รีวิวนาฬิกาข้อมือสำหรับผู้หญิง พร้อมบอกข้อดีข้อเสียของแต่ละรุ่น (Omega / Cartier / Rolex)

มีหลายคนบอกว่า บางครั้งและบางคนก็ซื้อนาฬิกาเพื่อดูนาฬิกา ไม่ใช่เพื่อดูเวลา ซึ่งก็จริง เพราะถ้าดูเวลาเราคงดูที่มือถือ หรือแม้แต่ที่คอมพิวเตอร์ก็ยังได้ สะดวกกว่าต้องมาดูที่ข้อมือด้วยซ้ำ

ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ เราไม่มี passion ด้านนาฬิกาเลย ก็ใส่ Tag Heuer กับพวก Tudor ซึ่งจริงๆ ชอบ Tag Heuer Fomular 1 Ceramic มากๆ มันสวย เรียบๆ ซื้อมาร่วม 10 ปี ก็คือใส่บ่อยมากและทนสุดๆ แต่แค่คิดว่าอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ก็อยากมีนาฬิกาดีๆ ไว้ซักเรือนหนึ่งเอาไว้ใส่ยาวๆ แบบเรียบๆ ที่เข้ากันกับการแต่งตัวหลายๆ แบบ สีแสตนเลสนี่แหละ ไม่ต้องเพชรพลอยเยอะแยะ คนที่บ้านก็แนะนำว่า ให้ซื้อ Rolex เพราะเมื่อพูดถึงนาฬิกาที่ต้องมีไว้สักเรือนในชีวิต และเป็นความฝันของใครๆ ก็คงไม่พ้นยี่ห้อนี้แหละ เป็นนาฬิกาที่มีคุณค่าและมูลค่าเป็นของตัวเอง แต่ในช่วง 5 ปีนี้คือซื้อยากมาก ส่วนใหญ่ต้องซื้อ resell ก็จะโดนบวกเยอะ ช่วงนี้บวกกันเรือนหนึ่งเป็นแสน ขนาดเป็นรุ่น Date Just ที่เมื่อก่อนเคยหาซื้อได้ ตอนนี้ก็ไม่สามารถหาได้เลย เคยไปลงชื่อจองมาตั้งแต่ก่อน covid จนตอนนี้ ยังไม่เคยได้รับการติดต่อเลย เจ้ผู้ซึ่งทำงานที่บริษัทที่นำเข้า Rolex แถลงว่า ซื้อไม่ได้หรอก คิวจองยาวมาก แล้วเค้าก็จะให้สิทธิ์คนที่มีโควต้าก่อน ยิ่งสีเขียวก็คือยากมาก คู่แข่งเยอะ ก็เลยถอดใจไปแล้ว 

อีกอย่างคือคิดว่านาฬิกามันเป็นอะไรที่ใช้ได้ยาวๆ จนแก่ ถ้าไม่ขายกินซะก่อน และนาฬิกายี่ห้อดีๆ ก็ไม่น่าทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจอะไรมากมาย ประกอบกับได้เห็นผู้หญิงที่ใส่นาฬิกาแบบคลาสสิค มันก็ดูดีนะ ถึงใส่มานานมีรอยเต็มไปหมดก็ยังดูไม่น่าเกียจ ไม่เหมือนกระเป๋า เป็นรอยนิดหน่อย ก็ดูไม่ดีแล้ว และนาฬิกาเป็นสิ่งที่เราสามารถใส่ได้ทุกวัน และมีโอกาสเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อยกว่ากระเป๋า แล้วนาฬิกามันก็ราคาขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ก็ต้องซื้อตอนที่ราคาแพงขึ้นอยู่ดี (ลอจิกอะไรก็ไม่รู้ 555)  ก็ดูมาเรื่อยๆ หลายๆ ยี่ห้อ ก็เห็นว่า โอ้โห นาฬิกาเดี๋ยวนี้ราคาแพงจัง ดูไป ดูมา จนไปต้องตายี่ห้อหนึ่ง คิดว่ามันเหมาะกับตัวเอง นั่นก็คือ Cartier ต้องบอกว่าเราไม่ได้สนใจยี่ห้อนี้ตั้งแต่ต้น เพราะเค้าค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องเครื่องประดับมากกว่า อย่างกำไรตะปู อะไรแบบนั้น

พอได้มาศึกษาประวัติศาสตร์ของ Cartier ก็เจอว่า โอ้โห เค้าทำนาฬิกามาเป็นร้อยปีแล้ว และคนอื่นก็รู้จักเป็นอย่างดี ยกเว้นเรา โดยรุ่นที่ชอบมากๆ ก็คือ Cartier Tank เลยตัดสินใจไปลองดูที่ shop ลองปุ๊บก็ชอบมาก ด้วยความเป็นทรงเหลี่ยม ไม่ค่อยเหมือนกันใครดี เลยซื้อเรือนแรกมาเป็น Cartier Tank Large Size สายเหล็ก ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า มันสวยมาก และโครตจะคลาสสิคสุดๆ และตอนที่ซื้อสามารถ extend warranty เป็น 8 ปีได้ด้วย ข้อดีคือเข้ากับการแต่งตัวได้ทุกลุคจริงๆ ใส่แล้วทำให้ดูมีคลาส แต่ข้อเสียคือ สายเป็นรอยง่ายมาก และเยอะมาก

พอซื้อมาได้ซักเดือนหนึ่ง ราคาก็ปรับขึ้นมาประมาณหมื่นกว่าบาท ตอนนั้นดีใจมาก ที่ได้ซื้อของถูก (หลอกตัวเอง) ประกอบกับ ใช้ point บัตรเครดิตเท่ายอดซื้อก็จะได้ลดอีก 12% ด้วย

จริงๆ แล้ว Cartier ไม่ได้มีแค่รุ่นนี้ที่สวย แต่ยังมีอีกหลายรุ่นเลย จนวันหนึ่งกดไปเจอ review นาฬิกา Santos De Cartier Dumont รุ่นที่ขอบเป็น Rose Gold ก็รู้สึกว่า สวยดีเหมือนกัน เลยลองไปดูที่ Shop ไปลองใส่ดูก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับตัวเอง เพราะไซส์เล็กก็เล็กเกินไป ไซส์ใหญ่ก็ใหญ่กว่าข้อมือไปอีก แล้วนาฬิการาคาแบบนี้ ก็ต้องเลือกให้ดีๆ เพราะเราก็ต้องทำงานเก็บเงินซื้อมันมา พ่อแม่เราก็ไม่ได้รวยเน๊อะ 555 จน สุดท้ายลองไปลองมา ก็ไปจบที่ Santos De Cartier Medium size สีเงินเช่นเดิม คือเพื่ออะไรก่อน 555 แต่สุดท้ายก็ซื้อมันมา


