ปี 2016 ฉันได้มีโอกาสไปเที่ยว สเปน ดินแดนกระทิงดุ ซึ่งไม่ได้คิดว่าจะได้ไปในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่ไปๆ มาๆ ก็อยากจะเห็น Sagrada Familiar ขึ้นมา เห็นคนพูดถึงศิลปะของเกาดี้หลายครั้งและไม่เคยเห็นกับตาของตัวเอง ประกอบกับ Qatar Airways มีออกโปรมาพอดี ก็เลยจองตั๋วเครื่องบินได้ในราคา 17,xxx ซึ่งเป็นราคาที่ดี แล้วจะพลาดได้อย่างไรกัน ทริปนี้เราจองตั๋ว กรุงเทพฯ – มาดริด – กรุงเทพฯ
วันที่ 1 เราไปถึงที่มาดริด ประมาณ 9
โมงเช้า พอไปถึงก็ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง และออกมาข้างนอก และขึ้น Metro
เพื่อไปสถานีรถไฟ ขึ้นรถไฟไป Cordoba ด้วยความที่เป็นวันแรก ยังไม่คุ้นชินกับรถไฟฟ้าที่นั่นเท่าไหร่ ก็หลงโชว์เลยวันแรก จนสุดท้าย หาของกินไม่ทัน ต้องขึ้นไปรองท้องกันบนรถไฟ
ประมาณบ่ายๆ เราก็มาถึงเมือง Cordoba ตรงที่จอดรถบัสจะมีที่ให้เราฝากกระเป๋าได้ คิดค่าบริการตามจำนวนชั่วโมงที่เราฝาก เมืองนี้เป็นเมืองน่ารักมาก ตอนแรกที่อ่านจากพันทิป คิดว่าเป็นเมืองทางผ่าน เพราะทุกคนผ่านมาเพียงเพื่อผ่านไป แต่พอได้ไปสัมผัสจริงๆ ก็ตะลึงในความน่ารัก
ประมาณบ่ายๆ เราก็มาถึงเมือง Cordoba ตรงที่จอดรถบัสจะมีที่ให้เราฝากกระเป๋าได้ คิดค่าบริการตามจำนวนชั่วโมงที่เราฝาก เมืองนี้เป็นเมืองน่ารักมาก ตอนแรกที่อ่านจากพันทิป คิดว่าเป็นเมืองทางผ่าน เพราะทุกคนผ่านมาเพียงเพื่อผ่านไป แต่พอได้ไปสัมผัสจริงๆ ก็ตะลึงในความน่ารัก
เมืองนี้มีโบสถ์ชื่อ La Mezquita De Cordoba ซึ่งเป็นโบสถ์ลูกครึ่งระหว่างคริสต์และอิสลาม โบสถ์นี้คล้ายโบสถ์ทั่วไปของยุโรปอื่นๆ ที่รอบๆ จะรายล้อมด้วยร้านค้าที่ถูกประยุกต์มาจากตึกรามบ้านช่องเก่าๆ เป็นร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกมากมาย สัญลักษณ์วัวกระทิงจะลายตาเราเลยทีเดียว ที่นี่ฉันได้กินอาหารสเปนมื้อแรก หนีไม่พ้นปาเอญ่า แล้วก็ซีซ่าสลัดแก้เลี่ยน แต่ซีซ่าที่นี่จะทำด้วยไก่ ซึ่งไก่อร่อยมาก ก็ไม่เข้าใจว่าทำไม ไก่ยุโรปถึงอร่อยกว่าไก่เอเชีย เนื้อแน่นเชียว จากนั้นก็เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ จนสุดทางกำแพงด้านหลังซึ่งติดกับแม่น้ำ
ในช่วงที่เดินทางไปที่นั่น อากาศอยู่ในช่วงกำลังสบาย ไม่ร้อนมาก และไม่หนาว พระอาทิตย์ตกประมาณทุ่มกว่าๆ
หลังจากชมเมืองจนเย็นก็เดินไปที่สถานีรถบัสซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น
เอาเป็นว่าสามารถเดินได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น พอมาถึงสถานีรสบัส ก็ไปรับกระเป๋าคืน แล้วก็นั่งรอรถเพื่อไปเมือง Sevilla ซึ่งจะมีรถหลายรอบ แต่ต้องดูตารางดีๆ เนื่องจากรถบัสของแต่ละบริษัทฯ จะไปหลายเส้นทาง เรานั่งรถไปประมาณเกือบสองชั่วโมงก็ถึงเมือง Sevilla เราจะพักที่นี่สามคืน
โรงแรมที่เราพักชื่อ Hotel Derby Sevilla
มาถึงเมือง Sevilla ก็ประมาณเกือบสองทุ่ม กว่าจะหาโรงแรมเจอ
โรงแรมที่เราพักอยู่กลางใจเมืองเลย เป็นย่าน shopping แต่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก
ไม่ไกลมากนัก แต่การเดินเข็นกระเป๋ามาจากสถานีรถบัส ซึ่งต้องผ่านถนนที่เป็นก้อนอิฐบล็อกโบราณ ก็ทำให้เหนื่อยพอให้หิวได้เหมือนกัน พอ check in เสร็จก็ออกมาให้อะไรกินแถวโรงแรมและเข้านอนเร็ว เพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันและยังไม่ได้อาบน้ำมาวันหนึ่งเต็มๆ แหะๆ
วันที่ 2 ออกจากโรงแรมแต่เช้า
ที่นี่เราไม่ได้จองอาหารเช้าที่โรงแรมเลย เพราะอยากกินอาหารท้องถิ่น เดินมาที่
โบสถ์ Sevilla Cathedral แต่ยังไม่เปิด
ก็เลยเดินไปกินกาแฟสเปนซะหน่อย ร้านที่เราไปเจอ คนเยอะเชียว น่าเข้าไปชิมชื่อร้าน Gusto Sevilla ก็ชิมกาแฟไปเรื่อยเปื่อย
นั่งชิวไป ตอนนั้นฝนตกด้วย พอฝนเริ่มหยุดก็เดินไปที่ Plaza de Espana ที่นี่เป็นเหมือนจตุรัส มีตึกเป็นเหมือนรูปครึ่งวงกลม แล้วด้านในจะมีสนามและ คลอง
ซึ่งจะมีสะพานให้ข้ามไปมาได้ระหว่างตัวอาคารกับสนาม
จตุรัสนี้ถือได้ว่าเป็นจตุรัสที่สวยติดอันดับโลกเลยทีเดียว เราเริ่มจากเดินที่ระเบียง
วนรอบๆ ตัวอาคารจากซ้ายสุดไปขวาสุด และออกไปเดินข้างนอกเพื่อถ่ายรูปที่สนาม ถึงแม้อากาศจะไม่ค่อยดี
