Maldives เป็นประเทศที่มีพื้นที่ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการังจำนวนมากในมหาสมุทรอินเดีย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกา และมีทะเลที่สวยมว๊ากกกกกกกกกกกก อีกทั้งยังมีความเป็นธรรมชาติสูงโดยเฉพาะปะการังที่นี่มีความสมบูรณ์มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เป็นบ้านหลังใหญ่ของปลาทูน่า และไหนจะพันธุ์ปลาที่หลากหลายทั้งปลาการ์ตูนและไม่การ์ตูน อย่างฉลามหัวฆ้อน ฉลามวาฬ กระเบนยักษ์ เต่าทะเล ที่ว่ากันว่า บางตัวมีขนาดใหญ่เท่ารถยนต์หนึ่งคันเลยทีเดียว แต่เรามักไม่ค่อยได้รู้จักมัลดีฟส์ในแง่มุมนี้เท่าไหร่นักหรอก เรามักจะรู้จักมัลดีฟส์ในนามของดินแดนแห่งความโรแมนติก เป็นสถานที่ฮันนีมูนอันดับต้นๆ ของคู่รักที่เพิ่งแต่งงานสดๆ ร้อนๆ และมีอันจะกิน มันจะเป็นภาพนั้นเสียมากกว่า
แต่จากที่เล่ามาทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปยังดินแดนนั้น หมายถึงมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไปนั้น การจะไปมัลดีฟส์นั้นเป็นเรื่องใหญ่นะ เพราะค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เรียกได้ว่าสูงเทียบเท่ากับการไปเที่ยวยุโรปอย่างยุโรปตะวันออก, อิตาลี หรือแม้แต่ทัวร์ยุโรปทั่วๆ ไปที่บริษัทฯ ทัวร์ต่างๆ ขายแพคเกจกันอยู่ในปัจจุบันได้ประมาณ 7 วันเลยทีเดียว แต่กับมัลดีฟส์แล้วแค่เฉพาะค่าที่พัก 4 วัน 3 คืน ยังไม่รวมตั๋วเครื่องบินก็หลายหมื่นแล้ว เลยคิดมาตลอดว่า ขอไปเที่ยวยุโรปที่อยากไปให้ครบก่อน แล้วค่อยไปมัลดีฟส์ทีหลัง หมายฟามถึง ถ้ามีเงินเหลือและไม่รู้จะไปไหนแล้ว ค่อยไปมัลดีฟส์
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็ได้รู้ว่า ใครๆ ก็ไปมัลดีฟส์ได้เหอะ ไม่ต้องไป honeymoon ไม่ต้องมีเงินเป็นแสนเหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ ถูกลงมาก อีกทั้งยังมีรีสอร์ททางเลือกมากมาย ที่สามารถเลือกได้ตาม budget ของเราเลย สายการบินก็เช่นกันค่ะ จัดโปรกันรัวๆ เลยเดียวนี้ เรียกได้ว่า ถ้าพร้อมแล้วก็ไปได้เลยไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ แถมไม่ต้องขอวีซ่าอีกต่างหาก
ขอบคุณแรงบันดาลใจดีๆ จาก http://www.1000milesjourney.com/solo-maldives/
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็ได้รู้ว่า ใครๆ ก็ไปมัลดีฟส์ได้เหอะ ไม่ต้องไป honeymoon ไม่ต้องมีเงินเป็นแสนเหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ ถูกลงมาก อีกทั้งยังมีรีสอร์ททางเลือกมากมาย ที่สามารถเลือกได้ตาม budget ของเราเลย สายการบินก็เช่นกันค่ะ จัดโปรกันรัวๆ เลยเดียวนี้ เรียกได้ว่า ถ้าพร้อมแล้วก็ไปได้เลยไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ แถมไม่ต้องขอวีซ่าอีกต่างหาก
ขอบคุณแรงบันดาลใจดีๆ จาก http://www.1000milesjourney.com/solo-maldives/
คนอื่นจะคิดยังไงไม่รู้ แต่สำหรับฉัน ถ้าคิดจะไปเที่ยวมัลดีฟส์ครั้งแรกในชีวิตนั้น ก็อยากนอน water bungalow เท่านั้นค่ะ ไม่ใช่ Beach Bangalow ไม่ดี แต่เอาไว้ครั้งต่อๆ ไปดีกว่า หากจะมีโอกาสไปอีกเป็นครั้งที่สอง สาม สี่ และการเดินทางจากสนามบินไปยังรีสอร์ท ก็ต้องเดินทางโดย Seaplane เท่านั้น เพราะในรีวิวบอกว่า เราจะได้เห็นวิวแบบ Bird Eye เห็นเกาะแก่งต่างๆ ในมหาสมุทรอินเดียวอย่างชัดเจน ก็เลยอยากเป็นนกบ้างอะไรบ้าง ดังนั้น โจทย์ของทริปนี้คือ Water Bungalow + Seaplane only ถ้าไม่ได้แบบนี้ก็จะไม่ไปค่ะ
ที่มาของความอยากตามลิงค์ด้านล่างเลยค่ะ
http://poythetraveller.blogspot.com/2014/04/maldives-5-unforgettable-experiences.html
ที่มาของความอยากตามลิงค์ด้านล่างเลยค่ะ
http://poythetraveller.blogspot.com/2014/04/maldives-5-unforgettable-experiences.html
เป็นความโชคดีที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่นี่เร็วกว่าที่คิดไว้มาก และเป็นทริปที่ตอบโจทย์ข้างต้นได้อย่างครบถ้วนค่ะ โดยเราจะพักที่ Water Bungalow ของ Safari Island Resort ซึ่งที่นี่มีความสมบูรณ์ของปะการังสูง เหมาะกับคนชอบดำน้ำตื้น (หรือคิดอะไรตื้นๆ แบบฉัน) ประกอบกับ การเดินทางจากสนามบินไปยังรีสอร์ทนี้ เดินทางโดย Seaplane ค่ะ โอเค ครบตามเงื่อนไข งั้นไปกันเลยดีกว่า จะได้ไม่เป็นการเสียเวลา
จากเมืองไทยนั้น การเดินทางไปมัลดีฟส์ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเดินทางโดยใช้ 3 สายการบินหลักๆ คือ Bangkok Airways, Srilankan Airline และ น้องใหม่ล่าสุดซึ่งจะเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม 2560 เป็นต้นไป แต่เท่าที่ลองเปิดดู จะมี Flight เดียวเท่านั้นที่บินตรงจากดอนเมืองไปสนามบินมาเล่ย์ คือ Flight 9.30 น. และไปถึงสนามบินมาเล่ย์ตอน 11.40 น. นอกนั้นเป็น Flight Transit ที่มาเลเซียค่ะ ส่วน Flight ขากลับก็เวลา 12.30 น. ถึงเมืองไทยก็ประมาณ 19.00 น.ค่ะ (ข้อมูล ณ เดือนมิถุยายน 2560 ค่ะ)
ถ้าบิน Bangkok Airways จะออกจากสุวรรณภูมิตอน 9.30 น. แล้วไปถึง Male ประมาณเกือบเที่ยงค่ะ ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมงหน่อยๆ ผ่านพิธีนู่น นี่ นั่น ต่างๆ นาๆ ก็ไปถึงรีสอร์ทประมาณช่วงบ่ายโมงเป็นต้นไป และขากลับนั้น เป็นเวลา 12.40 น.
