สรุปข้อคิดที่ได้จากหนังสือ "THE FIVE SECRETS YOU MUST DISCOVER BEFORE YOU DIE" ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย

หลังจากที่เราได้อ่านหนังสือ "THE FIVE SECRETS YOU MUST DISCOVER BEFORE YOU DIE" ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย เขียนโดย ดร.จอห์น ไอโซ แล้วเรารู้สึกอินมาก😍😌 จนอยากเขียนสรุปเก็บเอาไว้ เราคิดว่ามันคือหลักการที่สามารถเอามาใช้กับชีวิตได้จริงๆ และสำคัญเลยทีเดียว

โดยหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เราซื้อมานานหลายปี โดยคุณโหน่ง วงศ์ทนง เคยแนะนำหนังสือเล่มนี้ไว้ในรายการ เจาะใจ หืมมมมม แค่ฟังชื่อรายการก็รู้แล้วเน๊อะ ว่านานแค่ไหน แต่เราเพิ่งจะได้มีโอกาสอ่านในปีนี้ ด้วยปณิธานปีใหม่ของปี 2023 ว่าจะอ่านหนังสือให้ได้ 52 เล่มใน 52 สัปดาห์ และเล่มนี้ก็เป็นเล่มหนึ่งที่เราอยากพูดถึงและรู้สึกประทับ แอบคิดว่าทำไมไม่อ่านตั้งนานแล้วนะ ประกอบกับเราพยายามเอามันมาปรับใช้กับชีวิตตัวเอง แล้วพบว่า มันดีมากจริงๆ😊

หนังสือเล่มนี้เป็นการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปทั่วโลกหลายร้อยคนเกี่ยวกับคำแนะนำที่กลุ่มคนเหล่านั้นอยากแนะนำคนรุ่นหลังเพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข หรืออยากแนะนำให้ทำตั้งแต่ตอนนี้เพื่อที่จะไม่ต้องรู้สึกเสียดายหรือเสียใจทีหลัง ซึ่งทางผู้เขียนได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ดังกล่าวและพบว่า มีคำตอบที่ระบุถึง 5 สิ่ง ที่ผู้สูงอายุหลายท่านแนะนำตรงกัน ได้แก่

1.จงซื่อสัตย์กับตัวเอง ซึ่งเป็นหลักการข้อเดียวกับที่หนังสือหลายๆ เล่ม พยายามบอกเราว่า ให้ซื่อสัตย์และฟังเสียงหัวใจของตัวเอง อะไรคือความต้องการที่แท้จริง อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของเรา และให้ถามตัวเองเสมอว่า เรากำลังใช้ชีวิตของตัวเอง หรือเรากำลังใช้ชีวิตของคนอื่นกันแน่ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของชีวิต เรื่องการทำงาน หรืองานอดิเรกอื่นๆ ที่เราอยากทำ เราได้ทำอย่างที่หัวใจเรียกร้องแล้วหรือยัง

หลายคนอาจจะผูกติดอยู่กับหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆ ที่ทำให้เราไม่สามารถผละตัวออกมาทำในสิ่งที่เรารัก หรือต้องการจริงๆ ได้ทั้งหมด แต่บางส่วนของชีวิต เราสามารถบริหารจัดการเวลาที่เรามี เพื่อทำสิ่งที่เรารัก และสิ่งนั้นจะช่วยเติมเต็มชีวิตของเราให้ก้าวเดินต่อไปได้อย่างมีความสุข

2. อย่ารู้สึกเสียดายทีหลัง ในหัวข้อนี้พูดถึงการเสี่ยงกับชีวิตและกล้าลงมือทำมากขึ้น แทนที่จะกลัวความล้มเหลว เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่กล่าวตรงกันว่า พวกเค้าเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทดลองทำมากกว่าสิ่งที่ทำแล้วประสบกับความล้มเหลว เพราะการยอมรับความเสี่ยงและลงมือทำนั้น โอกาสประสบความสำเร็จจะเท่ากับ 50% แต่ถ้าเราไม่กล้าแม้แต่จะลอง ก็เท่ากับเราได้เจอกับความล้มเหลว 100%

ทั้งนี้ยังรวมถึงความสัมพันธ์ที่ต้องเยียวยา หรือค้างคา มีการมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ความโกรธ ความเกลียดที่ค้างคาใจ ยิ่งนับวันจะยิ่งทำร้ายตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างความเจ็บปวดให้กับตัวเอง ดังนั้นจงเคลียร์ปัญหาเหล่านี้ให้จบ เคลียร์ความรู้สึกของตัวเอง การกล่าวขอโทษ หรือกล่าวขอบคุณ กับคนรอบตัวที่เรารู้สึกติดค้าง หรือค้างคาใจ จะทำให้รู้สึกสบายใจ และมีความสุขมากขึ้น

3. ใช้ชีวิตด้วยความรัก ความรักในที่นี้ไม่ใช่อารมณ์รัก แต่เป็นความรู้สึกเข้าใจในทุกๆ สิ่ง ทั้งการรักตัวเอง รักคนที่เรามีความสัมพันธ์รอบตัว และรักผู้อื่น

สิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับการรักตัวเอง คือการเข้าใจและยอมรับตัวเองอย่างแท้จริง ทุกคนไม่สมบูรณ์แบบ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มุมมองของเราต่อสถานการณ์ต่างๆ คือสิ่งที่เราควบคุมได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจไม่สามารถทำได้เลยในตอนนี้ แต่เราสามารถฝึกฝนได้ หัดให้อภัยตัวเอง พูดดีๆ กับตัวเอง ปลอบใจตัวเอง และชื่นชมตัวเองบ้าง

รักความสัมพันธ์รอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ครอบครัว สามี ภรรยา ลูก รวมไปถึงเพื่อน เพื่อนร่วมงาน คนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรา ให้รักและเข้าใจพวกเค้าแม้ในวันที่พวกเค้าไม่น่ารัก 

และสุดท้ายคือการมองผู้อื่นด้วยความรัก จะทำให้เรารู้สึกโกรธ เกลียด คน สัตว์ สิ่งของและสถานการณ์รอบตัวที่ไม่เป็นดั่งใจน้อยลง 

มันทำยากมากกกกกกกกกกกกกก (กอไก่ล้านตัว) เราเองก็ยังทำไม่ได้ แต่คิดว่า จะฝึกตั้งแต่วันนี้ ฝึกให้มีควาเมตตาต่อตัวเองและคนรอบข้าง และพยายามเข้าใจว่าทำไมเค้าทำตัวไม่น่ารัก มันคงไม่ได้ 100% หรอกแต่มันน่าจะช่วยให้สุขภาพจิตเราดีขึ้น เพราะความจริงไม่มีใครสมบูรณ์แบบบนโลกใบนี้ และเราไม่สามารถบังคับให้ใครทำแต่สิ่งที่เราชอบได้ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังทำในสิ่งที่เราไม่ชอบเลย

4. อยู่กับปัจจุบัน ข้อนี้เข้าใจง่ายมาก คือทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด 

ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เช่นตั้งใจเข้าประชุม โดยไม่ทำงานอื่น (ซึ่งเราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน 555)

ให้เวลาและให้ความสนใจคนที่อยู่ตรงหน้าเราในขณะนี้ เวลานี้ มากที่สุด โดยไม่สนใจสิ่งอื่น ตั้งใจฟังในสิ่งที่เค้าพูด 

ตั้งใจกินข้าวโดยไม่ดูโทรศัพท์หรือทำอย่างอื่น หรือแม้แต่อาบน้ำแบบตั้งใจอาบน้ำจริงๆ 

ประมาณนี้ ซึ่งมันพูดง่ายแต่ทำยากมาก เพราะทุกวันนี้เราพยายามทำตัว multi tasking แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้เรื่องซักอย่าง ในหนังสือบอกว่าให้เราระลึกเสมอว่า ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเตือนตัวเองให้เรา อิ่มเอม และใช้เวลาทุกช่วงเวลาอย่างตั้งใจ

5. จงให้มากกว่ารับ ให้ถามตัวเองทุกวันว่าวันนี้ เราได้สร้างประโยชน์อะไรให้แก่โลกหรือคนรอบข้างบ้างแล้วหรือยัง สิ่งแรกที่เราสามารถทำได้คือ การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน เพียงเท่านี้เราก็สามารถช่วยโลกได้แล้ว และการช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ มีความเมตตาต่อผู้คน จะทำให้เรามีความสุขเมื่อได้ย้อนนึกถึงเรื่องราวและสิ่งที่เราประโยชน์เหล่านั้น ทำให้รู้สึกอิ่มเอม มากกว่า ตำแหน่งหน้าที่งานของคุณ ทรัพย์สิน เงินทองต่างๆ เสียอีก เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีคุณค่า

ขอยกตัวอย่างสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้คือ เราอาจจะทำงานหลักที่เราไม่ได้รู้สึกรักมันเสียทีเดียว แต่เราก็พยายามมองหาข้อดีจากการทำงานดังกล่าว แน่นอนว่าเราได้ค่าเหนื่อยและผลตอบแทนเป็นเงินที่สามารถเอาไปต่อยอดหาเงินในช่องทางอื่นๆ ได้ ทำให้เราสามารถไปใช้ชีวิตหรือทำสิ่งที่ชอบและต้องการได้ เช่นการเขียน blog ต่างๆ โดยในวันหยุด เราสามารถใช้เงินก้อนนี้ไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่เราชอบและทำความฝันให้เป็นจริง รวมไปถึงการซื้อหนังสือมาอ่านเพื่อพัฒนาตัวเอง หรือเข้าคอร์สเรียนเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตัวเองเพิ่มมากขึ้น การทำแบบนี้เราก็ได้ตอบสนองจิตวิญญาณของเราแล้วนะ เราก็ได้ซื่อสัตย์กับตัวเองแล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถทำได้ทุกเรื่องก็ตาม

และในการทำงานของเราสามารถช่วย support หรือช่วยเหลือคนอื่นได้ ทั้งเพื่อนร่วมงาน หรือคนอื่นๆ ทั้งในรูปแบบของการใช้ความสามารถของตัวเราเองและรูปแบบของเงินที่เราสามารถแบ่งปันบางส่วนให้คนอื่นได้ 

