เป็นยังไงกันบ้างคะ ยังมีความหวัง มีความสุขกันอยู่มั้ย ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขกับชีวิตและอยู่กับสถานการณ์แบบนี้ได้แบบสบายๆ นะคะ เกือบๆ สองปีแล้วที่เราแทบจะไม่ได้กระดิกตัวไปไหนกันเลยนอกจากอยู่บ้านและไปทำงาน ตั้งแต่โควิดเข้ามาในชีวิตของเรา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แถมตอนนี้ก็แทบจะไม่ได้ไปทำงานที่ออฟฟิสกันแล้วด้วยซ้ำ คนที่ชอบท่องเที่ยวเดินทางก็เหี่ยวเฉากันเป็นทิวแถว เพราะไม่ได้เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศกันร่วมๆ สองปีแล้ว และยังไม่มีวี่แววที่จะได้กลับไปเดินทางท่องเที่ยวกันอีกครั้ง สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ทดแทนการเดินท่องเที่ยวที่ต่างประเทศ ก็คงจะไม่พ้นไทยเที่ยวไทย ซึ่งถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ไปพักโรงแรมดีๆ ของประเทศไทย ในราคาย่อมเยาลงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่วนคนที่ชอบกินก็คงทัวร์กินทั่วไทย ทั้งมิชลินเอย บุฟเฟ่ต์ต่างๆ อย่างน้อยเรื่องราวเหล่านี้คงทำให้เราพอได้ผ่อนคลายในยามที่สถานการณ์ต่างๆ ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
ส่วนทางเราก็ได้ทำเรื่องราวเหล่านั้นเช่นกัน 18 เดือนที่ผ่านมา เราเที่ยวไทยและทัวร์กินจนน้ำหนักขึ้นมาไม่น้อย โดยเฉพาะ Afternoon Tea ต่างๆ ด้วยความที่เป็นคนชอบของหวานมากๆ ก็เลยลองชิมไปเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนรีวิว Afternoon Tea ตอนที่ 1 ไปเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งเป็นภาคแรก สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างนะคะ
https://badgirlgoeverywhere.blogspot.com/2019/07/afternoon-tea-by-akiko.html
หลายเดือนที่ผ่านมา ทางเรามีปัญหานอนไม่หลับบ่อย คืนนี้ก็เช่นกัน เลยนึกอยากเขียนรีวิว Afternoon Tea ภาค 2 ต่อสักหน่อย มาเริ่มกันที่ทริปสุดท้ายก่อนปิดประเทศ เมื่อต้นปี 2020 เราได้ไปประเทศญี่ปุ่นในช่วงที่โควิดกำลังเริ่มระบาด และได้ไปลอง Afternoon Tea Set ของ Dior by Pierre Herme ที่นี่เป็น Cafe Dior ที่อยู่ชั้น 2 ของบูทิค Dior ย่าน Ginza พอพูดถึง Pierre Herme เราพอรู้ว่า Macaron อร่อยมากและราคาค่อนข้างสูง แล้วก็เป็นไปตามคาด Afternoon พี่เค้าทั้งอร่อย สวยและแพงงงงงงงงง
สำหรับ set นี้ก็คิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,000 บาท คะแนนความอร่อยให้ 8 เต็ม 10 ค่ะ Macaron ก็อร่อยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ขนมอื่นๆ ก็อร่อยแบบอร่อยทั่วไป ไม่ได้โดดเด่นมาก ในส่วนของกาแฟนั้นรสชาติดีค่ะ เป็นกาแฟที่เบาๆ เหมือนกินนมรสกาแฟ แต่สำหรับ decoration เอาไปเต็ม 10 ไม่หัก สวยหรูดูแพง สไตล์ Dior
หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่น ต้องกลับมากักตัว 14 วัน ไม่ได้ออกไปไหนเลย น้ำตาลตกมากๆ พอได้ออกจากรังได้ก็เริ่มต้นด้วย Afternoon Tea ที่ Laduree ซึ่งปัจจุบันน้องเค้ากลับปารีสไปด้วย อาจด้วยราคาที่สูงสำหรับคนไทย โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า คนไทยนิยมไปกิน Afternoon Tea ที่โรงแรมมากกว่า ในส่วนของ set ของน้องเค้าก็มีความสวยงามน่ารักสไตล์ปารีเซียง ด้วยความที่ไม่ได้กินของหวานตลอด 14 วันที่กักตัวก็เลยสั่งเยอะและสั่งขนมอื่นๆ นอกเซ็ตเพิ่มเติมด้วย สิริรวมแล้วก็ประมาณ 2,500 บาท แต่ก็คือเยอะมากและอิ่มมาก จุดเด่นของที่นี่คือ Macaron ซึ่งดังไปทั่วโลก เอแคลร์ ก็คืออร่อยมากๆ ส่วนเค้กอื่นๆ ก็ทำได้ดี จริงๆ ก่อนหน้านี้เคยมากินสองสามครั้งแต่ไม่เยอะเท่านี้ ก็ถือว่าตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบของหวานค่ะ


จริงๆ แล้วรู้สึกเสียดายเหมือนกันที่น้องไม่ได้ไปต่อ เพราะเชื่อว่าใครที่เคยไปปารีสจะต้องไปเยี่ยมน้องแน่ๆ แถมต้องต่อแถวยาวเหยียดอีกด้วย ก่อนที่น้องจะลากลับประเทศไป ทางเราก็ได้ไปบอกลาน้องอีกรอบ สำหรับ set เล็กก็จะหน้าตาประมาณนี้นะคะ ขนมไม่เยอะ เหมาะสำหรับกินคนเดียวมากกว่าค่ะ แต่ราสเบอรี่ก็คือเป็นอะไรที่ต้องสั่งทุกครั้ง โดยส่วนตัวคิดว่ามันเหมือน Highlight ของที่นี่ ด้วยราสเบอรี่สดและตัวขนมที่ไม่หวานจนเกินไป ก็คือเข้ากันได้ดีมากๆ
อีกที่หนึ่งที่ไปบ่อยๆ เพราะมักจะได้สิทธิ์กินฟรีจากบัตรเครดิตที่เราใช้อยู่ ซึ่งถ้าเราใช้ถึงยอดที่กำหนด ก็จะสามารถแลกสิทธิ์ได้ฟรีสำหรับ 2 คน และเมื่อถึงเดือนเกิดก็จะได้สิทธิ์อีก นั่นก็คือ Twining Tearoom ซึ่งจะแปะรูปให้ดูทีเดียวเลยนะคะ ค่าเสียหายไม่รู้เท่าไหร่ค่ะ คือทางเราได้ฟรีตลอดเลย 555 แต่ขนมที่นี่ก็คือใช้ได้อยู่ค่ะ เค้กชิ้นน่ารักกรุบ ไม่ใหญ่ไปจนเลี่ยนหรืออิ่มจุก สามารถกินไปจิบชาไปได้เรื่อยๆ ถือว่าเป็น set ที่โอเคเลยค่ะ
อีกทีหนึ่งที่ไปซ้ำหลายรอบ เพราะขนมแน่นมาก รสชาติโอเค ก็คือ The House on Sathorn ที่นี่คือจัด set สำหรับ 2 คนที่สามารถกินได้ 4 คน (มั้ง) ก็คือสามารถกินแทนมื้ออาหารได้เลย เพราะเยอะแยะทั้งคาวหวาน ราคาก็น่ารัก ส่วนเรื่องความสวยงามไม่ต้องสืบ เพราะสวยทั้ง Afternoon Tea Set และสถานที่ ซึ่งเป็นสวนที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้ดีอังกฤษของจริง ซึ่งที่นั่งสามารถเลือกได้ทั้ง indoor และ outdoor แต่ทางเราชอบนั่ง outdoor มากกว่า Set นี้ราคา 1,450 บาท แต่ถ้าอยากดื่มแชมเปญด้วยก็สามารถเลือก set bundle champagne ได้ ราคาก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,750 บาท