ฝนตกเป็นระยะ ก็ยังได้เห็นความงามในอีกมุมหนึ่งของเมืองนี้ ชอบค่ะ
พอออกจากที่นี่ก็เดินไปต่อคิว ต้องใช้คำว่าต่อคิว เพื่อเข้าโบสถ์ Sevilla Cathedral ประมาณเกือบชั่วโมง ซึ่งโบสถ์นี้เป็นที่ฝังศพของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
ซึ่งเป็นชาวอิตาลี แต่มาขอทุนจากสเปนเพื่อเดินเรือจนเจอทวีปอเมริกา
แต่ดันเข้าใจว่า ทวีปที่ค้นพบเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเอเชีย
โบสถ์ที่นี่สวยดี อาจจะไม่อลังการเท่ายุโรปตะวันตกอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส แต่ก็มีมนต์ขลังไม่เบา จากนั้นก็ออกมากินข้าวเที่ยงบวกเย็นที่ร้านอาหารใกล้ๆ โบสถ์
มื้อนี้เรากินข้าวผัดปาเอญ่า เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมด้วยปลาหมึกและปลาดองทอด เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ ปลาจะเหมือนปลาเค็มเอามาชุบแป้งทอด ส่วนปลาหมึกเข้าใจว่าเป็นตัวใหญ่ๆ แล้วเอามาหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วชุบแป้งทอดอีกที แต่ทอดเก่งนะ ไม่อมน้ำมันเลย
อาหารที่สเปนไม่ค่อยแพงในความรู้สึกฉัน โดยเฉลี่ยมื้อหนึ่งจะอยู่ประมาณ 50 - 70 ยูโร ซึ่งเป็นราคาที่รับได้ แล้วก็เดินดูเมืองรอบๆ จนประมาณ 1 ทุ่ม ก็เข้าโรงแรม
วันที่ 3 ออกจากโรงแรมเพื่อไปถ่ายรูปโบสถ์ตอนไม่มีคน
แล้วก็กินอาหารเช้าเหมือนเดิม ประมาณสิบโมงก็กลับมาที่โรงแรม
เอากระเป่าและเช็คเอาท์ แล้วเดินไปที่สถานีรถบัสไป Alhambra เมือง
Granada นั่งรถนานประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าได้ ดูวิวข้างทางจนหลับ จนตื่นมาดูวิว
จนหลับอีกรอบ ในที่สุดเราก็มาถึง Granada ที่พักเราอยู่ใกล้กับพระราชวัง
Alhambra เลย เราไปถึงตรงนั้นประมาณบ่ายสาม ก็ check in
ที่โรงแรม
เมืองนี้เป็นเมืองขั้นบันได ไม่รู้จะพูดยังไง เป็นเหมือนภูเขาทั้งสองด้านแล้วก็มีพื้นที่ราบคั่นตรงกลาง ทำให้โรงแรมของเราอยู่บนเนิดเขาด้วยเช่นกัน แต่ไม่ได้เปิดโล่งนะคะ บริเวณนั้นจะเต็มไปด้วยบ้านคน และ hostel
พอ check
in เสร็จก็เดินออกมากินลมชมวิว ฟ้าสว่างอากาศดีมาก
ไม่ร้อนมากจนเกินไป แต่ฟ้าอ่า เป็นสีฟ้าแบบไม่มีเมฆเลย ก็เดินดูเมือง กินไอติม
กินชูโรส แล้วก็กินข้าวผัดปาเอญ่า ที่นี่กินข้าวผัดปาเอญ่าสีดำซึ่งเป็นทำมาจากหมึกสีดำในตัวปลาหมึก
ไม่รู้คนอื่นชอบมั้ย แต่โดยส่วนตัวไม่ค่อยชอบเพราะมันค่อนข้างคาว แต่ไฮไลท์อยู่ตรง
ไข่เจียวสเปน สั่งมาชิมด้วย เป็นไข่เจียวหนาๆ เหมือนบ้านเรา แต่ไม่ค่อยมัน
แต่ใส่มันฝรั่ง หัวหอมใหญ่และกุ้งสับ (ไม่เยอะมาก) ก็อร่อยดี ถ้าจากเมืองไทยมานาน 5 วัน และไม่ได้กินอาหารไทยเลย
ไข่เจียวสเปนถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว
จากนั้นก็เดินชมเมือง
ขึ้นไปบนภูเขาอีกฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งพระราชวัง Alhambra เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดินซึ่งมีวิวด้านหลังเป็นพระราชวัง Alhambra ที่ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างดาวล้านดวง พอพระอาทิตย์ลับตาก็ได้เวลาเข้านอน
วันที่ 4 ออกจากโรงแรมเช้ามว๊ากกกกกก ประมาณ 6 โมงเช้า เพื่อเดินขึ้นเขาและต่อคิวรับบัตรเข้าชมพระราชวัง
ซึ่งเราจองไว้แล้วจากเมืองไทย เขาไม่สูงมาก สามารถเดินได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยมาก
พอไปถึงก็กินกาแฟรอ จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านในเพื่อชมพระราชวัง ภายในกำแพงจะมีอาคารหลายอาคาร หากเรามองผ่านกำแพงเมืองไปแล้ว จะเห็นหมู่บ้านหลังคาสีน้ำตาลตัวบ้านสีขาว สวยมากๆ
พอชมวังเสร็จก็ชมด้านนอกต่อ สวนที่สวยมาก กษัตริย์ ให้ความสำคัญกับการจัดสวนและสร้างพระราชวังมาก จนเสียเมืองเลยดูสิ ใช้เวลาที่นี่ทั้งหมดประมาณเกือบสี่ชั่วโมง ประมาณบ่ายโมงก็เดินลงมาข้างล่างและกินข้าวกลางวัน วันนี้กินร้านใกล้ๆ โรงแรม ร้านนี้ชื่อ La Fontana Granada ซึ่ง Tapas อร่อยมาก อร่อยทุกหน้าเลย และสลัดทูน่าก็อร่อยมาก และขาดไม่ได้ มาหลายวันแล้วยังไม่ได้ลอง Churros เลย ลองซะหน่อยที่เมืองนี้ Churros เสิร์ฟมาพร้อมกับ โกโก้ร้อนที่เข้มข้นมากๆ เสมือนเป็นซอสช็อกโกแลตสำหรับจิ้มกับ Churros โดยเฉพาะ