ที่เคยบอกว่าอยากได้นาฬิกาขอบ Rose Gold ก็คือลืมๆ มันไป 
ข้อดี มีสายมาให้ทั้งสายหนังและสายเหล็ก สามารถปรับเปลี่ยนได้ตาม Mood and Tone การแต่งตัวของเรา และด้วยรูปร่างหน้าตา ที่ดูแมนๆ ทำให้คิดว่านาฬิการุ่นนี้เหมาะกับผู้ชายรึป่าว แต่สำหรับ size medium นั้น ถือว่า เข้ากับผู้หญิงได้ดี ยิ่งปัจจุบัน เรานิยมใส่นาฬิกา oversize ก็ถือว่าตอบโจทย์มากๆ มันสามารถเข้าได้กับทุกชุด ทุกแบบ ยิ่งเป็นสายเหล็กด้วย ยิ่งสะดวกมากๆ ที่สำคัญสามารถปรับความยาวได้ด้วยตัวเอง แต่อาจจะยากซักหน่อย ส่วนข้อเสียคือ บริเวณหน้าปัดเป็นรอยง่ายมากๆ ด้วยความที่เป็นแสตนเลสแบบเงา ที่ไม่ทนต่อรอยขีดข่วนใดๆ เลยแม้แต่น้อย สำหรับปี 2022 เราสามารถ extend warranty เป็น 8 ปีได้เช่นกัน และเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือน Cartier ก็ปรับราคาขึ้นมาอีกประมาณหมื่นกว่าบาท ก็ถือเป็นรุ่นที่คุ้มค่า เพราะสามารถใส่ได้ทุกวัน

แม้เวลาจะผ่านไป ความอยากได้นาฬิกาหน้า Rose Gold ก็ยังไม่หายไป ยังวนเวียน วอแวตลอดเวลา ก็ยังมองหาอยู่เรื่อยๆ จนไปเจอยี่ห้อ Omega แล้วถูกใจอยู่รุ่นหนึ่ง นั่นก็คือ Speed Master Cappucino size 38 MM โดยปกตินาฬิกาสี Rose Gold จะแพงมากๆ เมื่อเทียบกับตัวแสตนเลสในรุ่นเดียวกันจะมีราคาแพงกว่าประมาณ 2-3 เท่า ด้วยความที่ใช้วัสดุที่แพงกว่า แต่ Omega ออกนาฬิกามารุ่นหนึ่งได้สัก 5 ปีแล้ว ขอบหน้าปัดเป็น Rose Gold แต่ตัวเรือนยังเป็นแสตนเลสอยู่ ราคาก็เลยย่อมเยาว์ลงมา จะมี 2 รุ่นคือรุ่นที่มีเพชร กับรุ่นที่ไม่มี เราต้องการรุ่นที่ไม่มี เพราะเป็นคนไม่ค่อยระวัง และกังวลว่าเพชรที่อยู่ด้านนอกจะหลุด แล้วต้องซ่อมแพงอีกอะไรอีก แล้วราคาก็แพงกว่ากันประมาณแสนกว่า แต่รุ่นที่ไม่มีเพชรดันเป็นรุ่นขายดี ทำให้ไม่มีของ เลยต้องสั่งไว้ และรอของประมาณเกือบๆ สองเดือน ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเข้ากับข้อมือตัวเองมั้ย เพราะสั่งไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลอง แต่เซลบอกว่า ถ้าลองใส่แล้วไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเป็นรุ่นที่ขายดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมัดจำ และแล้ววันนั้นก็มาถึง เซลโทรมาบอกว่าของมาแล้ว ก็เลยไปที่ shop พอได้ลองใส่ก็คือชอบมาก มันหวานมากๆ แล้วก็รู้สึกว่า มันเหมาะกับการใส่ออกงานด้วย หรือจะใส่แบบ sport ก็ไม่ติด ให้ฟีลหวานซ่อนเท่ห์ และเป็นขนาดที่เหมาะกับข้อมือเล็กๆ ของผู้หญิง


แต่ความเศร้าก็ปรากฎตอนที่ลองใส่แล้ว สายที่มากับตัวเรือนยาวเกินไปต่อให้เจาะรูเพิ่มก็ใหญ่เกินข้อมืออยู่ดี เซลแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนสายเป็นสายสั้นได้ ต้องซื้อสายสั้นเพิ่มอีกหมื่นกว่าบาท สะเทือนใจมากเหมือนกัน ไม่เคยซื้อนาฬิกาสายหนังแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรู้เลยว่าถ้าสายไม่พอดีก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มด้วยโทษฐานที่คุณข้อมือไม่มาตรฐาน แต่พอซื้อมาได้ไม่เกินสองเดือน Omega ก็ประกาศปรับราคาขึ้นเกือบๆ สองหมื่นเลย ก็หายนอยไปนิดหนึ่ง แต่สุดท้ายเรือนนี้เป็นเรือนที่ชอบแต่ใส่น้อยที่สุด เพราะด้วยความเป็นหนัง exotic ทำให้ไม่เหมาะกับการโดนเหงื่อหรือน้ำ มีไว้ให้สบายใจ ข้อดีอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นนาฬิกาที่ถึกทนใช้ได้ ไม่ค่อยเป็นรอยอะไร ข้อเสียก็อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

คิดไว้ในใจว่าจะหยุดซื้อนาฬิกาแล้ว เพราะสามเรือนที่ผ่านมาก็หลายแสนแล้ว สิ่งหนึ่งที่มั่นใจก็คือ ความอยากได้มักเกิดจากการไถ feed IG แบบไม่หยุดหย่อน พอเป็นช่วงที่ยุ่งๆ เราจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ เพราะมีหลายอย่างที่ต้องจัดการ ทั้งต้องเก็บเงินไว้ดาวน์บ้าน ต่อเติม และซื้อของเข้าบ้านอีก ก็เลยหยุดไปเลย ด้วยความกังวลหลายอย่าง กลัวว่าเดี๋ยวเงินจะไม่พอ หลายเดือนเหมือนกันที่เรากลับสนใจเรื่องการแต่งบ้านและการดูเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แทน จากเดิมที่เคยไปพารากอน ก็กลายเป็นอิเกีย โฮมโปร แทน จนจัดการเรื่องบ้านเรียบร้อย เข้าที่เข้าทาง 

วันดีคืนดีใน Youtube ก็มีผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งขึ้นมาที่หน้า Feed ใน Youtube นางทำคลิป review Cartier Tank สีดำที่เพิ่งออกมาช่วงกลาง 2022 จริงๆ รุ่นนี้เคยเป็นรุ่นที่ Cartier ออกเป็น Limited Edition ตอนครบรอบอะไรซักอย่าง ที่ทำมาจำนวนจำกัด และแน่นอนว่าคนธรรมดาแบบเราก็คงบุญไม่ถึง จนนาฬิการุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นมาอีกครั้ง แต่จะต่างกันตรงที่ เม็ดมะยมของรุ่น limited จะเป็นสีดำ แต่รุ่นที่ผลิตออกมาจะมีเม็ดมะยมสีน้ำเงินเหมือนกับ Tank รุ่นอื่นๆ ลืมบอกว่า ที่เราเลือก Tank เป็นตัวตั้งต้นเพราะชอบความเม็ดมะยมที่เป็นเอกลักษณ์มาก ดูในระยะไกลก็ยังรู้เลยว่าคือ Cartier พอดูนางคนนั้นรีวิว ก็รู้สึกชอบ Tank รุ่นนี้ ด้วยความเรียบและไม่มีอะไรเลยบนหน้าปัด ขึ้นชื่อเรื่องดูเวลายากต่างๆ ด้วย Mood & Tone ใดๆ ก็คือแตกต่างกับ Tank Classic โดยสิ้นเชิง ก็เลยไลน์ไปถาม SA ที่เคยซื้อนาฬิกา Cartier ก่อนหน้านั้น เค้าบอกว่าไม่มีของเลย มีแต่ Size Small ส่วนไซส์ที่เราอยากได้เป็น Size Large ซึ่งค่อนข้างหายากกว่า เราก็เร้าหรือเค้าหลายรอบมาก จนเค้าบอกว่า มีเรือนที่หลุดจอง ให้มาดูที่ shop พอไปลองก็คือ ดูเวลาไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ อย่างที่เค้ารีวิวกัน แต่ชอบมันมาก มันออกแนวเท่ห์ๆ ดูทันสมัย แต่ถ้าอยากหรูๆ หน่อยน้องก็สามารถทำได้ค่ะ และคิดว่าสามารถแมชกับเสื้อผ้าได้ทุกแบบ 