ต่อกันที่โรงแรมน้องใหม่อย่าง Sindhorn Kempinski Hotel Bangkok โรงแรมน้องใหม่เพิ่งเปิดไม่นานนี้ โรงแรมคือสวยเลย ใครชอบถ่ายรูปก็คือสามารถอยู่ที่นั่นได้ทั้งวันแบบไม่ต้องไปไหนและไม่เบื่อ เพราะมุมถ่ายรูปเยอะมาก ส่วนห้องพักก็เริ่ดเลอดีงามมากๆ ห้องใหญ่ ใหม่ และสะอาด สำหรับบริการก็อย่างเริ่ด มาว่ากันด้วยเรื่องของ Afternoon Tea ที่นี่ถือว่าจัดได้หน้าตาสวยงาม ราวกับเป็นขนมหวานของเจ้าหญิง ราคาก็คือเจ้าหญิงมากค่ะ 1,950 บาท ขนมคือน้อยชิ้นน่ารัก ดูเหมาะกับผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักๆ แต่สำหรับรสชาตินั้น ทางเรากลับไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ แต่คนอื่นอาจจะชอบก็ได้ค่ะ ก็ต้องไปลองชิมกันดู ที่นี่ธีมจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเทศกาลเช่นกันค่ะ พูดถึง Kempinski แล้วไม่พูดถึง Siam Kempinski คงจะไม่ได้ ที่นี่ก็บริการดีมากๆ จะว่าไปทั้งสองดีคือเป็นโรงแรมที่ดีมากๆ และอาหารเช้าก็อร่อย คุณภาพดีทั้งสองที่ แต่ Afternoon Tea Set จะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน ของ Siam Kempinski จะน้อยกว่า ไม่ได้เน้น display เท่าไหร่ ขนมก็อร่อยแบบขนมของโรงแรม ไม่ได้หวือหวา ราคาค่าตัวน้องน่าจะ 1,250 บาท แต่ทางเราได้สิทธิ์ฟรีจากบัตรเครดิต (อีกแล้ว) 5555 รูดเก่งงงง กินก็เก่งงงง
มาต่อกันที่โรงแรม Waldrof Astroria Bangkok อีกโรงแรมที่ห้องพักดี บริการเริ่ดๆ อาหารเช้าก็คือดีมากๆๆๆๆ ส่วน Afternoon Tea ที่นี่คือสวยยยยยยย และน่ารัก ห้องอาหารก็บรรยากาศใช้ได้อยู่ค่ะ เช่นกันค่ะ ที่นี่กาแฟอร่อย แต่รสชาติของน้องๆ สำหรับเราคือกลางๆ น้องราคา 1,750 บาทค่ะ ช่วงที่ไปที่นี่ เป็นช่วงคริสมาสต์พอดี ดังนั้นก็จะเป็น Seasonal Theme ซึ่งจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่เทศกาล

ไปรอบๆ กรุงเทพฯ ให้หมดก่อนแล้วนะคะ อีกที่หนึ่งที่ไปซ้ำบ่อยๆ ก็คือ The Bakery โรงแรม Athenee Hotel Bangkok เพราะขนมถือว่าอร่อยและราคาน่ารัก และถ้าเป็น สมาชิก clud marriott จะได้ส่วนลด 20% ด้วยค่ะ น้องราคา 1,250 บาท ดังนั้นเมื่อรวม service charge / vat แล้วจะเหลือประมาณ 1,000 บาทหลังหักส่วนลด สถานที่คือกลางๆ ก็คือคาเฟ่ในโรงแรม แต่ set มีความน่ารักกรุบ เป็นธีมกระดานหมากรุก ราวกับว่ากำลังใช้สมองคิดว่าจะกินชิ้นไหนก่อนดี ในภาคที่แล้วทางเรารีวิวไปแล้วรอบหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นจะเป็นเทศกาลมะม่วงใดๆ แต่ครั้งนี้ตัวขนมจะเปลี่ยนเป็นธีมดอกไม้ เรียกได้ว่าเป็น Seasonal Afternoon Tea ซึ่งทำให้เราสามารถไปกินได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
