เนื่องจากทริปนี้มีความทุลักทุเลประมาณหนึ่ง และค่อนข้างใช้ความพยายามสูง เราก็เลยอยากบันทึกเก็บไว้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้ไปล่าแสงเหนือด้วย 😊ทางเรามีการวางแผนการเดินทางไปเที่ยวประเทศนอร์เวย์ไว้ตั้งแต่ปลายปี 2022 โดยมีความตั้งใจว่าจะไปดูแสงเหนือโดยเฉพาะเลย ส่วนที่เหลือก็เหมือนเป็นผลพลอยได้ของทริป โดยได้มีการวางแผนทะยอยจองตั๋วเครื่อง ที่บิน และต่างๆ ไว้เรื่อยๆ
เราไปขอวีซ่าที่ VFS ตัวแทนในการดำเนินการขอวีซ่าของสถานทูตนอร์เวย์ ซึ่งต้องเข้าไปสมัคร Account และกรอกข้อความต่างๆ ให้ครบถ้วน และจ่ายเงินผ่าน website ค่าใช้จ่ายในการขอวีซ่า 80 ยูโร💶 จากนั้นก็เตรียมเอกสารต่างๆ เพื่อประกอบการยื่น โดยนัดวันเวลาและไปยื่นเอกสารทั้งหมดที่ VFS มีค่าดำเนินการของ VFS ประมาณ 1,000 บาท (รวมค่าจัดส่งเล่มถึงบ้าน) ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเราไม่ขอรับข้อความแจ้งเตือนใดๆ ทาง SMS ทั้งสิ้นเนื่องจากต้องเสียค่าข้อความอีก 70 บาท 555 ด้วยความงกก็ไม่มีทางจ่ายแน่นอน มั่นใจว่าน่าจะผ่านแน่ๆ 😁😁 เพราะเราเคยขอวีซ่าเชงเก้นมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งมีหลายๆ คนขอวีซ่าที่นี่ไม่ผ่าน โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยเดินทางไปเที่ยวยุโรป และไม่เคยขอวีซ่าเชงเก้นมาก่อน แต่เราไม่มีความกังวลตรงนั้นเลย เราใช้เวลา 15 วันทำการตั้งแต่การยื่นเอกสารจนกระทั่งได้รับเล่มกลับ ได้รับวีซ่าประมาณ 20 วัน คือให้สั้นมากที่สุดเท่าที่เคยได้เชงเก้นมา อาจด้วยเพราะพาสปอร์ตของเราเป็นเล่มใหม่ เพิ่งทำแบบ 10 ปีมาก็เป็นได้ เย่!!! ไปกันเที่ยวกันค่ะ🛫
เราเดินทางวันที่ 16 กันยายน ไฟลท์ประมาณตีสาม โดยสายการบินการ์ต้า จะบอกว่า ที่สายการบินการ์ต้าได้รางวัลสายการบิน Business ที่ดีที่สุดในโลกนั้น คือดีจริง ดีเลิศประเสริฐศรีมณีแสง ทั้งเลาจน์ การบริการ อาหาร เครื่องบิน และ Amenity kit ก็เป็นของ Diptyque ทั้งหมด สำหรับคนที่บินไฟลท์กลางคืน จะได้ชุดนอนของ The White Company London ด้วย ซึ่งทางเราชอบมากๆ ใดๆ เอาเป็นว่าอยากให้ทุกคนไปลองบินดูค่ะ ของเค้าดีจริงๆ ถึงได้รางวัลนั้นมา


เราใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง 🛬 ก็มาถึงสนามบินโดฮา ประเทศการ์ต้า เรามาเปลี่ยนเครื่องที่นี่ สนามบินถูกขยายไปเยอะมากเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพบอลโลก และน้องหมีเหลืองก็น่ารักเหมือนเดิม เลานจ์ที่นี่คือดีมาก ที่สุวรรณภูมิว่าดีแล้ว ที่โดฮาก็คือ ดีหนักมากเข้าไปอีก จากนั้น บินต่ออีก 6 ชั่วโมง ก็ไปถึงประเทศนอร์เวย์ ด้วยความเป็นประเทศสแกนดิเนเวียอ่าเน๊อะ ฮุกกะเอย ลุกกะเอย ทำอะไรก็จะช้าๆ เนิบๆ สบายๆ ก็เลยรอตม. นานประมาณชั่วโมงหนึ่ง ซึ่งตม.ก็ถามว่า มาทำอะไร เที่ยวที่ไหนบ้าง กี่วัน พักที่ไหน และขอดูตั๋วกลับ ซึ่งตรงนี้ต้องเตรียมเอกสารเอาไว้ด้วย ไม่ว่าคุณจะบินไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม เพราะก็มีคนไทยบางส่วนที่ทำเรื่องราวที่ไม่ดีไว้ เตรียมตัวให้ดีๆ ก็สามารถผ่านได้ไม่ต้องกังวลค่ะ
