มนุษย์เงินเดือนเที่ยวเยอรมนี (Frankfurt-Heidelberg-Cologne-Berlin-Dresden-Potsdam-Munich-Rothenburg-Wusrzburg) by Akiko

Germany is always a good idea.

กว่าจะมาเป็น blog นี้ได้ก็ใช้เวลาสองเดือนกว่าๆ เลยทีเดียว ด้วยความขี้เกียจเป็นหลัก และความมีกิจกรรมอย่างอื่นต้องทำอีกมากมายเป็นเหตุผลรอง แต่ในที่สุดเราก็เขียนมันได้สำเร็จแล้ว เย้ๆๆๆ

ก็เป็นธรรมดานะคะคุณที่ช่วงปลายปีแบบนี้ ทางเราจะต้องมีทริปยาวๆ กันสักครั้งหนึ่ง ปีนี้เราก็จะไปเจอมานี่ หรือเยอรมนีกันค่ะ ทริปนี้วางแผนยาวนานเฉกเช่นเดียวกับทุกทริปของฉัน เพราะเราต้องวางแผนทั้งเรื่องการเดินทาง แพลนต่างๆ หาข้อมูลสถานที่ที่เราอยากจะไป และที่สำคัญ วางแผนเรื่องเงินค่ะ เพราะปีนี้อยากเดินทางแบบหรูหราหมาเห่าหอน เพื่อเฉลิมฉลองให้กับการได้มาซึ่งวัยสามสิบกลางๆ ของชีวิต เพราะชีวิตนี้ก็ไม่เคยอายุ 35 มาก่อนเลยค่ะ

ทริปนี้เราเดินทางโดยสายการบินไทย BC ค่ะ มันก็ทำให้เราได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นตามอายุของเรา ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องการ check-in และ Lounge ของสายการบินนะคะ จะข้ามไปขึ้นเครื่องกันเลยค่ะ เราใช้เวลากับทริปนี้ 10 วันเต็ม ก็พูดได้เลยว่า เราวางแผนมาดีมาก เพราะเวลาช่างเหมาะเจาะ เนื่องจากกลับมาแล้วนั้น ยังมีเวลาพักผ่อนอีกหนึ่งวันเต็มๆ ก่อนจะเริ่มไถนากันอีกครั้งค่ะ
เมื่อขึ้นไปบนเครื่องมันก็จะสะดวกสบายประมาณนี้ ก็ดีค่ะ แต่โดยส่วนตัวแล้วเรารู้สึกว่าแค่นั่งและนอนสบายแต่พวกเอ็นเตอร์เทนเมนต์บนเครื่องบินนั้น ฉันชอบสายการบินตะวันออกกลางมากกว่า ส่วนอาหารโดยภาพรวมก็กลางๆ นะคะ ส่วนหนึ่งเพราะไม่ค่อยได้กินอะไรเยอะแยะ กินแค่ถั่วกับชาเขียวร้อนกรุบกริบๆ แล้วก็นอนซะ อ่อ มี wifi ให้ใช้นิดหน่อยด้วย แต่ถ้าอยากใช้เยอะก็ซื้อเพิ่มได้ผ่านหน้า log-in แต่ด้วยความงกของทางเรา ไม่ซื้อแน่นอนค่ะ 555
11 ชั่วโมงผ่านไป ไวเหมือนโกหก เราก็มาถึงท่าอากาศยานแฟรงค์เฟิร์ต ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 7 โมงเช้า กว่าจะผ่านพิธีการใดๆ เสร็จเรียบร้อยก็ประมาณ 8 โมงเห็นจะได้ พอเราออกมาด้านนอกเราก็เอาตั๋วรถไฟที่ซื้อมาจากเมืองไทยไป valid date ก่อนจะเริ่มใช้งานในวันนี้ เจ้าหน้าที่จะให้เรากรอกเลขที่ passport พร้อมกับวันที่วันแรกที่เราใช้เดินทางในตั๋วให้ถูกต้อง ทริปนี้เราเดินทางกันสองคน ดังนั้นในตั๋วจะระบุชื่อของทั้งสองคนในใบเดียวกันเลย และเราจะต้องเก็บตั๋วนี้ไว้ให้ดีตลอด 10 วันที่เราอยู่ที่เยอรมัน

ตั๋วที่เราซื้อเป็นตั๋ว German Pass 10 days ของ Bahn ที่สามารถใช้เดินทางข้ามเมืองได้ทั่วประเทศ และยังสามารถใช้กับรถไฟฟ้าสาย S ได้อีกด้วย ซึ่งนับว่าคุ้มมากๆ ค่ะ เราซื้อตั๋ว 10 วัน ประมาณคนละ 10,000 บาทไทย
พอ valid ตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมาที่สถานีรถไฟด้านล่างของสนามบิน เพื่อรอรถไฟเข้าเมืองค่ะ มาเยอรมัน มันก็ต้อง Adidas หน่อยอ่ะนะ จากสนามบินเรานั่งรถไฟมา 1 สถานีก็ถึงสถานีรถไฟหลักของเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ซึ่งเราจองโรงแรมใกล้ๆ กับสถานีนี้ไว้ และโรงแรมทั้งหมดของเราตลอดทริปนี้จะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าแบบนี้ทั้งหมด และขอแนะนำให้นักเดินทางอย่างเราๆ จองโรงแรมแบบนี้ค่ะ เพราะจะสะดวกมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องลากกระเป๋าไกลๆ กระเป๋าเรามันก็ไม่ใช่ใบเล็กๆ เน๊อะ

เนื่องจากยังเป็นช่วงเช้า ทางโรงแรมจะยังไม่มีห้องว่างให้กับเรา แต่สามารถฝากกระเป๋าเดินทางไว้ก่อนได้ เราก็จัดการเช็คอินและฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ ส่วนตัวเรานั้น วันนี้เราจะเดินทางไปที่เมือง Heidelberg กันค่ะ