นอกจากนี้ เรายังลงมือทำทุกอย่างทันที โดยไม่คิดว่า "เดี๋ยวค่อยทำ" ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ งานที่ต้องทำ ถึงแม้จะไม่อยากทำ และการขอโทษหรือขอบคุณคนที่เรารู้สึกคั่งค้างอยู่ในใจ มันทำให้เรารู้สึกสบายใจจริงๆ นะ สิ่งหนึ่งที่อยากทำได้มากกว่านี้ ก็คือ การอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้เป็นข้อที่ยากที่สุดสำหรับเรา แต่ก็ตั้งใจว่าจะพยายามทำให้ดีขึ้นทุกวัน 

อ่านเถอะ ไหว้แหละ

Panlapa Akiko😉


รีวิว Gucci Horsebit 1955 vs Dior Bobby vs Celine Triomphe Bag : ใบไหนดีที่จะใช้ได้ยาวๆ จากประสบการณ์การใช้งานจริงทุกใบ


ถ้าพูดถึงของใช้สำหรับผู้หญิง ก็คงหนีไม่พ้น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางค์ เครื่องประดับต่างๆ หลายๆ คนก็อาจจะบอกว่า เราก็สนใจทุกเรื่องที่ใช้เงิน😂😂 (ซึ่งก็อาจจะจริง หุๆ) แต่ที่เราเห็นผู้หญิงให้ความสำคัญค่อนข้างมากก็คือ กระเป๋า นั่นเอง เพราะมันแทบจะติดตัวเราไปตลอด ซึ่งชาวเรามีสัมภาระติดตัวกันค่อนข้างเยอะ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้กระเป๋ากันอยู่ทุกวัน และก็มีหลายคนที่มีกระเป๋าเยอะมาก เสมือนกับมีชีวิตอยู่สองหมื่นปี ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีกระเป๋าเยอะแยะมากมายขนาดนั้น แค่มี 1 ใบที่มีลักษณะที่ดูดี มีการตัดเย็บที่ดี อาจจะเป็นหนังที่มีคุณภาพดี สามารถใช้ได้กับหลายลุค แมชกับการแต่งตัวได้ง่ายทั้งแบบทางการและไม่ทางการ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเป็นกระเป๋าคู่ใจ

แต่พอเราทำงานมาได้สักระยะหนึ่ง พอสร้างเนื้อสร้างตัวได้ พอมีเงินเก็บและมีเงินเหลือจากการทำภารกิจสำคัญต่างๆ อย่างผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ดูแลครอบครัวแล้ว ก็คงไม่ผิดที่เราอยากจะมีของดีๆ หรือที่เราชอบเอาไว้ใช้บ้างตามความเหมาะสม 

ซึ่งเราจะมาพูดถึงกระเป๋าที่ดูคลาสสิค มีขนาดที่ใช้งานได้จริง หมายถึงใส่ของได้จริง ใช้งานได้จริง และไม่ต้องทะนุถนอมมากนัก สามารถใช้ได้ยาวๆ 3 ใบ เรียกได้ว่าเป็น It Bag เลยก็ว่าได้ ซึ่งอาจจะมีคนรีวิวแต่ละรุ่นไว้แล้วมากมายว่าแต่ละรุ่นต่างกันมีลักษณะด้านนอก ด้านใน เป็นแบบไหนบ้าง แต่เราจะทำการเปรียบเทียบการใช้งานจริงหลังจากที่ได้งานแล้วระยะหนึ่งด้วย โดยเราจะไม่พูดเรื่องราคา แต่จะเน้นที่การใช้งานและการเปรียบเทียบของแต่ละรุ่นมากกว่า

เริ่มรุ่นแรกที่เป็นรุ่นฮิตสำหรับผู้หญิงหลายๆ คนก็คือ Gucci Horsebit 1955 Shoulder Bag ซึ่งเราเลือกเป็นไซส์ใหญ่เนื่องจากเป็นผู้หญิงที่ทำงานจริงๆ ของเยอะจริงๆ เราเลือกเป็นลายโมโนแกรม ด้านนอกเป็นแคนวาสลาย GG ส่วนด้านในเป็นหนังผสมกับผ้าไมโครไฟเบอร์ ซึ่งกระเป๋ารุ่นนี้มาด้วยช่องใส่ของจุใจมาก ช่องใหญ่ถึง 3 ช่อง คืออยากใส่ก็ใส่ได้เลยตามอำเภอใจ สามารถใส่กระเป๋าสตางค์ใบยาวได้ด้วย ไอโฟนใหญ่ยักษ์อย่าง iphone pro max ก็สามารถอยู่ร่วมกันกับกระเป๋าสตางค์ใบยาวได้ไม่ติดขัดใดๆ เครื่องสำอางค์เอย อะไรเอย สามารถยัดทุกสิ่งได้เลยค่ะ 

รุ่นนี้จุของได้เยอะ และไม่ต้องรักษาเยอะเลย เพราะไม่เป็นริ้วรอยใดๆ จะโดนเล็บจิกหรือจะฟาดนู่น ขูดนี่บ้าง น้องก็อดทนสุดๆ 😍😍😍เนื่องจากเป็นแคนวาส อาจจะมีตรงก้นกระเป๋าบ้างซึ่งเราคิดว่ามันไม่เป็นนัยยะสำคัญ สำหรับสายก็สามารถปรับระดับได้ดีเลย จะใช้แบบชิคๆ ก็ปรับสายสั้นหน่อย อยาก Cross body น้องก็สามารถทำได้อย่างดี 