วันแรกไปถึงประมาณบ่ายสามของวันเสาร์ เราเลือกพักโรงแรมบริเวณสนามบินเลย เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะต้องบินต่อไป Lofoten ตั้งแต่ 9 โมงเช้า เพราะวันอาทิตย์ทุกอย่างก็ปิดเกือบหมด ยกเว้นคาเฟ่ และร้านอาหาร เลยคิดว่าไปเที่ยวที่อื่นก่อนแล้วค่อยมาปิดจบที่ออสโลก่อนไปโคเปนเฮเก้นก็น่าจะดี หลังจาก เช็คอินที่โรงแรมเรียบร้อย ก็ออกมาซื้อตั๋วรถไฟเพื่อเข้าไปเที่ยวเล่นในตัวเมืองออสโล ซึ่งค่าเดินทางที่นี่แพงมากจริงๆ ตกเที่ยวละ 118 NOK (1 NOK = 3.5 บาทโดยประมาณ)
ใช้เวลาประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานี Oslo S หรือ Oslo Central จากตรงนั้นเราสามารถเดินเที่ยวรอบๆ เมืองได้เลย ไม่ว่าจะเป็นถนน Karl Johans Gate ซึ่งเป็นถนนช็อปปิ้งยาวๆ เท่าที่กวาดดูด้วยตา ที่นี่ไม่ค่อยมีแบรนด์เนมหนาตามากนัก อาจเพราะคนที่นี่ไม่ค่อยนิยมใช้แบรนด์เนมเท่าไหร่ เดินดูตึกรามบ้านช่องและสถานที่สำคัญต่างๆ ของเมืองไปเรื่อยๆ อากาศกำลังดีไม่หนาวมาก และก็มีฝนตกบ้างเป็นพักๆ แต่ก็ไม่ได้แบบเปียกเว่อร์
เมืองนี้มีความน่ารัก เป็นเมืองเล็กๆ เรายังไม่ได้เดินไปไหนไกล เพราะว่าก่อนไปโคเปนเฮเก้น เราจะกลับมาที่นี่อีกรอบ ก็เลยแค่ย่านนี้ก่อน ช่วงเดือนกันยายนคือดีตรงที่มืดช้า ดังนั้นจึงมีเวลาเดินชมเมืองเยอะ แต่ร้านค้าก็จะเริ่มปิดตั้งแต่ 6 โมงเย็นแล้ว หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟกลับไปโรงแรม
วันรุ่งขึ้น ก็บินไป Lofoten โดยสายการบิน SAS ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินที่ Lofoten สำหรับที่นี่เราเช่ารถขับ ค่าเช่ารถตกประมาณวันละ 4,000 บาท (ไม่รวมน้ำมัน) น้ำมันก็ลิตรละประมาณ 70 บาท (อยู่ไทยบ่นว่าแพงนัก ไม่เจอที่นั่นก็คือตะลึง) วันที่เราไปถึง ครึ้มมากแม่ ซักพัก ฝนก็ตกจ้ะ ตกตลอดทางที่เราขับรถไป วันแรก เป้าหมายของเราคือ เมือง Svlovaer เนื่องจากที่นี่มีกำหนดเรื่องความเร็ว และฝนก็ตก และถนนก็คือเล็กมาก ประกอบกับต้องขับรถคนละฝั่งกับไทยด้วย ก็เลยขับได้ค่อนข้างช้า แต่ก็ดีที่ได้ชมวิวไปตลอดทาง ช่วงที่เราไป ใบไม้กำลังเริ่มเปลี่ยนสี และระหว่างทางเราได้เจอกวางมูสตัวเป็นๆ ด้วย แต่น่าเสียดายที่ถ่ายรูปไว้ไม่ทัน