เราเดินจากโรงแรมไปยังสถานีรถไฟเดิมที่เราเพิ่งเดินจากมาเมื่อสักครู่ แล้วไปรอรถไฟเพื่อไปยังเมือง Heidelberg ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงเศษๆ เราสามารถซื้ออาหารประจำชาติอย่าง Pretzel พร้อมกับกาแฟร้อนๆ ขึ้นไปกินบนรถไฟได้ แต่ถ้าไม่ซื้อจากด้านล่าง บนรถไฟก็จะมีตู้ที่เป็นบาร์ขายอาหารและเครื่องดื่มเหมือนกัน ถ้าไม่ทันก็ไปซื้อบนนั้นได้ค่ะ
เมื่อรถไฟมาถึง เราก็ขึ้นไปเพื่อเลือกที่นั่งที่ไม่มีคนจอง แล้วก็นั่งยาวๆ ไปเลยค่ะ เราสังเกตเห็นว่า ด้านนอกของรถไฟจะมีสัญลักษณ์ว่าเป็นตู้อาหาร ตู้รถจักรยาน ตู้คนพิการ ซึ่งหากเรามาพร้อมกระเป๋าพะรุงพะรัง เราสามารถขึ้นตรงตู้สำหรับคนพิการได้ เพราะตรงประตูจะมีที่เชื่อมระหว่าง Platform กับตัวรถไฟ ทำให้เราสามารถลากกระเป๋าได้ แต่ก็ไม่ได้มีทุกขบวนนะคะ

ไม่นานนักเราก็มาถึงเมือง Heidelberg ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Heidelberg Castle ปราสาทที่มีความสวยงามมากค่ะคุณ ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นบนเขาสูงและมีความเก่าแก่มาก ดูขลังไม่เบาเลยทีเดียว

เมือง Heidelberg แห่งนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีความเรียบง่ายแต่น่ารัก มีประชากรไม่ค่อยเยอะนัก แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนเกินไป จากสถานี เราเดินเข้ามายังศูนย์กลางของเมืองนี้จะผ่านถนนที่มีร้านรวงต่างๆ เป็นร้านขายของกิน ของใช้และเสื้อผ้าแบรนด์เนมบ้างประปราย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบรนด์ที่เราไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ 
ระหว่างทางจะมีร้านอาหาร ร้านกินดื่มที่เปิดตั้งแต่ช่วงสาย และคนที่นี่ก็จะนั่งจิบเบียร์กันตั้งแต่เช้าตรู่ เยอรมันมีความอิสระค่อนข้างสูง เราสามารถถือขวดเบียร์เดินไปที่ไหนก็ได้ เพื่อจิบไปเรื่อยๆ ระหว่างทางโดยไม่ผิดกฎหมาย ที่เราเคยได้ยินว่า คนเยอรมันกินเบียร์แทนน้ำนั้นเป็นเรื่องจริงค่ะ

เดินมาได้สักพักก็จะถึงปราสาท Heidelberg

สำหรับตัวปราสาทไฮเดลเบิร์คนั้น ก่อสร้างด้วยอิฐแดงในสถาปัตยกรรมแบบโกธิค เรเนซองค์ดูขลังดีค่ะ ถ้าอยากทราบประวัติก็สามารถ search google ได้เลยนะคะ 555 เพราะทางเราไม่ถนัดในการเล่าประวัติศาสตร์เท่าไหร่นัก ถนัดแต่เรื่องการอวดรูปมากกว่าค่ะ #เที่ยวเก่งงงงงงง #ขี้อวดเก่งงงงงงงงงง 
หากขึ้นมาบนนี้แล้ว จะต้องเข้าไปชมถังไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกค่ะ แต่ทางเราไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะตอนนั้นไม่มีมูด อารมณ์บูดบึ้ง ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ นอกจากนั้นยังมีมิวเซียมภายในด้วย เป็นมิวเซียมเภสัชวิทยา ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียวค่ะ 
แต่ไฮไลท์จริงๆ ของปราสาทแห่งนี้ ฉันคิดว่ามันคือวิวของเมืองที่อยู่ด้านล่างมากกว่า เพราะมีความสวยงามมาก ปราสาทแห่งนี้อาจจะไม่ต่างกับปราสาทในประเทศอื่นๆ ในยุโรป ที่มักจะสร้างริมแม่น้ำและด้านหน้าปราสาทจะมีสะพานเชื่อมไปยังตัวเมือง ซึ่งที่นี่จะมีสะพานเก่าอัลเทอบรึคเคอที่ทอดข้ามแม่น้ำเน็คคาร์ ทำให้วิวเมืองสวยมากขึ้นไปอีกค่ะคุณ
ชมปราสาทได้สักพักเราก็เดินลงมาด้านล่าง เพื่อเดินไปดูบริเวณที่เรายังไม่ได้เดินไปเมื่อสักครู่นี้ นั่นคือบริเวณสะพานที่ว่า และเป็นความโชคดีมากค่ะคุณ ที่สะพานบางส่วนนั้นปิดซ่อม (ทุกประเทศมักปิดซ่อมอะไรสักอย่างในเวลาที่เรามาเที่ยวเสมอๆ และเสมอ)
พอเริ่มบ่าย ทางเราก็เริ่มจะหิวกันแล้วค่ะ และที่นี่เอง เราก็ได้ลิ้มลองไส้กรอกเยอรมันที่แท้ทรู ที่นี่มีทั้งไส้กรอกเนื้อ ไส้กรอกหมู และไส้กรอกมังสวิรัต ซึ่งอร่อยแบบไม่น่าเชื่อว่ามันคือ Vegan Sausage ร้านที่ทางเราเข้าไปกินนั้นชื่อร้าน Curry Wurst ค่ะ (Wurst ภาษาเยอรมันแปลว่าไส้กรอก)
จากนั้นก็เดินชมเมืองต่อไปเรื่อยๆ ช่วงที่เราเดินทางไปนั้นเป็นช่วงปลายเดือนกันยายน ดังนั้นอากาศจะเริ่มเย็นสบาย แต่มีความสว่างยาวนานและมืดช้า ฟ้าค่อนข้างโปร่งใส ทำให้เราสามารถชมนกชมไม้ได้ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นในแต่ละวัน เราเดินไปเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟ และขึ้นรถไฟกลับไปยังแฟรงค์เฟิร์ต ซึ่งเราไปถึงที่นั่นประมาณ 4 โมงเย็น ก็สามารถเช็คอินที่โรงแรมได้พอดี ทางเราต้องขอตัวพักผ่อนอาบน้ำอาบท่า หลังจากที่เราไม่ได้อาบน้ำมาไม่ต่ำกว่า 20 ชั่วโมงแล้ว 5555