แต่สายที่ติดมากับตัวเรือน size L นั้น ยาวไปสำหรับเราอีกแล้ว ถาม SA ว่าสายราคาเท่าไหร่ เค้าบอกว่า 11,000 บาท คือคิดหนักเลย เพราะมันค่อนข้างแพง แต่ SA บอกว่า ลูกค้าไม่ต้องกังวลนะครับ เราจะสั่งสายขนาดสั้นให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย คือยิ่งรักนางเข้าไปอีก แต่ต้องใช้เวลาในการสั่งประมาณ 2 เดือน ในระหว่างรอนั้น เค้าจะเจาะสายยาวเพื่อให้เราใส่ได้ไปก่อน แต่ก็จะเกินข้อมืออยู่นิดหน่อย และหลวมๆ แต่ด้วยความที่สายค่อนข้างแข็งเพราะเป็นสายหนังจระเข้ มันเลยไม่ได้หลวมมากจนดูแย่

พอลองใช้งานจริงก็พบว่า เป็นเรือนที่ใส่บ่อยที่สุด ด้วยความเป็นสีดำที่เข้ากับอะไรๆ ง่ายไปหมด จริงๆ Tank เรือนนั้นก็ไม่ได้เข้ากันยากกับสไตล์การแต่งตัว แต่โดยส่วนตัว รู้สึกชอบเรือนนี้มากกว่าเรือนสายเหล็ก แล้วก็เป็นเรือนที่แนะนำ สำหรับคนที่ชอบนาฬิกาสไตล์เหลี่ยมๆ เรียบๆ ด้วยเพราะว่า แมชได้ง่ายมากและเป็น Unisex สามารถใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

คิดว่าจะจบแล้วแหละสำหรับนาฬิกา เพราะหมดเงินไปเยอะแล้ว แล้วแฟนก็บอกว่าเธอซื้อ Cartier เยอะเกินไปแล้ว ก็คิดว่าจริง เลยตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสจะได้เป็นเจ้าของ Rolex จริงก็ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่เหตุการณ์นั้นมันมาถึงเร็วเกินกว่าที่คิดเอาไว้ เพราะอยู่ดีๆ ก็มีคนรู้จักที่ได้โควต้าในการซื้อนาฬิกา Rolex ซึ่งเป็นสีและไซส์ที่เคยลงชื่อจองไว้ แต่ขายราคาแพงกว่า shop ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติแหละ ก็ดูแล้วก็เออ สวยดี แต่คิดว่า ราคามันสูงอยู่เหมือนกัน อยากได้มั้ยก็อยากได้ เพราะก็คิดไว้แล้วว่าซักวันหนึ่งจะซื้อให้ได้ แต่พอเห็นราคาซึ่งเค้าบวกมาก็รู้สึกว่าแพงจัง แต่แฟนเชียร์ว่า เธอชอบก็ซื้อสิ โอกาสแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยๆ ถ้าไปซื้อตามร้าน resell ก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจได้มั้ย จะเป็นของแท้มั้ย แล้วเรือนนี้ก็คือเป็นของใหม่ออกจาก shop มานั่งคิดดูก็จริง เราไม่ได้โชคดีบ่อยๆ หรอก อีกอย่างเดือนนี้ก็เป็นเดือนเกิดด้วย แล้วใบก็ลงเป็นเดือนเกิดของเราพอดีด้วย สำหรับคนอื่น เงินแค่นี้อาจจะไม่มาก แต่สำหรับเรา นาฬิกาเรือนนี้คือของแบรนด์เนมที่ราคาแพงที่สุดในชีวิตเท่าที่เราเคยซื้อมา สุดท้ายก็เลยตกลงใจซื้อมา พอได้เห็นของจริงก็คือตะลึง ของจริงสวยกว่าที่คิดมากๆ แล้วมันก็ต่างจากยี่ห้ออื่นจริงๆ แหละ เข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงซื้อได้ยาก มันไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มันเป็นเรื่องของบุญวาสนาด้วย 555 


Rolex เอาตรงๆ ยังมองไม่เห็นข้อเสียเท่าไหร่ เพราะสายเป็นรอยค่อนข้างยาก ด้วยเราไม่ได้ติดฟิล์มใดๆ แต่ก็เป็นน้อยมาก ขอใช้ไปอีก 1 ปี แล้วจะกลับมารีวิวอีกครั้งว่าเป็นยังไงบ้าง

และนี่ก็คือที่มาของคำว่า เจ็บแต่จบ ของจริง คิดว่าต้องจบแล้วแหละ

และนี่ก็คือเส้นทางเวลาของเราค่ะ

บันทึกนี้ก็เหมือนเป็นบันทึกหนึ่งในหลายๆ บันทึกในชีวิตที่เราเขียนเรื่องราวที่เราต้องการให้มันคงอยู่ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ต้องการจะอวดหรืออะไร เพราะมันก็เหมือนกับของที่เราชอบทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ หนังสือ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือรถยนต์ หรือแม้แต่กระทั่งอาหาร มันขึ้นอยู่กับว่า ใครมีความชอบแบบไหนมากกว่า ใครจะทำตามหรือไม่ทำตาม ใครจะคิดว่ามันเป็นของฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง ก็คือสิทธิ์ของเค้า และเค้าเองก็มีสิทธิ์ในการเอาเงินของเค้าไปใช้ในสิ่งที่เค้าต้องการ ซึ่งเราก็เคารพในความชอบของเค้าเช่นกัน ^_^


มนุษย์เงินเดือนไปล่าแสงเหนือที่ Norway By Akiko

เนื่องจากทริปนี้มีความทุลักทุเลประมาณหนึ่ง และค่อนข้างใช้ความพยายามสูง เราก็เลยอยากบันทึกเก็บไว้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้ไปล่าแสงเหนือด้วย 😊ทางเรามีการวางแผนการเดินทางไปเที่ยวประเทศนอร์เวย์ไว้ตั้งแต่ปลายปี 2022 โดยมีความตั้งใจว่าจะไปดูแสงเหนือโดยเฉพาะเลย ส่วนที่เหลือก็เหมือนเป็นผลพลอยได้ของทริป โดยได้มีการวางแผนทะยอยจองตั๋วเครื่อง ที่บิน และต่างๆ ไว้เรื่อยๆ 