ระหว่างทางคือวิวดีมากๆ จริงๆ มันทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อเวลาที่ต้องขับรถหรือนั่งรถไกลๆ แล้วอากาศก็กำลังหนาวในระดับที่ทนได้ ไม่ได้หนาวมากจนติดลบ จากสนามบินเราใช้เวลาประมาณเกือบๆ 3 ชั่วโมงก็ถึงตัวเมือง Svlovaer เราพักที่นี่หนึ่งคืน เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ติดแม่น้ำ คือก็น่ารักดี ด้วยความเป็นนอร์เวย์ จะมีแม่น้ำเยอะมากและภูเขาใหญ่ๆ ธรรมชาติคือสมบูรณ์ขั้นสุด มีบ้านสีแดง และสีๆ น่ารักๆ อยู่ตามภูเขาเหมือนในภาพวาด แต่วันนี้ได้มาเห็นของจริงก็คือมันน่ารักมากจริงๆ หอยแมลงภู่และเบียร์ที่นี่ก็คืออร่อยมากจริงๆ ค่ะ 555 ค่าอาหาร ค่าโรงแรมใดๆ ก็คือค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับยุโรปอื่นๆ แต่คุณภาพของวัตถุดิบก็คืออยู่ในระดับที่ดีเลยทีเดียว ส่วนคาเฟ่เมืองนี้ก็เน้นสไตล์มินิมอล และชีสเค้กคืออร่อยมากทุกร้าน อันนี้การันตีเลย เข้าร้านกาแฟทีนึงก็ตกประมาณ หนึ่งพันบาท ส่วนอาหารก็อยู่ประมาณสองถึงสามพันบาทต่อมื้อต่อสองคน


วันรุ่งขึ้นเราขับรถกันต่อเพื่อไปเที่ยวหมู่บ้านการ์ตูน น่ารักๆ ขึ้นชื่อของ Lofoten เราขับรถไปอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ไปถึงหมู่บ้าน Henningsvaer ขับรถเข้าไปลึกหลายกิโล ก็ไปเจอเหมือนหมู่บ้านประมงสีๆ คือเมืองมันต้องเป็นแบบนี้ทั้งหมดมั้ย มันน่ารัก และค่อนข้างเงียบ แล้ววันนี้อากาศก็คือดีมาก แดดดี ฟ้าสวย ปลื้มมาก
จากนั้นก็ขับรถต่ออีกประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อไปหมู่บ้าน Reine ซึ่งหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดใน Lofoten ในความคิดของเรา คือมันเหมือนภาพวาดเลย ไม่บ่อยที่เราจะเห็นวิวตรงหน้าแล้วรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล มันสวยมากจริงๆ ทุกอย่างดูลงตัว เหมาะเจาะไปหมดเหมือนจับวาง ของจริงก็คือสวยกว่าในรูปมากๆ เราขอบคุณท้องฟ้าที่สดใสมากขนาดนี้ และขอบคุณอากาศดีๆ ที่ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางคือมันหายไปเลย เหมือนได้ของขวัญชิ้นใหญ่จากการเดินทาง
จากนั้นก็ไปหมู่บ้านโอ (A) ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่ ขับรถไปอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้ว หมู่บ้านโอก็สวยแต่ไม่มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ Reine
และที่นี่เองที่เราโดยขโมยกระเป๋าอาหารที่เราไปซื้อของสดพวก ปลาแซลมอล นม เบอร์รี่มา เรารู้สึกแย่มากเพราะคิดว่าที่นี่ไม่มีขโมย แต่มันไม่มีที่ไหนที่ไม่มีขโมย ไม่ว่ามันจะปลอดภัยแค่ไหน เราก็ควรระวังตัวเสมอนะคะ จากนั้นก็กลับไปพักที่หมู่บ้าน Hamnoy หรือที่คนไทยชอบเรียกว่าหำน้อย เราจองโรงแรม Eliassen เป็นบ้านหลังๆ สีแดงน่ารัก ในบ้านก็น่ารัก ตกแต่งแบบดั้งเดิมและมีห้องใต้หลังคาด้วย
ก่อนเข้าที่พัก เราแวะซุปเปอร์อีกรอบเพื่อซื้อแซลมอลกลับมาทำอาหารกินที่บ้าน แซลมอนที่นี่คือสดและอร่อยมาก เนื้อสัตว์มีคุณภาพดี แต่ราคาก็แพงด้วยเช่นกัน