เย็นนี้เรามีแพลนว่าจะเดินชมเมืองแฟรงค์เฟิร์ตไปเรื่อยๆ ซึ่งเอาจริงๆ แล้วเมืองนี้เป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก มีแต่ตึกสูงๆ เพราะเมืองนี้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของเยอรมัน แต่จะพูดแบบนั้นก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะยังมีพื้นที่บางเอเค่อที่มีความสวยงามและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว รวมถึงคนเมืองเองที่มักจะมาเดินเล่น นั่งเล่น หรือนั่งจิบเบียร์และดินเนอร์กันที่นี่ นั่นก็คือ Romerberg แห่งแฟรงค์เฟิร์ต
 
บริเวณนี้จะมีตึกรามบ้านช่องที่เป็นสไตล์เยอรมัน (อันนี้คิดเอง) นั่นคือเป็นบ้านที่สร้างโดยการตีไม้เป็นกรอบแล้วตรงกลางเป็นปูนซึ่งจะมีสีสันที่แตกต่างกันไป
บ้านเมืองน่ารักดีค่ะ คนเยอรมันก็ดีเช่นกัน มองเพลินๆ ไป บริเวณนี้จะมีร้านอาหารที่ร้านรวงต่างๆ จะเริ่มตั้งโต๊ะบริเวณด้านนอกสำหรับการกินดื่มและดินเนอร์ของผู้คน บรรยากาศดีมาก เหมาะสำหรับการจิบเบียร์ไป ชิมวิวรอบข้างไป มันโอเคมากๆ ค่ะคุณ แต่เนื่องจากเรามาบริเวณนี้ในช่วงเย็น แสงจึงไม่ค่อยเป็นใจในการถ่ายรูปเท่าไหร่ ทำให้บางรูปมืดมากกกกกกกกกกก แต่บางรูปก็ความจ้าเกินเหตุ แต่สำหรับตาเปล่าของทางเรานั้น มุมนี้เป็นอีกมุมหนึ่งที่มีความสวยงามมากเลยทีเดียว
ตะวันใกล้จะเริ่มตกดินบวกกับความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาเกือบจะตลอด 24 ชั่วโมง เราจึงเดินกลับไปที่โรงแรมอีกครั้ง และในทางที่เราเดินกลับ เราก็ไม่พลาดที่จะเดินไปชมสะพาน ริมแม่น้ำไมน์ (Main River)" นอกจากจะได้ชมความงามของเมืองท่ามกลางตึกสูง และท้องฟ้าสวยแล้ว ยังได้มองเห็นวิถีชีวิตของชาวยุโรป ที่ออกมาพักผ่อนหย่อนใจกัน และจากมุมนี้ จะมองเห็นโบสถ์ Saint Bartholomeus' Cathedral อยู่ทางซ้ายมือ
เราสามารถเดินเลาะแม่น้ำไปเรื่อยๆ เพื่อชมบรรยากาศที่สวยงามระหว่างทางที่เรากลับโรงแรม ทำให้เราได้มองเห็นชีวิตผู้คนที่นี่และวิวเมืองที่สวยไปอีกแบบค่ะ
ราตรีนี้คงจะต้องสั้นกุดแต่เพียงเท่านี้ก่อน เพราะทางเราอ่อนเพลียกันเสียเหลือเกิน ต้องขอตัวก่อนนะคะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ว่าจะทำอะไรที่ไหนและอย่างไร

วันที่สอง วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อขึ้นรถไฟไปเที่ยวเมืองโคโลญจน์กันค่า ซึ่งจากแฟรงค์เฟิร์ต เราจะเดินทางโดยรถไฟ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษๆ เช้านี้เราซื้ออาหารเช้าขึ้นมากินบนรถไฟกันค่ะ เราไปถึงเมืองโคโลญจน์ประมาณเกือบๆ 10 โมง ซึ่งปราสาทโคโลญจน์ นั้นก็ตั้งอยู่อย่างสง่างามตรงสถานีรถไฟเลยค่ะ
บริเวณรอบๆ โบสถ์จะมีสะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งเป็นทางรถไฟที่ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองไม่ต่างจากโบสถ์อันงามสง่าแห่งนี้ เพราะเรามักจะเห็นรูปถ่ายของสะพานแห่งนี้อยู่คู่กับโบสถ์ประจำเมืองเสมอๆ นอกจากนี้ด้านข้างของโบสถ์ยังมีร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนมด้วยค่ะ และที่สำคัญก็คือ ร้านขายโคโลญจน์อันโด่งดังไปทั่วโลกอย่างยี่ห้อ 4711 ซึ่งโคโลญจน์ถือกำเนิดจากเมืองนี้แหละ เดิมสถานที่ผลิตตั้งอยู่บ้านเลขที่ 4711 เจ้าของแบรนด์จึงนำมาตั้งเป็นชื่อยี่ห้อ ปัจจุบันก็มีร้านขายโคโลญจน์ยี่ห้อดังกล่าวอยู่หลายร้านในบริเวณนี้ ซึ่งมีให้เลือกหลายกลิ่นเลยทีเดียว
ด้านในของโบสถ์นั้นมีความขลังเอาการ เราสามารถเข้าชมได้โดยไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าค่ะ
เมื่อเดินออกมาด้านนอกจะมีลานกว้างที่ผู้คนนิยมมาเดินเล่นกัน ที่นี่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างมากเนื่องจากเป็นเมืองหนึ่งที่ต้องมาของเยอรมันค่ะ
พ้นจากบริเวณนี้ไป เราก็เดินไปชมเมืองในส่วนอื่นๆ เมืองนี้มีความน่ารักค่ะ เป็นเมืองริมน้ำอีกแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ เราจึงได้เห็นผู้คนที่นี่มานั่งเล่นกันบริเวณริมน้ำ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารสำหรับนั่งชิวๆ อีกด้วยค่ะ
มีคนกล่าวว่า เบอร์เกอร์ร้าน Nordsee อร่อย ร้านนี้ขายเบอร์เกอร์กับ snack อย่างพวกของทอดต่างๆ วันนี้เลยได้โอกาสมาลองชิมดู ซึ่งทางเราได้สั่งเบอร์เกอร์ไก่ จำชื่อไม่ได้ละค่ะ ถามว่าอร่อยมากมั้ย ก็อร่อยดี แต่ก็ไม่ได้แบบว่า ว๊าววววววอะไรเท่าไหร่นัก มันเหมือนเบอร์เกอร์ไก่ทั่วๆ ไป
ไม่รู้จะบอกว่าอะไรนอกจาก ชอบเมืองนี้ค่ะ และขากลับเราก็ไม่พลาดที่จะซื้อโคโลญจน์กลับไปด้วย อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว โคโลญจน์ 4711 นั้นราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับน้ำหอมทั่วไป แต่กลิ่นจะไม่ค่อยติดทนมากนัก (ความคิดเห็นส่วนตัวหลังจากได้ทดลองกลับมาใช้ที่บ้านแล้วค่ะ)
ก่อนกลับเลยแวะซื้อขนมปังตุ๊กตาหมี (หรือตุ๊กตาผีก็ไม่รู้) เป็นขนมปังที่จะต้องกินทุกครั้งเวลามาแถบๆ นี้ เหมือนครั้งก่อนที่เรากินเกือบทุกวันที่ Strasbourg แต่ที่เมืองนี้หน้าตาไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่เลย แต่ก็อร่อยดีเหมือนกัน
นอกจากนี้ก็ยังมี Honey Pretzel ที่แบบว่า Honey มากๆๆๆ ที่เราต้องชิมอีกด้วย หวานเจี๊ยบแต่ก็อร่อยดี หนึบๆ แปลกๆ ดีค่ะ