ทั้งสองสายการบินข้างต้นนั้น เวลาบินตอนเช้าค่อนข้างโอเค แต่ Flight ขากลับเวลาจะเร็วไปนิดหนึ่ง (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ) ทำให้วันสุดท้ายแทบจะไม่มีเวลาเหลือ เพราะต้อง check out ออกจากโรงแรมตั้งแต่ช่วงเช้า แล้วไปรอขึ้นเครื่อง แต่โดยภาพรวมก็ถือว่าโอเค เพราะจะกลับมาถึงเมืองไทยประมาณ 6 โมงเย็น และได้พักผ่อนเต็มที่อีก 1 คืน ก่อนจะต้องไปทำงาน ซึ่งมันจะไม่เหนื่อยเกินไป
แต่สำหรับฉัน เลือกสายการบิน Srilankan Airline ค่ะ เพราะชอบตรงที่วันแรกไปถึงเร็วหน่อยประมาณ 9 โมงเช้า และ Flight กลับเป็น Flight ดึกประมาณ 3 ทุ่ม ทำให้วันแรกและวันสุดท้ายได้เที่ยวเพิ่มขึ้นอีกประมาณครึ่งวัน ไม่รู้สิ สไตล์คนงกมั้ง รู้สึกว่ามันคุ้มดี ไหนๆ ก็เสียเงินไปเที่ยวแล้ว โดยเราจะบินจากสุวรรณภูมิตอน 21.50 น. ไปถึง Colombo ตอนเที่ยงคืน แล้วบินจาก Colombo ไป Male ตอน 7.20 น. บินอีกชั่วโมงกว่าๆ ก็จะถึง Male ตอนสายๆ ซึ่งเราสามารถนั่ง Seaplane ไปรีสอร์ทได้ตั้งแต่ตอนเช้าเลย ไปวิ่งเล่น ยืดเหยียดแนบหาดทรายขาวๆ ได้แบบชิวๆ ตั้งแต่ช่วงก่อนเที่ยง และถ้าห้องว่างก็จะได้ check in ก่อนเวลาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ในส่วนของการ Transit นั้นจะต้องอยู่ในสนามบิน Colombo 6 ชั่วโมง ซึ่งเราสามารถไปพักผ่อนนอนหลับได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวภายใน Lounge Serendiva ในสนามบินได้เลยค่ะ ห้องพักที่ว่า เป็น Transit Hotel อยู่ชั้น 2 ฝั่ง Arrival ค่ะ ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่าย 55 USD ต่อ 6 ชั่วโมง ห้องพักที่สนามบิน Colombo ก็จะเป็นแบบนี้เลยค่ะ นอนสบายเลอ
ประมาณตีห้าครึ่ง (เวลาที่ศรีลังกา) จะมี Morning Call เราก็ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวอย่างสบายใจเฉิบๆ อ่อแต่ต้องเตรียมกระเป๋าเล็กๆ ไปให้พร้อมอีก 1 ใบเพื่อใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ อุปกรณ์อาบน้ำ ของใช้จำเป็นแล้วลากขึ้นเครื่องไปด้วยนะคะ เสร็จแล้วก็ไปที่ Gate เพื่อรอขึ้นเครื่อง ซึ่งต้องผ่านจุด Security อีกรอบก่อนขึ้นเครื่องค่ะ อีกประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงสนามบินมาเล่ย์แล้ว
เมื่อเดินเข้ามาในอาคารก็ต้องผ่าน Passport Control Counter ซึ่งคนไทยอย่างเราๆ ไม่ต้องใช้วีซ่า และสามารถอยู่ที่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ได้ถึง 30 วันเลยทีเดียว ถ้าคุณจะไม่เบื่อและและเม็ดเงินของคุณจะมีมากพอ^^ พอผ่าน Passport Control เรียบร้อยแล้วก็มารอรับกระเป๋า สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่โตอะไร ออกจะเล็กด้วยซ้ำ อารมณ์คล้ายสนามบินที่เกาะสมุยค่ะ แต่ว่ามีสองชั้น พอออกมาด้านนอกก็ไปติดต่อ Counter ของรีสอทร์ทที่เราจองไว้ ซึ่งในครั้งนี้เราจะไปพักกันที่ Safari Island Resort จริงๆ แล้ว รีสอร์ทแต่ละที่มีข้อดีที่แตกต่างกันไป สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมกับ Lifelstyle และ Budget ของเราได้เลย แต่ฉันเลือกที่นี่เพราะตอบโจทย์ข้างต้นได้ และที่รีสอร์ทนี้ เป็นเกาะที่มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูง และเหมาะกันคนที่ชอบดำน้ำ ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก รวมถึงมีให้เรียนดำน้ำลึกที่นี่ด้วยค่ะ และราคาก็ไม่แรงมาก คิดว่าคุ้มค่านะกับเงินที่ต้องจ่ายไป นี่ยืมรูปมาจากทางรีสอร์ทค่ะ
Package ที่เราเลือกคือ Water Villa with All inclusive 4 days 3 Nights + Seaplane หมายฟามว่า พักวิลล่ากลางทะเล 3 คืน รวมค่าอาหาร 3 มื้อ และอาหารว่างและเครื่องดื่มตลอดเวลา ซึ่งแต่ละบาร์ก็จะมีเวลาให้บริการที่แตกต่างกันไปค่ะ เท่ากับว่า ถ้าไม่อยากกินอะไรที่พิสดาร ก็แทบจะไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมแล้ว เพราะแม้แต่ Beer และ Cocktail ก็ฟรีเช่นกันค่ะ
พอไปติดต่อที่เคาเตอร์เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่รีสอร์ทจะพาเราไปตรงเคาน์เตอร์อีกที่หนึ่งที่ไม่ไกลกัน เป็นเคาน์เตอร์เช็คอิน Seaplane เอากระเป๋าไปโหลดอีกรอบ กระเป๋าน้ำหนักต้องไม่เกิน 20 กก. นะคะ ไม่อย่างงั้นจิต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่ง charge โหดมากค่ะ พอโหลดกระเป๋าเสร็จ ก็ขึ้นรถบัสเพื่อไปยังท่า Seaplane อ่ะงงสิ ว่าทำไมถึงเรียกว่าท่า Seaplane มันคือเครื่องบินเล็กคล้ายๆ กับ เฮลิคอปเตอร์ แต่ว่าวิ่งบนน้ำได้เหมือนเรือ speed boat ค่ะ
ที่เคาน์เตอร์เช็คอินจะบอกว่าให้เราลง Gate ไหน ซึ่ง Safari Island Resort ต้องไปขึ้น Seaplane ที่ Gate C ค่ะ คนขับจะไล่ส่งไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ Gate A B จนถึง C เราก็ลงแล้วไปติดต่อที่เคาน์เตอร์หน้า Gate อีกรอบค่ะ พนักงานจะแจ้งว่ารอบที่เราต้องขึ้น Seaplane คือรอบไหน ก็นั่งรอ ตรงนี้จะมีห้องน้ำ Wifi และ Cafe ด้วยค่ะ สามารถพักผ่อนได้ตามอัธยาสัยค่ะ ถ้าไม่หิวน้ำมากก็ไม่ต้องซื้อน้ำนะคะ น้ำแร่ขวดละ 5 เหรียญ ซึ่งก่อนขึ้น Seaplane นั้นจะมีน้ำดื่มขวดเล็กๆ บริการในห้องพักรอค่ะ สามารถหยิบได้ฟรีค่ะ
ก็นั่งชมวิวระหว่างอยู่บน Seaplane งามงดงดงามระหว่างทาง ก็จะเห็นเกาะนู้น เกาะนี้ เกาะนั้น ซึ่งแต่ละเกาะก็เป็นที่ตั้งของรีสอร์ทต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงรีสอร์ท ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณเที่ยงพอดี
พอลงจาก Seaplane ลงจอด มันจะเหมือนเรานั่งอยู่บนเรือ speed boat ที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงแล้วกระแทกๆ กับคลื่นในทะเลอ่าค่ะ อารมณ์นั้น มันก็จะวิงๆ เวียนๆ หน่อยๆ แล้วเราจะเห็นรีสอร์ทอยู่ตรงหน้าแต่ไม่สามารถเดินขึ้นไปได้ ต้องนั่งเรือ Speed Boat ต่อเพื่อไปที่รีสอร์ท ยังไม่ถึงอึดใจดีก็ถึงท่าเรือหน้ารีสอร์ทแล้วค่ะ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่มายืนรอรับพร้อมผ้าเย็นกลิ่นสมุนไพร แล้วก็พาเดินเข้าไปที่ Reception เพื่อทำการ Check in พนักงานก็จะเอา Welcome Drink มาให้เราระหว่างที่นั่งรอ
จากนั้นพนักงานต้อนรับจะให้กรอกเอกสารต่างๆ อีกครั้งเพื่อยืนยันเวลาการพักที่นี่พร้อมทั้ง Flight ที่ไปและกลับด้วย เสร็จแล้วก็จะพาไปที่ห้องพักเลย เพราะวันนั้นห้องว่างพอดีค่ะ เท่าที่สังเกตเห็นคือ ตั้งแต่ท่าเรือของรีสอร์ท ไปยังห้องพัก และห้องอาหาร พนักงานจะเป็นผู้ชายทั้งหมดเลยค่ะ