ด้วยความที่ขับรถกันมาทั้งวัน ก็เหนื่อยอ่อนมาก เลยหลับกันไปตั้งแต่สองทุ่ม แต่ตอนตีสองก็มีคนมาปลุกเสียงดังมาก เธอ ตื่นๆ เราว่ามันใช่ เราว่ามันใช่ แล้วก็วิ่งออกไปหน้าบ้านกัน หนาวก็หนาว ง่วงก็ง่วง พอเงยหน้ามองท้องฟ้าเท่านั้นแหละ พระเจ้า อิผี ไม่รู้จะอุทานว่าอะไร น้องเค้ามา ชัดมาก และสว่างมาก กระจายทั่วท้องฟ้าเลย เราเลยวิ่งไปที่ริมน้ำ ซึ่งติดกับภูเขา ตรงนั้นค่อนข้างมืด ก็เลยชัดมากที่สุด ในที่สุด เราก็ได้เห็นแสงเหนือแล้ว น้ำตาจะไหลจริงๆ นะ หนาวก็หนาว มีหลายคนบอกว่า เดือนกันยายน ค่อนข้างเห็นได้ยาก เพราะมืดช้า และแสงเหนือจะมาให้เห็นจริงก็ช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไป แต่น้องเค้าก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง




สิ่งที่เราได้รู้ก็คือ แสงเหนือไม่ใช่สีเขียว เรามักเห็นรูปถ่ายว่ามันคือสีเขียว แต่ที่จริงไม่ใช่เลย มันเป็นแสงฟุ้งๆ ขาวๆ เป็นริ้วๆ อยู่บนท้องฟ้า ถ้ามีลมพัดแรง มันก็เหมือนจะเต้นได้ด้วยนะ เฮ่อ ภาระกิจสำเร็จแล้ว จะบินกลับเลยดีมั้ยนะ 555 เราดูอยู่นาน เดินไปเดินมากันอยู่สองคนจนตีสี่ แสงก็หายไปแล้วเพราะว่า เริ่มสว่าง เราได้เรียนรู้ว่า เราจะเห็นแสงเหนือเมื่อลมพัดเองจนเมฆหายไป และค่า KP สูงมากๆ ซึ่งเอาจริงๆ ในแอปก็คือไม่ตรงเลย เรียกได้ว่า อยู่ที่ดวงจริงๆ ค่ะ และบังเอิญว่าเราก็ดวงดีซะด้วย^_^
เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกแต่เช้าเพื่อขับรถไปสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง คืนรถเรียบร้อยก็บินต่อไปเมือง Tromso ถึงบอกว่าทริปนี้คือขึ้นเหนือล่องได้สุดๆ เดินทางเยอะมากๆ ไปถึง Tromso ช่วงบ่ายแก่ๆ ก็ checkin ที่โรงแรมแล้วออกมาเดินเที่ยวที่โรงแรม ที่นี่หนาวกว่า Oslo และ Lofoten มากๆ และเป็นเมืองที่น่ารัก มีตึกสีๆ เยอะเลย โดยส่วนตัวเราชอบเมืองที่เป็นเมืองมากกว่าเมืองที่มีแต่ธรรมชาติ รู้สึกเงียบเหงาเหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้า ก็เลยค่อนข้างชอบเมืองนี้มาก
วันแรกเดินเที่ยวแค่รอบๆ โรงแรมแล้วก็กลับมาพัก เพราะเมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอนเลย มัวแต่ดูน้องแสงเหนือ ทุกครั้งที่มาเที่ยวยุโรป เราจะกินเบอร์รี่กับเบียร์ทุกวัน 55 เอาอะไรมาไม่อ้วนก๊อนนนนน เพราะเบียร์ถูกกว่าน้ำอื่นๆ และเบอร์รี่ก็คือสด อร่อยและราคาถูกมากๆ สำหรับเรา เพราะเมืองไทย กล่องนึงก็เกือบสี่ร้อย ที่นี่อยู่ที่ร้อยกว่าบาทต่อกล่องเท่านั้นเอง
วันต่อมาก็เที่ยวรอบๆ ตัวเมือง ยิ่งชอบเมืองนี้เข้าไปใหญ่เลย มันน่ารักมาก แต่เสียตรงที่หนาวสุดๆ นี่ขนาดไปเดือนกันยายน นึกภาพไม่ออกเลยว่าคนที่มาล่าแสงเหนือช่วงหน้าหนาว จะหนาวขนาดไหน เราไปดูสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของเมืองอย่าง Arctic Cathedral จุดชมวิว แล้วก็ท่าเรือยอร์ช ด้วยเมืองนี้เป็นเมืองที่ติดกับภูเขาและแม่น้ำ มันยิ่งทำให้เมืองดูเป็นเมืองที่มีทั้งความธรรมชาติ และความเมืองคนรวยอ่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง แบบมีเรือยอร์ชจอดอยู่จำนวนมาก ที่นี่ไม่มีกิจกรรมอะไรทำมากมาย นอกจากเดินเที่ยว ทนหนาวไม่ไหวก็เข้าคาเฟ่ แล้วก็ออกมาเดินเที่ยว เข้าห้องสมุด ออกมาเดินเที่ยว แล้วก็เข้าคาเฟ่อีกรอบ