ที่นี่มีร้านขายเยลลี่อยู่ร้านหนึ่ง จะเอาเยลลี่มาใส่ไว้ในแก้วเบียร์ยี่ห้อต่างๆ ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์หนึ่งของเยอรมัน ข้างในจะเป็นเยลลี่กลิ่นเบียร์ แต่ไม่มีแอลกอฮอล์นะคะ เหมาะสำหรับเป็นของฝาก เยลลี่ร้านนี้ก็อร่อยดีเหมือนกัน แต่ค่อนข้างมีราคาสูงค่ะ
เราเที่ยวที่นี่กันได้เกือบทั้งวัน ช่วงบ่ายแก่ๆ ก็เดินกลับไปที่สถานีเพื่อเดินทางกลับแฟรงค์เฟิร์ตโดยรถไฟค่ะ ซึ่งเราก็ต้องใช้เวลากลับอีกชั่วโมงเศษๆ เช่นกัน
กว่าจะกลับมาถึงแฟรงค์เฟิร์ตก็เย็นพอดี วันนี้เราคงไม่เดินไปไหนนกันแล้ว เลยหามื้อเย็นกินที่สถานีรถไฟแล้วเลิกกันเพียงเท่านี้ เพราะวันนี้เดินไปเยอะเหลือเกิน

วันที่สาม วันนี้เราเก็บกระเป๋าและเดินทางออกจากแฟรงค์เฟิร์ตเพื่อไปเบอร์ลินกันค่ะ เราจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง โอ้ววววมายก๊อดดดดด แต่ก็ต้องไปค่ะ วันนี้เลยต้องตุนของกินขึ้นรถไฟเยอะหน่อย

เวย์กับนมช็อกโกแลตที่นี่อร่อยมาก ทางเราซื้อกินทุกวันเลยค่ะ ขวดหนึ่งประมาณไม่เกิน 2 ยูโร แล้วแต่ยี่ห้อ อยู่ที่นี่เราจะได้กิน Pretzel บ่อยๆ รวมถึงเบอร์เกอร์ด้วยค่ะ เมื่อขึ้นมาบนรถไฟก็เลือก location ให้เหมาะเจาะที่สุด เพราะเราต้องอยู่บนนี้อีกเกือบห้าชั่วโมงเลยทีเดียวค่ะคุณ

ช่วงบ่ายๆ เราก็เดินทางมาถึงเบอร์ลินค่ะ เย้ๆๆๆๆๆๆ โรงแรมของเราก็อยู่ติดสถานีรถไฟหลักของเบอร์ลินอีกเช่นเคย สถานีรถไฟที่เบอร์ลินคือบับว่า ใหญ่โตเทียบเท่าสนามบินเลยทีเดียว ชอบความเจริญอย่างไม่หยุดยั้งของที่นี่ ทำให้เราเดินทางสะดวกสบายและประหยัดได้ค่อนข้างมาก เมื่อมาถึงที่นี่เราสามารถเช็คอินที่โรงแรมได้เลย จึงเอากระเป๋าเดินทางเข้าไปเก็บที่ห้องแล้วก็ออกมาข้างนอกเลย วันนี้เราจะไปเที่ยวที่  Berliner Dom ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คอันดับต้นๆ ของเมืองนี้ค่ะ จากสถานีรถไฟเราสามารถเดินไปเรื่อยๆ ผ่านสวนสาธารณะและแม่น้ำ ทำให้เราได้เห็นผู้คนมากมายที่นอนเล่นกันท่ามกลางแสงแดดที่แรงกล้าบริเวณสวนสาธารณะ คงจะเป็นสวรรค์เลยทีเดียว ส่วนทางเรานี่เดินหลบแดดรัวๆ 
เมื่อเราเดินลัดเลาะแม่น้ำมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับน้องสี่คนนี้นั่งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับนักท่องเที่ยวแบบเราได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
เมื่อเดินเลี้ยวไปทางขวาจะเจอกับตัวโบสถ์ค่ะ ซึ่งเราจะเดินเข้าไปชมที่ด้านในก่อนแล้วค่อยเดินออกมาที่สนามด้านนอกนะคะ
เราเสียค่าเข้าชมที่ 17 ยูโรค่ะ ด้านในโบสถ์จะเป็นหินอ่อนและมีภาพวาด ก็สวยงามพอที่จะสะกดให้เรานั่งอยู่นิ่งๆ สักพัก ให้พอได้ซึมซับความเป็นคริสต์เบาๆ ด้านล่างของโบสถ์ค่อนข้างน่ากลัวนิสนึง ซึ่งทางเราไม่ได้เก็บภาพมานะคะ เพราะเป็นเหมือนโลงศพตั้งอยู่เต็มไปหมด ซึ่งล้วนแต่เป็นชื่อของบุคคลสำคัญของเยอรมัน ส่วนปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้เป็นสถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเวลาที่บุคคลสำคัญเสียชีวิต

