี้เป็นเหมือนจตุรัส ลานสาธารณะที่ผู้คนพาลูกหลานมานั่งเล่น และทำกิจกรรมต่างๆ ตรงนี้ก็จะมีร้านกาแฟและร้านอาหารมากมายรวมถึงร้านขายของที่ระลึกด้วย อ่อ มีโบสถ์ด้วย แต่เป็นโบสถ์เล็กๆ ค่ะ เราก็นั่งเล่นดูการเคลื่อนไหวของผู้คน เพลินค่ะ พูดเลย คนที่นี่หน้าตาดีเชอะ แล้วก็ไม่พลาดที่จะชิม Gelato คลายร้อนเช่นเคย
โอ้ยยยยย ตื่นเช้า ยังไม่ได้กินกาแฟ ง่วง ก็เลยมานั่งชิมกาแฟเกร๋ๆ เบาๆ ที่ Ristorante Tre Scalini มีขนมอันหนึ่งอร่อยมว๊าก อร่อยน้ำตาไหล กาแฟที่กินชื่อ Caffellatte freddo ส่วนขนมชื่อ Tartufo “Tre Scalini”

มีแรงแล้วเดินต่อไปที่ Basilica di Santa Maria Maggiore ก็เป็นอีกที่ที่น่าสนใจ (สำหรับฉัน) เป็นโบสถ์กึ่ง plaza ที่มีคนมีเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย 
ข้างในมีรูปวาดจิตรกรรมฝาผนังและเพดานที่สวยอยู่น๊า ถ้ามีโอกาสได้มาก็อยากให้มาเยือนที่นี่ซักครั้งหนึ่ง ที่นี่เน้นรูปวาดที่มีสีทอง ฉันชอบ ชมความงามได้สักพักแล้วก็เดินกลับที่พัก วันนี้เดินสิบกว่ากิโลได้ก็เบาๆ โน๊ะ
วันที่สาม ตื่นเช้าอีกวัน เพราะอยากจะไปดื่ม Café Latte อันเลื่องชื่อของโรมที่ร้าน Panella L’arte Pane มารอเค้าเปิดเลย จะได้ไม่พลาด ที่นี่โดนัทอร่อยนะ ส่วนกาแฟก็เข้มข้นดี ที่นี่นิยม Café Latte
กันทั้งเมือง เกือบทุกร้าน เป็นกาแฟ ใส่ฟองนม แก้วเล็กๆ มีความเข้มข้มสูง แต่ก็ยังไม่เข้มเท่าบ้านเรา กินยังไง บ่ายๆ ก็ง่วงอยู่ดี 
แล้วก็นั่งรถไฟไปที่ Colosseum อีกครั้งในช่วงเช้าวันนี้ เพราะวันก่อนคนเยอะมาก
ฉันอยากได้รูปถ่ายที่มีแต่ฉันและที่ฟาดฟันของวัวกระทิง ก็ได้รูปเกร๋ๆ กันไป แล้วก็เดินไปถ่ายรูปตรงมุมที่เคยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อื้มมมม ดูดีนะเรา เวลาทำร้ายเราไม่ได้เลย 555 กำลังให้จิตสั่งกายอยู่
ได้เวลาอันสมควรก็ไป check out ที่โรงแรมและขึ้นรถไฟไป Florence เมืองที่สุดแสนจะโรแมนติก 
เมืองนี้สวย ฉันชอบ เป็นเมืองริมน้ำ ที่อากาศดี วิวดี พอเดินทางไปถึงก็ check in ที่โรงแรมและออกมาเดินรอบๆ โรงแรม เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีรถโดยสารประจำทางนะ แต่ฉันไม่ขึ้น ฉันชอบที่จะเดินไปเรือ่ยเลียบแม่น้ำ ถ่ายรูปไป เดินไป กิน Gelato ไป ชีวิตดี๊ดี ดัจริตไปวันๆ เราไปที่นี่เพื่อไปดูสะพานเชื่อมระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ Ponte Vecchio
เป็นสะพานเก่าแก่ และคลาสสิคมาก จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ เพื่อขึ้นไปจุดชมวิว และชมพระอาทิตย์ตกในวันนี้ ที่นี่วิวสวยไม่แพ้ที่อื่น เห็นวิวแม่น้ำและเมืองที่ชัดเจน และสวยงาม มีทั้งบ้านเรือนสีสันต่างๆ (ซึ่งส่วนใหญ่หลังคามักเป็นสีแดง) โบสถ์ต่างๆ มากมาย 
รอจนพระอาทิตย์ลับตาไป ก็เดินไปป้ายรถเมล์ เพราะการเดินกลับอาจจะไม่ปลอดภัยเท่าไหร่สำหรับผู้หญิงสองคนในเวลากลางคืน และก็เข้าที่พัก พักผ่อนตามอัธยาศัย