ที่นี่มีคาเฟ่เยอะ แล้วคาเฟ่ก็น่ารัก สไตล์มินิมอล น่ารักไม่ไหว ด้วยบรรยากาศเอย อากาศเอย คนเอย ก็คือดีงามไปหมด กาแฟที่นี่ก็คือเน้นคั่วอ่อนเน๊อะ เปรี้ยวแบบไม่ต้องสืบ
ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องรักการอ่าน ดังนั้นทุกเมืองจะมีห้องสมุดที่ดีเลิศประเสริฐศรีมณีเด้ง ก็คือมันละมุนตุ้น อบอุ่น น่าเข้าไป คือถ้าเรามีแบบนี้อยู่ใกล้บ้านแบบที่สามารถเดินไปได้ แล้วอากาศดีๆ แบบนี้ เราก็จะไปห้องสมุดทุกวันเลยนะ เพราะเราก็ชอบอ่านหนังสือมากเหมือนกัน
แปลงร่างเป็นนักศึกษานอดิกแล้วหนึ่ง คือห้องสมุดเหมือนคาเฟ่เลย ก็คือแค่เข้าไปนั่ง แน่ๆ คือไม่หนาว แล้วยังดูดี ดูฉลาดแบบไม่เอะอะ ดูแพงมากค่ะ 555
วันนี้เราได้ไปกินอาหารไทย พี่เค้าเป็นคนไทย เค้าบอกว่าเมื่อคืนนี้มีแสงเหนือตรงท่าเรือด้วยนะ เราก็งง เพราะกลางเมืองแบบนี้มีด้วยหรอ เพราะเข้าใจว่าต้องเป็นที่มืดๆ มากๆ เท่านั้น ก็เลยคิดว่าคืนนี้เราพักที่ Tromso คืนสุดท้าย จะออกไปล่าซะหน่อย เผื่อเจออีกรอบ แล้วเราก็เจอจริงๆ น้องมาตอนสามทุ่ม แต่ตอนนั้นคือหนาวมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มือจะแข็งตอนที่เอามือถือขึ้นมาถ่ายรูป
วันนี้น้องเล่นใหญ่ คือเป็นวงแหวนเลย แล้วอยู่นานมาก เราอยากดูจนน้องจากไป แต่คือไม่ไหว เพราะหนาวมาก ก็เลยเดินกลับห้อง แต่แค่นี้ก็คือฟินมากแล้ว แล้วฉากหลังคือเป็นท่าเรือ ของจริงก็คือสวยมาก คือขอบคุณเลยที่ได้เจอตั้งสองรอบแล้วได้เจอคนละแบบกับที่ได้เห็นที่ Hamnoy เรารู้สึกว่าเราโชคดีมากๆ
วันรุ่งขึ้น เราบินจาก Tromso กลับมาที่ Oslo แต่รอบนี้ไปพักโรงแรมในเมืองเลย ใกล้ๆ กับถนนช็อปปิ้ง สงสัยเมื่อวานใช้ดวงไปหมดแล้ว ที่ Oslo ฝนก็คือตกเก่งงงงงงงง ทุลักทุเลไปหมด แต่ก็ลุยฝนเที่ยวกันเลย เพราะเหลือเวลาที่นี่อีกแค่วันเดียวก็ต้องไป โคเปนเฮเก้นแล้ว
เราได้ไปดู โอเปร่า กับห้องสมุดของที่นี่ด้วย เราชอบไปดูห้องสมุดของแต่ละเมือง หากอนุญาตให้คนต่างชาติเข้าไปได้ แต่ที่นี่ไม่สวยเท่าที่ Tromso
จริงๆ เมืองนี้ก็เป็นเมืองริมน้ำ แต่สำหรับเราไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีอะไรให้ดูหรือค้นหา เป็นเมืองที่ค่อนข้างใหม่ เพราะนอร์เวย์มีการย้ายเมืองหลวงหลายรอบมากกว่าจะมาจบที่ Oslo ที่นี่เราเดินทางด้วยรถเมล์และ Tram บัตรโดยสารอยู่ที่ 121 Nok หรือประมาณ 400 บาทสำหรับตั๋ว 24 ชั่วโมง ชอบรถเมล์ที่นี่นะ ด้วยความตรงเวลามาก ก็เลยการันตีว่า หากรถช้ากว่ากำหนด 20 นาที เราสามารถใช้ Taxi ได้และสามารถเคลมเงินคืนผ่านทางเว็บไซต์ได้ด้วย