จากนั้นเราก็เดินออกมาด้านหน้า ซึ่งเป็นสนามหญ้า และมีน้ำพุอยู่ตรงกลาง บริเวณนี้เราเห็นผู้คนมากมายมานั่งอาบแดด และถ่ายรูปกัน ดูคึกคักมากเลยทีเดียว บริเวณนี้จะเป็นที่ตั้งของโบสถ์และมิวเซียมหลายแห่ง แต่ก็มีบางแห่งที่ปิดบูรณะซ่อมแซมค่ะ
เดินต่อไปเรื่อยๆ ไปทางด้านข้างของโบสถ์จะเจอกับมิวเซียมหนึ่งเราสนใจนั่นคือ Pergamon Museum ค่ะ ครั้งก่อนที่เราเคยไปตุรกีแล้วเราได้เข้าไปดูที่ Pergamon ที่ตุรกี เราได้ฟังข้อมูลว่า เยอรมันตีเมืองตุรกีและได้นำ Pergamon มาไว้ที่เบอร์ลิน
ที่นี่เราจะเสียค่าเข้า 21 ยูโรค่ะ ค่าเข้าที่นี่ช่างแพงเหลือเกิน พอเข้ามาด้านในเราจะเจอกับประตูตระหง่านสีน้ำเงิน ทำจากกระเบื้อง และเป็นลวดลายรูปม้า
เมื่อเดินผ่านประตูเมืองอิชตาร์ เราจะพบกับประตูตลาดมิเมตุส (Market Gate of Miletus) สูง 17 เมตร กว้าง 29 เมตร เป็นประตูที่พังทลายลงจากเหตุแผ่นดินไหว แล้วก็ถูกเก็บกู้ซากขึ้นมาบูรณะใหม่ ในห้องนี้เราจะได้พบกับสถาปัตยกรรมที่มีอายุเป็นพันปีเลยค่ะ
ที่นี่มีสถาปัตยกรรมโบราณหลายชิ้น ทางเรารู้สึกตะลึงในความอลังการเหมือนกัน แต่ก็คงไม่อินเท่ากับนักประวัติศาสตร์ตัวยง เราเดินที่นี่ไม่ถึงชั่วโมงก็ออกมาด้านนอกเพราะเราหิวข้าวกันแล้วค่ะ และมื้อนี้เราก็กินไส้กรอกเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือวิวของโบสถ์ริมแม่น้ำค่ะ
เมื่อกินเสร็จก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟฟ้าเพื่อนั่งรถไฟกลับไปที่โรงแรมค่ะ ระหว่างทางที่เราเดินกลับก็ได้เห็น Berlin Tower ด้วยค่ะคุณ
กลับมาถึงสถานีรถไฟที่บริเวณโรงแรม ก็เดินช็อปปิ้งและหาของกินที่สถานีเลยค่ะ ที่นี่มีร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อหลายร้านเลยค่ะ อ่อ ดิชั้นลืมบอกว่า เวลาเราซื้อน้ำเปล่าที่นี่ เราจะเสียค่ามัดจำขวดด้วยนะคะคุณ 0.25 ยูโรค่ะ และเมื่อเรานำขวดไปคืนที่ร้านค้า (ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านเดียวกับที่เราซื้อ) เราจะได้เงินคืนมา แต่ถ้าเป็นซุปเปอร์ในห้างสรรพสินค้า ให้เอาขวดและกระป๋องไปใส่ตู้ แล้วเราจะได้ใบเสร็จออกมา ซึ่งสามารถเอาใบเสร็จนี้ใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ตได้ค่ะ นับเป็นวิธีการบริหารจัดการขยะที่ฉลาดล้ำเลิศมาก

สิ่งที่ฉันมักจะซื้อกินบ่อยๆ เวลาไปเมืองนอกก็คือเบอร์รี่ต่างๆ เนื่องจากมีราคาค่อนข้างถูก กินให้สะใจไปเลย กล่องหนึ่งประมาณ 3 ยูโร เป็นเงินไทยก็ประมาณ 120 บาทไทยค่ะ

วันที่สี่ วันนี้เราก็ตื่นแต่เช้าอีกเช่นเคย เพื่อเดินทางไปเมือง Dresden วันนี้เราจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงโดยรถไฟ 

เมื่อถึงเมือง Dresden เราจะเดินทางโดยใช้รถรางในเดรสเด้น ก่อนอื่นเราก็ต้องซื้อตั๋วที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติซึ่งตั้งอยู่ที่สถานี และวันนี้ทางเราได้ทำการซื้อตั๋วแบบใช้ได้ทั้งวัน หรือ Day Ticket เพราะจะสามารถขึ้นลงป้ายไหนกี่ครั้งก็ได้ในหนึ่งวัน

เพียงไม่กี่ป้ายจากสถานีรถไฟเราก็มาถึงเขตปราสาทเดรสเด้นแล้วค่ะ ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยมมาเยี่ยมชมมากที่สุดในเมือง Dresden โดยในปัจจุบันปราสาทอันงดงามหลังนี้ได้กลายมาเป็นหอศิลป์หลักแห่งหนึ่งของเมือง และมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมากมาย ถึงแม้ว่าในปี 1945 เมืองนี้จะโดนระเบิด ทำให้ปราสาทหลังนี้ได้รับความเสียหาย แต่ก็ได้รับการบูรณะใหม่ และกลายเป็นวังแห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์ พอเดินเข้ามาด้านหน้าจะเจอสวนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ตรงกลางจะมีน้ำพุขนาดใหญ่ บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นรื่นตา ยิ่งมีกำลังบวกมาจากท้องฟ้าที่แสนสดใสด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้วิวรอบตัวดูสวยงามมากยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อเราเดินขึ้นมาด้านบนจะเจอกับทางเดินยาวที่สามารถเดินไปได้เรื่อยๆ เพื่อชมบรรยากาศและสวนอันสวยงามรอบๆ ปราสาทแห่งนี้ โดยส่วนตัวแล้ว ฉันชอบที่นี่ค่อนข้างมาก มันดูสวยงาม และมีความขลังอยู่อย่างครบถ้วนในตัวเอง
 