อิ่มแล้วก็ไปต่อ ก็ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรมและไปสนามบิน Granada เพื่อเดินทางต่อยัง Bacelona เราจะได้เข้าเมืองแล้วน๊า
จากสนามบิน Granada เป็นสนามบินเล็กๆ เล็กกว่าสนามบินดอนเมือง
เป็นครั้งแรกที่เห็นหมาขึ้นเครื่องบินแบบนั่งรวมกับคนเลย
เพราะเจ้าของหมาตัวนี้เป็นคนตาบอด เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็มาถึงสนามบินเมืองบาร์เซโลน่าอันหรูหราไฮโซมาก
เมืองนี้เป็นเมืองท่าของสเปน และมีความสำคัญไม่แพ้เมืองมาดริด ซึ่งเป็นเมืองหลวง
เรานั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินเข้ามาในเมือง โรงแรมที่เราพักชื่อ Room Mate ซึ่งอยู่กลางใจเมืองแถวๆ Catalonia Square ซึ่งเป็นจุดเชื่อมของสถานที่สำคัญหลายแห่ง
และใกล้กับแหล่งช็อปปิ้งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถนน La Ramblas, Gracia, Gran
via และอีกหลายถนน ซึ่งสามารถเดินไปได้เรื่อยๆ
ทุกถนนนั้นจะทะลุถึงกันหมด ช็อปได้ทั้ง Zara, H&M, Adidas ไปจนกระทั่ง ถนนสายไฮโซอย่าง LV Chanel และแบรนด์อื่นๆ
อืกมากมาย อาจจะไม่เยอะเท่าฝรั่งเศส แต่ก็มากพอที่จะทำให้เมืองนี้ไม่เงียบเหงา
และมากมายไปด้วยผู้คนจากทุกมุมโลก เมืองนี้เป็นเมืองเกาดี้
เกาดี้เป็นศิลปินชาวสเปน ที่สร้างตึกและอาคารหลายแห่งที่มีรูปร่างหน้าตาประหลาดๆ
แต่ดังไปทั่วโลก รวมถึง Sagrada Familia ด้วย
ตื่นเต้นจริงเชียวที่เราจะได้พบกัน วันนี้ได้เดินเล่นแค่รอบๆ โรงแรม
ซึ่งก็คือถนนช็อปปิ้งที่บอกไว้ตอนแรก พักผ่อนก่อนนะคะ วันนี้เดินทั้งวันเลย
วันที่ 5 ออกจากโรงแรมตอนเช้าเหมือนเดิม
เราชอบบรรยากาศทุกตอนของเมืองทุกเมือง เพื่อดูการใช้ชีวิตของผู้คน ไปนั่งกินกาแฟ
กินอาหารเช้า แบบที่คนท้องถิ่นเค้ากิน เค้าทำ เดินทางแบบที่คนเมืองเค้าเดินทางกัน
ซึ่งก็คือรถไฟฟ้าใต้ดินและรถบัส วันนี้เรามุ่งหน้าไปที่ Sagrada Familia แต่เช้า เพื่อจะเข้าไปชมโบสถ์ของเกาดี้ เพื่อให้คลายสงสัยว่า
ทำไมถึงสร้างมา 100 กว่าปีแล้ว ยังสร้างไม่เสร็จเสียที
แต่ไปถึงตรงนั้นประมาณ 8 โมง
ซึ่งมีคนตั้งแถวรอเข้าชมด้านในของโบสถ์แล้ว แต่ว่า Ticket office และประตูโบสถ์ยังไม่เปิด คนมากมายก็ถ่ายรุปกันด้านหน้า รวมทั้งตัวฉันด้วย
จากนั้น ฉันก็ไปนั่งรอร้านกาแฟใกล้ๆ โบสถ์ มันดีตรง จิบคาปูชิโน่ไป ดูโบสถ์ไป
แล้วก็นั่งแทะแซนวิชแท่งเบ่อเร่อเท่อไปพลาง มันเป็นแซนวิชที่อร่อยมาก
ทำจากขนมปังฝรั่งเศส ชื่อร้าน Pannus มีขนมปังให้เลือกมากมาย
กาแฟก็เช่นกัน
ประมาณสิบโมงกว่าๆ ticket office ก็เปิด แต่สิ่งที่เราได้รับก็คือ
ตั๋วถูกขายหมดแล้ว รอบที่เราจะได้เข้าโบสถ์เร็วที่สุดก็คือ 6 โมงเย็นของวันนี้ กรำแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องซื้อไว้ก่อน ค่าตั๋วก็ 18
ยูโรต่อคน จากนั้นก็เดินห่อเหี่ยวกับไปที่ถนนช็อปปิ้ง เดินไปเรื่อยๆ
เพื่อไปดูผลงานการสร้างของเกาดี้ที่อื่นๆ ไปพลาง ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกถนน
ไม่ว่าจะเป็น Casa Barllo, La Pedrera Casa Mila และอีกหลายที่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกัน
สามารถเดินไปได้เรื่อยๆ ท้องฟ้าก็สดใสเป็นใจต่อการเดินมากๆ
เราเดินไปเรื่อยๆ จนสุดถนนซึ่งเป็นท่าเรือยอชของบรรดาผู้รากมากดี มีตึกรูปร่างหน้าตาแปลกๆ แต่มองแล้วก็รู้ว่าคือตึกสัญชาติยุโรป เราก็นั่งชิลกันไป นอกจากนี้บริเวณ Portland ตรงนี้ ยังเป็นอนุสาวรีย์ของคริสโตเฟ่อร์ โคลัมบัสด้วยค่ะ
เราเดินไปเรื่อยๆ จนสุดถนนซึ่งเป็นท่าเรือยอชของบรรดาผู้รากมากดี มีตึกรูปร่างหน้าตาแปลกๆ แต่มองแล้วก็รู้ว่าคือตึกสัญชาติยุโรป เราก็นั่งชิลกันไป นอกจากนี้บริเวณ Portland ตรงนี้ ยังเป็นอนุสาวรีย์ของคริสโตเฟ่อร์ โคลัมบัสด้วยค่ะ
บ่ายแก่ๆ ก็เกิดหิวขึ้นมาแต่เบื่อแล้วอาหารสเปน
ก็มองหาอะไรกินจนไปเจอร้าน wok to walk ซึ่งเป็นร้านอาหารจีน ที่มีพวกข้าวผัด
ผัดหมี่ แล้วก็ให้เราเลือกว่าเราจะใส่เนื้อสัตว์อะไร อร่อยใช้ได้เลย แต่ว่าค่อนข้างมันมาก
จากนั้นก็เดินไปตลาด La Boqueria Mercat ซึ่งดีงาม
มีผลไม้ขาย มะม่วงสุกอร่อยมาก เอาเป็นว่าอร่อยกว่าเมืองไทย
นอกจากนี้ก็มีผลไม้อย่างสตรอเบอรี่ กีวี ที่ราคาไม่แพง เลือกกินได้ตามอำเภอใจ