เราไปขอวีซ่าที่ VFS ตัวแทนในการดำเนินการขอวีซ่าของสถานทูตนอร์เวย์ ซึ่งต้องเข้าไปสมัคร Account และกรอกข้อความต่างๆ ให้ครบถ้วน และจ่ายเงินผ่าน website ค่าใช้จ่ายในการขอวีซ่า 80 ยูโร💶 จากนั้นก็เตรียมเอกสารต่างๆ เพื่อประกอบการยื่น โดยนัดวันเวลาและไปยื่นเอกสารทั้งหมดที่ VFS มีค่าดำเนินการของ VFS ประมาณ 1,000 บาท (รวมค่าจัดส่งเล่มถึงบ้าน) ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเราไม่ขอรับข้อความแจ้งเตือนใดๆ ทาง SMS ทั้งสิ้นเนื่องจากต้องเสียค่าข้อความอีก 70 บาท 555 ด้วยความงกก็ไม่มีทางจ่ายแน่นอน มั่นใจว่าน่าจะผ่านแน่ๆ 😁😁 เพราะเราเคยขอวีซ่าเชงเก้นมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งมีหลายๆ คนขอวีซ่าที่นี่ไม่ผ่าน โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยเดินทางไปเที่ยวยุโรป และไม่เคยขอวีซ่าเชงเก้นมาก่อน แต่เราไม่มีความกังวลตรงนั้นเลย เราใช้เวลา 15 วันทำการตั้งแต่การยื่นเอกสารจนกระทั่งได้รับเล่มกลับ ได้รับวีซ่าประมาณ 20 วัน คือให้สั้นมากที่สุดเท่าที่เคยได้เชงเก้นมา อาจด้วยเพราะพาสปอร์ตของเราเป็นเล่มใหม่ เพิ่งทำแบบ 10 ปีมาก็เป็นได้ เย่!!! ไปกันเที่ยวกันค่ะ🛫

เราเดินทางวันที่ 16 กันยายน ไฟลท์ประมาณตีสาม โดยสายการบินการ์ต้า จะบอกว่า ที่สายการบินการ์ต้าได้รางวัลสายการบิน Business ที่ดีที่สุดในโลกนั้น คือดีจริง ดีเลิศประเสริฐศรีมณีแสง ทั้งเลาจน์ การบริการ อาหาร เครื่องบิน และ Amenity kit ก็เป็นของ Diptyque ทั้งหมด สำหรับคนที่บินไฟลท์กลางคืน จะได้ชุดนอนของ The White Company London ด้วย ซึ่งทางเราชอบมากๆ ใดๆ เอาเป็นว่าอยากให้ทุกคนไปลองบินดูค่ะ ของเค้าดีจริงๆ ถึงได้รางวัลนั้นมา


เราใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง 🛬 ก็มาถึงสนามบินโดฮา ประเทศการ์ต้า เรามาเปลี่ยนเครื่องที่นี่ สนามบินถูกขยายไปเยอะมากเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพบอลโลก และน้องหมีเหลืองก็น่ารักเหมือนเดิม เลานจ์ที่นี่คือดีมาก ที่สุวรรณภูมิว่าดีแล้ว ที่โดฮาก็คือ ดีหนักมากเข้าไปอีก จากนั้น บินต่ออีก 6 ชั่วโมง ก็ไปถึงประเทศนอร์เวย์ ด้วยความเป็นประเทศสแกนดิเนเวียอ่าเน๊อะ ฮุกกะเอย ลุกกะเอย ทำอะไรก็จะช้าๆ เนิบๆ สบายๆ ก็เลยรอตม. นานประมาณชั่วโมงหนึ่ง ซึ่งตม.ก็ถามว่า มาทำอะไร เที่ยวที่ไหนบ้าง กี่วัน พักที่ไหน และขอดูตั๋วกลับ ซึ่งตรงนี้ต้องเตรียมเอกสารเอาไว้ด้วย ไม่ว่าคุณจะบินไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม เพราะก็มีคนไทยบางส่วนที่ทำเรื่องราวที่ไม่ดีไว้ เตรียมตัวให้ดีๆ ก็สามารถผ่านได้ไม่ต้องกังวลค่ะ

วันแรกไปถึงประมาณบ่ายสามของวันเสาร์ เราเลือกพักโรงแรมบริเวณสนามบินเลย เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะต้องบินต่อไป Lofoten ตั้งแต่ 9 โมงเช้า เพราะวันอาทิตย์ทุกอย่างก็ปิดเกือบหมด ยกเว้นคาเฟ่ และร้านอาหาร เลยคิดว่าไปเที่ยวที่อื่นก่อนแล้วค่อยมาปิดจบที่ออสโลก่อนไปโคเปนเฮเก้นก็น่าจะดี หลังจาก เช็คอินที่โรงแรมเรียบร้อย ก็ออกมาซื้อตั๋วรถไฟเพื่อเข้าไปเที่ยวเล่นในตัวเมืองออสโล ซึ่งค่าเดินทางที่นี่แพงมากจริงๆ ตกเที่ยวละ 118 NOK (1 NOK = 3.5 บาทโดยประมาณ)


ใช้เวลาประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานี Oslo S หรือ Oslo Central จากตรงนั้นเราสามารถเดินเที่ยวรอบๆ เมืองได้เลย ไม่ว่าจะเป็นถนน Karl Johans Gate ซึ่งเป็นถนนช็อปปิ้งยาวๆ เท่าที่กวาดดูด้วยตา ที่นี่ไม่ค่อยมีแบรนด์เนมหนาตามากนัก อาจเพราะคนที่นี่ไม่ค่อยนิยมใช้แบรนด์เนมเท่าไหร่ เดินดูตึกรามบ้านช่องและสถานที่สำคัญต่างๆ ของเมืองไปเรื่อยๆ อากาศกำลังดีไม่หนาวมาก และก็มีฝนตกบ้างเป็นพักๆ แต่ก็ไม่ได้แบบเปียกเว่อร์


เมืองนี้มีความน่ารัก เป็นเมืองเล็กๆ เรายังไม่ได้เดินไปไหนไกล เพราะว่าก่อนไปโคเปนเฮเก้น เราจะกลับมาที่นี่อีกรอบ ก็เลยแค่ย่านนี้ก่อน ช่วงเดือนกันยายนคือดีตรงที่มืดช้า ดังนั้นจึงมีเวลาเดินชมเมืองเยอะ แต่ร้านค้าก็จะเริ่มปิดตั้งแต่ 6 โมงเย็นแล้ว หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟกลับไปโรงแรม

วันรุ่งขึ้น ก็บินไป Lofoten โดยสายการบิน SAS ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินที่ Lofoten สำหรับที่นี่เราเช่ารถขับ ค่าเช่ารถตกประมาณวันละ 4,000 บาท (ไม่รวมน้ำมัน) น้ำมันก็ลิตรละประมาณ 70 บาท (อยู่ไทยบ่นว่าแพงนัก ไม่เจอที่นั่นก็คือตะลึง) วันที่เราไปถึง ครึ้มมากแม่ ซักพัก ฝนก็ตกจ้ะ ตกตลอดทางที่เราขับรถไป วันแรก เป้าหมายของเราคือ เมือง Svlovaer เนื่องจากที่นี่มีกำหนดเรื่องความเร็ว และฝนก็ตก และถนนก็คือเล็กมาก ประกอบกับต้องขับรถคนละฝั่งกับไทยด้วย ก็เลยขับได้ค่อนข้างช้า แต่ก็ดีที่ได้ชมวิวไปตลอดทาง ช่วงที่เราไป ใบไม้กำลังเริ่มเปลี่ยนสี และระหว่างทางเราได้เจอกวางมูสตัวเป็นๆ ด้วย แต่น่าเสียดายที่ถ่ายรูปไว้ไม่ทัน