จากอาคารที่เรายืนอยู่นี้เมื่อมองออกไปด้านหลังจะเจอกับปราสาทอีกหลังที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน บริเวณนี้ถือเป็นเอเค่อที่สวยงามที่สุดของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ เราสามารถเดินไปถ่ายรูปได้ทุกจุดเลย และวันนี้อากาศก็ดีมากๆ ด้วยค่ะ

ปราสาทเดรสเด้นมีอายุยาวนานกว่า 400 ปี และเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองเดรสเด้น พระมหาราชวังแห่งนี้ประกอบไปด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลายอย่างหอกลางแบบโรมาเนสก์ และการต่อเติมสถาปัตยกรรมแบบบาโรกและเรอเนสซองส์ การบูรณะได้เริ่มต้นขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพิ่งแล้วเสร็จไปเมื่อปี 2013 นี้เองค่ะ
ตรงนี้เป็นเหมือนจตุรัสที่รายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีทั้งปราสาทและโรงละครสมัยโบราณ #เดินวนไปข่ะ จริงๆ แล้วที่นี่เราสามารถนั่งรถม้าชมเมืองได้นะคะ แต่ทางเราไม่นั่งค่ะเพราะว่าทางเราค่อนข้างงก 5555 เอาจริงๆ คือ เดี๋ยววันท้ายๆ เราก็จะได้นั่งรถม้าขึ้นไปบนเขาเพื่อชมพระราชวังอยู่แล้วค่ะ อดใจรอสักครู่นะคะ
ที่นี่จะมีร้านกาแฟอยู่หลายร้าน เราสามารถอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน ถ้าเมื่อยก็สามารถไปนั่งพักที่ร้านกาแฟได้ ซึ่งร้านกาแฟจะมีห้องน้ำด้านในด้วยและสามารถเข้าได้ฟรี ทางเราได้มาเจอร้านเด็ดร้านหนึ่งที่กาแฟเอสเปรสโซ่อร่อยมาก เค้กก็เช่นกันค่ะ
เมื่อหายเมื่อยแล้ว เราเดินมาอีกด้านของปราสาท ที่นี่เราสามารถเดินไปได้โดยรอบค่ะ ทุกอาคารสามารถเดินทะลุถึงกันได้หมด
ไฮไลท์เด็ดของที่นี่อีกหนึ่งอย่างคือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังบันทึกประวัติศาสตร์ชุด ขบวนเจ้าชาย (Procession of Princes) ยาว 102 เมตร ทำจากแผ่นกระเบื้องระบายสีจำนวน 25,000 แผ่น ภาพนี้สามารถหยุดทุกสายตาเลยทีเดียวค่ะคุณ
คุณผู้ชายตามรูปด้านล่างเป็นคนจริงๆ ค่ะแต่ยื่นได้แข็งทื่อเหมือนคนปลอมมาก ส่วนน้องหมานี่เป็นหมาปลอม แต่รูปร่างพริ้วไหวเหมือนหมาจริงมากๆ
เมื่อเดินมาทางฝั่งแม่น้ำเราจะเห็นสะพานทอดยาว สามารถข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้ แต่ว่าสะพานก็ได้ซ่อมตัวเองค่ะคู๊ณณณณณณ เราเลยไม่ได้เดินไปชมตรงจุดนั้น
       
เมื่อขึ้นบันไดมาด้านบนจะมีเก้าอี้ที่ให้เราสามารถนั่งพักผ่อนหย่อนใจและชมวิวแม่น้ำที่อยู่ด้านหน้าได้ ค่อนข้างจะฟินพอสมควรเลยทีเดียวค่ะ
เมื่อชมสถาปัตยกรรมต่างๆ จนพอใจแล้ว เราก็เดินอ้อมมาอีกด้านของปราสาท บริเวณนี้จะมีโบสถ์ประจำเมืองและเป็นจตุรัสของเมืองที่มีความสวยงาม ให้ความรู้สึกยุโร๊ปยุโรปค่ะคุณ
ในวันที่เราไป มีการจัดงานประจำปีด้วย ช่วงที่เราไป เป็นช่วงเทศกาล Oktober Fest พอดีค่ะ ก็จะเหมือนลานเบียร์กลางแจ้ง และอาหารท้องถิ่นต่างๆ อย่าง pretzel และ Bagle รวมถึงร้านขายของน่ารักๆ รวมถึงมีโต๊ะตั้งไว้ให้เราสามารถนั่งดื่มเบียร์และกินอาหารได้ นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กๆ อีกด้วยค่ะ
ประมาณสามโมงเย็นก็เดินกลับมาขึ้นรถรางเพื่อกลับไปยังสถานีรถไฟ ตรงสถานีจะมีห้างเล็กๆ อยู่ห้างหนึ่งซึ่งมีอาหารค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียว เราเลยกินมื้อเย็นกันที่นี่เลย เย็นนี้เรากินอาหารเอเชียกันค่ะ ค่าอาหารก็อยู่ที่ประมาณ 35 ยูโร สำหรับสองคนค่ะ 
จากนั้นก็ขึ้นรถไฟกลับมาที่เบอร์ลิน ประมาณสองชั่วโมงเศษก็มาถึงเบอร์ลินแล้วค่ะ ในส่วนของเย็นวันนี้เรามีนัดเข้าชมรัฐสภาของกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีค่ะ ซึ่งการเข้าชมจะต้องทำการจองวันและเวลาผ่านเว็บไซต์ค่ะ และต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และต้องได้รับเมลล์คอนเฟิร์มจากทางการก่อนเท่านั้นนะคะ (พอเป็นรัฐสภาของผู้นำกลุ่ม EU ก็จะเงื่อนไขเยอะๆ ประมาณนี้) แต่ถ้าไม่สะดวก ตรงด้านข้างจะมีออฟฟิสเล็กๆ อยู่ซึ่งเป็นออฟฟิสในการให้บริการประชาชนและนักท่องเที่ยวทั่วไป ในการจองวันและเวลาเข้าชม เราสามารถจองเวลาได้ที่นี่เช่นกัน โดยการยื่น passport ให้เจ้าหน้าที่ จากนั้นเราจะได้เอกสาร 1 ใบที่ระบุชื่อเราในนั้น พอถึงวันและเวลาที่กำหนดก็สามารถเอาเอกสารนั้นให้เจ้าหน้าที่ด้านหน้าประตูทางเข้ารัฐสภาได้เลยค่ะ อ่อ ควรไปถึงก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงนะคะ 
                                     