แล้วเราก็มาถึงห้องพักของเราแล้วววววววววว อยากจิเอนกายเสียบัดเดี๋ยวนี้ ที่นี่ห้องพักจะออกแนวธรรมชาติโครตๆ ไม่ได้ประดับประดาหรูหราอลังการอะไรมากมาย แต่ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันอยู่ค่ะ ส่วนห้องน้ำก็กว้างดี แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู ในห้องจะมีน้ำดื่มให้วันละสองขวด ซึ่งสามารถขอเพิ่มที่บาร์ได้ตลอดเวลา เพราะเราจ่ายเงินแบบ all inclusive plan ไปแล้ว มีชา Dilmah รสต่างๆ และกาแฟ 3in1 ให้บริการ หึๆ ส่วนขนมไม่มีเลยค่ะ แนะนำให้เอาขนมก๊อบแก๊บเอย มาม่าเอย หรืออาหารบันเทิงใจต่างๆ ไปด้วย เพราะถึงมีเงินก็ไม่มีที่ให้ซื้อค่ะ
ทั้งสองสายการบินข้างต้นนั้น เวลาบินตอนเช้าค่อนข้างโอเค แต่ Flight ขากลับเวลาจะเร็วไปนิดหนึ่ง (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ) ทำให้วันสุดท้ายแทบจะไม่มีเวลาเหลือ เพราะต้อง check out ออกจากโรงแรมตั้งแต่ช่วงเช้า แล้วไปรอขึ้นเครื่อง แต่โดยภาพรวมก็ถือว่าโอเค เพราะจะกลับมาถึงเมืองไทยประมาณ 6 โมงเย็น และได้พักผ่อนเต็มที่อีก 1 คืน ก่อนจะต้องไปทำงาน ซึ่งมันจะไม่เหนื่อยเกินไป
แต่สำหรับฉัน เลือกสายการบิน Srilankan Airline ค่ะ เพราะชอบตรงที่วันแรกไปถึงเร็วหน่อยประมาณ 9 โมงเช้า และ Flight กลับเป็น Flight ดึกประมาณ 3 ทุ่ม ทำให้วันแรกและวันสุดท้ายได้เที่ยวเพิ่มขึ้นอีกประมาณครึ่งวัน ไม่รู้สิ สไตล์คนงกมั้ง รู้สึกว่ามันคุ้มดี ไหนๆ ก็เสียเงินไปเที่ยวแล้ว โดยเราจะบินจากสุวรรณภูมิตอน 21.50 น. ไปถึง Colombo ตอนเที่ยงคืน แล้วบินจาก Colombo ไป Male ตอน 7.20 น. บินอีกชั่วโมงกว่าๆ ก็จะถึง Male ตอนสายๆ ซึ่งเราสามารถนั่ง Seaplane ไปรีสอร์ทได้ตั้งแต่ตอนเช้าเลย ไปวิ่งเล่น ยืดเหยียดแนบหาดทรายขาวๆ ได้แบบชิวๆ ตั้งแต่ช่วงก่อนเที่ยง และถ้าห้องว่างก็จะได้ check in ก่อนเวลาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ในส่วนของการ Transit นั้นจะต้องอยู่ในสนามบิน Colombo 6 ชั่วโมง ซึ่งเราสามารถไปพักผ่อนนอนหลับได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวภายใน Lounge Serendiva ในสนามบินได้เลยค่ะ ห้องพักที่ว่า เป็น Transit Hotel อยู่ชั้น 2 ฝั่ง Arrival ค่ะ ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่าย 55 USD ต่อ 6 ชั่วโมง ห้องพักที่สนามบิน Colombo ก็จะเป็นแบบนี้เลยค่ะ นอนสบายเลอ
ประมาณตีห้าครึ่ง (เวลาที่ศรีลังกา) จะมี Morning Call เราก็ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวอย่างสบายใจเฉิบๆ อ่อแต่ต้องเตรียมกระเป๋าเล็กๆ ไปให้พร้อมอีก 1 ใบเพื่อใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ อุปกรณ์อาบน้ำ ของใช้จำเป็นแล้วลากขึ้นเครื่องไปด้วยนะคะ เสร็จแล้วก็ไปที่ Gate เพื่อรอขึ้นเครื่อง ซึ่งต้องผ่านจุด Security อีกรอบก่อนขึ้นเครื่องค่ะ อีกประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงสนามบินมาเล่ย์แล้ว
เมื่อเดินเข้ามาในอาคารก็ต้องผ่าน Passport Control Counter ซึ่งคนไทยอย่างเราๆ ไม่ต้องใช้วีซ่า และสามารถอยู่ที่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ได้ถึง 30 วันเลยทีเดียว ถ้าคุณจะไม่เบื่อและและเม็ดเงินของคุณจะมีมากพอ^^ พอผ่าน Passport Control เรียบร้อยแล้วก็มารอรับกระเป๋า สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่โตอะไร ออกจะเล็กด้วยซ้ำ อารมณ์คล้ายสนามบินที่เกาะสมุยค่ะ แต่ว่ามีสองชั้น พอออกมาด้านนอกก็ไปติดต่อ Counter ของรีสอทร์ทที่เราจองไว้ ซึ่งในครั้งนี้เราจะไปพักกันที่ Safari Island Resort จริงๆ แล้ว รีสอร์ทแต่ละที่มีข้อดีที่แตกต่างกันไป สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมกับ Lifelstyle และ Budget ของเราได้เลย แต่ฉันเลือกที่นี่เพราะตอบโจทย์ข้างต้นได้ และที่รีสอร์ทนี้ เป็นเกาะที่มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูง และเหมาะกันคนที่ชอบดำน้ำ ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก รวมถึงมีให้เรียนดำน้ำลึกที่นี่ด้วยค่ะ และราคาก็ไม่แรงมาก คิดว่าคุ้มค่านะกับเงินที่ต้องจ่ายไป นี่ยืมรูปมาจากทางรีสอร์ทค่ะ
Package ที่เราเลือกคือ Water Villa with All inclusive 4 days 3 Nights + Seaplane หมายฟามว่า พักวิลล่ากลางทะเล 3 คืน รวมค่าอาหาร 3 มื้อ และอาหารว่างและเครื่องดื่มตลอดเวลา ซึ่งแต่ละบาร์ก็จะมีเวลาให้บริการที่แตกต่างกันไปค่ะ เท่ากับว่า ถ้าไม่อยากกินอะไรที่พิสดาร ก็แทบจะไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมแล้ว เพราะแม้แต่ Beer และ Cocktail ก็ฟรีเช่นกันค่ะ
พอไปติดต่อที่เคาเตอร์เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่รีสอร์ทจะพาเราไปตรงเคาน์เตอร์อีกที่หนึ่งที่ไม่ไกลกัน เป็นเคาน์เตอร์เช็คอิน Seaplane เอากระเป๋าไปโหลดอีกรอบ กระเป๋าน้ำหนักต้องไม่เกิน 20 กก. นะคะ ไม่อย่างงั้นจิต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่ง charge โหดมากค่ะ พอโหลดกระเป๋าเสร็จ ก็ขึ้นรถบัสเพื่อไปยังท่า Seaplane อ่ะงงสิ ว่าทำไมถึงเรียกว่าท่า Seaplane มันคือเครื่องบินเล็กคล้ายๆ กับ เฮลิคอปเตอร์ แต่ว่าวิ่งบนน้ำได้เหมือนเรือ speed boat ค่ะ
ที่เคาน์เตอร์เช็คอินจะบอกว่าให้เราลง Gate ไหน ซึ่ง Safari Island Resort ต้องไปขึ้น Seaplane ที่ Gate C ค่ะ คนขับจะไล่ส่งไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ Gate A B จนถึง C เราก็ลงแล้วไปติดต่อที่เคาน์เตอร์หน้า Gate อีกรอบค่ะ พนักงานจะแจ้งว่ารอบที่เราต้องขึ้น Seaplane คือรอบไหน ก็นั่งรอ ตรงนี้จะมีห้องน้ำ Wifi และ Cafe ด้วยค่ะ สามารถพักผ่อนได้ตามอัธยาสัยค่ะ ถ้าไม่หิวน้ำมากก็ไม่ต้องซื้อน้ำนะคะ น้ำแร่ขวดละ 5 เหรียญ ซึ่งก่อนขึ้น Seaplane นั้นจะมีน้ำดื่มขวดเล็กๆ บริการในห้องพักรอค่ะ สามารถหยิบได้ฟรีค่ะ
ก็นั่งชมวิวระหว่างอยู่บน Seaplane งามงดงดงามระหว่างทาง ก็จะเห็นเกาะนู้น เกาะนี้ เกาะนั้น ซึ่งแต่ละเกาะก็เป็นที่ตั้งของรีสอร์ทต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงรีสอร์ท ตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณเที่ยงพอดี