ข้อเสียของรุ่นนี้ก็คือ น้ำหนักค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับกระเป๋ารุ่นอื่นๆ ดังนั้นด้วยความใบใหญ่สามารถใส่ของได้เยอะก็จะยิ่งหนักมาก ไหล่ทรุดได้ หากต้องสะพายทั้งวัน 😁 หลายๆ คนอาจจะคิดว่าตัวเล็กจะใช้ไซส์นี้ได้มั้ย สำหรับเราคิดว่ามันไม่ได้ใหญ่ไปสำหรับคนตัวเล็ก แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่คนชอบ แนะนำว่าก่อนตัดสินใจซื้อควรไปลองสะพายที่ช็อปก่อนเพื่อดูว่าเราเหมาะกับไซส์ไหน และแบบไหนที่เราสามารถใช้งานได้จริง

ใดๆ ก็คือก่อนตัดสินใจซื้อ ไม่อยากมโนในใจแล้วกดๆ ถึงแม้ว่ากายพร้อม ใจพร้อม บัตรเครดิตพร้อม เพราะการซื้อของที่มีราคาแบบนี้สำหรับเรา สำหรับเรา เราอยากได้ของที่ดีและเหมาะสมกับเราที่สุด ถูกใจเราจริงๆ และสามารถอยู่ด้วยกันไปได้ยาวๆ เพราะกระเป๋าแบบนี้ ย้ำว่า เราไม่ได้ซื้อมาเพื่อเพิ่มมูลค่าของมัน ความคุ้มค่าจะเกิดขึ้นเมื่อเราได้ใช้มันบ่อยๆ และใช้ได้นานๆ มากกว่าค่ะ

ต่อมาอีกใบที่ดูมีความวินเทจแต่ยังดูเป็นกระเป๋าไม่ได้แฟชั่นจ๋า ใช้งานได้จริง ใส่ของได้จริงแม้จะมีช่องเดียวแต่เป็นช่องที่เอาเรื่องเอาราวค่ะ สามารถใส่ของได้เยอะมากและเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต และหลังจากที่ใช้งานมาแล้วระยะหนึ่งก็คืออยากแนะนำเลย นั่นก็คือ Dior Bobby size medium จริงๆ size small ก็ดูน่ารักแต่ใส่อะไรไม่ได้เลย ก็เลยคิดว่าไม่เหมาะกับชาวเรา พนักงานออฟฟิสผู้เยอะสิ่ง สำหรับรุ่นนี้มีให้เลือกหลายสีเลย แล้วสีก็คือละมุนมาก ทั้งฟ้าพาสเทล สีขาวก็คือปุ๊กปิ๊กไม่ไหว แต่สีที่เราชอบมากๆ และคิดว่าน่าจะใช้ได้ยาวๆ ก็คือสีน้ำตาลและสีดำ ตัดสินใจอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกสีดำมา
ด้วยน้องเป็นหนังลูกวัวผิวเรียบ หลายๆ คนอาจจะคิดว่า น้องเป็นรอยง่าย แต่สำหรับเรา น้องทนพอสมควรเลย แน่นอนว่าไม่เท่า Gucci ซึ่งเป็นแคนวาส การใช้งานอาจจะไม่ได้สมบุกสมบันเท่า แต่ก็ไม่ได้จะต้องทะนุถนอมน้องมากจนเกิดความกังวล ด้วยกระเป๋าใบนี้มีก้นกระเป๋าทรงกึ่งๆ ไปทางกลมมน ทำให้ดูวินเทจ และดูคลาสสิคในเวลาเดียวกัน แต่ก็ยังสามารถเข้ากับสไตล์การแต่งตัวได้หลากหลาย ทั้งสไตล์ casual และทางการ ก็คือมีใบเดียวสามารถใช้ได้ทุกกาละเทศะ มีความเท่ห์ซ่อนอยู่กรุบหนึ่ง นอกจากนี้น้องยังมีช่องด้านหลังสำหรับใส่แบงค์และการ์ดที่เราหยิบใช้บ่อยๆ ได้ด้วย
ส่วนสายก็สามารถปรับปรับระดับได้ และสามารถถอดสายได้ด้วย อ่อ ถ้าเป็น size small หากถอดสายแล้วคาดว่าจะถือเป็น คลัชไปงานต่างๆ ได้ด้วยค่ะ ก็อาจจะต้องลองเลือกดูว่า สไตล์เราเป็นแบบไหน หากเราเป็นสาวหวานไม่เน้นสัมภาระ size small ก็จะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน และราคาก็ย่อมเยาว์กว่าด้วยค่ะ