วันที่สี่ ก็ตื่นแต่เช้าอีกเช่นเดิม เราเดินทางจาก Florence ไปยัง Pisa เพื่อไปเที่ยวเมืองนี้และตามหาหอเอนเมืองปิซ่าในตำนาน 
พอไปถึงเมืองปิซ่า ลงจากรถไฟก็เดินประมาณ กม.ได้ ซึ่งการเดินทำให้ได้ชมเมืองปิซ่าในอีกรูปแบบหนึ่ง



ที่นี่มีแม่น้ำเหมือนกัน เราเดินข้ามแม่น้ำมา เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนถึงเมืองปิซ่า หอเอนก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าเรา โชคดีที่สุดที่เราไปถึงในตอนที่กรุ๊ปทัวร์ยังไม่มา ทำให้เราได้รูปที่โอเคพอสมควรเลยทีเดียวเชียว 
หลังจากนั้นอิ่มเต็มกับหอเอนและสิ่งปลูกสร้างรอบๆ แล้วก็นั่งรถเมล์กลับไปที่สถานีรถไฟ แต่ไม่ได้กลับไปที่ Florence เราจะเดินทางไป Cinque Terre ซึ่งเป็นอีกที่ที่อยู่นอกแผนแต่เกิดอยากจะไปขึ้นมา จึงไม่ได้ไปค้าง
Cinque Terre เป็นเมืองริมทะเลที่มีทั้งหมด หมู่บ้านที่น่าสนใจ ที่นี่ทำให้ฉันเห็นความสำคัญของการออกกำลังกายขึ้นมาเลยทีเดียว แต่มันก็สวยงามจนไม่รู้จะบรรยายยังไง เราเดินทางโดยรถไฟสำหรับที่นี่โดยเฉพาะที่จะแวะทุกหมู่บ้านที่ว่ามา ราคา 14 ยูโร ฉันแวะจริงๆ จังๆ ที่หมู่บ้าน Varnazza, Monterosso  ต่อด้วยManarola 

จริงๆก็ไปครบ แต่อยู่ที่สามหมู่บ้านนี้นานกว่าที่อื่น กว่าจะได้กลับก็มืด เรานั่งรถไฟกลับไปที่ Florence และเข้าที่พัก เพราะกินข้าวมาจาก Cinque Terre แล้ว พักผ่อนกันเถอะ วันนี้ขาออกปากให้พักด้วยตัวเอง