พอลงจาก Seaplane ลงจอด มันจะเหมือนเรานั่งอยู่บนเรือ speed boat ที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงแล้วกระแทกๆ กับคลื่นในทะเลอ่าค่ะ อารมณ์นั้น มันก็จะวิงๆ เวียนๆ หน่อยๆ แล้วเราจะเห็นรีสอร์ทอยู่ตรงหน้าแต่ไม่สามารถเดินขึ้นไปได้ ต้องนั่งเรือ Speed Boat ต่อเพื่อไปที่รีสอร์ท ยังไม่ถึงอึดใจดีก็ถึงท่าเรือหน้ารีสอร์ทแล้วค่ะ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่มายืนรอรับพร้อมผ้าเย็นกลิ่นสมุนไพร แล้วก็พาเดินเข้าไปที่ Reception เพื่อทำการ Check in พนักงานก็จะเอา Welcome Drink มาให้เราระหว่างที่นั่งรอ
จากนั้นพนักงานต้อนรับจะให้กรอกเอกสารต่างๆ อีกครั้งเพื่อยืนยันเวลาการพักที่นี่พร้อมทั้ง Flight ที่ไปและกลับด้วย เสร็จแล้วก็จะพาไปที่ห้องพักเลย เพราะวันนั้นห้องว่างพอดีค่ะ เท่าที่สังเกตเห็นคือ ตั้งแต่ท่าเรือของรีสอร์ท ไปยังห้องพัก และห้องอาหาร พนักงานจะเป็นผู้ชายทั้งหมดเลยค่ะ
แล้วเราก็มาถึงห้องพักของเราแล้วววววววววว อยากจิเอนกายเสียบัดเดี๋ยวนี้ ที่นี่ห้องพักจะออกแนวธรรมชาติโครตๆ ไม่ได้ประดับประดาหรูหราอลังการอะไรมากมาย แต่ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันอยู่ค่ะ ส่วนห้องน้ำก็กว้างดี แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู ในห้องจะมีน้ำดื่มให้วันละสองขวด ซึ่งสามารถขอเพิ่มที่บาร์ได้ตลอดเวลา เพราะเราจ่ายเงินแบบ all inclusive plan ไปแล้ว มีชา Dilmah รสต่างๆ และกาแฟ 3in1 ให้บริการ หึๆ ส่วนขนมไม่มีเลยค่ะ แนะนำให้เอาขนมก๊อบแก๊บเอย มาม่าเอย หรืออาหารบันเทิงใจต่างๆ ไปด้วย เพราะถึงมีเงินก็ไม่มีที่ให้ซื้อค่ะ
Water Villa มีข้อดีตรงที่ออกมาตรงชานระเบียงแล้วกระโดดลงน้ำ ตู้มมมมมม แล้วดำน้ำได้เลยค่ะ ลงไปปุ๊ป ก็เห็นปะการังปั๊บ แล้วก็ say hello กับปลาการ์ตูนได้เลยค่ะ มันก็จะฟินๆ หน่อยอ่าค่ะ ห้องพักมีสองฝั่ง ถ้าดูจากรูปแรก คือฝั่งซ้ายของสะพานและฝั่งขวาของสะพาน มันไม่ไกลกันหรอก แต่ห้องพักฝั่งที่ฉันพักคือฝั่งซ้ายเป็นห้องพักฝั่ง Sunset ดังนั้น จะต้องว่ายเลาะไปฝั่งขวาคือฝั่ง Snorkeling เพื่อไปดูแนวปะการังอันสมบูรณ์ อย่างที่บอกว่า ที่นี่เน้นการดำน้ำเพื่อท่องโลกใต้ทะเล เพราะปลาเยอะมากจริงๆ ค่ะ ส่วนหาดทรายก็ขาวจั๊วะจนแสบตา และทอดยาวมากๆ เดี๋ยวจะพาไปดู รอเก็บของแพร๊บ
พอเรารื้อสัมภาระเก็บเสร็จเรียบร้อย ก็เดินไปที่ห้องอาหารเพื่อไปกินข้าวเที่ยง ซึ่งจะเป็น Buffet line มีทั้งอาหารไทย พื้นเมือง ฝรั่ง ก็เลือกเอาที่สบายใจอยากจะกินนะคะคุณ สิ่งที่ควรกินคือ ปลาทูน่า เพราะเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ค่ะ เมนูส่วนใหญ่เป็นไก่ ปลา และเนื้อวัว ซึ่งตรงค่อนข้างตรงกับจริต ยกเว้นเนื้อวัว เนื่องจากประเทศนี้เป็นประเทศอิสลาม ฉะนั้นเมนูหมูจะมี 1 หรือ 2 อย่างต่อมื้อ หรือบางมื้อ อาจจะไม่มีเลย ก็ต้องลุ้นเอาค่ะคุณ แต่น่าจะต้องมีซักอย่างสองอย่างที่คนไทยอย่างเราๆ กินได้ ถ้าจะไม่ได้เลยก็ยอมจ่ายเงินเพิ่มแล้วสั่งเมนูอื่นเอาค่ะ
ส่วนโต๊ะที่เรานั่ง เลือก location ดีๆ เพราะเราจะต้องอยู่กับโต๊ะนี้ไปตลอด 4 วันที่เราอยู่ที่นี่ ไม่สามารถเปลี่ยนโต๊ะได้ค่ะ อย่านั่งริมมาก อาจดีตรงเห็นวิวทะเลชัด แต่เวลาแดดส่องมาอย่างช่วงเที่ยง จะร้อนตับแลบ ย้ำอีกครั้ง คุณจะเปลี่ยนโต๊ะไม่ได้ เพราะทุกวันจะมีบิลมาให้คุณเซ็นต์รับทราบว่าคุณรับประทานอะไรไปบ้าง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณต้องนั่งโต๊ะเดิมทุกวันค่ะ
พอกินข้าวเสร็จแล้วก็เดินเล่นย่อยอาหาร แต่เวลานั้นแดดก็แรงมาก แรงชนิดที่ว่าครีมกันแดดก็เอาไม่อยู่ค่ะ ทายังไงก็ดำ แต่มามัลดีฟส์ทั้งที กลัวอะไรกะแดด กลับไปมันก็จะดำๆ หน่อยอ่าค่ะ ไม่เป็นไรหรอก เสียเงินมาแล้วก็ต้องเต็มที่ทุกอย่าง ทุกวิว ทุกเวลา โน๊ะๆๆ
ที่รีสอร์ทจะเป็นวงกลมที่ล้อมรอบด้วย ชายหาดทรายละเอียดมากๆ ขาวจั๊วะ ไม่ระคายเคืองเบื้องส้นเท้า เวลาที่เดินเล่นเลย มันคือดีอ่ะ ถ้าเดินวนไปเรื่อยๆ มันจะมาเจอที่เดิม ด้วยความที่เกาะเป็นวงกลม ดังนั้นมันจะมีฝั่งตะวันออกไว้ดูพระอาทิตย์ขึ้น และฝั่งตะวันตกไว้ชมวิวยามพระอาทิตย์ตก ซึ่งก็คือฝั่งห้องพักเรานั่นเองค่ะ
นี่ๆ น้องกระเบนมาต้อนรับเราแล้ว วันแรกเห็นน้องแล้วตื่นเต้นมาก น้องน่ารักมาก แหวกว่ายเต็มชายหาด เอ็นดูอ่าค่ะ
เดินไปเรือยๆ ก็จะเห็นปลาต่างๆ บริเวณริมชายหาดมาทักทายเราเป็นระยะ ฟินมาก พูดเลย
อิ่มแล้วก็อยากนอนดูทะเลชิวๆ อ่า กลับห้องก่อนดีกว่า ห้องเราก็เห็นทะเลเช่นกัน จะมายืนร้อนอยู่ทำไม
ก่อนเข้าห้องพักก็ชักภาพกับมุมมหาชนหน่อยโน๊ะ อุตส่าห์เสียเงินมาถึงนี่แล้ว
พอพักได้ซักพัก ก็ได้เวลาเปลี่ยนชุดเพื่อไป survey พื้นที่ดำน้ำก่อน ว่ามีเวิ้งไหนบ้างที่งดงาม สรุปแล้วก็งดงามทุกเวิ้งทั้งแถวๆ บ้านที่เราพัก แต่ที่งามหนักคือตรงห้องอาหารที่เราไปกินอาหารมาเมื่อกลางวันนี้ เด๋วจะอวดค่ะ แล้วก็ถึงเวลาที่เราได้ไปแหวกว่ายอยู่ในทะเล หยิกตัวเองอีกที นี่ไม่ได้ฝันใช่ป่ะ ยังอายุไม่ถึงสี่สิบเลย เคยคิดไว้ว่าจะมาพักผ่อนนอนดูทะเลที่มัลดีฟส์ตอนนั้น แต่ตอนนี้มันเป็นจริงแล้ว
อาบน้ำเสร็จก็ถ่ายรูปเล่น แต่ยิ่งถ่ายก็โมโหกล้องนะ ถ่ายยังไงก็ไม่เหมือนสิ่งที่เห็นตรงหน้า น้ำทะเลสีสวยมาก ใสมาก หาดทรายก็ขาวมาก ขาวจัด มันสวยมากอ่า พูดได้เลยว่า เป็นที่แรกที่สถานที่จริงสวยกว่าในรูปที่เราเคยเห็น
อันนี้วิวจากระเบียงห้องค่ะ ห้องที่พักอยู่ฝั่ง Sunset ดังนั้นจะสามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกได้ ส่วนห้องฝั่งตรงข้ามห้องเรา เป็นห้องฝั่ง Snokling แต่เราก็ว่ายไปฝั่งนั้นได้ ด้วยการว่ายผ่านใต้ถุนบ้านเรา (ใต้ถุน นี่ไม่เคยได้ยินคำนี้มานานแล้ว เด็กสมัยนี้จะรู้จักใต้ถุนมั้ยนะ)
และแล้วก็เผลอหลับไปอ่า ตื่นมาอีกทีบ่ายสามเลย กินข้าวเที่ยงไม่ทันสิครัช ก็เลยไปกินแซนวิชตรงบาร์ที่ว่าแทนค่ะ แล้วก็นั่งชิวไปเรื่อย รอเวลา 17.30 น. เพื่อขึ้นเรือไปตกปลากลางทะเลกันค่ะ จากห้องพักก็เดินไปถ่ายรูปไป เดินไป ถ่ายรูปไป เดินไปถ่ายรูปไป ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก หึๆ
พอถึงจุดที่ตกปลา เจ้าหน้าที่ก็จะให้เครื่องมือตกปลาแก่เรา ซึ่งทันสมัยที่สุด ดูจากรูปได้
แต่อย่าดูถูกเครื่องมือนี้ ไม่รู้จะบอกว่าคนบนเรือลำนี้ตกปลาเก่ง หรือเพราะเครื่องมือดี หรือเพราะในทะเลแห่งนี้มีปลาโครตเยอะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ในวันนั้นก็ตกปลาได้ไม่น้อยนะครัช
แล้วในที่สุดก็.......