ใบสุดท้ายที่อยู่ในหมวดหมู่นี้ ดีต่อใจสาวๆ วัยทำงานก็คือ Celine Triomphe Bag ใบนี้เป็นใบที่ซื้อช้าที่สุด จริงๆ มองน้องมาตั้งแต่ราคายังไม่พุ่งขนาดนี้ แต่ก็คิดว่า เรามีสองใบนั้นอยู่แล้ว จะซื้อมาอีกจะดูเป็นการสิ้นเปลืองมั้ยนะ ตัดใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ตัดใจไม่ไหว เพราะน้องกวนใจเหลือเกิน ใบนี้มองไว้สีเดียวเลยก็คือสีดำเท่านั้นเพราะตัดกันกับอะไหล่ทองและ size medium ดูเหมือนจะมี combination ที่ลงตัวที่สุดในบรรดา 3 size อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวของเรานะคะ ส่วนใบเล็กจริงๆ ก็มีคนใช้เยอะเหมือนกัน แต่ออกแนวแฟชั่นมากกว่า เพราะน้องใส่ของได้น้อยมาก ใบนี้มีความคล้าย Dior Bobby ก็คือเป็นหนังลูกวัว หนังเรียบเหมือนกัน แต่มีความเงากว่า แล้ว Buckle Logo ของน้องก็คือสีทองตะโกน สวยมาก มองจากระยะ 500 เมตรก็ยังรู้ว่าอ่อ น้อง Celine ในกระเป๋าน้องมี 3 ช่องคือ 1 ช่องใหญ่ตรงกลางและ 2 ช่องด้านหน้าและด้านหลัง
สำหรับใบนี้ หนังน้องค่อนข้างเงา และมีความนิ่ม แต่อยู่ทรง หลังจากที่เราได้พาน้องไปผ่านสงครามมา น้องถึกใช้ได้เลย หนังไม่ได้เป็นรอยง่ายขนาดนั้น แต่น้องมีความดูดฝุ่น คือเราไม่แน่ใจว่าหนังน้องมีลักษณะอะตอมดึงดูดหรืออย่างไร ฝุ่นจะปลิวมาเกาะน้องตลอดเวลา ต้องคอยเอามือเช็ดออก รวมถึงเวลาเราใส่เสื้อผ้าที่มีขนด้วย

จากการใช้งานจริงทั้งสามใบ น้องๆ ใส่ของได้เยอะและสามารถใช้งานได้จริงทุกใบ ไม่สวยไปวันๆ แล้วก็ไม่เป็นรอยง่าย ทำให้สาวๆ ออฟฟิสที่ต้องใช้ชีวิตถึกๆ แบบเราๆ ไม่ต้องดูแลรักษาน้องเยอะ อ่อ ทุกใบผ่านฝนมาหมดแล้ว ก็ไม่เป็นรอยด่างใดๆ นะคะ แค่พอเข้าร่มแล้วก็เอาผ้าแห้งๆ นุ่มๆ ซับน้อง แค่นี้ก็พอแล้ว นับเป็นสามใบที่ซื้อมาแล้วจะไม่มีวันเสียใจแน่นอนค่ะ คุ้มค่าที่สุด

คะแนนความชอบโดยภาพรวม Celine (ชอบมากที่สุด) Dior (รองลงมา) Gucci (อันดับสาม)
น้ำหนักเรียงจากมากไปน้อย Gucci ชนะเลิศ ส่วน Celine กับ Dior ไม่ค่อยหนักค่ะ

อย่างที่บอกไปแต่ต้นว่า เราไม่ดราม่ากันนะคะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแต่ละคน ถ้าใครไม่ชอบก็ผ่านไปดู Topic อื่นๆ ได้นะคะ แต่สำหรับเรา มีเพื่อนและคนรู้จักหลายคนมาถามถึงกระเป๋าสามใบนี้บ่อยมาก ว่าเป็นยังไงบ้าง ดีมั้ย หนักมั้ย เราเลยทำรีวิวนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนที่กำลังตัดสินใจซื้อมีข้อมูลเบื้องต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แนะนำให้ไปลองสะพาย ดูสีและขนาดที่ shop อีกที และเลือกให้เหมาะกับตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนเรา เพราะทุกรุ่นก็มีขนาด สีสัน และวัสดุหลากหลายแบบให้เลือก ขอให้ Enjoy ค่ะ

Akiko


Journal เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเรา : การเขียน Journal เพื่อลดความเครียด คลายความกังวล By Akiko

Journal คืออะไร จริงๆ แล้วมันคล้ายๆ กับการที่เราเขียน Diary สมัยที่เรายังเด็ก แต่จะมีหัวข้อหรือเนื้อหาในการเขียนที่ชัดเจนและมีความต่อเนื่องมากกว่าการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และยังเป็นการบันทึกอารมณ์ ความรู้สึกของเราที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย ก่อนหน้านี้ทางเราก็เขียนไดอารี่บ้างเป็นพักๆ 📓📝📔 แต่ก็เขียนๆ หยุดๆ มาตลอดเน้นเขียนตามอารมณ์ เพราะแค่ต้องการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของตัวเอง แต่ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ด้วยภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว เราเองเหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มีความกังวล และความเครียด ค่อนข้างมาก จนกระทบต่อการใช้ชีวิต เราไม่สามารถนอนหลับได้อย่างปกติ พอนอนไม่พอก็หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห และชอบบ่น (ซึ่งมาถึงตอนนี้เรารู้เลยว่า คนขี้บ่น น่ารำคาญมาก และเราจะไม่เป็นแบบนั้นอีก) เราเจอปัญหานี้มาประมาณ 6 เดือนในขณะที่ต้องทำงานหนักมากๆ และจัดการเรื่องต่างๆ มากมาย แน่นอนว่าชีวิตไม่ค่อยดีหรอก แต่ก็พยายามฝืนจนไม่ไหวละ คิดว่าประสาทจะแ_กเต็มทน 😞😞