เมื่ออยู่นอร์เวย์วันสุดท้ายก็ต้องกินแซลมอนนอร์เวย์สิ ก็คือสด และราคาถูกกว่าไทยด้วย เป็นอย่างเดียวที่ราคาถูกกว่าที่ไทยแล้วก็อร่อยมากๆ ร้านนี้ชื่อ Sushi Bowl เจ้าของร้านเป็นคนไทย บริการดีมากค่ะ
คนที่นี่นิยมกินพิซซ่ามาก มีร้านพิซซ่าหลายร้าน โดยปกติฝรั่งก็จะสั่งกันคนละหนึ่งถาด หรือหนึ่งจานเลย จะไม่ได้สั่งมาแบ่งกัน เราก็เนียนตามเค้า เราเลยสั่งมาหนึ่งถาดบ้าง แล้วก็สามารถกินได้หมดโดยไม่ติดขัดใดๆ เนื่องจากเป็นแบบแป้งบาง อร่อยมากค่ะ อ่อร้านที่เรากินชื่อ Mama
วันรุ่งขึ้นก็ไปซื้อของฝากและเตรียมตัวขึ้นเรือเพื่อเดินทางไป Copenhagen ประเทศเดนมาร์ก
เรือที่ว่า มันไม่ใช่เรือสำราญอะไรหรอกนะ มันเป็นเหมือนเรือโดยสารจาก Oslo ไป Copenhagen มากกว่า แต่บนเรือก็มีห้องพัก ร้านอาหาร ของปลอดภาษีต่างๆ ให้ได้ช็อปด้วยเช่นกัน
แล้วด้วยความไม่รู้จองผิดจองถูก ดูในรูปจากเว็บก็คือคิดว่าห้องเหมือนกัน เพราะในรูปใช้รูปเดียวกันเลย ต่างแค่ว่าเราไปพักกี่คน ซึ่งจะให้เลือก 2 คน หรือ 4 คน ซึ่งเราก็เลือก 2 คน ก็คิดว่าทำไมถูกจังแค่ไม่ถึงร้อยยูโรเลย พระเจ้า ภาพของหนังเรื่อง Titanic ก็เข้ามาในหัวตอนที่เปิดเข้าไปในห้อง มันคือเล็กมาก แล้วไม่มีหน้าต่าง เป็นเตียงสองชั้น แล้วสามารถเปิดกระเป๋าเดินทางได้ทีละใบเพราะมันไม่มีที่ คืออึ้งด้วยแต่ก็ขำด้วย เป็นประสบการณ์ใหม่มาก นี่ก็เข้าใจเลยว่าทำไมแจ๊คชอบไปเที่ยวเล่นข้างบน 555
แต่ในห้องก็คือมีห้องน้ำในตัว แล้วก็สะอาดดี ติดแค่เล็กมากๆ แล้วก็ไม่มีหน้าต่าง แต่ก็โอเค พออยู่ได้ เพราะแค่คืนเดียว มันไม่ได้แย่มากขนาดนั้น แค่อึดอัดนิดหน่อย ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตอีกแบบหนึ่ง
เราถึง Copenhagen ตอนประมาณ 10 โมงวันรุ่งขึ้น ลงจากเรือ ไปซื้อตั๋วรายสามวันเพื่อใช้เดินทาง
ค่าตั๋ว 36 ชั่วโมงก็อยู่ที่ 200 DKK ต่อคนหรือประมาณ 1000 กว่าบาท ที่นี่ 1 DKK = 5.2 บาท
ก็มาเช็คอินที่โรงแรม โรงแรมที่เราเลือกอยู่ไม่ห่างจากแหล่งช็อปปิ้งถนน Stroget รวมถึงตลาด และสถานที่สำคัญต่างๆ อย่าง Nyhavn , City Hall หรือแม้แต่ Tivoli Garden ซึ่งเป็นสวนสนุกของเมืองนี้ จริงๆ เมืองนี้ถ้าเดินเก่งก็ไม่ต้องซื้อตั๋วรถก็ได้ เพราะว่าสามารถเดินเที่ยวได้รอบๆ เลย วันแรกก็ไป Nyhavn ก่อนเลยเพราะว่าแดดดีมาก อยากถ่ายรูปสวยๆ เรื่องราวคือน่ารักมาก ตึกสีเหมือนกล่องคุ๊กกี้ และมาที่นี่ขาดไม่ได้ก็คือต้องกินไอติมสินะ
เราไปกินราเมนร้านดังชื่อ Slurp Ramen ชามละ 175 DKK หรือประมาณ 900 บาทนิดๆ ก็อร่อยดีนะ ตอนเราไปได้เข้าไปในร้านเลย แต่ไม่ถึงห้านาทีก็มีคนมาต่อคิวเยอะมาก
พอกินเสร็จก็ไปเดินเล่นที่ถนน Stroget เป็นถนนช็อปปิ้งมีทุกแบรนด์ให้เลือกสรรค์แล้วก็มีตึกน่ารักๆ เต็มไปหมดเลย
พอร้านรวงเริ่มปิดตอน 6 โมงเย็นก็ไปเดินริมน้ำอีกรอบเพื่อดู Nyhavn ยามค่ำคืน มันสวยแปลกตาไปอีกแบบจริงๆ