ส่วนอีกที่ที่ไปซ้ำบ่อยไม่แพ้กันก็คือ Zeat Bar & Terrace โรงแรม Westin Grande ที่นี่ก็สามารถใช้บัตร club marriott ลดได้ 30% เช่นกันค่ะ ที่นี่ดีตรงสามารถสั่งเครื่องดื่มใดๆ ได้ไม่จำกัดตลอด 2 ชั่วโมง Afternoon Tea Set ที่นี่จะมีทั้งคาวหวาน ซึ่งส่วนใหญ่เราจะสั่ง 2 Set เพราะใน set จะมีขนมทั้งคาวหวานก็จริงแต่ปริมาณไม่เยอะมากและไม่เพียงพอสำหรับ 2 คน ขนมถือว่ารสชาติโอเคเลยค่ะ ราคาก็น่ารักด้วย ลดแล้วเหลือประมาณ set ละ 1,000 บาท
อีกที่หนึ่งที่มี decoration set ที่น่ารักและไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะแปลกตาเหลือเกินก็คือ ห้องอาหาร Cafe Claire ซึ่ง set น่ารักกรุบมาก เป็นรูปชิงช้าสวรรค์ ส่วนขนมกับกาแฟก็คือรสชาติโอเคเลยค่ะ ราคาก็น่ารักประมาณ 1,000 บาท ถ่ายรูปได้เยอะเลย ถ้าใส่ชุดสีชมพูก็จะดูดีเป็นพิเศษด้วย ไปลองชิมกันดูนะคะ
มาถึงโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ Afternoon Set ตัวนี้ถูก bundle มากับ package ห้องพัก ที่นี่ห้องพักดีนะคะ อาหารเช้าคือเริ่ดมาก จัดให้เป็นที่สุดของกรุงเทพฯ ในช่วงเวลานี้ แต่บริการเฉยๆ ส่วนฟิตเนสที่นี่ก็ถ่ายรูปได้จุกๆ คือดีมาก ถ้าไม่ได้ไปพักที่โรงแรมก็จะต้องเป็นสมาชิกคลับซึ่งต้องเสียค่าสมาชิกเกือบๆ แสนต่อปี แต่ก็คือดีจริงๆ แหละ อ่ะนอกเรื่องละ กลับมาที่ Afternoon Tea ที่นี่ ขนมรสชาติดีนะคะ กาแฟก็ดี แต่ decoration คือไม่ประดิษฐ์เท่าไหร่ เรียกได้ว่าเฉยๆ ไม่รู้ว่า set นี้ราคาเท่าไหร่ รูปข้างล่างอย่าไปโฟกัสหน้าป้าเค้านะคะ พอดีไม่ได้ถ่ายรูป set มา เพราะมันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ค่ะ

ไปต่อกันอีกที่กับโรงแรมริมน้ำอย่าง The Peninsula Bangkok ที่ทางเราได้มีโอกาสไปพักที่นั่นซึ่งในแพคเกจของโรงแรมในตอนนั้นมี bundle Afternoon Tea ไว้ด้วย อาจเพราะเราคาดหวังมากไปนิดนึงเนื่องจากเป็นโรงแรมที่หลายๆ คนรีวิวว่าดีงาม ด้วยวิวแม่น้ำเอย บริการเอย ซึ่งเราก็ไม่ได้ติดในส่วนนั้น แต่สำหรับ Afternoon Tea แล้ว แอบผิดหวังนิดหน่อย หน้าตาค่อนข้างธรรมดา รสชาติกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นในด้านใดเป็นพิเศษ รูปร่างหน้าตาก็เหมือน Set Afternoon Tea ธรรมดา ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ ก็เลยขอแปะรูปนี้แทนนะคะ ราคาปกติประมาณ 1,200 บาทค่ะ