ระหว่างทางคือวิวดีมากๆ จริงๆ มันทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อเวลาที่ต้องขับรถหรือนั่งรถไกลๆ แล้วอากาศก็กำลังหนาวในระดับที่ทนได้ ไม่ได้หนาวมากจนติดลบ จากสนามบินเราใช้เวลาประมาณเกือบๆ 3 ชั่วโมงก็ถึงตัวเมือง Svlovaer เราพักที่นี่หนึ่งคืน เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ติดแม่น้ำ คือก็น่ารักดี ด้วยความเป็นนอร์เวย์ จะมีแม่น้ำเยอะมากและภูเขาใหญ่ๆ ธรรมชาติคือสมบูรณ์ขั้นสุด มีบ้านสีแดง และสีๆ น่ารักๆ อยู่ตามภูเขาเหมือนในภาพวาด แต่วันนี้ได้มาเห็นของจริงก็คือมันน่ารักมากจริงๆ หอยแมลงภู่และเบียร์ที่นี่ก็คืออร่อยมากจริงๆ ค่ะ 555 ค่าอาหาร ค่าโรงแรมใดๆ ก็คือค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับยุโรปอื่นๆ แต่คุณภาพของวัตถุดิบก็คืออยู่ในระดับที่ดีเลยทีเดียว ส่วนคาเฟ่เมืองนี้ก็เน้นสไตล์มินิมอล และชีสเค้กคืออร่อยมากทุกร้าน อันนี้การันตีเลย เข้าร้านกาแฟทีนึงก็ตกประมาณ หนึ่งพันบาท ส่วนอาหารก็อยู่ประมาณสองถึงสามพันบาทต่อมื้อต่อสองคน


วันรุ่งขึ้นเราขับรถกันต่อเพื่อไปเที่ยวหมู่บ้านการ์ตูน น่ารักๆ ขึ้นชื่อของ Lofoten เราขับรถไปอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ไปถึงหมู่บ้าน Henningsvaer ขับรถเข้าไปลึกหลายกิโล ก็ไปเจอเหมือนหมู่บ้านประมงสีๆ คือเมืองมันต้องเป็นแบบนี้ทั้งหมดมั้ย มันน่ารัก และค่อนข้างเงียบ แล้ววันนี้อากาศก็คือดีมาก แดดดี ฟ้าสวย ปลื้มมาก


จากนั้นก็ขับรถต่ออีกประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อไปหมู่บ้าน Reine ซึ่งหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดใน Lofoten ในความคิดของเรา คือมันเหมือนภาพวาดเลย ไม่บ่อยที่เราจะเห็นวิวตรงหน้าแล้วรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล มันสวยมากจริงๆ ทุกอย่างดูลงตัว เหมาะเจาะไปหมดเหมือนจับวาง ของจริงก็คือสวยกว่าในรูปมากๆ เราขอบคุณท้องฟ้าที่สดใสมากขนาดนี้ และขอบคุณอากาศดีๆ ที่ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางคือมันหายไปเลย เหมือนได้ของขวัญชิ้นใหญ่จากการเดินทาง


จากนั้นก็ไปหมู่บ้านโอ (A) ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่ ขับรถไปอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้ว หมู่บ้านโอก็สวยแต่ไม่มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ Reine 


และที่นี่เองที่เราโดยขโมยกระเป๋าอาหารที่เราไปซื้อของสดพวก ปลาแซลมอล นม เบอร์รี่มา เรารู้สึกแย่มากเพราะคิดว่าที่นี่ไม่มีขโมย แต่มันไม่มีที่ไหนที่ไม่มีขโมย ไม่ว่ามันจะปลอดภัยแค่ไหน เราก็ควรระวังตัวเสมอนะคะ จากนั้นก็กลับไปพักที่หมู่บ้าน Hamnoy หรือที่คนไทยชอบเรียกว่าหำน้อย เราจองโรงแรม Eliassen เป็นบ้านหลังๆ สีแดงน่ารัก ในบ้านก็น่ารัก ตกแต่งแบบดั้งเดิมและมีห้องใต้หลังคาด้วย



ก่อนเข้าที่พัก เราแวะซุปเปอร์อีกรอบเพื่อซื้อแซลมอลกลับมาทำอาหารกินที่บ้าน แซลมอนที่นี่คือสดและอร่อยมาก เนื้อสัตว์มีคุณภาพดี แต่ราคาก็แพงด้วยเช่นกัน


ด้วยความที่ขับรถกันมาทั้งวัน ก็เหนื่อยอ่อนมาก เลยหลับกันไปตั้งแต่สองทุ่ม แต่ตอนตีสองก็มีคนมาปลุกเสียงดังมาก เธอ ตื่นๆ เราว่ามันใช่ เราว่ามันใช่ แล้วก็วิ่งออกไปหน้าบ้านกัน หนาวก็หนาว ง่วงก็ง่วง พอเงยหน้ามองท้องฟ้าเท่านั้นแหละ พระเจ้า อิผี ไม่รู้จะอุทานว่าอะไร น้องเค้ามา ชัดมาก และสว่างมาก กระจายทั่วท้องฟ้าเลย เราเลยวิ่งไปที่ริมน้ำ ซึ่งติดกับภูเขา ตรงนั้นค่อนข้างมืด ก็เลยชัดมากที่สุด ในที่สุด เราก็ได้เห็นแสงเหนือแล้ว น้ำตาจะไหลจริงๆ นะ หนาวก็หนาว มีหลายคนบอกว่า เดือนกันยายน ค่อนข้างเห็นได้ยาก เพราะมืดช้า และแสงเหนือจะมาให้เห็นจริงก็ช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไป แต่น้องเค้าก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง



สิ่งที่เราได้รู้ก็คือ แสงเหนือไม่ใช่สีเขียว เรามักเห็นรูปถ่ายว่ามันคือสีเขียว แต่ที่จริงไม่ใช่เลย มันเป็นแสงฟุ้งๆ ขาวๆ เป็นริ้วๆ อยู่บนท้องฟ้า ถ้ามีลมพัดแรง มันก็เหมือนจะเต้นได้ด้วยนะ เฮ่อ ภาระกิจสำเร็จแล้ว จะบินกลับเลยดีมั้ยนะ 555 เราดูอยู่นาน เดินไปเดินมากันอยู่สองคนจนตีสี่ แสงก็หายไปแล้วเพราะว่า เริ่มสว่าง เราได้เรียนรู้ว่า เราจะเห็นแสงเหนือเมื่อลมพัดเองจนเมฆหายไป และค่า KP สูงมากๆ ซึ่งเอาจริงๆ ในแอปก็คือไม่ตรงเลย เรียกได้ว่า อยู่ที่ดวงจริงๆ ค่ะ และบังเอิญว่าเราก็ดวงดีซะด้วย^_^

เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกแต่เช้าเพื่อขับรถไปสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง คืนรถเรียบร้อยก็บินต่อไปเมือง Tromso ถึงบอกว่าทริปนี้คือขึ้นเหนือล่องได้สุดๆ เดินทางเยอะมากๆ ไปถึง Tromso ช่วงบ่ายแก่ๆ ก็ checkin ที่โรงแรมแล้วออกมาเดินเที่ยวที่โรงแรม ที่นี่หนาวกว่า Oslo และ Lofoten มากๆ และเป็นเมืองที่น่ารัก มีตึกสีๆ เยอะเลย โดยส่วนตัวเราชอบเมืองที่เป็นเมืองมากกว่าเมืองที่มีแต่ธรรมชาติ รู้สึกเงียบเหงาเหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้า ก็เลยค่อนข้างชอบเมืองนี้มาก


วันแรกเดินเที่ยวแค่รอบๆ โรงแรมแล้วก็กลับมาพัก เพราะเมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอนเลย มัวแต่ดูน้องแสงเหนือ ทุกครั้งที่มาเที่ยวยุโรป เราจะกินเบอร์รี่กับเบียร์ทุกวัน 55 เอาอะไรมาไม่อ้วนก๊อนนนนน เพราะเบียร์ถูกกว่าน้ำอื่นๆ และเบอร์รี่ก็คือสด อร่อยและราคาถูกมากๆ สำหรับเรา เพราะเมืองไทย กล่องนึงก็เกือบสี่ร้อย ที่นี่อยู่ที่ร้อยกว่าบาทต่อกล่องเท่านั้นเอง 


วันต่อมาก็เที่ยวรอบๆ ตัวเมือง ยิ่งชอบเมืองนี้เข้าไปใหญ่เลย มันน่ารักมาก แต่เสียตรงที่หนาวสุดๆ นี่ขนาดไปเดือนกันยายน นึกภาพไม่ออกเลยว่าคนที่มาล่าแสงเหนือช่วงหน้าหนาว จะหนาวขนาดไหน เราไปดูสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ของเมืองอย่าง Arctic Cathedral จุดชมวิว แล้วก็ท่าเรือยอร์ช ด้วยเมืองนี้เป็นเมืองที่ติดกับภูเขาและแม่น้ำ มันยิ่งทำให้เมืองดูเป็นเมืองที่มีทั้งความธรรมชาติ และความเมืองคนรวยอ่า ไม่รู้จะอธิบายยังไง แบบมีเรือยอร์ชจอดอยู่จำนวนมาก ที่นี่ไม่มีกิจกรรมอะไรทำมากมาย นอกจากเดินเที่ยว ทนหนาวไม่ไหวก็เข้าคาเฟ่ แล้วก็ออกมาเดินเที่ยว เข้าห้องสมุด ออกมาเดินเที่ยว แล้วก็เข้าคาเฟ่อีกรอบ 




ที่นี่มีคาเฟ่เยอะ แล้วคาเฟ่ก็น่ารัก สไตล์มินิมอล น่ารักไม่ไหว ด้วยบรรยากาศเอย อากาศเอย คนเอย ก็คือดีงามไปหมด กาแฟที่นี่ก็คือเน้นคั่วอ่อนเน๊อะ เปรี้ยวแบบไม่ต้องสืบ 


ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องรักการอ่าน ดังนั้นทุกเมืองจะมีห้องสมุดที่ดีเลิศประเสริฐศรีมณีเด้ง ก็คือมันละมุนตุ้น อบอุ่น น่าเข้าไป คือถ้าเรามีแบบนี้อยู่ใกล้บ้านแบบที่สามารถเดินไปได้ แล้วอากาศดีๆ แบบนี้ เราก็จะไปห้องสมุดทุกวันเลยนะ เพราะเราก็ชอบอ่านหนังสือมากเหมือนกัน



แปลงร่างเป็นนักศึกษานอดิกแล้วหนึ่ง คือห้องสมุดเหมือนคาเฟ่เลย ก็คือแค่เข้าไปนั่ง แน่ๆ คือไม่หนาว แล้วยังดูดี ดูฉลาดแบบไม่เอะอะ ดูแพงมากค่ะ 555

วันนี้เราได้ไปกินอาหารไทย พี่เค้าเป็นคนไทย เค้าบอกว่าเมื่อคืนนี้มีแสงเหนือตรงท่าเรือด้วยนะ เราก็งง เพราะกลางเมืองแบบนี้มีด้วยหรอ เพราะเข้าใจว่าต้องเป็นที่มืดๆ มากๆ เท่านั้น ก็เลยคิดว่าคืนนี้เราพักที่ Tromso คืนสุดท้าย จะออกไปล่าซะหน่อย เผื่อเจออีกรอบ แล้วเราก็เจอจริงๆ น้องมาตอนสามทุ่ม แต่ตอนนั้นคือหนาวมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มือจะแข็งตอนที่เอามือถือขึ้นมาถ่ายรูป 


วันนี้น้องเล่นใหญ่ คือเป็นวงแหวนเลย แล้วอยู่นานมาก เราอยากดูจนน้องจากไป แต่คือไม่ไหว เพราะหนาวมาก ก็เลยเดินกลับห้อง แต่แค่นี้ก็คือฟินมากแล้ว แล้วฉากหลังคือเป็นท่าเรือ ของจริงก็คือสวยมาก คือขอบคุณเลยที่ได้เจอตั้งสองรอบแล้วได้เจอคนละแบบกับที่ได้เห็นที่ Hamnoy เรารู้สึกว่าเราโชคดีมากๆ 

วันรุ่งขึ้น เราบินจาก Tromso กลับมาที่ Oslo แต่รอบนี้ไปพักโรงแรมในเมืองเลย ใกล้ๆ กับถนนช็อปปิ้ง สงสัยเมื่อวานใช้ดวงไปหมดแล้ว ที่ Oslo ฝนก็คือตกเก่งงงงงงงง ทุลักทุเลไปหมด แต่ก็ลุยฝนเที่ยวกันเลย เพราะเหลือเวลาที่นี่อีกแค่วันเดียวก็ต้องไป โคเปนเฮเก้นแล้ว


เราได้ไปดู โอเปร่า กับห้องสมุดของที่นี่ด้วย เราชอบไปดูห้องสมุดของแต่ละเมือง หากอนุญาตให้คนต่างชาติเข้าไปได้ แต่ที่นี่ไม่สวยเท่าที่ Tromso


จริงๆ เมืองนี้ก็เป็นเมืองริมน้ำ แต่สำหรับเราไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีอะไรให้ดูหรือค้นหา เป็นเมืองที่ค่อนข้างใหม่ เพราะนอร์เวย์มีการย้ายเมืองหลวงหลายรอบมากกว่าจะมาจบที่ Oslo ที่นี่เราเดินทางด้วยรถเมล์และ Tram บัตรโดยสารอยู่ที่ 121 Nok หรือประมาณ 400 บาทสำหรับตั๋ว 24 ชั่วโมง ชอบรถเมล์ที่นี่นะ ด้วยความตรงเวลามาก ก็เลยการันตีว่า หากรถช้ากว่ากำหนด 20 นาที เราสามารถใช้ Taxi ได้และสามารถเคลมเงินคืนผ่านทางเว็บไซต์ได้ด้วย