วันต่อมาก็ตระเวนเที่ยวตามที่ต่างๆ ของเมือง เมืองนี้เป็นเมืองน่ารัก ไม่รู้จะพูดอีกกี่รอบ เราชอบมากที่สุดตั้งแต่เริ่มทริปมาจนถึงวันนี้ ติดตรงที่ทุกอย่างแพงไปหมด 555 วันนี้เราไปต่อคิวร้านขนมปังร้านหนึ่งชื่อ Juno ขายแบบ take away เท่านั้น แต่ก็มีโต๊ะนิดๆ หน่อยๆ ให้นั่งกินหน้าร้านได้ เราไปตอนเปิดร้าน พระเจ้าคนต่อคิวแล้ว เราต่อคิวประมาณ 20 นาที ก็ได้ชิมขนมปังร้านนี้
ดูสภาพ ไม่มีจานชามช้อนส้อมใดๆ ให้ทั้งนั้น อย่างที่บอกว่าขายแบบ Take Away เท่านั้น ก็อร่อยแบบไม่ได้ว๊าว ตกชิ้นละประมาณ 40 - 60 DKK
จากนั้นก็ไปเดินเล่นแถวๆ City Hall และริมน้ำ ชิวมาก อากาศดีสุดๆ ไม่มีฝนเลย และอากาศไม่หนาวเกินไป แล้วท้องฟ้าก็คือสดใสมากๆ ขอบคุณมากๆ จริงๆ น๊า
แล้วก็ไปตลาดพื้นเมืองด้วย เป็นตลาดที่สะอาดมาก ไม่มีหนู ไม่มีสัตว์ใดๆ ยกเว้นหมาที่เค้าพามาด้วย มีทั้งพืชผักผลไม้ ดอกไม้ และขนมต่างๆ น่ากินมาก
ได้มากินร้านนี้ ซึ่งเป็นร้านที่เค้าแนะนำกัน เป็นร้านขายแซนวิชหน้าต่างๆ เราเลือกเป็นหน้าสลัดแซลมอนกับน้ำมะนาวโซดา สงวนราคาอยู่ที่ 158 DKK คือน้ำมะนาวโซดาอร่อยที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยกินมา
จากนั้นก็ไปเดินเล่นถนน Stroget คือไม่รู้จะไปไหนนะ แวะไปกินกาแฟที่ร้านกาแฟ Original Coffee ตั้งอยู่ในห้าง ILLUM ชั้นบนสุด เป็นเหมือนจุดชมวิว กาแฟอร่อย วิวดี ชิวมาก
วันต่อมาก็เที่ยวสถานที่ต่างๆ เหมือนเดิม ไปดูนางเงือกก็คือน้องดำมาก แล้วก็มีอยู่ตัวเดียวในสวนสาธารณะนั้น น่าสงสารมาก
น้องอยู่ในสวนสาธารณะที่บรรยากาศดี คือถ้ามีสวนแบบนี้ อากาศแบบนี้ สาบานว่าจะวิ่งทุกวัน เดินออกมาจากสวนซึ่งห่างจากกลางเมือง เราสามารถเดินได้วันหนึ่งเป็นสิบกิโล เพราะอากาศที่ดี และเมืองที่น่ารัก ทำให้เราไม่เหนื่อยเลย
จนไปถึง Kastellet เราแวะเข้าไปดูแต่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไรยังไง ก็ตามๆ เค้ามา แต่ก็น่ารักดี มันเป็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของเดนมาร์กน่ะ
จากนั้นก็นั่งรถเมล์ออกนอกเมืองนิดหน่อยไปเที่ยวโบสถ์ที่เค้าร่ำลือกันว่าสวยมาก คือมันไม่ได้สวยแบบหรูหราเหมือนโบสถ์อื่นๆ ในยุโรป อย่างอิตาลีหรือฝรั่งเศสหรืออังกฤษ แต่มันสวยแบบเงียบๆ ไม่ตะโกน ซึ่งเราชอบมากนะ มันดูมีสไตล์และสงบ
จากนั้นก็กลับเข้ามาในตัวเมืองอีกครั้ง พอฟ้าเริ่มมืด เราก็กลับโรงแรม ก่อนกลับก็แวะซื้อเบอร์รี่กินเหมือนเดิม ดูสิว่าถูกขนาดไหน
เริ่มวันใหม่ด้วยการไปต่อคิวร้านดังอีกเหมือนเดิม ร้านนี้ชื่อ Anderson โดยส่วนตัวเราชอบร้านนี้มากกว่าร้านแรก แล้วขนมก็คืออร่อยมาก อร่อยน้ำตาไหล ชอบเค้กยูสุมาก
จากนั้นก็นั่งรถกลับมาที่แถวๆ Cityhall และสถานที่สำคัญต่างๆ ที่เค้าว่ากันว่าต้องไป 555 นี่ก็ไม่มีความรู้อะไรทั้งนั้น ในเว็บบอกให้ไปไหน ก็ตามๆ เค้าไป โบสถ์เอย อะไรเอย