นี่ก็เป็นผลงานก็ทุกคนในเรือค่ะ
ประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ถึงเวลากลับรีสอร์ทค่ะ ก็ได้เวลาอาหารค่ำพอดี พอกินอาหารค่ำเสร็จก็เดินกลับที่พัก แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ วันนี้ชิวๆ หน่อยเน๊อะ ไม่อยากทำอะไรเยอะ มาพักผ่อนก็ต้องพักผ่อน ชิมิ
มาเที่ยวมัลดีฟส์เหมือนได้มาอยู่อีกโลก โลกที่ไม่มีเวลา นอกจากเวลาที่รีสอร์ทนัดหมายเพื่อไปทำกิจกรรมแล้ว ฉันไม่เคยดูเวลาเลย แม้แต่เวลาอาหาร ทันก็ทัน ไม่ทันก็ไม่ทัน ไม่ซีเรียส อยู่แบบนี้มาเป็นวันที่สองแล้ว มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีเวลา ไม่มีงานที่ต้องทำ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความกดดัน ไม่มีความรีบเร่งใดๆ มันดีมากๆ ที่เราจะได้มีเวลาแบบนี้เพื่อ reset และ refresh ตัวเองจากความเครียดและความเหนื่อยล้าต่างๆ เพราะเรามาที่นี่เพื่อปรนนิบัติทั้งร่างกายและจิตใจของตัวเอง อยู่กับตัวเอง คุยกับตัวเอง ซึ่งตัวฉันเองก็ได้คำตอบดีๆ ในหลายๆ เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่คิดหรือตัดสินใจไม่ได้ในตอนที่เรายังอยู่ในพระนครบางกอก
มีความสุขค่ะ แต่ก็ไม่หลงระเริงกับความสุขนี้นะคะ บะบาย หลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์
วันที่สาม วันนี้ตื่นตั้งแต่ตีห้า ตื่นเอง สงสัยเคยชิน เลยออกมาชมวิวที่ระเบียง วันนี้แดดมาตั้งแต่หกโมง หึๆ แต่ดีนะ แดดทำให้ทะเลและหาดทรายสวยขึ้นเป็นกองค่ะ อาบน้ำแต่งตัวดีกว่าเน๊อะ เอาชุดมาตั้งสิบชุด เดี๋ยวใส่ไม่ครบ เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปเล่นให้คุ้ม ถึงแม้จะไม่สวยเท่าที่ตาเห็น อย่างที่พยายามบอกมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นรีวิว แต่ก็ถ่ายเก็บไว้ เอาไว้ดูเวลาเหนื่อยๆ จะได้นึกถึงความทรงจำตอนที่มาเที่ยวที่นี่ได้ชัดขึ้น ชิวเน๊อะ
พอกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ไปนั่งให้อาหารปลาค่ะ ตรงห้องอาหารปลาเยอะมากและสวยมาก มีหลากหลายแบบ ส่วนที่ชายหาด น้องฉลามก็แหวกว่ายอย่างมีความสุข น่ารักเชียว
กินข้าวเช้าเสร็จก็เดินดูนู่นดูนี่ในรีสอร์ท อ่อที่นี่มียิมด้วยค่ะ แต่ไม่ต้องการในเวลานี้ค่ะ ร่างกายต้องการทะเลมากกว่า
วิวรอบๆ รีสอร์ทค่ะ
แล้วก็ได้เวลาลงสู่ใต้ท้องทะเลอีกครั้ง วันนี้จะไปดำน้ำฝั่ง Snokling ค่ะ ฮึบๆ
น้องปลาต้องน่ารักเบอร์นี้มั้ย พี่ถามหน่อยเหอะ บร้าไปแล้วววววววว เหมือนรู้ว่าพี่ชอบสีรุ้ง
แล้ววันนี้ก็ไม่กินข้าวเที่ยงเหมือนเดิมค่ะ ออกมาจากห้องอีกทีบ่ายสามเลย มาอยู่ที่นี่นอนกลางวันทุกวันเลย แล้วก็รู้สึกว่ามันโอเคด้วยอ่ะ ร่างกายสดชื่นขึ้น เข้าใจละที่คนญี่ปุ่นบอกให้งีบหลับตอนเที่ยงนิดๆ หน่อยๆ ก็ช่วยให้สดชื่นและสมองดี นี่กลับไปคงจะฉลาดน่าดูเลยเหอะ
นี่คือมื้อเที่ยง+เย็นของเรา คิดซะว่ากินย้อนหลังละกันเน๊อะ
กินเสร็จก็ไปดูกระเบน กระเบนมาพอดีเบรยยยยย
ฝั่งนี้เป็นชายหาดฝั่งตะวันออกค่ะ ดีงาม ทะเลสามสี ฟินเฟร่ออ่ายูว์
แล้วก็ถึงเวลารอต้องอำลาที่นี่อย่างเป็นทางการแล้วจริงๆ เจ้าหน้าที่รีสอร์ทพามารอขึ้น speed boat เพื่อนั่งไปขึ้น seaplane ซึ่ง start เครื่องรออยู่กลางทะเลล้าวววว ยืนเศร้าอยู่ ภาวนาให้เรือพัง เผื่อจะยืดเวลาออกไปอีกซักสองชั่วโมง แต่ก็ไม่เป็นผล
พอเรารื้อสัมภาระเก็บเสร็จเรียบร้อย ก็เดินไปที่ห้องอาหารเพื่อไปกินข้าวเที่ยง ซึ่งจะเป็น Buffet line มีทั้งอาหารไทย พื้นเมือง ฝรั่ง ก็เลือกเอาที่สบายใจอยากจะกินนะคะคุณ สิ่งที่ควรกินคือ ปลาทูน่า เพราะเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ค่ะ เมนูส่วนใหญ่เป็นไก่ ปลา และเนื้อวัว ซึ่งตรงค่อนข้างตรงกับจริต ยกเว้นเนื้อวัว เนื่องจากประเทศนี้เป็นประเทศอิสลาม ฉะนั้นเมนูหมูจะมี 1 หรือ 2 อย่างต่อมื้อ หรือบางมื้อ อาจจะไม่มีเลย ก็ต้องลุ้นเอาค่ะคุณ แต่น่าจะต้องมีซักอย่างสองอย่างที่คนไทยอย่างเราๆ กินได้ ถ้าจะไม่ได้เลยก็ยอมจ่ายเงินเพิ่มแล้วสั่งเมนูอื่นเอาค่ะ
ส่วนโต๊ะที่เรานั่ง เลือก location ดีๆ เพราะเราจะต้องอยู่กับโต๊ะนี้ไปตลอด 4 วันที่เราอยู่ที่นี่ ไม่สามารถเปลี่ยนโต๊ะได้ค่ะ อย่านั่งริมมาก อาจดีตรงเห็นวิวทะเลชัด แต่เวลาแดดส่องมาอย่างช่วงเที่ยง จะร้อนตับแลบ ย้ำอีกครั้ง คุณจะเปลี่ยนโต๊ะไม่ได้ เพราะทุกวันจะมีบิลมาให้คุณเซ็นต์รับทราบว่าคุณรับประทานอะไรไปบ้าง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณต้องนั่งโต๊ะเดิมทุกวันค่ะ
พอกินข้าวเสร็จแล้วก็เดินเล่นย่อยอาหาร แต่เวลานั้นแดดก็แรงมาก แรงชนิดที่ว่าครีมกันแดดก็เอาไม่อยู่ค่ะ ทายังไงก็ดำ แต่มามัลดีฟส์ทั้งที กลัวอะไรกะแดด กลับไปมันก็จะดำๆ หน่อยอ่าค่ะ ไม่เป็นไรหรอก เสียเงินมาแล้วก็ต้องเต็มที่ทุกอย่าง ทุกวิว ทุกเวลา โน๊ะๆๆ
ที่รีสอร์ทจะเป็นวงกลมที่ล้อมรอบด้วย ชายหาดทรายละเอียดมากๆ ขาวจั๊วะ ไม่ระคายเคืองเบื้องส้นเท้า เวลาที่เดินเล่นเลย มันคือดีอ่ะ ถ้าเดินวนไปเรื่อยๆ มันจะมาเจอที่เดิม ด้วยความที่เกาะเป็นวงกลม ดังนั้นมันจะมีฝั่งตะวันออกไว้ดูพระอาทิตย์ขึ้น และฝั่งตะวันตกไว้ชมวิวยามพระอาทิตย์ตก ซึ่งก็คือฝั่งห้องพักเรานั่นเองค่ะ
นี่ๆ น้องกระเบนมาต้อนรับเราแล้ว วันแรกเห็นน้องแล้วตื่นเต้นมาก น้องน่ารักมาก แหวกว่ายเต็มชายหาด เอ็นดูอ่าค่ะ
เดินไปเรือยๆ ก็จะเห็นปลาต่างๆ บริเวณริมชายหาดมาทักทายเราเป็นระยะ ฟินมาก พูดเลย
อิ่มแล้วก็อยากนอนดูทะเลชิวๆ อ่า กลับห้องก่อนดีกว่า ห้องเราก็เห็นทะเลเช่นกัน จะมายืนร้อนอยู่ทำไม
ก่อนเข้าห้องพักก็ชักภาพกับมุมมหาชนหน่อยโน๊ะ อุตส่าห์เสียเงินมาถึงนี่แล้ว