แล้วก็จะฮามองขายหลายร้านมาก
แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนประมาณ ห้าโมงเย็น เราก็เดินกลับไปที่ Sagrada Familia อีกรอบ เพื่อต่อคิวเข้าไปชมด้านใน แล้วเราก็ได้รู้ว่า อะไรเอ่ยเข้าก็เสียดาย ไม่เข้าก็เสียดาย เอ่ออออ 18 เหรียญ
แต่ด้านในเราได้เข้าไปดูสุสานของเกาดี้ ด้านในด้วย อยู่ชั้นใต้ดิน ซึ่งจะก็มีประวัติเล่าว่า ที่โบสถ์นี้ยังไม่เสร็จเพราะเกาดี้มาเสียชีวิตเสียก่อน เกาดี้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ระหว่างที่เขาสร้างโบสถ์นี้อยู่ เช้ามืดวันหนึ่ง เขาออกมาด้านนอก แล้วข้ามถนนเพื่อกลับบ้านแต่เขาโดนรถชนตายเสียก่อน ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า ผู้ชายคนนี้คือเกาดี้ และแบบที่เขียนไว้ก็ถูกผู้ไม่ประสงค์ดี ทำลายไปจนหมด กว่าจะรวบรวมลูกศิษย์ของเกาดี้มาเพื่อให้ช่วยกันรวบรวมแนวความคิดของการสร้างโบสถ์นี้ได้เป็นรูปเป็นร่าง ก็ใช้เวลายาวนานหลายปี โบสถ์นี้ก็เลยยังสร้างอยู่ตลอดเวลาอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ และคาดว่าปี 2026 จะสร้างเสร็จ ฉันคิดว่าฉันจะกลับไปถ่ายรูปกับโบสถ์นี้อีกครั้งในตอนที่มันสร้างเสร็จแล้ว หลังจากชมเสร็จก็เดินกลับมาที่โรงแรม หมดไปอีกหนึ่งวันแล้วสินะ สินะ
แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนประมาณ ห้าโมงเย็น เราก็เดินกลับไปที่ Sagrada Familia อีกรอบ เพื่อต่อคิวเข้าไปชมด้านใน แล้วเราก็ได้รู้ว่า อะไรเอ่ยเข้าก็เสียดาย ไม่เข้าก็เสียดาย เอ่ออออ 18 เหรียญ
แต่ด้านในเราได้เข้าไปดูสุสานของเกาดี้ ด้านในด้วย อยู่ชั้นใต้ดิน ซึ่งจะก็มีประวัติเล่าว่า ที่โบสถ์นี้ยังไม่เสร็จเพราะเกาดี้มาเสียชีวิตเสียก่อน เกาดี้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ระหว่างที่เขาสร้างโบสถ์นี้อยู่ เช้ามืดวันหนึ่ง เขาออกมาด้านนอก แล้วข้ามถนนเพื่อกลับบ้านแต่เขาโดนรถชนตายเสียก่อน ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า ผู้ชายคนนี้คือเกาดี้ และแบบที่เขียนไว้ก็ถูกผู้ไม่ประสงค์ดี ทำลายไปจนหมด กว่าจะรวบรวมลูกศิษย์ของเกาดี้มาเพื่อให้ช่วยกันรวบรวมแนวความคิดของการสร้างโบสถ์นี้ได้เป็นรูปเป็นร่าง ก็ใช้เวลายาวนานหลายปี โบสถ์นี้ก็เลยยังสร้างอยู่ตลอดเวลาอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ และคาดว่าปี 2026 จะสร้างเสร็จ ฉันคิดว่าฉันจะกลับไปถ่ายรูปกับโบสถ์นี้อีกครั้งในตอนที่มันสร้างเสร็จแล้ว หลังจากชมเสร็จก็เดินกลับมาที่โรงแรม หมดไปอีกหนึ่งวันแล้วสินะ สินะ
วันที่ 6 วันนี้มีเป้าหมายจะไปกิน churros และเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ
หลังจากชมวิวจนอิ่มแล้วก็นั่งรถลงมาข้างล่างเพื่อกินข้าวบ่ายกัน
จากนั้นก็เดินขึ้นไปดูน้ำพุ และสิ่งที่ทำให้ตะลึงกับไม่ใช่น้ำพุ แต่เป็นเหมือน Museum ที่สร้างบนเนินแล้วมีน้ำตก Magic Fountain Montjuic ที่เปิดปิดเป็นเวลา ซึ่งฉันโชคดีมากที่ไปที่นั่นทันเวลาที่เขาเปิดน้ำตกพอดี มองเผินๆ ที่นี่เหมือน Montmart ที่ฝรั่งเศส ลักษณะคล้ายๆ กันเลย
แล้วก็เดินไปห้างที่รูปร่างแปลกตา
ลักษณะเหมือน Colossuem ที่อิตาลี แต่เป็นสีแดง อยู่กลางแยก
สวยเด่นเชียว
เดินได้ซักพักก็นั่งรถไฟฟ้ากลับไปเดินต่อแถวๆ โรงแรม ซึ่งวันนี้เราเดินจนดึก ได้เห็นจตุรัส กาตาลุนย่า ในอีกแบบหนึ่ง ซึ่งที่นี่ดีตรง สองสามทุ่มแล้วก็ยังมีคนคึกคักมาก ได้เวลาอันสมควรก็กลับเข้าโรงแรมเพื่อพักผ่อนตามอัธยาสัย
หลังจากเดินไปได้ซักพัก ก็ไปถึงโบสถ์ Barcelona
Cathedral โบสถ์นี้ดีนะ แต่ก็สวยคล้ายๆ โบสถ์อื่นๆ ในยุโรปทั่วๆ ไป
แล้วก็เดินชมสถาปัตยกรรมอันงดงามของเมืองนี้ อากาศวันนี้ดี แดดแรงหน่อย
แต่ฟ้าสวยมาก จากนั้นก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ
จนมาถึงร้านกาแฟร้านหนึ่งที่อยู่ตรงที่เราจะขึ้นรถไฟฟ้า ชื่อ Capuccino 23 ร้านนี้ดูดีและคนเยอะเชียว
ดูมีประวัติอันยาวนาน ก็เลยเดินเข้ามากินกาแฟก่อน ขาดไม่ได้ก็ Churros ครั้งที่แล้วไม่ประทับใจเท่าไหร่ก็เลยลองอีก กะไว้ว่าจะลองไปทุกเมือง ไหนๆ
ก็มาถึงสเปนแล้ว อืม ก็ดีกว่าที่เคยกินมา แต่ก็ยังไม่สุดในความรู้สึกของฉัน
จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์เพื่อไปจุดชมวิว ตอนแรกเรากะจะไปเขามองจูอิก แต่ไหงไปถึง Montjuic
Castell ได้ ที่นี่เสียค่าเข้า เป็นเหมือนป้อมที่อยู่ริมเมืองท่า
เรามองเห็นท่าเรือของบาร์เซโลน่าอย่างชัดเจน และเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของมัน
ท่านี้เป็นที่เทียบเรือที่ใหญ่มาก สามารถจอดเรือสำราญจำพวก Royalcaribian ได้ 4 ลำ และก็ยังมีพื้นที่ที่สามารถจอดได้อีกหลายลำ
วิวสวย ฝั่งหนึ่งเป็นทะเล อีกฝั่งหนึ่งเป็นเมืองหลังจากชมวิวจนอิ่มแล้วก็นั่งรถลงมาข้างล่างเพื่อกินข้าวบ่ายกัน
จากนั้นก็เดินขึ้นไปดูน้ำพุ และสิ่งที่ทำให้ตะลึงกับไม่ใช่น้ำพุ แต่เป็นเหมือน Museum ที่สร้างบนเนินแล้วมีน้ำตก Magic Fountain Montjuic ที่เปิดปิดเป็นเวลา ซึ่งฉันโชคดีมากที่ไปที่นั่นทันเวลาที่เขาเปิดน้ำตกพอดี มองเผินๆ ที่นี่เหมือน Montmart ที่ฝรั่งเศส ลักษณะคล้ายๆ กันเลย
เดินได้ซักพักก็นั่งรถไฟฟ้ากลับไปเดินต่อแถวๆ โรงแรม ซึ่งวันนี้เราเดินจนดึก ได้เห็นจตุรัส กาตาลุนย่า ในอีกแบบหนึ่ง ซึ่งที่นี่ดีตรง สองสามทุ่มแล้วก็ยังมีคนคึกคักมาก ได้เวลาอันสมควรก็กลับเข้าโรงแรมเพื่อพักผ่อนตามอัธยาสัย
วันที่ 7 ออกแต่เช้าเหมือนเดิม เพื่อนั่งรถไฟฟ้าไปสนามฟุตบอลแคมป์นู
ของทีมบาซ่า วันนี้หลงทางค่ะ แถมลืมทาครีมกันแดด หงุดหงิดเป็นที่สุด
การเดินทางมาสนามนั้นต้องเดินทางด้วยรถไฟและต่อด้วยรถบัส และเดินอีกประมาณหนึ่ง
ซึ่งต้องมาซื้อตั๋วเข้าชมด้านใน เราได้เข้าชมทั้งสนาม ห้องสัมภาษณ์ ที่นั่งวีไอพี
เวลามีการแข่ง และ shop ของบาซ่า
ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้วที่นี่ (ซึ่งก็ต้องเป็นแบบนั้น)
เสื้อบอลรวมค่าเบอร์และชื่อแมสซี่แล้ว 190 เหรียญ
ซึ่งกินไม่ได้ แล้วซื้อมั้ย?
เราออกจากที่นั่นช่วงเที่ยงพอดี เลยไม่มีเวลานั่งกินอาหารเป็นกิจลักษณะ ก็เลยต้องกินกาแฟและขนมปังประทังชีวิต และเราก็ได้เจอร้านขนมอร่อยอีกร้าน ชื่อร้าน PAN ซึ่งมีสาขาทั่วสเปน
เราออกจากที่นั่นช่วงเที่ยงพอดี เลยไม่มีเวลานั่งกินอาหารเป็นกิจลักษณะ ก็เลยต้องกินกาแฟและขนมปังประทังชีวิต และเราก็ได้เจอร้านขนมอร่อยอีกร้าน ชื่อร้าน PAN ซึ่งมีสาขาทั่วสเปน
จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับมาในเมือง ก็กลับมาเดินแถวๆ โรงแรมเป็นการอำลา
อาลัยนิดหนึ่ง เอาจริงๆ บาร์เซโลน่าเป็นเมืองหนึ่งที่เราชอบ
มันมีความหลากหลายและคึกคักเกือบจะตลอดเวลา ไม่เหมือนยุโรปอื่นๆ
และคนที่นี่ก็น่ารัก เป็นมิตรมากๆ เทใจให้เลย ให้หมดใจไม่พอ ยังหมดเนื้อหมดตัวไปกับเมืองนี้ด้วย
ปลื้มปริ่มจนไม่รู้จะบรรยายยังไง
จากนั้นก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟความเร็วสูงกลับไปมาดริด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ควรเลือกตั๋วเครื่องบินแบบ Multi ควรยอมจ่ายแพงกว่านิดหน่อยเพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางกลับไปกลับมา
และที่สำคัญ ค่ารถไฟความเร็วสูงที่นี่ก็ไม่ได้ถูกๆ ตกคนละประมาณ 200 ยูโรต่อเที่ยวเลยทีเดียว ประมาณ สามชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงเมืองมาดริด
เมืองหลวงของสเปน สำหรับที่นี่เราพักโรงแรม Europa Hotel อยู่ตรง
ปูเอว์เตอร์เดลโซลอยู่ใกล้รูปปั้นหมี (Bear and the Madroño Tree) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองมาดริด น้ำพุ Cibeles และ กม.ที่ 0 บริเวณหน้าศาลาว่าการเมืองมาดริด และอยู่ไม่ไกลจาก จตุรัส plaza
mayor square และ Royal palace of Madrid รวมถึง
Madrid Cathedral ด้วย คือดี พูดเลย
แถมยังคึกคักมากถึงมากที่สุด เมืองนี้แทบจะไม่ต้องนั่งรถไฟฟ้า หรือรถเมล์
เพราะว่าเราสามารถเดินไปเรื่อยๆ ได้ เหนื่อยก็พัก หิวก็กิน ฉันชอบเมืองนี้
เมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน แต่วันนี้เราต้องพักก่อนนะ เพราะเริ่มดึกแล้ว ก็ไปเดิน Super
mercat ห้าง El corte หาอะไรกินตามอัธยาศัย
วันนี้ราตรีสวัสดิ์แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะ
วันที่ 8 ออกแต่เช้าเหมือนเดิม
เช้านี้ฝากท้องไว้กับร้านเบเกอรี่ร้าน La Malloquina
ที่ติดอันดับถูกแนะนำว่าเป็นร้านที่ขนมอร่อยมากและมีความหลากหลายของขนมหลายสายพันธุ์ประกอบกัน