ล่าสุดได้มีโอกาสไปพักที่ Amari Watergate ซึ่งเป็นแพคเกจที่มีเครดิตของโรงแรมให้ด้วย ก็เลยไปลอง Afternoon Tea Set ของที่นี่ด้วยค่าตัวน่ารักๆ ที่ประมาณ 1,000 บาท ซึ่งน้องมาเป็นกล่องเหมือนกระเป๋าเดินทาง เป็นเรื่องราวของการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก โดยการรวบรวมขนมที่เป็นจุดเด่นของแต่ละประเทศมาประกอบร่างกันเป็น Afternoon Tea set นี้ เช่น Macaron ชาเขียว เป็นตัวแทนของญี่ปุ่น โรลมะม่วงเป็นตัวแทนของไทย สลัดอโวคาโด้เป็นตัวแทนของแม็กซิโก ชูครีมงาดำเป็นตัวแทนของจีน เป็นต้น ส่วนรสชาติถือว่าโอเคเลยเมื่อเทียบกับราคา ปริมาณกำลังดี ไม่เยอะ ไม่น้อยจนเกินไป และเป็นขนมแบบที่กินได้จริง ไม่ได้กินเอาอิ่ม แต่เป็นการกินเอาสังคม ช่วงที่ไป โรงแรมคนน้อยมาก ก็คือเหมาะสำหรับการทำงานไป จิบชาไป คิดอะไรไม่ออกก็หยิบขนมมากินชิ้นนึง หรือจะมานั่งคุยกับเพื่อนก็ไม่ติดค่ะ


ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันบ้างดีกว่าค่ะ ปีที่ผ่านมา ทางเราไปเที่ยวทางใต้บ่อยมาก จนอาจเรียกได้ว่าเป็นบ้านที่สอง ก็เลยได้มีโอกาสไปลอง Afternoon Tea ของโรงแรมต่างๆ ในภาคใต้บ้าง ใดๆ ก็มาเริ่มต้นกันที่โรงแรม Dhevasom Khoalak แล้วกันค่ะ โรงแรมนี้อยู่ที่พังงา แต่ดีแบบไม่น่าเชื่อว่าจะมีโรงแรมแบบนี้อยู่ที่พังงา จริงๆ ก็อยากจะรีวิวโรงแรมด้วย แต่วันนี้ขอว่าด้วยเรื่อง Afternoon Tea ของที่นี่ก่อนแล้วกันนะคะ สำหรับ Set ของที่นี่จะเน้นขนมแบบไทยๆ ทั้งคาวและหวาน มีน้อยชิ้นแต่รสชาติถือว่าโอเค กินคนเดียวได้หมดแบบสบายๆ ราคาประมาณ 1,000 บาทค่ะ

มาต่อกันที่ Pullman หาดในทอน โรงแรมนี้โอเคนะคะ เป็นตัวเลือกที่ดีหากใครได้ไปภูเก็ตค่ะ ในส่วนของ Afternoon Tea Set ของที่นี่มีความเก๋ ออกแนวอาร์ทๆ หน่อย ขนมโดยภาพรวมคือกลางๆ แต่วิวก็คือทะเลภูเก็ต ดังนั้นย่อมได้คะแนนบวกในส่วนนี้ไปแต่โดยดี ราคาไม่ถึงพัน ถือว่าคุ้มค่าค่ะ

มาที่หัวหินกันบ้าง ทางเราได้ไปชิม Afternoon Tea ของ Mc Farland House โรงแรม Hyatt Regency Huahin ที่นี่คือได้บรรยากาศมากๆ เพราะอยู่ติดทะเล ชิวมากๆ เลยไม่แน่ใจว่าอร่อยเพราะวิว หรือเพราะว่าขนมอร่อยจริงๆ น้องคือมา set ใหญ่มากเว่อร์ ในราคาประมาณ 1,000 บาทไม่เกินนี้ วิวคือดีย์ ถ้าใครไปหัวหินก็อยากให้ลองแวะไปชิม แต่ว่าต้องจองล่วงหน้า เพราะเป็นร้านอาหารของโรงแรมที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่เนื่องจากเราไปวันธรรมดาก็เลยได้นั่ง outdoor ก็คือเริ่ดกรุบ