ด้านในจะเป็นกระจกเงาและมีทางเดินวนเป็นวงกลมค่ะ กระจกที่ว่าแสดงถึงความโปร่งใสของการทำงานของรัฐบาลที่ประชาชนสามารถมองเห็นได้ อะไรแบบนี้

เมื่อชมวิวอะไรเสร็จสับเรียบร้อย ก็กลับมาด้านล่าง จากจุดนี้เราสามารถเดินไปที่ประตูเมืองของกรุงเบอร์ลินได้ค่ะ ซึ่งตอนกลางคืนจะเปิดไฟ ค่อนข้างดูขลังและสวยงามเลยทีเดียว สำหรับตรงนี้จะมีประท้วงบ่อยครั้ง ถือเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ และในวันที่ฉันไป ก็มีประท้วงเช่นกัน 555
ต่อเนื่องจากจุดนี้เราสามารถเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ได้เลยค่ะ ไม่ไกลกันนัก จะเราพบกับอนุสรณ์สถานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ซึ่งสร้างเหมือนโลงศพเต็มไปหมด ดูน่ากลัว แต่เป็นแค่สิ่งก่อสร้างนะคะ ด้านในไม่มีศพจริงๆ ค่ะ
จากนั้นเราก็เดินกลับไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (S) เพื่อกลับไปยังโรงแรมค่ะ วันนี้เราเหนื่อยล้ากันมากพอแล้ว เพราะเดินมาทั้งวัน ปิดท้ายวันนี้ด้วย Whey ของประเทศเยอรมันและมินิกีวี้ที่น่ารักและแสนอร่อย

วันที่ห้า ห๊ะ นี่เพิ่งวันที่ห้าเองหรอเนี่ยะ วันนี้เราก็ตื่นแต่เช้าเหมือนเดิม วิธีการท่องเที่ยวและถ่ายรูปให้สวยงาม ไม่ต้องคิดคนเยอะๆ ก็คือการตื่นให้เช้าและตรงดิ่งไปยังสถานที่แห่งนั้นค่ะ ยกเว้นแต่ว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เพราะว่าเปิดสายมากๆ อันนั้นก็ยอมจำนนค่ะ

วันนี้เราเริ่มต้นด้วย East Side Gallery ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงภาพเขียนบนกำแพงของชาวเยอรมันเมื่อครั้งที่ประเทศเยอรมนียังถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง คือฝั่งตะวันออก และตะวันตก กำแพงนี้ยาวกิโลกว่าๆ เห็นจะได้ แต่เราก็สามารถเดินดูไปได้เรื่อยๆ เลยค่ะ ความคิดเห็นส่วนตัว ฉันคิดว่า มันดูขลังและแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในตอนนั้นได้อย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว
รูปภาพรถด้านล่างนี้ถือเป็นภาพไฮไลท์ค่ะ เป็นภาพวาดรถยนต์ทราบี้(Trabi) พุ่งทะลุออกมาจากกำแพงเบอร์ลิน ภาพนี้ชื่อ Test the rest เป็นอาร์ตเวิร์คสุดคลาสสิกของศิลปินหญิง เบอร์จิต คินเดอร์ (Birgit Kinder) รถยนต์ทราบันท์ (Trabant) ซึ่งคนเยอรมันเรียกกันสั้นติดปากว่า 'ทราบี้' เป็นสัญลักษณ์ของเยอรมันตะวันออกในอดีต เพราะมีผลิตขึ้นที่นี่เท่านั้น และเป็นพาหนะเดียวที่มีเครื่องยนต์ที่ชาวเยอรมันตะวันออกพยายามใช้หนีออกจากพื้นทีกักกัน ภาพวาดป้ายทะเบียนรถแสดงตัวเลขที่หมายถึงวันล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
รูปด้านล่างนี้ก็เช่นกันค่ะ เป็นรูปที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจค่อนข้างมาก เพราะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเบอร์ลินเลยก็ว่าได้ รูปนี้ชื่อ The Mortal Kiss วาดโดยศิลปินชาวรัสเซีย เป็นรูปเชิงล้อเลียนการประทับริมฝีปากจูบกันอย่างดูดดื่มระหว่างสองผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์ระหว่าง Leonid Brezhnev ผู้นำโซเวียต(ซ้าย) กับ Erich Honecker ประธานาธิบดีเยอรมันตะวันออกที่พบกันในปีค.ศ.1879
ภาพวาดเหล่านี้ถูกสรรค์สร้างขึ้นหลังจากการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นภาพที่สื่อถึงความหมายของเสรีภาพ ความหวังและการต่อต้านสงคราม
จากนั้นก็แวะกินกาแฟและอาหารเช้าที่ร้าน East side Cafe ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก และเดินไปขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปยังเมือง Potsdam ซึ่งมีพระราชวังที่สวยงามตั้งอยู่ค่ะ เราจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ จากเบอร์ลิน เมื่อเดินทางมาถึง ก็นั่งรถบัสเข้ามายังบริเวณพระราชวังค่ะ เมื่อมาถึงเราจะต้องไปซื้อตั๋วก่อน แล้วเดินมาฝั่งตรงข้ามเพื่อเข้าชมพระราชวัง โดยในตั๋วจะระบุเวลาในการเข้าชมพระราชวัง และหากต้องการถ่ายรูปจะต้องเสียเงินเพิ่ม ก็จะมีกระดาษสำหรับติดที่กล้อง ดังนั้น หากเรายกกล้องที่ไม่มีใบอนุญาตขึ้นมาถ่ายรูปก็จะโดนเจ้าหน้าที่เข้ามาตำหนิและบอกให้ลบรูปทิ้งค่ะ
และนี่คือส่วนของพระราชวังด้านในค่ะ
เราใช้เวลาข้างในไม่นานนักเนื่องจากพระราชวังนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตเท่าไหร่ แต่ก็มีการตกแต่งที่สวยงามและมีความเป็นเอกลักษณ์อยู่เหมือนกัน จากนั้น เราจะเดินออกมาด้านหน้า (เอ๊ะหรือว่าด้านหลัง) เอาเป็นว่าเดินออกมาอีกด้านหนึ่งซึ่งตรงข้ามกับทางที่เราเข้ามา เราจะพบกับสวนขนาดมหึมา ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ทำให้เรามองเห็นว่า พระราชวังนี้สร้างขึ้นบนที่สูง
เดินผ่านสวนขนาดใหญ่ไปเรื่อยๆ ซึ่งไกลอยู่เหมือนกัน เราจะได้พบกับอีกหนึ่งพระราชวังค่ะ แต่ในส่วนนี้ ทางเราไม่ได้เข้าไปชมด้านในนะคะ และก็ไม่ใช่แค่ทางเราค่ะ คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เข้าไปเหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรค่ะคุณ เราเลยถ่ายรูปด้านนอก ก็สวยงามดีค่ะ
เดินเลาะด้านข้างของพระราชวังแห่งนี้ออกมาก็จะเจอกับพระราชวังอีกหลังหนึ่ง โอ้ยยยย เยอะแยะไปหมด แต่พระราชวังที่อยู่ด้านหลัง ออกจะน่ากลัวไปนิดหนึ่งค่ะ 
ก็เป็นอันจบสิ้นการชมพระราชวังแห่ง Potsdam ค่ะ จากนั้นก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์แล้วขึ้นรถมาที่สถานีรถไฟ ถามว่า สามารถเดินไปที่สถานีได้หรือไม่ ก็คงได้ เพราะอากาศค่อนข้างดี แต่ระยะทางก็ค่อนข้างไกลเหมือนกันค่ะ เอาเป็นว่า ถ้าเป็นไปได้ก็เก็บแรงไว้เดินเที่ยวดีกว่าค่ะ