ก็ไปชิมอย่างเป็นทางการ พายแอปเปิ้ลก็อร่อยดี
แต่โดยส่วนตัวแล้วเราก็ไม่ได้คิดว่ามันอร่อยมากมายอย่างใครหลายคนพูดเอาไว้จนเราเชื่อ
จากนั้นก็เดินไป Plaza Mayor เพื่อไปถ่ายรูปอีกครั้ง ซึ่งมีอนุสาวรีย์ อยู่บริเวณนั้นด้วย และโดยรอบก็จะมีร้านอาหารอยู่ แต่ว่าเปิดค่อนข้างสาย คือแต่ละร้านจะเปิดประมาณ 10 โมงเช้าเป็นต้นไป ก็เดิน survey ไปเรื่อยๆ จากหัวมุมถนนหนึ่ง ไปอีกมุมถนนหนึ่ง ผ่านตลาดซึ่งจะมีอาหารประจำชาติอย่างทาปาซ ขายอยู่เต็มไปหมด ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกันไป แล้วก็เดินไปกิน Churros ที่ว่ากันว่าอร่อยที่สุดในโลก เป็นร้านต้นตำหรับและร้านเก่าแก่ของเมืองมาดริด ต้นกำเนิดของ Churros อย่างร้าน Chocolateria San Gines ซึ่งจะให้เราสั่งเป็นชุดๆ ร้านนี้มีป้ายหน้าร้านสีเขียว ซึ่ง 1 ชุดเล็กก็เยอะมากจนกินได้สองคน ถามว่าอร่อยมั้ย ถ้าไม่ได้ลองก็เสียดาย ถ้าลองก็จะได้รู้ว่า ของแท้มันเป็นยังไง
พอกินเสร็จก็เดินต่อไปอีกหัวมุมถนนจนถึง Royal palace of Madrid รวมถึง Madrid Cathedral แต่เราเลือกเข้าไปชมพระราชวังก่อน ซึ่งต้องเข้าไปซื้อตั๋วที่อาคารด้านขวามือ จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ ถึงตัวพระราชวัง และฝากของ เป้ กล้อง ที่ locker ที่นี่ไม่อนุญาตให้เราถ่ายรูปด้านใน สามารถถ่ายได้บางจุด (ซึ่งเป็นจุดที่ไม่สวย และเราก็ไม่ได้อยากถ่าย)
วังที่นี่สวยดี แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่ายุโรปอื่นๆ ตรงกันข้าม ออกจะเล็กกว่าวังของยุโรปทั่วไปด้วยซ้ำ ชมได้ซักพักก็กลับออกมา และเดินต่อไปยังโบสถ์ ตอนนั้นก็บ่ายแล้ว เลยเดินกลับไปตรงจตุรัส plaza mayor square อีกครั้งเพื่อกินข้าวบ่าย
เราเลือกร้านหนึ่งที่ดูโอเคชื่อ Cafeteria Magerit เป็นอาหารไม่ใหญ่มาก ขายอาหารพื้นเมืองของสเปนและสังเกตเห็นว่า ทุกร้านจะขายแซนวิชหรือจะเรียกเบอร์เกอร์ก็ได้ เป็นขนมปังไส้ปลาหมึกชุบแป้งทอด ก็เลยสั่งมาลอง อืมก็อร่อยดีค่ะ เหมือนกินปลาหมึกชุบแป้งทอดบ้านเราเลย แล้วก็สั่งสลัดและกาแฟอีกรอบ พออิ่มแล้วก็เดินชมเมืองเป็นการเบิร์นไปในตัวเพราะอยู่ที่นี่กินขนมปังขาวเยอะมาก แถมอาหารก็มันๆ ทั้งข้าวผัดและอาหารทอดต่างๆ รวมถึงแซนวิชด้วย
เราเดินลัดเลาะไปตามถนน Gran Via จนถึง Puerta de alcala ซึ่งเป็นประตูชัยหนึ่งของเมืองมาดริด
จากนั้นเดินมาอีกนิดก็จะเจอ Plaza de Cibeles ซึ่งเป็นอีกจตุรัสที่ต้องเดินมาชม เพราะจะมีน้ำพุที่เค้าว่ากันว่าสวยงามอยู่ด้านหน้าด้วย เป็นอันจะต้องไปถ่ายรูปคู่อะไรประมาณนั้น
แล้วก็เดินวนไปจนกลับมาที่ถนน Gran Via อีกครั้ง ซึ่ง H&M และ Zara ราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับเมืองไทย ก็ช็อปวนไปจนค่ำและวันนี้เราก็ตบท้ายด้วยทาปาซอีกรอบ เพราะอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับเมืองไทยแล้ว
จากนั้นก็เดินไป Plaza Mayor เพื่อไปถ่ายรูปอีกครั้ง ซึ่งมีอนุสาวรีย์ อยู่บริเวณนั้นด้วย และโดยรอบก็จะมีร้านอาหารอยู่ แต่ว่าเปิดค่อนข้างสาย คือแต่ละร้านจะเปิดประมาณ 10 โมงเช้าเป็นต้นไป ก็เดิน survey ไปเรื่อยๆ จากหัวมุมถนนหนึ่ง ไปอีกมุมถนนหนึ่ง ผ่านตลาดซึ่งจะมีอาหารประจำชาติอย่างทาปาซ ขายอยู่เต็มไปหมด ซึ่งมีหน้าที่แตกต่างกันไป แล้วก็เดินไปกิน Churros ที่ว่ากันว่าอร่อยที่สุดในโลก เป็นร้านต้นตำหรับและร้านเก่าแก่ของเมืองมาดริด ต้นกำเนิดของ Churros อย่างร้าน Chocolateria San Gines ซึ่งจะให้เราสั่งเป็นชุดๆ ร้านนี้มีป้ายหน้าร้านสีเขียว ซึ่ง 1 ชุดเล็กก็เยอะมากจนกินได้สองคน ถามว่าอร่อยมั้ย ถ้าไม่ได้ลองก็เสียดาย ถ้าลองก็จะได้รู้ว่า ของแท้มันเป็นยังไง
พอกินเสร็จก็เดินต่อไปอีกหัวมุมถนนจนถึง Royal palace of Madrid รวมถึง Madrid Cathedral แต่เราเลือกเข้าไปชมพระราชวังก่อน ซึ่งต้องเข้าไปซื้อตั๋วที่อาคารด้านขวามือ จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ ถึงตัวพระราชวัง และฝากของ เป้ กล้อง ที่ locker ที่นี่ไม่อนุญาตให้เราถ่ายรูปด้านใน สามารถถ่ายได้บางจุด (ซึ่งเป็นจุดที่ไม่สวย และเราก็ไม่ได้อยากถ่าย)