จนได้คุยกับพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง ซึ่งต้องขอบคุณมากที่เค้าช่วยแนะนำหนังสือ "แด่เธอ บนดาวเคราะห์ช่างกังวล (Notes on A Nervous Planet) เขียนโดย Matt Haig" ซึ่งผู้เขียนเค้าเขียนหนังสือตอนที่เค้าเป็นโรคซึมเศร้า เราเริ่มรู้สึกสงสัยและสนใจว่า การเขียนจะช่วยให้เราลดความเครียดและความกังวลได้ยังไง ก็เลยฟัง podcast เกี่ยวกับ Journaling และ Free Writing มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ podcast ของ Jo and Nes ที่แนะนำเกี่ยวกับการเขียนบ่อยมาก ว่ามันช่วยให้เราเครียดน้อยลงและจัดการตัวเองได้ดีขึ้นจริงๆ และการเขียนเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคซึมเศร้าร่วมกับการให้ยาด้วย เราเริ่มลงมือเขียนจริงๆ จังๆ ช่วงต้นปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มปีใหม่พอดี เหมาะเลยที่เราจะเริ่มต้นสร้างกิจวัตรใหม่ๆ ประกอบกับเราเพิ่งได้สมุดบันทึกมาหลายเล่มจากการเติมเงิน Starbucks แล้วสมุดก็น่ารักมากกกกกกก ยิ่งทำให้อยากเขียนมากขึ้นไปอีก ก็เลยตั้งใจว่าปี 2021 เราจะเริ่มเขียน journal อย่างจริงจังซะที และต้องเขียนทุกวัน จะได้รู้ซะทีว่ามันดีแบบที่เค้าว่ากันรึป่าว 

😊เริ่ม😊

จริงๆ การเขียน journal มีหลายแบบมาก จะเขียนเป็น paragraph ก็ได้ เป็น Bullet ก็ได้ (ซึ่งโดยส่วนตัว แบบ Bullet เราใช้สำหรับ to do list การจัด priority เรื่องงานมากกว่า) สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ Bullet journal method วิถีบันทึกแบบบูโจ เขียนโดย Ryder Carroll บางคนก็เขียนแบบ Morning page ตามคำแนะนำ จากหนังสือ The artist way ของ Julia Cameron ที่แนะนำว่า ทุกๆ เช้า ช่วงที่เพิ่งตื่นนอนให้เราเขียนบันทึก 3 หน้าทันที และเขียนอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เขียนทุกอย่างที่อยู่ในหัว เรื่องอะไรก็ได้ เป็นแบบไหนก็ได้ ดีหรือไม่ดีก็ได้ และไม่ต้องกลัวว่าจะเขียนผิด ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครอ่านมั้ย เค้าไม่ให้เราใช้ความคิด แต่ให้เขียนทุกสิ่งที่อยู่ในหัวทุกอย่างออกมา จะหงุดหงิดใคร โกรธ เกลียดใครหรือกังวลอะไรก็ให้เขียนออกมาให้หมด แล้วพอครบ 3 หน้าแล้วให้หยุดเขียนเลย แล้วไม่ต้องกลับไปอ่านอีก อย่างน้อย 120 วัน หรือบางคนก็เขียนก่อนนอน ก็คือแล้วแต่เลยว่าเราสะดวกแบบไหนก็ทำแบบนั้น แต่ของเรา เราเขียนเวลาที่เราว่างๆ มีเวลาอยู่นิ่งๆ กับตัวเอง และไม่เร่งรีบ ซึ่งส่วนใหญ่คือตอนเช้าไม่ก็ตอนพักกลางวัน หัวข้อที่เราจะเขียนก็จะมีประมาณนี้คือ

1.วันนี้เรามีอะไรดีๆ ในชีวิตบ้างที่เรารู้สึกขอบคุณ มีหลายคนแนะนำให้ทำ แต่เราว่ามันเพ้อเจ้อมาก จนเรายอมบังคับตัวเอง ให้เริ่มคิดถึงสิ่งดีๆ ในชีวิตเราเป็นอย่างแรกแล้วเขียนลงไปในสมุดบันทึกทุกวันๆ ละ 5 อย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนกระทั่งถึงเรื่องใหญ่ วันแรกๆ คิดไม่ออกเลย เขียนถึงผัดกระเพราบ้าง โจ๊กบ้าง ขนมปังบ้าง เหมือนง่ายแต่ยากมาก เราใช้เวลา 3 เดือนในการฝึกเรื่องนี้ และทุกวันนี้เราสามารถเขียนได้เยอะมาก