พอพักได้ซักพัก ก็ได้เวลาเปลี่ยนชุดเพื่อไป survey พื้นที่ดำน้ำก่อน ว่ามีเวิ้งไหนบ้างที่งดงาม สรุปแล้วก็งดงามทุกเวิ้งทั้งแถวๆ บ้านที่เราพัก แต่ที่งามหนักคือตรงห้องอาหารที่เราไปกินอาหารมาเมื่อกลางวันนี้ เด๋วจะอวดค่ะ แล้วก็ถึงเวลาที่เราได้ไปแหวกว่ายอยู่ในทะเล หยิกตัวเองอีกที นี่ไม่ได้ฝันใช่ป่ะ ยังอายุไม่ถึงสี่สิบเลย เคยคิดไว้ว่าจะมาพักผ่อนนอนดูทะเลที่มัลดีฟส์ตอนนั้น แต่ตอนนี้มันเป็นจริงแล้ว
รักทะเลเวลามีเธอด้วย สวยซะเกินกว่าบรรยายได้^^
น้องคนนี้น่ารักอ่ะ พี่ชอบ
ส่วนน้องคนนี้ถ่ายรูปยากมาก ชอบหนี จริงๆ น้องเหมือนปลาปั๊กเป้า ตัวกลมๆ พองๆ แต่หนีตลอด เลยต้องรีบถ่าย เลยเหมือนก้อนไรก็ไม่รู้
ดำน้ำได้ซัก 1 ชั่วโมงก็ว่ายกลับมาที่บ้าน เพราะแดดร้อนเหมือนกัน แล้วเดินกลับมาเล่นน้ำที่ชายหาด ซึ่งมีฝรั่งนอนอาบแดดอยู่อย่างมีฟามสุข ส่วนฉัน หึๆ ว่ายได้ซักพักก็เดินกลับห้องมาอาบน้ำ ช่วงนั้นเริ่มเย็นละ แดดเริ่มเบาลง เหมาะแก่การเดินเล่นรอบเกาะก่อนอาหารค่ำวันนี้
เวลาอาหารค่ำที่นี่คือ 19.00 - 21.00 น. ค่ะ อาหารจะเป็นบุฟเฟ่ต์เช่นเคย หลังจากมื้ออาหารแล้วก็สามารถไปนั่งชมปลาฉลามได้ค่ะ เพราะนางจะมาเวลาดึกๆ
คืนนี้ต้องรีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นไปกินข้าวเช้าและรอขึ้นเรือเพื่อออกไปดำน้ำ ซึ่งทางรีสอร์ทมีบริการให้ฟรีด้วยค่ะ ปิดท้ายวันนี้ด้วยบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำของที่ซุกหัวนอนของเราในคืนนี้ บัยยยย
วันที่สอง
แสงอาทิตย์ต้อนรับแต่เช้าตรู่ ไม่อยากจะคิดไปถึงตอนที่เราดำน้ำวันนี้ว่ามันจะฮ้อนนนนนนขนาดไหน เอาเหอะ สวยขนาดนี้ถ้าจะไม่ไป ก็ยังไงอยู่ ขอบคุณเจ้าของกระทู้หลายๆ กระทู้ที่มารีวิวให้ดูก่อน บรรยายถึงความงดงามของปะการังและน้องปลาการ์ตูนว่าน่ารักและสวยงามขนาดไหน งั้นเราก็ไปกันเลยเน๊อะ
เรือจะออกประมาณ 8.30 น. ดังนั้นเราต้องไปถึง Reception ก่อนเวลานัด 15 นาที แล้วเจ้าหน้าที่จะเดินมาเช็คชื่อเรา แล้วก็พาเราเดินไปขึ้นเรือ เมื่อถึงเวลาอันสมควรค่ะ
วันนี้น้องฉลามมา Good Morning เราแต่เช้าเลยค่ะ
เรือที่นี่สวยนะ เป็นรีสอร์ทเรือ เอ๊ะ หรือว่าเป็นเรือรีสอร์ท คือมีห้องพักในเรือเลย สำหรับบริการนักท่องเที่ยวที่พักเกิน 5 คืน แล้วต้องการเปลี่ยนบรรยากาศไปนอนกลางทะเล แล้วเรือก็แล่นออกไปจากรีสอร์ท ประมาณ 20 นาทีก็ถึงที่ดำน้ำค่ะ เจ้าหน้าที่ก็จะมาใส่เสื้อชูชีพให้เรา ส่วนอุปกรณ์ดำน้ำแนะนำให้เอาไปเองเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของเราเอง
แต่งองค์เสร็จเรียบร้อย ก็นั่งทำใจนิดหน่อยก่อน
แล้วก็กระโดด ตู้มมมมมมมมมม
พอลงไปจะมีเจ้าหน้าที่ลงไปกับเราด้วย เค้าจะบอกว่าให้เราว่ายตามเค้า ไม่ให้ออกไปว่ายดูเอง เพราะเค้าบอกว่าอันตราย อย่างที่บอกว่า ที่นี่ความสมบูรณ์สูงจัด มีทั้งฉลาม กระเบน และอีกต่างๆ นาๆ ดังนั้น เราจะเจอหากน้องๆ เหล่านี้เป็นเนื้อคู่ของเรา 555 แต่ถึงกระนั้นก็บอกไว้ว่า หากเจอฉลาม ให้เป่านกหวีด เอาจริงๆ ถ้าว่ายไปเจอฉลาม เราจะว่ายหนีก่อน หรือจะเป่านกหวีดก่อน อ่ะลองนึกภาพเล่นๆ ดูค่ะ
พอว่ายไปซักพัก โอ๊ยยยยยยย โอ๊ย โอ๊ย น้องปลาน่ารักมว๊าก ปลาเยอะจนเหมือนเราว่ายฝ่าฝูงปลาเลยอ่า แล้วบางทีมันก็ว่ายชนเราด้วย อารมณ์แบบ ที่ของชั้น แกหลีกไป อะไรประมาณนั้น
ที่นี่เราจะเห็นป้าดอลลี่ของนีโม่เยอะมาก แต่แปลก ไม่เจอนีโม่เลยนะ น้องหอยก็มา น้องปลิงก็มี นี่อยากหิ้วปลิงกลับบ้านมาให้แม่ดองไว้ทำกับข้าววันตรุษจีนปีหน้าเลย แต่เราจะไม่ทำอย่างนั้น เพราะว่าเราเป็นคนสวยและนิสัยดี
ดำอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกไปขึ้นเรือ แล้วก็นั่งเรือกลับไปที่รีสอร์ท จะกลับไปถึงรีสอร์ทประมาณ 10 โมงเช้า ซึ่งถ้าเมื่อเช้าเราไม่ได้กินข้าวเช้า ก็สามารถไปกินแซนวิชที่ Palm Beach Bar ซึ่งอยู่ข้างๆ ห้องอาหารที่เรากินอาหารเช้า กลางวัน เย็น ได้ค่ะ เวลาให้บริการคือ 10 โมงเช้าถึงเที่ยง แล้วก็อีกรอบคือ บ่ายสามถึงห้าโมงเย็น ก็จะมีพวกแซนวิช เค้ก และเครื่องดื่มเย็นต่างๆ เบียร์ก็ได้ Cocktail ก็ได้ ได้หมดค่ะ มีปัญหากินก็กินไปค่ะ แต่ฉันอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวอย่างอื่นค่อยว่ากันอาบน้ำเสร็จก็ถ่ายรูปเล่น แต่ยิ่งถ่ายก็โมโหกล้องนะ ถ่ายยังไงก็ไม่เหมือนสิ่งที่เห็นตรงหน้า น้ำทะเลสีสวยมาก ใสมาก หาดทรายก็ขาวมาก ขาวจัด มันสวยมากอ่า พูดได้เลยว่า เป็นที่แรกที่สถานที่จริงสวยกว่าในรูปที่เราเคยเห็น
อันนี้วิวจากระเบียงห้องค่ะ ห้องที่พักอยู่ฝั่ง Sunset ดังนั้นจะสามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกได้ ส่วนห้องฝั่งตรงข้ามห้องเรา เป็นห้องฝั่ง Snokling แต่เราก็ว่ายไปฝั่งนั้นได้ ด้วยการว่ายผ่านใต้ถุนบ้านเรา (ใต้ถุน นี่ไม่เคยได้ยินคำนี้มานานแล้ว เด็กสมัยนี้จะรู้จักใต้ถุนมั้ยนะ)
และแล้วก็เผลอหลับไปอ่า ตื่นมาอีกทีบ่ายสามเลย กินข้าวเที่ยงไม่ทันสิครัช ก็เลยไปกินแซนวิชตรงบาร์ที่ว่าแทนค่ะ แล้วก็นั่งชิวไปเรื่อย รอเวลา 17.30 น. เพื่อขึ้นเรือไปตกปลากลางทะเลกันค่ะ จากห้องพักก็เดินไปถ่ายรูปไป เดินไป ถ่ายรูปไป เดินไปถ่ายรูปไป ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก หึๆ
แล้วก็ได้เวลาเดินไปขึ้นเรืออีกครั้ง กิจกรรมนี้โรงแรมก็ให้บริการฟรีเช่นกันค่ะ อะไรฟรีเราก็ไปหมดอ่าโน๊ะ ชอบค่ะ ของฟรี ว๊าวๆ น้องฉลามมากันเต็มเลย น่ารักน่าชัง
พอเรือออกมาจากฝั่งได้ซักพัก พระอาทิตย์ก็เริ่มลาลับจากฟ้าไป ก็ดูพระอาทิตย์ตกบนเรือ เกร๋ๆ
หืมมมมม ชุดเหมาะกับการตกปลามากเลยอ่า
อยากเป็นโรส แต่ไม่มีแจ๊ค เพราะว่าแจ๊ค ถ่ายรูปให้อยู่ 5555พอถึงจุดที่ตกปลา เจ้าหน้าที่ก็จะให้เครื่องมือตกปลาแก่เรา ซึ่งทันสมัยที่สุด ดูจากรูปได้
แต่อย่าดูถูกเครื่องมือนี้ ไม่รู้จะบอกว่าคนบนเรือลำนี้ตกปลาเก่ง หรือเพราะเครื่องมือดี หรือเพราะในทะเลแห่งนี้มีปลาโครตเยอะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ในวันนั้นก็ตกปลาได้ไม่น้อยนะครัช
แล้วในที่สุดก็.......