เมื่ออยู่นอร์เวย์วันสุดท้ายก็ต้องกินแซลมอนนอร์เวย์สิ ก็คือสด และราคาถูกกว่าไทยด้วย เป็นอย่างเดียวที่ราคาถูกกว่าที่ไทยแล้วก็อร่อยมากๆ ร้านนี้ชื่อ Sushi Bowl เจ้าของร้านเป็นคนไทย บริการดีมากค่ะ


คนที่นี่นิยมกินพิซซ่ามาก มีร้านพิซซ่าหลายร้าน โดยปกติฝรั่งก็จะสั่งกันคนละหนึ่งถาด หรือหนึ่งจานเลย จะไม่ได้สั่งมาแบ่งกัน เราก็เนียนตามเค้า เราเลยสั่งมาหนึ่งถาดบ้าง แล้วก็สามารถกินได้หมดโดยไม่ติดขัดใดๆ เนื่องจากเป็นแบบแป้งบาง อร่อยมากค่ะ อ่อร้านที่เรากินชื่อ Mama


วันรุ่งขึ้นก็ไปซื้อของฝากและเตรียมตัวขึ้นเรือเพื่อเดินทางไป Copenhagen ประเทศเดนมาร์ก 


เรือที่ว่า มันไม่ใช่เรือสำราญอะไรหรอกนะ มันเป็นเหมือนเรือโดยสารจาก Oslo ไป Copenhagen มากกว่า แต่บนเรือก็มีห้องพัก ร้านอาหาร ของปลอดภาษีต่างๆ ให้ได้ช็อปด้วยเช่นกัน 


แล้วด้วยความไม่รู้จองผิดจองถูก ดูในรูปจากเว็บก็คือคิดว่าห้องเหมือนกัน เพราะในรูปใช้รูปเดียวกันเลย ต่างแค่ว่าเราไปพักกี่คน ซึ่งจะให้เลือก 2 คน หรือ 4 คน ซึ่งเราก็เลือก 2 คน ก็คิดว่าทำไมถูกจังแค่ไม่ถึงร้อยยูโรเลย พระเจ้า ภาพของหนังเรื่อง Titanic ก็เข้ามาในหัวตอนที่เปิดเข้าไปในห้อง มันคือเล็กมาก แล้วไม่มีหน้าต่าง เป็นเตียงสองชั้น แล้วสามารถเปิดกระเป๋าเดินทางได้ทีละใบเพราะมันไม่มีที่ คืออึ้งด้วยแต่ก็ขำด้วย เป็นประสบการณ์ใหม่มาก นี่ก็เข้าใจเลยว่าทำไมแจ๊คชอบไปเที่ยวเล่นข้างบน 555 


แต่ในห้องก็คือมีห้องน้ำในตัว แล้วก็สะอาดดี ติดแค่เล็กมากๆ แล้วก็ไม่มีหน้าต่าง แต่ก็โอเค พออยู่ได้ เพราะแค่คืนเดียว มันไม่ได้แย่มากขนาดนั้น แค่อึดอัดนิดหน่อย ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตอีกแบบหนึ่ง

เราถึง Copenhagen ตอนประมาณ 10 โมงวันรุ่งขึ้น ลงจากเรือ ไปซื้อตั๋วรายสามวันเพื่อใช้เดินทาง
ค่าตั๋ว 36 ชั่วโมงก็อยู่ที่ 200 DKK ต่อคนหรือประมาณ 1000 กว่าบาท ที่นี่ 1 DKK = 5.2 บาท

ก็มาเช็คอินที่โรงแรม โรงแรมที่เราเลือกอยู่ไม่ห่างจากแหล่งช็อปปิ้งถนน Stroget รวมถึงตลาด และสถานที่สำคัญต่างๆ อย่าง Nyhavn , City Hall หรือแม้แต่ Tivoli Garden ซึ่งเป็นสวนสนุกของเมืองนี้ จริงๆ เมืองนี้ถ้าเดินเก่งก็ไม่ต้องซื้อตั๋วรถก็ได้ เพราะว่าสามารถเดินเที่ยวได้รอบๆ เลย วันแรกก็ไป Nyhavn ก่อนเลยเพราะว่าแดดดีมาก อยากถ่ายรูปสวยๆ เรื่องราวคือน่ารักมาก ตึกสีเหมือนกล่องคุ๊กกี้ และมาที่นี่ขาดไม่ได้ก็คือต้องกินไอติมสินะ


เราไปกินราเมนร้านดังชื่อ Slurp Ramen ชามละ 175 DKK หรือประมาณ 900 บาทนิดๆ ก็อร่อยดีนะ ตอนเราไปได้เข้าไปในร้านเลย แต่ไม่ถึงห้านาทีก็มีคนมาต่อคิวเยอะมาก 


พอกินเสร็จก็ไปเดินเล่นที่ถนน Stroget เป็นถนนช็อปปิ้งมีทุกแบรนด์ให้เลือกสรรค์แล้วก็มีตึกน่ารักๆ เต็มไปหมดเลย 

พอร้านรวงเริ่มปิดตอน 6 โมงเย็นก็ไปเดินริมน้ำอีกรอบเพื่อดู Nyhavn ยามค่ำคืน มันสวยแปลกตาไปอีกแบบจริงๆ


วันต่อมาก็ตระเวนเที่ยวตามที่ต่างๆ ของเมือง เมืองนี้เป็นเมืองน่ารัก ไม่รู้จะพูดอีกกี่รอบ เราชอบมากที่สุดตั้งแต่เริ่มทริปมาจนถึงวันนี้ ติดตรงที่ทุกอย่างแพงไปหมด 555 วันนี้เราไปต่อคิวร้านขนมปังร้านหนึ่งชื่อ Juno ขายแบบ take away เท่านั้น แต่ก็มีโต๊ะนิดๆ หน่อยๆ ให้นั่งกินหน้าร้านได้ เราไปตอนเปิดร้าน พระเจ้าคนต่อคิวแล้ว เราต่อคิวประมาณ 20 นาที ก็ได้ชิมขนมปังร้านนี้


ดูสภาพ ไม่มีจานชามช้อนส้อมใดๆ ให้ทั้งนั้น อย่างที่บอกว่าขายแบบ Take Away เท่านั้น ก็อร่อยแบบไม่ได้ว๊าว ตกชิ้นละประมาณ 40 - 60 DKK 


จากนั้นก็ไปเดินเล่นแถวๆ City Hall และริมน้ำ ชิวมาก อากาศดีสุดๆ ไม่มีฝนเลย และอากาศไม่หนาวเกินไป แล้วท้องฟ้าก็คือสดใสมากๆ ขอบคุณมากๆ จริงๆ น๊า


แล้วก็ไปตลาดพื้นเมืองด้วย เป็นตลาดที่สะอาดมาก ไม่มีหนู ไม่มีสัตว์ใดๆ ยกเว้นหมาที่เค้าพามาด้วย มีทั้งพืชผักผลไม้ ดอกไม้ และขนมต่างๆ น่ากินมาก