วังที่นี่สวยดี แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่ายุโรปอื่นๆ ตรงกันข้าม ออกจะเล็กกว่าวังของยุโรปทั่วไปด้วยซ้ำ ชมได้ซักพักก็กลับออกมา และเดินต่อไปยังโบสถ์ ตอนนั้นก็บ่ายแล้ว เลยเดินกลับไปตรงจตุรัส plaza mayor square อีกครั้งเพื่อกินข้าวบ่าย
เราเลือกร้านหนึ่งที่ดูโอเคชื่อ Cafeteria Magerit เป็นอาหารไม่ใหญ่มาก ขายอาหารพื้นเมืองของสเปนและสังเกตเห็นว่า ทุกร้านจะขายแซนวิชหรือจะเรียกเบอร์เกอร์ก็ได้ เป็นขนมปังไส้ปลาหมึกชุบแป้งทอด ก็เลยสั่งมาลอง อืมก็อร่อยดีค่ะ เหมือนกินปลาหมึกชุบแป้งทอดบ้านเราเลย แล้วก็สั่งสลัดและกาแฟอีกรอบ พออิ่มแล้วก็เดินชมเมืองเป็นการเบิร์นไปในตัวเพราะอยู่ที่นี่กินขนมปังขาวเยอะมาก แถมอาหารก็มันๆ ทั้งข้าวผัดและอาหารทอดต่างๆ รวมถึงแซนวิชด้วย
เราเดินลัดเลาะไปตามถนน Gran Via จนถึง Puerta de alcala ซึ่งเป็นประตูชัยหนึ่งของเมืองมาดริด
จากนั้นเดินมาอีกนิดก็จะเจอ Plaza de Cibeles ซึ่งเป็นอีกจตุรัสที่ต้องเดินมาชม เพราะจะมีน้ำพุที่เค้าว่ากันว่าสวยงามอยู่ด้านหน้าด้วย เป็นอันจะต้องไปถ่ายรูปคู่อะไรประมาณนั้น
แล้วก็เดินวนไปจนกลับมาที่ถนน Gran Via อีกครั้ง ซึ่ง H&M และ Zara ราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับเมืองไทย ก็ช็อปวนไปจนค่ำและวันนี้เราก็ตบท้ายด้วยทาปาซอีกรอบ เพราะอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับเมืองไทยแล้ว
วันที่ 9 วันนี้มี plan ออกนอกเมือง
เราจะนั่งรถไปนอกเมือง เราจะไปเที่ยว Segovia ซึ่งในปีที่ฉันได้ไปที่นี่
เป็นปีที่ท่ารถบัสเปลี่ยนจากสถานีหนึ่งเป็นสถานีหนึ่งและยังเป็นคนละอาคารกันด้วย
กว่าจะหารถเจอก็แทบจะแย่ แต่ก็นะ การเดินทางที่สะดวกสบาย หาอะไรก็เจอไปหมด
อาจไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก
Segovia
เป็นอีกเมืองที่เรียกได้ว่า ถ้ามาสเปนคงจะต้องมาดู
เมืองนี้เป็นเมืองโบราณ ซึ่งมีเอกลักษณ์ของเมืองอยู่ตรงสะพานส่งน้ำ
ที่สร้างตั้งแต่สมัยโรมัน เรานั่งรถจากมาดริด ไปประมาณ เกือบ 3 ชั่วโมงก็ไปถึงเมืองนี้ ก็ประมาณเที่ยงแล้ว ตรงบริเวณท่ารถบัส
พอมาถึงแล้วแนะนำให้ซื้อตั๋วกลับเก็บไว้ก่อนสำหรับคนที่ไม่ได้คิดว่าจะค้างที่นี่
เพราะบางครั้งคนเยอะมากจนไม่สามารถหารถกลับไปยังเมืองมาดริดได้
จากท่ารถเข้ามาย่านตัวเมืองต้องเดินเข้ามาประมาณ 2 km ซึ่งจะเห็นสะพานส่งน้ำโดดเด่นเป็นสง่าเลยทีเดียว
สองข้างทางจะเป็นร้านอาหารพื้นเมืองและอาหาร Fusion ทั่วไป
จากนั้นก็เข้าไปเยี่ยมชมโบสถ์เซโกเบีย
อาจดูไม่สวยงามมากนักเมื่อเทียบกับโบสถ์อื่นๆ ของสเปน แต่ก็มีความขลังอยู่ไม่เบา
เราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ จริงๆ ก็มีคนขี่จักรยาน แต่ด้วยสภาพพื้นที่ที่เป็นเนินเขา
อาจจะลำบากซักหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นผลอะไรกับเรา เพราะเราเดินค่ะ เดินวนไป
เป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย เหมือนกับเราเมืองนี้เป็นเมืองภูเขา
เราต้องเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งสองข้างทางก็มีอะไรให้เราเดินดูเพลินๆ
มันเหมือนเมืองๆ หนึ่งเลย เอิ่มมมมมม
ฉันคิดเองว่ามันเหมือน Granada แต่มีความโบราณมากก่า จนถึง Segovia Lagendaria เป็นเหมือน Alcazar อีกทีหนึ่งที่ต้องเข้าไปชม ที่นี่ก็มีทั้งโบสถ์ และร้านค้าสองข้างทางที่ขายสินค้าพื้นเมืองสไตล์เมืองเซโกเบีย และวิวเมืองก็ดีมากๆ มันน่าทึ่งตรงที่ฝั่งหนึ่งเป็นวิวเมือง ฝั่งหนึ่งมีป่าไม้ อีกฝั่งมีทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง มันเป็นไปได้ยังไง มันเป็นไปแล้วที่นี่ ความหลากหลายของสภาพภูมิประเทศและอากาศคือมนต์เสน่ห์ ตอนที่มาถึงแดดกำลังแรงเลย ก็เลยเหนื่อยมากกว่าปกติ อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว แต่ในความร้อนก็ทำให้สีเป็นสีฟ้ามากๆ และสวยกว่าที่เคยเห็นที่ไหนๆ
เราไม่สามารถเดินได้ทั่วในเวลาหนึ่งวัน แต่ก็เลือกที่เป็น Highligh ของเมืองนี้ จนประมาณเกือบห้าโมงก็เดินออกจากตรงนี้ไปตรงที่เราลงรถเมื่อตอนเที่ยง เพื่อรอรถกลับไปยังมาดริด เป็นอีกความประทับใจที่คนชอบประวัติศาสตร์อย่างฉันจะไม่ลืม
กลับมาแถวโรงแรมอีกครั้ง ก็ยังคงความคึกคักเหมือนเดิม