นี่ก็เป็นผลงานก็ทุกคนในเรือค่ะ
ประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ถึงเวลากลับรีสอร์ทค่ะ ก็ได้เวลาอาหารค่ำพอดี พอกินอาหารค่ำเสร็จก็เดินกลับที่พัก แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ วันนี้ชิวๆ หน่อยเน๊อะ ไม่อยากทำอะไรเยอะ มาพักผ่อนก็ต้องพักผ่อน ชิมิ
มาเที่ยวมัลดีฟส์เหมือนได้มาอยู่อีกโลก โลกที่ไม่มีเวลา นอกจากเวลาที่รีสอร์ทนัดหมายเพื่อไปทำกิจกรรมแล้ว ฉันไม่เคยดูเวลาเลย แม้แต่เวลาอาหาร ทันก็ทัน ไม่ทันก็ไม่ทัน ไม่ซีเรียส อยู่แบบนี้มาเป็นวันที่สองแล้ว มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ไม่มีเวลา ไม่มีงานที่ต้องทำ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความกดดัน ไม่มีความรีบเร่งใดๆ มันดีมากๆ ที่เราจะได้มีเวลาแบบนี้เพื่อ reset และ refresh ตัวเองจากความเครียดและความเหนื่อยล้าต่างๆ เพราะเรามาที่นี่เพื่อปรนนิบัติทั้งร่างกายและจิตใจของตัวเอง อยู่กับตัวเอง คุยกับตัวเอง ซึ่งตัวฉันเองก็ได้คำตอบดีๆ ในหลายๆ เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่คิดหรือตัดสินใจไม่ได้ในตอนที่เรายังอยู่ในพระนครบางกอก
มีความสุขค่ะ แต่ก็ไม่หลงระเริงกับความสุขนี้นะคะ บะบาย หลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์
วันที่สาม วันนี้ตื่นตั้งแต่ตีห้า ตื่นเอง สงสัยเคยชิน เลยออกมาชมวิวที่ระเบียง วันนี้แดดมาตั้งแต่หกโมง หึๆ แต่ดีนะ แดดทำให้ทะเลและหาดทรายสวยขึ้นเป็นกองค่ะ อาบน้ำแต่งตัวดีกว่าเน๊อะ เอาชุดมาตั้งสิบชุด เดี๋ยวใส่ไม่ครบ เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปเล่นให้คุ้ม ถึงแม้จะไม่สวยเท่าที่ตาเห็น อย่างที่พยายามบอกมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นรีวิว แต่ก็ถ่ายเก็บไว้ เอาไว้ดูเวลาเหนื่อยๆ จะได้นึกถึงความทรงจำตอนที่มาเที่ยวที่นี่ได้ชัดขึ้น ชิวเน๊อะ
พอกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ไปนั่งให้อาหารปลาค่ะ ตรงห้องอาหารปลาเยอะมากและสวยมาก มีหลากหลายแบบ ส่วนที่ชายหาด น้องฉลามก็แหวกว่ายอย่างมีความสุข น่ารักเชียว
กินข้าวเช้าเสร็จก็เดินดูนู่นดูนี่ในรีสอร์ท อ่อที่นี่มียิมด้วยค่ะ แต่ไม่ต้องการในเวลานี้ค่ะ ร่างกายต้องการทะเลมากกว่า
วิวรอบๆ รีสอร์ทค่ะ
แล้วก็ได้เวลาลงสู่ใต้ท้องทะเลอีกครั้ง วันนี้จะไปดำน้ำฝั่ง Snokling ค่ะ ฮึบๆ
น้องปลาต้องน่ารักเบอร์นี้มั้ย พี่ถามหน่อยเหอะ บร้าไปแล้วววววววว เหมือนรู้ว่าพี่ชอบสีรุ้ง
แล้ววันนี้ก็ไม่กินข้าวเที่ยงเหมือนเดิมค่ะ ออกมาจากห้องอีกทีบ่ายสามเลย มาอยู่ที่นี่นอนกลางวันทุกวันเลย แล้วก็รู้สึกว่ามันโอเคด้วยอ่ะ ร่างกายสดชื่นขึ้น เข้าใจละที่คนญี่ปุ่นบอกให้งีบหลับตอนเที่ยงนิดๆ หน่อยๆ ก็ช่วยให้สดชื่นและสมองดี นี่กลับไปคงจะฉลาดน่าดูเลยเหอะ
นี่คือมื้อเที่ยง+เย็นของเรา คิดซะว่ากินย้อนหลังละกันเน๊อะ
กินเสร็จก็ไปดูกระเบน กระเบนมาพอดีเบรยยยยย
สำหรับที่นี่แล้ว มองไปทางไหนก็สบายใจนะ ไม่ใช่แค่ที่นี่หรอก เพียงแค่เราได้นั่งริมชายหาดเงียบๆ ไม่มีคนรบกวน นั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย เราก็มีความสุขมากขึ้นนะ อยู่กับตัวเอง ไม่ต้องเผือกเรื่องของคนอื่น นั่งดูทะเลเรื่อยๆ เอื่อยๆ คือดี ไม่เชื่อลองดูค่ะ
ตั้งแต่มา เรายังไม่ได้ชมพระอาทิตย์ตกอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย อุตส่าห์เลือกห้องที่ชมพระอาทิตย์ตกได้จากระเบียง วันนี้ต้องไปดูซะหน่อย เพราะพรุ่งนี้ พี่ก็ต้องอำลาที่นี่ล้าววววววว
สวยยยยยยยยอ๊ะปร่ะ ของจริงสวยฝ่านี้อีกยูว์ อยากให้ไปดูด้วยตัวเอง
ตะวันลับฟ้าเมื่อตอนเย็นๆ จะเป็นเวลาที่ใจหายยยยยยยยย เพราะอยู่ที่นี่คืนสุดท้ายแล้ว
มื้อเย็นวันนี้ก็เลยนั่งกินอาหารเย็นอย่างยาวนานเพื่อซึมซับบรรยากาศต่างๆ ในยามค่ำคืน ยาวปายค่ะ
อุ๊ยๆ มีแขกมา
ครีบบนนี่จะแพงหน่อย น่าจะหม้อละ 2000 ได้ ส่วนครีบล่าง หม้อละ 500 น่าจะอยู่นะ แหะๆ
พี่เค้ามาประชุมกันเลยไม่ได้นัดหมาย นี่คงเป็นระดับผู้บริหารเลยอ่า เพราะตัวใหญ่มาก ดูน่าเกรงขาม นั่งดูไปก็เห็นสัจธรรมชีวิตนะ ถ้ามีอาหารแล้วแบ่งกันก็สมานฉันท์ แต่ถ้าจะกินตัวเดียว ซักพักเธอจะโดนรุม
สี่ทุ่มฝ่าแล้วกลับห้องนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ มาเดินเล่นที่ชายหาด
อร๊ายยยยย วันสุดท้ายแล้ว วันนี้เราจะต้องอำลาที่นี่แล้ว อย่าให้เสียเวลา ไปเดินเล่นที่หาดดีกว่า ยังถ่ายรูปได้ไม่เยอะเลย เพิ่งได้ 400 กว่ารูปเอง
วิวต้องสวยขนาดนี้มั้ย แล้วหาดต้องขาวขนาดนี้รึป่าว
ถ่ายรูปวนไปข่ะ วนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงห้องอาหาร
กินข้าวเสร็จแล้วก็เดินกลับห้องเพื่อดำน้ำอีกรอบเป็นรอบสุดท้าย ไป say good bye น้องปลาหน่อย เดี๋ยวจิไม่ได้เจอกันอีกนานเบรย น้องปลาทำให้รู้ว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะการเจอกันของเรากับใครซักคน อาจเป็นครั้งเดียวในชีวิต หรืออาจเป็นครั้งสุดท้าย เราจึงไม่ควรโกรธหรือเกลียดใครเลยในชีวิต พูดไปงั้นอ่ะ แต่ทำไม่ได้หรอก ณ ตอนจะดำน้ำ ก็ยังโมโหและเกลียดคนบางคนเลย เนี่ยะไลน์อ่า มันทำให้เรารับรู้เรื่องราวแล้วก็โมโห หงุดหงิด แต่ช่างมันเหอะ คนบ้าๆ บอๆ ไม่มีสาระสำคัญกับชีวิตเรา ปล่อยไปเหอะ บรัยยยยย เสียเวลาชีวิต นี่มีปลาการ์ตูนอีกเป็นล้านตัวที่ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา ไปค่า ดำน้ำ
อุ้ยๆ ตัวนี้ยังไม่เคยเห็นจริงๆ ด้วย
ดำน้ำวนไปข่ะ ถึงฉันจะดำ ฉันก็ดำที่ผิว หาใช่ดำที่ใจไม่
เสร็จแล้วก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พอว่ายน้ำมากก็เหนื่อย เหนื่อยแล้วก็หิว ก็เลยออกมากินของว่างอีกรอบ พร้อมกับเก็บตกมุมต่างๆ รอบๆ รีสอร์ทนี้ค่ะ
วันนี้ฟ้าสีสวยมาก น้ำทะเลก็เช่นกัน อาจเป็นเพราะแดดแรงกว่าทุกวันที่ผ่านมาค่ะ
อ่ะน้องฉลามมาอีกละ มา say goodbye คนสวย^^
ฝั่งนี้เป็นชายหาดฝั่งตะวันออกค่ะ ดีงาม ทะเลสามสี ฟินเฟร่ออ่ายูว์
แล้วก็เดินกลับไปเก็บของ ทางรีสอร์ทจะมีเอกสารแจ้งกำหนดการต่างๆ ตั้งแต่เมื่อวานเย็น ว่าเราต้องเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนเวลาเท่าไหร่ แล้วเจ้าหน้าที่จะมารับกระเป๋าเราจากห้องพักตอนไหน เราต้องขึ้น Seaplane ตอนไหน ทั้งนี้เพื่อให้เราเตรียมตัวและต้องตรงต่อเวลาด้วยค่ะ ส่วนเวลา check out จากห้องพักก็ 12.00 น. เหมือนรีสอร์ททั่วๆ ไปค่ะ พอเตรียมกระเป๋าเสร็จ รอเจ้าหน้าที่มารับกระเป๋าไปเรียบร้อย เราก็พาตัวเองไปกินอาหารเที่ยงที่ห้องอาหารห้องเดิม แต่วันนี้บรรยากาศเปลี่ยนไป เพราะเรากินไม่ค่อยลง อยากเก็บบรรยากาศต่างๆ ให้มากที่สุดมากกว่า
เรานั่งเอื่อยเฉื่อยจนถึงบ่ายสาม ก็ไปถ่ายรูปอำลารีสอร์ทนี้อีกรอบก่อนต้องไปขึ้น Seaplane ที่ท่าเรือของรีสอร์ท
ถ่ายรูปวนไป เอาให้ Memory เต็มไปเรยข่ะแล้วก็ถึงเวลารอต้องอำลาที่นี่อย่างเป็นทางการแล้วจริงๆ เจ้าหน้าที่รีสอร์ทพามารอขึ้น speed boat เพื่อนั่งไปขึ้น seaplane ซึ่ง start เครื่องรออยู่กลางทะเลล้าวววว ยืนเศร้าอยู่ ภาวนาให้เรือพัง เผื่อจะยืดเวลาออกไปอีกซักสองชั่วโมง แต่ก็ไม่เป็นผล