วันที่ห้า ตื่นเช้ามาก็มุ่งหน้าไปยัง Piazza del Duomo โบสถ์ประจำเมืองของ Florence  ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และสวยแตกต่างจากที่อื่นในความคิดเห็นส่วนตัวของฉัน 
ก็เดินเข้าไปชมโบสถ์ด้านใน และด้านนอกอย่างละเอียด จนช่วงบ่ายก็ไปสนามบินเพื่อเดินทางไปปารีส ฟ้าจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ค่ะ ฟ้าพูดเลย
จาก Florence เราใช้เวลา ชั่วโมงก็มาถึงปารีสในช่วงบ่ายแก่ๆ ของวัน หลังจาก check in ที่โรงแรมเรียบร้อย ก็นั่งรถไฟใต้ดินออกมาชมเมืองปารีสที่สุดแสนโรแมนติก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้มาถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟล แล้วก็เดินชมวิวไปเรื่อยๆ เพื่อรอดูไฟของหอไอเฟสในตอนกลางคืน จนค่ำก็กลับที่พัก วันนี้ถือว่าเป็นวันเบาๆ ไม่เหนื่อยมาก
วันที่หก วันนี้ตื่นสายหน่อย สายที่ว่าคือเจ็ดโมงและแปดโมงก็ออกจากที่พัก นั่งรถไฟฟ้ามา Avenue des Champs-Elysees ซึ่งเป็นถนนสายช็อปปิ้งและมีทุกสิ่งให้เลือกสรร เริ่มต้นที่ร้าน Paul Bekery ที่คนไทยฮิตกัน แต่เป็นร้านขนมปังธรรมดามากสำหรับที่นั่น แล้วก็เดินไปจนสุดถนน เพื่อไปขึ้นจุดชมวิวที่ประตูชัย Arc de triomphe 
ที่นี่ก็ใช้ pass เหมือนกัน ซื้อแบบ 3 วันหรือมากกว่านั้นก็ได้ เราสามารถขึ้นที่นี่ได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ก็ต่อคิวนิสหน่อยและออกแรงเดินขึ้นเยอะหน่อยก็จะได้เห็นวิวที่สวยงามของเมืองปารีส 
ที่นี่ผังเมืองสวยมาก เป็นระเบียบ และดูเหมือนจะเป็นต้นแบบการวางผังเมืองของโลกเลยก็ว่าได้ เดินจนสาแก่ใจก็ได้เวลาไปจิบชาแบบผู้ดีปารีส หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมาจิบน้ำชาที่ Laduree สาขา Champs-Elysees เข้าไปปุ๊บ ดูเป็นผู้ดีปั๊บ มาที่นี่ต้องกินมาการองเน๊อะ 
จากนั้นก็ไปโบสถ์ Norte Dame แต่ไม่ได้ขึ้นหอระฆัง ซึ่งคิวยาวประมาณกิโลเศษ 
รอบๆ โบสถ์จะมีร้านอาหารและร้านกาแฟ ซึ่งคนแน่นทุกร้าน ฉันจึงอำลาโบสถ์นี้ไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อไป Musee du Louvre หรือพิพิธภัณฑ์ลูฟ อันดับหนึ่งของโลกนะยูว์ ซึ่งต้องใช้เวลา 3 วันถึงจะดูครบ แต่ฉันใช้เวลา 3 ชั่วโมง
ฉันไม่ได้เก่ง แต่ฉันจะไปดูเฉพาะ Hi light ที่ Recommend เท่านั้น เพื่อย่นระยะเวลา หลักๆ คือเข้าไปดูรุปโมนาลิซ่า เอิ่ม คนต่อคิวเยอะมาก มุงกันสุดชีวิต นางมีขนาดไม่ใหญ่มาก และอยู่เบื้องหลังกระจกกันกระสุน หลายครั้งที่อิตาลีเคยขอรูปนี้คืนจากฝรั่งเศส เพราะลิโอนาโด้ นาวินชี่ เป็นคนอิตาลี แต่ก็ได้รับการปฏิเสธตลอดมา อดคิดไม่ได้ว่า ถ้านางไม่อยู่ที่นี่แล้ว คนที่เดินทางมาที่นี่หลายสิบล้านคนต่อปี จะยังมาที่นี่กันอยู่มั้ย
เดินจนเย็นค่ะ ได้ถ่ายรูปกับ Louvre ในยามค่ำคืน ที่มีแสงไฟออกมาจากปิรามิดหน้าพิพิธภัณฑ์ ก็สวยงามไปอีกแบบ แล้วก็กลับโรงแรม วันนี้ไม่หนักมาก หนักตอนเดินในพิพิธภัณฑ์น่ะแหละ เมื่อยมากค่ะคุณ