ลงมาอีกนิดหนึ่ง มาที่ปราณบุรี โรงแรม Villa Maroc โรงแรมนี้เหมาะกับคนชอบถ่ายรูปมากๆ ค่ะ อ่ะ นอกเรื่องๆ Afternoon Tea Set ที่นี่เน้นความ Morocco อารมณ์เหมือนอยู่ทะเลทราย 555 set อาหารรสชาติกลางๆ ไม่โดดเด่น แต่ห้องอาหารคือมีเอกลักษณ์ดีค่ะ ทำให้บรรยากาศโดยภาพรวมดีขึ้น น้องเค้ามีราคาไม่ถึงพัน เลยทำให้ดูไม่แพงเท่าไหร่
ขึ้นเหนือกันบ้าง วนเหนื่อยเลยทีเดียว ปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเชียงใหม่สองสามครั้ง ซึ่งมีครั้งหนึ่งได้ไปพักโรงแรม ณ นิรันดร์ ซึ่งเป็นโรงแรมเล็กๆ ที่อยู่ริมน้ำ มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่กลางโรงแรมซึ่งเป็นเหมือนเอกลักษณ์ของโรงแรมนี้ ถือว่าดีเลยทีเดียว ส่วน Afternoon Tea ที่นี่สวยงามดีค่ะ ประกอบกับการที่เรานั่งชิวๆ ริมแม่น้ำ ก็ยิ่งทำให้ภาพรวมของบรรยากาศต่างๆ ดีไปด้วย ใน set ของที่นี่ค่อนข้างจริงจัง มีทั้งคาว หวาน และผลไม้ ราคาประมาณ 1,000 บาทถ้าจำไม่ผิด อยู่แถวๆ นี้ค่ะ ก็สวยงามตามท้องเรื่องกันไปค่ะ ถ้ามีโอกาสได้ไปเชียงใหม่อีกรอบ ก็อยากจะไปที่นี่อีก

ในทริปนั้นเราเปลี่ยนโรงแรมทุกคืน เพราะอยากลองหลายๆ ที่ก็เลยได้ไปพักที่ Inside House ด้วย ที่นี่เป็นโรงแรมสไตล์บ้านแบบบ้านผู้ดีสมัยโบราณ และในแพคเกจของที่นี่มีรวม Afternoon Tea ไว้ด้วย แต่ไม่ได้ใหญ่โตมาก มีขนมอย่างละชิ้นสองชิ้น เป็นเหมือนขนมสำหรับต้อนรับวันที่เราเช็คอินมากกว่าค่ะ

พอกรุบๆ กริบๆ นะคะ ก็หวังว่า Blog นี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่รักของหวาน หรืออยากลองชิมดูบ้างว่ามันเป็นยังไง เราอาจจะอยากปลอบใจตัวเองด้วยความหวานในยามที่สถานการณ์รอบตัวของเราไม่หวานเลย เพราะชีวิตในแต่ละวันไม่ง่ายเลย เชื่อว่าหลายๆ คนก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน ก็หวังว่าทุกๆ อย่างจะดีขึ้นในเร็วๆ นี้ อยากบอกทุกคนว่า อย่าเพิ่งท้อนะคะ ถ้าวันไหนที่ชีวิตมันหนัก ก็ปล่อยวางมันบ้าง แล้วลองหาสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขมาโฟกัสแทน อย่างเช่น การปลูกต้นไม้ ออกกำลังกาย จัดบ้าน ทำอาหาร อ่านหนังสือ นั่งเฉยๆ หรือแม้แต่การกิน แน่นอนว่าการกินไม่ช่วยให้ความไม่สบายใจลดลง หรือช่วยแก้ปัญหาได้หรอกค่ะ แต่มันเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเดินเข้าไปสู้กับปัญหาต่างๆ ดีกว่าไปแก้ปัญหาด้วยท้องที่หิวนะคะ ทุกปัญหามีทางออก แต่ทุกทางออกก็จะมีปัญหาเสมอด้วยกัน อย่าลืมดูแลสุขภาพกายและใจให้ดีนะคะ แล้วเราจะผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปด้วยกัน :)
You are what you eat so you should to have sweet ^^ ชีวิตขมๆ จะได้หวานขึ้นนิดนึง
Akiko