หันหลังมองที่หลับที่กินของเราในช่วง 4 วันที่ผ่านมาผ่านฉากของน้ำทะเลสีครามเขียว ตัดกับชายหาดสีขาว จนถึงทุ่นกลางน้ำซึ่งเป็นที่จอดของ Seaplane เจ้าหน้าขนกระเป๋าขึ้นเครื่องบินน้ำ และให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องไปทีละคนๆ จนครบ แล้วเครื่องก็ค่อยๆ แล่นบนผิวน้ำเร็วขึ้นๆ จนลอยขึ้นฟ้าไป ทิ้งไว้เพียงภาพของ Safari Island ไว้เบื้องหลัง จนค่อยๆ ลับสายตาไป
แต่สิ่งที่จะไม่หายไปคือประสบการณ์ชีวิตที่ดีช่วงหนึ่ง ที่เก็บไว้นึกถึงในวันที่เหนื่อยล้าจากสิ่งรอบตัวได้เป็นอย่างดี หลังจากอยู่บนเครื่องได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงสนามบินมาเล่ย์ ก็ทำเหมือนเดิมค่ะ นั่งรถบัสที่มารอรับที่ท่า Seaplane ไปลงที่สนามบิน แล้วยืนรอกระเป๋า จากนั้นก็พักผ่อนตามอัธยาศัย เพราะเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อน check in อีกครั้ง ที่สนามบินไม่มีอะไรมากมาย มีร้านกาแฟ Coffee Club, Burger King, Diary Queen, The Pizza Company แล้วก็ร้านอาหารไทย ก็ไม่รู้ว่าคนไทยไปเปิด หรืออะไรยังไง ส่วนตัวฉันนั้น เมื่อรับกระเป๋าเรียบร้อยก็ไปนั่งพักร่างที่ร้านกาแฟ ซึ่งมีวายฟายให้ใช้ฟรี แต่ต้องเอาใบเสร็จไปขอ password ที่ร้านเบอร์เกอร์คิง ไม่งงเน๊อะ 1 password ใช้ได้ 30 นาที ขอได้ครั้งละ 2 ใบต่อคน รอเวลาที่เปิดให้ Check in ค่อยเข้าไป พอเข้าไปด้านใน ก็จะผ่าน passport control เหมือนเดิม ด้านในมีที่ Shopping แต่ไม่ใหญ่มาก ก็จะมีพวกเครื่องสำอางค์ยี่ห้อต่างๆ แล้วก็ร้านขายของที่ระลึก รวมทั้งร้านขายเครื่องเทศต่างๆ และอาหารขึ้นชื่ออย่างปลาทูน่าแดดเดียว และน้ำพริกปลาทูน่า ซึ่งอร่อยนะ ไม่พลาดเลยที่จะซื้อกลับมาด้วย ไม่นานก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ก็ได้เวลาบ๊ายบายมัลดีฟส์อย่างสมบูรณ์แบบซะที
นั่งเครื่องชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงสนามบิน colombo อีกครั้ง ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็ไปหาของกินที่ Lounge ได้ สายการบิน Srilankan Airline มี Lounge ที่โอเค มีที่นั่งเยอะ อาหารคาวหวานครบถ้วน อ่อ ที่ศรีลังกาดังเรื่องชาค่ะ อย่าลืมชิมชาของศรีลังกานะคะ ที่เลาจน์ ก็มีชาหลากหลายรสชาติไว้บริการ กาแฟก็เช่นกันค่ะ อาหารคาวหวานครบเครื่องเลยทีเดียว เด็ดสุดคือ เค้กช็อกโกแลตอร่อยมาก กินคู่กับวอลนัทและชาอู่หลง หืมมมมมม งานดีมาก กินเสร็จก็ล้างหน้าแปรงฟัน ปะแป้งให้เรียบร้อยพร้อมนอน ซักพัก พนักงานก็จะเดินมาเรียกให้เราไปขึ้นเครื่อง ก็บ๊ายบายศรีลังกาอีกรอบ นอนหลับยังไม่ทันอิ่มดี ก็ได้ยินเสียงกัปตันประกาศว่าอีก 30 นาทีจะถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว สภาพอากาศที่สนามบินมีฝนตก เวลาปลายทางคือ 6.10 น. แล้วคุณแอร์ก็จะมาปรับเบาะให้เราและเอาน้ำผลไม้มาให้ดื่มเพื่อฟามสดซื่น พร้อมเอาผ้าขนหนูเปียกมาให้เราเช็ดหน้าเช็ดตา จิได้สดชื่นพร้อมรับวันใหม่ในชีวิตจริง ลาแล้วโลกแห่งความฝัน next station คือไปไถนาต่อรัวๆ อีเมลล์ 235 ฉบับรออยู่ครัช
4 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข สงบ อินดี้ ติสแตก ชิว ฟิน ถ้าถามว่ามัลดีฟส์คืออะไร มัลดีฟส์คือดีค่ะ ก่อนหน้านี้เคยคิดว่า ถ้าไปเที่ยวยุโรปครบตาม list ประเทศที่อยากไปแล้ว ค่อยไปมัลดีฟส์ ก็น่าจะอายุ 40 พอดี เพราะถึงตอนนั้น อาจไม่อยากเดินเยอะๆ ไม่อยากช็อปปิ้ง แต่อยากนั่งอยู่นิ่งๆ แบบมนุษย์ป้า แต่พอได้ไปมาแล้วในตอนที่ยังห่างจาก 40 มากนัก ก็ได้รู้ว่า ไม่ใช่แค่มนุษย์ป้า ที่อยากอยู่นิ่งๆ แต่มนุษย์เงินเดือนวัยกำลังสร้างตัวอย่างฉันได้เจอวิวแบบนั้น ก็อยากนั่งนิ่งๆ เหมือนกัน มันเหมือนถูกมนต์สะกด ที่นี่เป็นที่ที่เหมาะกับการพักผ่อน ได้อยู่กับตัวเอง อยู่กับธรรมชาติ อยู่ในที่ที่ไม่มีเวลาให้คนอื่น แต่เวลาทั้งหมดเป็นของเรา เป็นที่ที่เราทำเพื่อตัวเอง ไม่ต้องทำเพื่อใคร เป็นที่ที่ทุกอย่างช้าลง มันคือโลกแห่งความสบายใจ ถ้าอยากใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ของจริง ที่นี่ตอบโจทย์มากๆ ค่ะ และที่สำคัญ มัลดีฟส์มีสีของน้ำทะเลที่สวยมาก และเป็นเอกลักษณ์ มีหลายเฉดสีในที่เดียวกัน ทั้งสีและระดับของน้ำทะเลเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้เราได้เรียนรู้สัจธรรมชีวิต มันก็เหมือนกับชีวิตเรา บางเวลาก็มีสีสันที่สวยบ้าง บางทีก็หม่นลงบ้าง มีขึ้น มีลง แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นตอนที่สวยมากหรือไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ มันก็จะผ่านไปทั้งนั้น ก็อย่าไปยึดติดนะยูว์
ฉันมีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่า ต่อให้เป็นกล้องโปร กล้องเจ๋งยังไง รูปที่ถ่ายได้ก็ไม่สวยเท่าที่ตาเห็น อันนี้ดูมาจากหลายๆ รีวิว ไหนจะ postcard ไหนจะรุปในนิตยสาร ซึ่งแน่นอนว่า ช่างภาพต้องไม่ธรรมดา แต่ก็ยังไม่เห็นรูปไหน ที่สวยเท่าที่ไปดูมา ทิ้งกล้องเถอะค่ะ แล้วมีความสุขกับทะเล หาดทราย สายลม ปลาการ์ตูน และทุกๆ อย่างที่อยู่ตรงหน้าดีกว่า เก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆ ให้มากที่สุด น่าจะคุ้มค่ากว่ารูปถ่ายที่ได้มาค่ะ #กับคนที่อยู่ตรงหน้าก็เช่นกันนะคะคุณ
ทริปนี้ ถ้าบินสายการบิน Srilankan Airline Eco พัก Watervilla Safari Resort 4 วัน 3 คืน + Seaplane ไม่รวมคชจ. ส่วนตัวนอกเหนือจากที่ระบุ ประมาณ 60,000 บาทค่ะ ถ้าบิน Business เพิ่มอีก 20,000 บาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แต่ละสายการบิน ราคาจะปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ซึ่งแล้วแต่วันและเวลาในการเดินทางด้วย รวมถึงสายการบินต่างๆ อาจจะมีโปรโมชั่นในบางช่วง ทำให้สามารถซื้อตั๋วที่ราคาถูกลงได้ค่ะ ก็สามารถเลือกได้ตามความชอบ ความสบายใจ และความสบายกระเป๋าของแต่ละคนนะคะ
ราคาข้างต้นเป็นราคาสำหรับการพัก 2 คนต่อห้อง ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าไปคนเดียว ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่านั้นจะต้องบวกเพิ่มอีกประมาณ 10,000 - 15,000 บาทนะคะ (ค่าไปฟินคนเดียวไม่แบ่งปันคนอื่นค่ะ^^)
ไปเถอะ ไปดูให้รู้ว่า มัลดีฟส์เมืองไทย มันไม่มีอยู่จริง เผลอๆ คนที่ตั้งชื่อพวกนี้ก็ยังไม่เคยไปมัลดีฟส์ด้วยซ้ำ เมืองไทยก็สวยแบบเมืองไทย มัลดีฟส์ก็สวยแบบมัลดีฟส์ ไม่มีทางจะเหมือนกัน สถานที่ท่องเที่ยวทุกที่มีความสวยงามและเอกลักษณ์ของตัวมันเอง ไม่ต้องไปพยายามเปรียบเทียบกับที่อื่นหรอกค่ะ
ถ้าอยากไปที่ไหน ก็ไปที่สถานที่จริงเลยค่ะ ไม่ต้องไปสถานที่สมมติให้เสียเวลา
ถ้าถามมัลดีฟส์คืออะไร มัลดีฟส์มันคือดีค่ะ ^^ #Akikogoaround
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น