วันที่เจ็ด วันนี้เราออกจากโรงแรมแปดโมงเช้า เพื่อนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปพระราชวังแวซาย Chateau de Versailles ซึ่งอยู่นอกเมือง ใช้เวลาเกือบชั่วโมงก็เดินทางถึง จากสถานีรถไฟฟ้า ต้องเดินไปอีกพอสมควร แต่วิวข้างทางก็โอเคพอที่จะทำให้เราไม่เหนื่อย ประกอบกับอากาศเย็นสบายและแดดที่ไม่แรงจนถึงขั้นเอาชีวิต 
เราใช้เวลาที่นี่ประมาณ ชั่วโมง เพราะนอกจากพระราชวังแล้วยังมีโซนที่เป็นสวนด้านหลัง (หรือด้านหน้าก็ไม่รู้) สวนสวยหนักมาก ต้องเดินทุกหลืบซอย อันนี้แนะนำ เดินเหนื่อยแล้วก็กลับมาในตัวพระราชวังอีกครั้ง 
นี่ๆ มีร้านแนะนำอยู่ข้างในพระราชวังเป็นร้านกาแฟ + เค้กที่หน้าตาดีมาก และอร่อยมาก ชื่อร้าน Angelina ซึ่งพอเข้าไปนั่งแล้ว เค้าจะยกเค้กทั้งถาดมาให้เราเลือกที่โต๊ะ อารมณ์ติ่มซำที่ภาคใต้เลยเธอ ฉันก็เลือกไม่ถูกเลย เพราะว่าเยอะมาก 
เครื่องดื่มแนะนำคือ Hot chocolate ที่เข้มข้นมากที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยกินมา และก็อร่อย กว่าจะเรียบร้อยจากที่นี่ก็ปาไปสี่โมงเย็นได้ กว่าจะได้เสด็จออกมา เรากลับไปที่ Champs-Elysees อีกครั้งเพื่อชมบรรยากาศยามค่ำคืน ซึ่งสวยไปอีกแบบและฉันชอบมากกว่าตอนกลางวัน 
เดินมาทั้งวัน ฉันไม่ลืมที่จะต้องไปกินหอยร้าน Leon de Bruxelles 

ก็มีแต่คนบอกว่าดีอ่า นี่ฉันไม่ได้เชื่อคนง่ายนะ หอยแมลงภู่อบชีส เบียร์ฝรั่งเศส และสเต็กแซลมอน คืออาหารค่ำของฉันในวันนี้ ฝันดี พรุ่งนี้พบกันใหม่นะคะ

วันที่แปด วันนี้ต้องออกไปนอกเมืองเพื่อไป Normandy เราจะไป Mont Saint Michel เรานั่งรถไฟเร็ว TGV ไป พอไปถึงจะมีรถบัสมารับ ก็นั่งรถไปอีกชั่วโมงหนึ่ง รวมเวลาเดินทางก็ประมาณ ชั่วโมงได้ อ่อ ตั๋วรถไฟเราจองจากเว็บตั้งแต่อยู่เมืองไทยนะคะ ถ้าจองล่วงหน้า ราคาก็จะถูกกว่ามากค่ะ แต่ต้องเอาบัตรเครดิตที่ใช้จองไปเสียบที่เครื่องออกตั๋วเพื่อรับตั๋วในการขึ้นรถไฟ
พอไปถึง บร๊ะเจ้า สวยมาก เป็นปราสาทอยู่กลางน้ำ ซึ่งน้ำจะขึ้นและลงเป็นเวลา ถ้าเราไม่ได้ค้างที่นั่น ต้องกลับก่อนน้ำขึ้นเพราะไม่อย่างนั้น เราจิเปียกหรือไม่ก็กลับไม่ได้เลย พอถ่ายรูปด้านหน้าเสร็จก็เดินเข้าไปในปราสาท ซึ่งทางเข้าจะมีร้านอาหารเยอะมาก ลายตา แต่จะมีเมนูที่คล้ายกันคือ ไข่เจียว ซึ่ง หน้าตาดี แต่ก็คล้ายไข่เจียวบ้านเรา แต่เคียงข้างด้วยเฟรนฟรายและผักสลัด กับอีกเมนูที่ฉันเลือกคือ หอยแมลงภู่อบ ไม่รู้ทำไม ก็ที่นี่ดังเรื่องหอยไม่ใช่หรอ 
ข้างในปราสาทจะมีทั้งโบสถ์เล็กๆ คุก เป็นปราสาทหินบวกด้วยปูน เดินจนหมดก็เดินออกมารอรถเพื่อไปส่งที่สถานีรถไฟ เพื่อกลับมาในเมืองปารีสอีกครั้ง วันนี้ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างมาก กลับมาถึงที่พักก็ดึกแล้ว หมดวัน ไม่มีเวลาทำอะไรต่อ