เช่น ขอบคุณที่เราได้อยู่ในบ้านที่ดีและอบอุ่น🏠บ้านเรามีมุมน่ารักๆ เยอะมาก เหมือนคาเฟ่เลย แล้วเราก็ชอบมันมาก ขอบคุณตัวเองที่จัดจานขนมได้สวยงามและน่ากินมาก ขอบคุณที่แม่สุขภาพดีมาก แข็งแรงสุดๆ และแม่ยังช่วยเราดูแลบ้านที่เพชรบุรี แล้วก็ไม่เคยรบกวนอะไรเราเลย 👪ขอบคุณที่เรามีเงินใช้ทุกวัน ไม่เคยรู้สึกขาดเลย ขอบคุณที่เราแข็งแรงมาก จนเราสามารถทำงานดึกๆ ดื่นๆ ได้💪ขอบคุณที่วันนี้ไม่มีปัญหาหนักๆ เลย และเราสามารถรับมือทุกอย่างได้สบายมาก ขอบคุณที่เจ้านายเห็นด้วยกับไอเดียของเรา ขอบคุณที่วันนี้ไม่ปวดไหล่เลย😜ขอบคุณที่เรามีของดีๆ มากมายให้เราใช้สอย ขอบคุณที่เรามีงานทำ พอเรามีงานทำเราก็มีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ได้กินของอร่อยๆ ขอบคุณที่ทีมงานเราดีมาก ทำให้เราไม่เหนื่อยจนเกินไป พวกนี้ เราสามารถเขียนไปได้ทุกวัน จะเขียนซ้ำเรื่องเดิมก็ได้ 

สิ่งสำคัญคือ เราต้องฝึกพอใจสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ตอนนี้ อย่ารู้สึกขาดไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น และให้รู้สึกว่าเราโชคดี พอทำแบบนี้บ่อยๆ มันก็โชคดีจริงๆ นะ การที่เราเขียนสิ่งดีๆ มันยิ่งทำให้สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่มันคือ ความคิดของเราที่มีต่อชีวิตของตัวเอง

2.วันนี้เป็นยังไงบ้าง รู้สึกยังไง มีความสุข สบายใจ หรือกำลังเครียดและกังวลอยู่ อาจมีการย้อนไปเมื่อวานด้วย หากเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกเยอะๆ เช่น รู้สึกอึดอัดมากที่ต้องไปเจอคนกลุ่มนี้ รู้สึกไม่ชอบที่ต้องคุยกับคนนี้ รู้สึกนอนไม่หลับเลยเพราะกังวลเรื่องนี้ เป็นต้น

เราจะเขียนแบบนี้แยกเป็นเหตุการณ์ออกมา แล้วอธิบายมันอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนจะเพ้อเจ้อ แต่รู้มั้ยว่า การเขียนแบบนี้ทำให้เรารู้เรื่องของตัวเองเยอะขึ้นมาก เพราะเราเป็นคนเครียดง่าย การจดบันทึกทำให้เรารู้ว่า เราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ไม่ชอบคนแบบไหน เพื่อคอย track ตัวเองด้วยว่า เราอย่าเป็นแบบนั้น เช่น เราไม่ชอบคนไม่ตัดสินใจ คนที่ชอบให้เรื่องของตัวเอง เป็นภาระของคนอื่นตลอดเวลา อ่อนไหวไปซะทุกเรื่อง เราก็จะคอยเตือนตัวเองว่าอย่าเป็นคนแบบนั้น 

อะไรทำให้เราทุกข์😔และอะไรทำให้เรามีความสุข😝เพื่อที่เราจะได้พยายามเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เราอยู่แล้วมีความสุข หรือทำกิจกรรมที่เรามีความสุขบ่อยๆ ซึ่งมันโครตดีมาก สำหรับเรา ให้เลือกสนิทกับคนที่เราอยากสนิทจริงๆ คนที่ทำให้เรารู้สึกมีพลังเวลาที่เราได้เจอหรือได้คุยกับเค้า หรือคนไหนที่คุยแล้วมีแต่พลังลบ เจอกันก็บ่นตลอดเวลา ด่าคนนั้นคนนี้ นินทาคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ หรือบางคนที่อาจจะพูดดีกับเรา ชมเราว่าดีแบบนั้นแบบนี้ แต่ลึกๆ แล้วเรารู้สึกได้เลยว่า คำพูดนั้นมันคือคำพูดกระแนะกระแหน ซึ่งเราไม่ชอบ เราก็จะพยายามห่างจากคนแบบนี้ เพราะมันทำให้เราเครียด พอเรารู้จักแยกแยะและหลบหลีกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า เราเครียดน้อยลงมาก ทำให้รู้เลยว่า จริงๆ แล้วคนรอบตัวเรามีผลกับชีวิตเราขนาดไหน อาจจะทำไม่ได้ 100% เพราะเราก็ต้องทำงานและอยู่ในสังคมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ก็แยกแยะได้มากขึ้น

3. สิ่งที่เราเครียดหรือกังวล เราสามารถทำอะไรได้บ้าง จัดการอย่างไร เราได้อ่านหนังสือ The Little book of Stoicism ของ Jonas Salzgeber สำหรับเราเป็นหนังสือที่เข้าใจยากนะ อ่านสองรอบแล้วก็ยังไม่เข้าใจทุกหน้า แต่หลักการมันโอเคเลย คือเราต้องแยกแยะระหว่างสิ่งที่เราควบคุมได้ กับ สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ โดยสรุปคือ เราต้องทำสิ่งที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด เช่น ถ้ามีงานยากๆ ที่เจ้านายให้มาทำ แล้วต้องไปเสนอ ซึ่งเราก็จะเครียด เพราะไม่รู้ว่าจะผ่านมั้ย เค้าจะเห็นด้วยมั้ย จะโดนด่ามั้ย 555 แต่เราควบคุมความคิดเห็นของเจ้านายไม่ได้ เราก็แค่ทุ่มเท หาข้อมูล และทำให้ดีที่สุด ฝึกซ้อมนำเสนอ หาข้อมูล support ให้แน่นๆ ส่วนจะโอเคไม่โอเค ก็ให้เป็นธุระของเจ้านาย แล้วก็ปล่อยวาง หรือแม้แต่ความกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา ก็เป็นส่วนที่เราควบคุมไม่ได้เช่นกัน เพราะมันไม่มีทางที่เราจะทำทุกอย่างได้ถูกใจทุกคน ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ 100% แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละ เราต้องเจอกับความเครียดและความกังวลแบบนี้ไปอีกหลายร้อยหลายพันครั้งจนกว่าจะตายไปจากโลกนี้แหละ😊