จริงๆ เราไปหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ใน Copenhagen ที่อยู่นอกกฎหมายของเมืองด้วย เป็นหมู่บ้านอิสระมีกฎหมายเป็นของตัวเอง แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูป เป็นพื้นที่ไม่ใหญ่มาก คนก็เดินเข้าออกปกติ แต่เราก็ไม่ค่อยชอบย่านนั้นเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสะอาด เรากลับไปตลาดอีกครั้งเพื่อกินซูชิ เพราะว่าของสดที่นี่คุณภาพดี และคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา แล้วก็ไปซื้อของฝาก จากนั้นก็กลับโรงแรม
วันนี้วันสุดท้ายของทริป รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ก่อนหน้านั้นก็กล้าๆ กลัวๆ เจอปัญหาหลายอย่างเหมือนกันทั้งของหาย ทั้งอากาศที่ไม่ดี แต่ในที่สุดก็ได้รับประสบการณ์หนึ่งที่ดีมากๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต
ขากลับเราได้นั่ง Q Suite 1 ขาด้วยจากโดฮากลับมาไทย มันดีมากเลย ที่นั่งใหญ่มาก แล้วเลาจน์ที่โดฮาก็คืออลังการและอาหารก็ดีด้วย ไปลองกันนะ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ อ่อ สนามบินโซนใหม่ของโดฮา ก็คือประหนึ่งอยู่สิงคโปร์เลยทีเดียว ให้ฟีลสวนกลางสนามบินงี้ ดีแหละ ก็ได้แต่นั่งนึกถึงสุวรรณภูมิ น่าจะมีแบบนี้บ้างเน๊อะ ^_^
มีคนถามว่า ตอนอยู่เมืองไทยเราดูยุ่งตลอดเวลา แล้วลาไปแบบนั้นได้ยังไง ก็บอกเลยว่าเราเอา notebook ไปทำงานด้วยทุกวันที่เราลา 555 โดยเราจะตื่นตอนตีห้าทุกวันและนั่งทำงานจนถึงประมาณ 8 โมงเช้า แล้วก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปเที่ยว ทุกคนมีภาระ แต่ทุกเรื่องราวมันสามารถบริหารจัดการได้ โดยส่วนตัวเราคิดว่า ยิ่งทำงานหนัก ยิ่งต้องออกไปทิ้งตัวบ้าง เพื่อไม่ให้เรารู้สึก Burn out เพราะเมื่อสามปีก่อน เราเคยเป็นแบบนั้น แล้วมันแย่มาก เหมือนคนเป็นบ้าที่อยากลาออกตลอดเวลา เวลาทำงานเยอะๆ เครียดมากๆ อยู่ดึกๆ ที่ออฟฟิสคนเดียว ก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่มีสาเหตุ เหมือนคนจิตตกตลอดเวลา กังวลไปหมดทุกอย่าง ท้อแท้ และรู้สึกเหนื่อยแบบไม่มีสาเหตุ คิดอะไรไม่ออก ความสามารถในการแก้ปัญหาต่ำเป็นประวัติการณ์
บางคนก็เสียดายเงิน คิดว่าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย อันนั้นเราว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว และเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลที่อยากจะทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่อย่างน้อย ก็ต้องพักบ้าง ไม่ต้องไปต่างประเทศก็ได้ แค่เป็นคาเฟ่ที่เราชอบ ไปต่างจังหวัด หรือแม้แต่กลับบ้านเกิด พอเราได้พัก ได้อยู่กับตัวเอง ได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบที่เราเลือกเอง แบบที่เราชอบ พลังบวกก็กลับมา เหมือนได้ reset และได้ชาร์จแบตให้กับตัวเอง มีแรงที่จะใช้ชีวิตและแก้ปัญหาต่างๆ ต่อไป
อย่าลืมนะว่าแสงเหนือไม่ใช่สีเขียวค่ะ^_^
Panlapa Akiko