วันที่เก้า วันนี้ตื่นสายหน่อย พอออกจากโรงแรมก็นั่งรถไฟฟ้าไป Montmartre อุ้ยยยยยย คนเยอะเชียว 
ฉันชอบที่นี่ ที่นี่มีจะเรียกว่าอะไรดี เป็นกล้ำกึ่งระหว่างโบสถ์ จุดชมวิว แล้วก็หลายๆ อย่างปนกัน มีร้านขายที่ระลึกที่ฉันชอบมากและร้านอาหารที่ฉันเลิฟที่สุดในปารีส ฉันเดินเล่นอยู่ที่นี่พักใหญ่ จนเที่ยงก็ไปร้านที่เลิฟของฉัน ซึ่งมีคุณลุงผมขาว หน้าตาน่ารัก สุภาพ คอยต้อนรับอยู่หน้าร้าน ร้านนี้ชื่อ La Bonne Franquette 
ฉันชอบเมนู เป็ดซอสส้มที่นี่มาก และ Escagrot อบเนยที่นี่ดี ฉันชอบ พออิ่ม ฉันก็เดินขึ้นไปจุดชมวิว แต่ต้องไปซื้อตั๋วที่ชั้นใต้ดิน งงมั้ย อืม ฉันก็งง ค่าตั๋ว 8 ยูโร เดินขึ้นไปก็เหนื่อยเลเวลสอง 
วิวดีแต่สู้ที่ Arc de triomphe ไม่ได้ อยู่ได้ซักพักก็เดินลงมาและเดินช็อปปิ้งของที่ระลึกและมาการอง ช็อกโกแลต โอ้ยยยยเยอะไปหมดด ฉันรักที่นี่ ไม่รู้จะอธิบายยังไง 

ออกจากที่นี่ก็ไปขึ้นเรือเพื่อล่องเรือชมแม่น้ำแซนยามโพล้เพล้ ว้าวววววว โรแมนติกสุดๆ บนเรือก็เห็นหอไอเฟล กำลังยิงแฟลช ก็เขาจะเปิดไฟแฟลชชั่วโมงละ 1 ครั้ง 
แล้วฉันก็ขึ้นท่าตรง Notre-Dame Cathedral เดินไปชมวิวยามค่ำคืนที่โบสถ์นี้ซึ่งวันที่สองที่มาถึงที่นี่ก็มาในตอนกลางวันไปครั้งหนึ่งแล้ว แล้วก็กลับโรงแรม

วันที่สิบ วันนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ทำอะไรมากนัก ก็ถ่ายรูปวิวใบไม้เปลี่ยนสีแถวโรงแรม นั่งชิวร้านกาแฟนิดๆ หน่อยๆ และนั่งรถบัสไปสนามบิน ฉันต้องกลับบ้านแล้ว จริงๆ ก็กลับเถอะ เพราะหักจากค่ารถแล้ว เหลือเงินสุทธิ 23 ยูโรเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นคนใช้เงินเป็นมากเลยทีเดียว ทริปนี้ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษ เพราะไม่ค่อยมีใครพูดอังกฤษกับเรา การเดินทางส่วนใหญ่ใช้รถไฟฟ้า กับรถเมล์ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ google map ฉันชอบคุณ google map มากที่ทำให้ฉัน ไม่หลงทางมากไปกว่านี้ ฉันรักทริปนี้ จุ๊บๆ แล้วทริปหน้าจะมาเล่าให้ฟังใหม่ โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ

ทำงานเพื่อเติมเงิน เดินทางเพื่อเติมใจ
By Akiko

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...