ยังมีแรงเดินรอบๆ โรงแรมต่อจนสี่ทุ่มถึงเดินเข้าโรงแรม วันนี้หลับฝันดีเลย
วันที่ 10 ตื่นเช้ามายังคงอยู่แถวๆ โรงแรม
เดินไปถ่ายรูปกับหมีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมาดริดก่อนกลับ
จริงๆ แล้วอยู่ใกล้โรงแรมมาก ชนิดที่ว่า เดินไม่ถึงห้าสิบก้าวก็ถึงแล้ว แต่ด้วยคนที่เยอะตลอดเวลา วันนี้ตื่นเช้ามากก็เลยเดินมาถ่ายรูป ดีเชียว ไม่มีคนเลย แล้วก็เดินไปถ่ายรูปกับ กมที่ 0 ของเมืองมาดริด ซึ่งอยู่หน้าศาลาว่าการเมืองมาดริด แล้วก็ไปกินกาแฟกับแซนวิชของเมืองนี้อีกครั้งที่ร้าน Rodilla Puerta del Sol ซึ่งมีแซนวิชหลายชนิด รวมถึงขนมปังฝรั่งเศสปิ้งให้กรอบ จากนั้นนำมากินกับมะเขือเทศสดปั่น และน้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ที่เราได้กินบนรถไฟจากมาดริดไป Codoba ในวันแรกที่มาถึง
จริงๆ แล้วอยู่ใกล้โรงแรมมาก ชนิดที่ว่า เดินไม่ถึงห้าสิบก้าวก็ถึงแล้ว แต่ด้วยคนที่เยอะตลอดเวลา วันนี้ตื่นเช้ามากก็เลยเดินมาถ่ายรูป ดีเชียว ไม่มีคนเลย แล้วก็เดินไปถ่ายรูปกับ กมที่ 0 ของเมืองมาดริด ซึ่งอยู่หน้าศาลาว่าการเมืองมาดริด แล้วก็ไปกินกาแฟกับแซนวิชของเมืองนี้อีกครั้งที่ร้าน Rodilla Puerta del Sol ซึ่งมีแซนวิชหลายชนิด รวมถึงขนมปังฝรั่งเศสปิ้งให้กรอบ จากนั้นนำมากินกับมะเขือเทศสดปั่น และน้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ที่เราได้กินบนรถไฟจากมาดริดไป Codoba ในวันแรกที่มาถึง
ดูแล้วมันไม่น่าอร่อยใช่ป่ะ
คือจะบอกว่าอร่อยมากจนตอนนี้ก็อยากกลับไปกินอีก อร่อยน้ำตาไหล พูดเลย
แล้วก็ขนมปังไส้ผักโขม และกินแซนวิชอีกประมาณ 5 ชิ้น 5 รสที่แตกต่างกันไปกาแฟ
หนึ่งแก้ว ราคาก็ไม่แพงมากสำหรับร้านนี้
จากนั้นก็เดินย่อยชมเมืองอีกครั้งก่อนกลับก็ได้เวลาประมาณเที่ยงพอดี
แต่เรายังไม่หิว เลยตัดสินใจ check out จากโรงแรมและขึ้นรถไฟใต้ดินไปต่อสถานีรถไฟเพื่อไปสนามบิน
โดยคิดว่าจะไปช็อปต่อที่สนามบิน และเผื่อเวลาในการทำ tax refund ที่สนามบิน ซึ่งเป็นไปตามคาด ก็คือหายากมาก ต้อง stamp จาก custom ด้านนอก ซึ่งจะให้โชว์ของที่ซื้อมาด้วย เพราะฉะนั้นเตรียมของให้ดีและจัดการให้เรียบร้อยก่อนการ check in จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดค่ะ จากนั้นเมื่อผ่าน passport
control ไป จากนั้น นั่งรถไฟฟ้าเพื่อไปขึ้นเครื่องอีกอาคารหนึ่ง
ทางที่เราจะไปขึ้นเครือ่งจะมีป้ายบอกว่า ให้ไปรับ tax refund ที่ไหน ซึ่งจะแยกเป็น 2 counter คือ innova และ Global Blue ลองเดินสุ่มดูก็ได้ค่ะ ถ้าไม่ได้เจ้าหน้าที่จะบอกเราเองว่าให้ไป counter ถัดไป ชิวๆ ไป อย่าไปกังวล
ฉันไม่รู้ว่าการเดินทางท่องเที่ยวสำหรับคนอื่นคืออะไร
แต่สำหรับฉันแล้ว มันคือเชื้อเพลิงในการทำงานและใช้ชีวิตที่จ่ายเงินซื้อโดยที่นั่งเฉยๆ ไม่ได้
แต่คุณต้องไปสัมผัสมันด้วยตัวเอง
แต่สำหรับฉันแล้ว มันคือเชื้อเพลิงในการทำงานและใช้ชีวิตที่จ่ายเงินซื้อโดยที่นั่งเฉยๆ ไม่ได้
แต่คุณต้องไปสัมผัสมันด้วยตัวเอง
Trick สำหรับมนุษย์เงินเดือน เก็บเงินยังไงให้เที่ยวยุโรปได้
- เก็บเงินเป็นรายเดือนนำไปฝากประจำ (ห้ามถอน) เพราะจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าด้วย หรือจะซื้อกองทุนระยะสั้นที่สามารถเบิกถอนได้ก็ได้ค่ะ
- วางแผนล่วงหน้านานๆ อย่าใจร้อน ในขณะเดียวกันนี้ก็อย่าลืมสร้าง statement เพื่อใช้ในการขอวีซ่าด้วย จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
- ทะยอยจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม รถไฟ เพื่อให้จ่ายเงินทีละนิด ไม่ต้องจ่ายเงินก้อน ทำให้เสียดาย และไม่อยากเดินทาง และพยายามจองแบบที่สามารถจ่ายเงินทีหลังได้
- แลกเงินไปพอประมาณ ไม่ต้องเยอะเกินไป ใช้บัตรเครดิตบ้างก็ได้ แต่อย่าเกินตัว เพราะการพกเงินไปเยอะๆ ถ้ามี accident อะไรขึ้นมา จะได้รับผลกระทบเยอะ
- ทำการบ้านให้ดี จะได้ไม่พลาดของดีในแต่ละเมือง
แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะคะ
#โตแล้ว ออกไปท่องโลกบ้าง จะได้รู้ว่าโลกมันกว้างใหญ่ขนาดไหน
by Akiko
#โตแล้ว ออกไปท่องโลกบ้าง จะได้รู้ว่าโลกมันกว้างใหญ่ขนาดไหน
by Akiko
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น