ได้มากินร้านนี้ ซึ่งเป็นร้านที่เค้าแนะนำกัน เป็นร้านขายแซนวิชหน้าต่างๆ เราเลือกเป็นหน้าสลัดแซลมอนกับน้ำมะนาวโซดา สงวนราคาอยู่ที่ 158 DKK คือน้ำมะนาวโซดาอร่อยที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยกินมา



จากนั้นก็ไปเดินเล่นถนน Stroget คือไม่รู้จะไปไหนนะ แวะไปกินกาแฟที่ร้านกาแฟ Original Coffee ตั้งอยู่ในห้าง ILLUM ชั้นบนสุด เป็นเหมือนจุดชมวิว กาแฟอร่อย วิวดี ชิวมาก


วันต่อมาก็เที่ยวสถานที่ต่างๆ เหมือนเดิม ไปดูนางเงือกก็คือน้องดำมาก แล้วก็มีอยู่ตัวเดียวในสวนสาธารณะนั้น น่าสงสารมาก


น้องอยู่ในสวนสาธารณะที่บรรยากาศดี คือถ้ามีสวนแบบนี้ อากาศแบบนี้ สาบานว่าจะวิ่งทุกวัน เดินออกมาจากสวนซึ่งห่างจากกลางเมือง เราสามารถเดินได้วันหนึ่งเป็นสิบกิโล เพราะอากาศที่ดี และเมืองที่น่ารัก ทำให้เราไม่เหนื่อยเลย



จนไปถึง Kastellet เราแวะเข้าไปดูแต่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไรยังไง ก็ตามๆ เค้ามา แต่ก็น่ารักดี มันเป็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของเดนมาร์กน่ะ



จากนั้นก็นั่งรถเมล์ออกนอกเมืองนิดหน่อยไปเที่ยวโบสถ์ที่เค้าร่ำลือกันว่าสวยมาก คือมันไม่ได้สวยแบบหรูหราเหมือนโบสถ์อื่นๆ ในยุโรป อย่างอิตาลีหรือฝรั่งเศสหรืออังกฤษ แต่มันสวยแบบเงียบๆ ไม่ตะโกน ซึ่งเราชอบมากนะ มันดูมีสไตล์และสงบ


จากนั้นก็กลับเข้ามาในตัวเมืองอีกครั้ง พอฟ้าเริ่มมืด เราก็กลับโรงแรม ก่อนกลับก็แวะซื้อเบอร์รี่กินเหมือนเดิม ดูสิว่าถูกขนาดไหน


เริ่มวันใหม่ด้วยการไปต่อคิวร้านดังอีกเหมือนเดิม ร้านนี้ชื่อ Anderson โดยส่วนตัวเราชอบร้านนี้มากกว่าร้านแรก แล้วขนมก็คืออร่อยมาก อร่อยน้ำตาไหล ชอบเค้กยูสุมาก 


จากนั้นก็นั่งรถกลับมาที่แถวๆ Cityhall และสถานที่สำคัญต่างๆ ที่เค้าว่ากันว่าต้องไป 555 นี่ก็ไม่มีความรู้อะไรทั้งนั้น ในเว็บบอกให้ไปไหน ก็ตามๆ เค้าไป โบสถ์เอย อะไรเอย


จริงๆ เราไปหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ใน Copenhagen ที่อยู่นอกกฎหมายของเมืองด้วย เป็นหมู่บ้านอิสระมีกฎหมายเป็นของตัวเอง แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูป เป็นพื้นที่ไม่ใหญ่มาก คนก็เดินเข้าออกปกติ แต่เราก็ไม่ค่อยชอบย่านนั้นเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสะอาด เรากลับไปตลาดอีกครั้งเพื่อกินซูชิ เพราะว่าของสดที่นี่คุณภาพดี และคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา แล้วก็ไปซื้อของฝาก จากนั้นก็กลับโรงแรม

วันนี้วันสุดท้ายของทริป รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ก่อนหน้านั้นก็กล้าๆ กลัวๆ เจอปัญหาหลายอย่างเหมือนกันทั้งของหาย ทั้งอากาศที่ไม่ดี แต่ในที่สุดก็ได้รับประสบการณ์หนึ่งที่ดีมากๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต 

ขากลับเราได้นั่ง Q Suite 1 ขาด้วยจากโดฮากลับมาไทย มันดีมากเลย ที่นั่งใหญ่มาก แล้วเลาจน์ที่โดฮาก็คืออลังการและอาหารก็ดีด้วย ไปลองกันนะ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ อ่อ สนามบินโซนใหม่ของโดฮา ก็คือประหนึ่งอยู่สิงคโปร์เลยทีเดียว ให้ฟีลสวนกลางสนามบินงี้ ดีแหละ ก็ได้แต่นั่งนึกถึงสุวรรณภูมิ น่าจะมีแบบนี้บ้างเน๊อะ ^_^



มีคนถามว่า ตอนอยู่เมืองไทยเราดูยุ่งตลอดเวลา แล้วลาไปแบบนั้นได้ยังไง ก็บอกเลยว่าเราเอา notebook ไปทำงานด้วยทุกวันที่เราลา 555 โดยเราจะตื่นตอนตีห้าทุกวันและนั่งทำงานจนถึงประมาณ 8 โมงเช้า แล้วก็อาบน้ำแต่งตัวออกไปเที่ยว ทุกคนมีภาระ แต่ทุกเรื่องราวมันสามารถบริหารจัดการได้ โดยส่วนตัวเราคิดว่า ยิ่งทำงานหนัก ยิ่งต้องออกไปทิ้งตัวบ้าง เพื่อไม่ให้เรารู้สึก Burn out เพราะเมื่อสามปีก่อน เราเคยเป็นแบบนั้น แล้วมันแย่มาก เหมือนคนเป็นบ้าที่อยากลาออกตลอดเวลา เวลาทำงานเยอะๆ เครียดมากๆ อยู่ดึกๆ ที่ออฟฟิสคนเดียว ก็ร้องไห้ออกมาแบบไม่มีสาเหตุ เหมือนคนจิตตกตลอดเวลา กังวลไปหมดทุกอย่าง ท้อแท้ และรู้สึกเหนื่อยแบบไม่มีสาเหตุ คิดอะไรไม่ออก ความสามารถในการแก้ปัญหาต่ำเป็นประวัติการณ์ 

บางคนก็เสียดายเงิน คิดว่าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย อันนั้นเราว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว และเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลที่อยากจะทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่อย่างน้อย ก็ต้องพักบ้าง ไม่ต้องไปต่างประเทศก็ได้ แค่เป็นคาเฟ่ที่เราชอบ ไปต่างจังหวัด หรือแม้แต่กลับบ้านเกิด พอเราได้พัก ได้อยู่กับตัวเอง ได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมแบบที่เราเลือกเอง แบบที่เราชอบ พลังบวกก็กลับมา เหมือนได้ reset และได้ชาร์จแบตให้กับตัวเอง มีแรงที่จะใช้ชีวิตและแก้ปัญหาต่างๆ ต่อไป

อย่าลืมนะว่าแสงเหนือไม่ใช่สีเขียวค่ะ^_^

Panlapa Akiko














 
















ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...