4. เป้าหมายของวันนี้คืออะไร เดือนนี้คืออะไรบ้างที่ต้องทำให้สำเร็จ สำหรับเราเอาแค่ระดับเดือนพอ ไม่ต้องระดับปี เพราะเอาตรงๆ คือ Resolution ปีใหม่ เราทำได้น้อยมาก เพราะเราแทบจะไม่เคยกลับไปเปิดดูด้วยซ้ำว่าเราเขียนอะไรไว้บ้าง เราคิดแค่วันนี้ อาทิตย์นี้ เดือนนี้ก็พอ แล้วพยายามทำให้ครบตามที่ตั้งเอาไว้ เช่น การไปทำธุรกรรมที่ธนาคาร หรือการทำงานบ้าน การอ่านหนังสือ การพาแม่ไปทำธุระหรือไปกินข้าวหรือไปเที่ยว ซึ่งจะรวมธุระของคนอื่นๆ ในบ้านที่เราต้องมีส่วนร่วมในการทำไปแล้ว จากนั้นก็จัด priority  และทำให้สำเร็จ ไม่ผัดวันไปเรื่อยๆ วิธีนี้จะช่วยให้เรารู้สึกกังวลกับเรื่องเหล่านี้น้อยลง รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย

ข้อสุดท้าย เขียนสิ่งที่เราชอบและอยากทำ หรืออยากได้มีอะไรบ้าง และจะต้องทำยังไงบ้างถึงจะได้มา ซึ่งข้อนี้ไม่ต้องเขียนทุกวัน แต่ให้กลับมาอ่านบ่อยๆ เพื่อทบทวน ว่าเรายังอยากได้อยู่มั้ย หรือยังอยากเป็นแบบที่เขียนไว้อยู่หรือเปล่า และ list นี้สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แต่ส่วนตัวคิดว่า อย่าเขียนเยอะเกินไป เพราะจะทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง หลายคนมี Happy List หรือ Wish List📝เราก็มีเหมือนกัน เราจะเขียนออกมาเลยว่าเราชอบอะไรบ้าง หรือเรามีความสุขเวลาเราทำอะไร เช่น

เราชอบเพื่อนคนนี้ พี่คนนี้ เวลาคุยแล้วเราสบายใจ รู้สึกว่าได้รับพลังดีๆ เราก็จะคุยกับเค้าบ่อยๆ อาจจะทักไลน์คุยกันทุกอาทิตย์ เป็นต้น

หรือเราอยากไปเที่ยวต่างประเทศ เขียนให้ละเอียดว่าประเทศอะไร ทำไมถึงอยากไป ถ้าไปแล้วจะไปทำอะไรบ้าง ต้องใช้เงินเท่าไหร่ 

หรือของที่เราอยากได้ ทำไมเราถึงอยากได้ เพราะชอบมันจริงๆ หรือแค่อยากมีเพราะคนอื่นมีกัน หรือแค่ตามแฟชั่น ถ้าได้มาแล้วเราจะรู้สึกอย่างไร แล้วเราจะทำอะไรตอบแทนที่เราได้ของชิ้นนั้นมา เช่น เราจะใช้มันให้คุ้มค่าไม่ต่ำกว่ากี่ปี หรือตั้งเป้าว่า เราจะซื้อของชิ้นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเก็บเงินได้เป็นสองเท่าของราคาของ แล้วซื้อของนั้นพร้อมกับโปะบ้าน หรือซื้อกองทุน เป็นต้น

เราเขียนแค่นี้เอง เขียนมาตลอด 3 ปี ก็รู้สึกว่า เราเครียดและกังวลน้อยลง โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องส่วนตัวหรือปัญหาส่วนตัวให้ใครฟัง ถ้าเค้าไม่ถาม เพราะเราคิดว่า ทุกคนก็มีปัญหาของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น และก็คงไม่มีใครอยากฟังปัญหาของคนอื่นเพิ่มเติม ซึ่ง Journaling จะเข้ามาช่วยเราในส่วนนี้ มันเหมือนเรามีเพื่อนที่รับฟังเราตลอดเวลา เราโกรธ โมโห หงุดหงิดโว้ยยยยยย อยากด่าเหลือเกิน ก็เขียนลงไปเลย จะได้รู้สึกดีขึ้นและใจเย็นลง 

เราทำแล้ว เราคิดว่ามันดีกับชีวิตจริงๆ ก็อยากให้คนที่มีปัญหาแบบเราลองทำดู รับรองว่า ไม่เกิน 6 เดือนคุณจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตตัวเอง😉😊

Akiko


ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...