มาถึงสถานีรถไฟก็หาอะไรกินก่อนกลับ เพราะนี่ก็ล่วงเลยมาบ่ายแก่ๆ แล้วค่ะ ไปเจอสิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ว่าอร่อยดีค่ะ หน้าตามันเป็นแบบนี้ คล้ายโรตีแต่มีผักกับไก่ย่างด้วยค่ะ
และแล้วเราก็จาก Potsdam มาด้วยความประทับจิตประทับใจ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เราก็กลับมายืนที่เดิม นั่นก็คือเบอร์ลินของเรานั่นเองค่ะคุณ มาถึงก็ประมาณ 6 โมงเย็นแล้ว เลยดินเนอร์กันที่ร้านแถวๆ สถานีรถไฟเลย และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่เราได้ชิมอาหารประจำชาติของเยอรมันค่ะ ในส่วนของขาหมูนั้น แห้งๆ ค่ะ แอบชิมไปนิดหนึ่งก็เค็มค่อนข้างมาก โดยส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ค่ะ
จากนั้นก็นั่งรถไฟต่อไปอีกสองสถานีก็ถึงโรงแรมของเราแล้วค่ะ
อย่างที่บอกว่าเยอรมันเป็นเมืองที่มีความอิสระสูงมาก เราสามารถถือขวดแบบนี้ไปที่ไหนก็ได้ค่ะ วันนี้เราก็พอกันแค่นี้ก่อนเน๊อะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ 

วันที่หก เราก็ตื่นเช้ากันอีกวันค่ะ แต่วันนี้เป็นวันที่อากาศไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ เพราะฝนตกเกือบจะทั้งวัน แต่นักเดินทางอย่างเราจะกลัวอะไรกับฝน #เที่ยวเก่งงงงงงงง ไปค่ะ 

วันนี้เรามีนัดเดินชมเมืองและไปที่ Checkpoint Charlie ซึ่งตรงนี้เคยเป็นจุดข้ามกำแพงเบอร์ลินจุดหลักสำหรับทหาร ชาวต่างชาติและนักการฑูตของฝ่ายสัมพันธมิตร ป้ายชื่อดังอย่าง "You are now leaving the American sector" ยังคงอยู่ ถือเป็นอนุสรณ์สถานสมัยสงครามเย็นที่แบ่งแยกเบอร์ลินออกจากกันระหว่างปี 1961 และปี 1989 นอกจากนี้ยังมีป้อมจำลองเพื่อเตือนให้ชาวเบอร์ลินระลึกถึงความหวาดกลัวและความหวาดวิตกทุกวัน ที่แห่งนี้อยู่บน Friedrichstrasse ซึ่งเป็นถนนสายหลักในเบอร์ลินตอนกลาง
วันนี้จบเพียงแค่นี้เลยค่ะ เพราะเราไปไหนไม่ได้เลย ฝนตกทั้งวัน เราเลยเลือกที่จะไปเดินช็อปปิ้งเพื่อซื้อของให้กับตัวเองและครอบครัว แล้วก็กลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ

วันที่เจ็ด วันนี้พยากรณ์ว่าอากาศจะสดใสมาก เราเลยรีบตื่นแต่เช้าเมื่อไปเที่ยวที่จุดเดิมที่เรายังไม่ได้ดูอะไรกันเลยเมื่อวานนี้ นั่นก็คือที่ checkpoint charlie และบริเวณพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง topography of terror ที่เป็นจุดแสดงซากกำแพงหลังจากที่ถูกพังทลาย และยังเหลือบางส่วนไว้ให้เป็นอนุสรณ์ของคนรุ่นหลัง
 เมื่อเดินมาเรื่อยๆ ก็จะเห็นแนวกำแพงทอดยาวไปถึงสี่แยกค่ะ
เมื่อมาถึงสี่แยก เรามาสะดุดตรงที่เราเห็นรูปรถคันหนึ่งอยู่บนหลังคาร้านคาขายของที่ระลึกแห่งหนึ่ง มันน่ารักมาก และมี Berlin flyer ด้วยค่ะ


จากนั้น เราก็นั่งรถไฟฟ้ามาที่ Checkpoint Charlie คือมันดีใช่มั้ยคะที่ไม่มีคนเลย นั่นเป็นเพราะเรามากันเช้าตรู่มากๆ นั่นเองค่าาาาาา เช้าชนิดที่ว่าทหารก็ยังไม่ตื่นมายืนให้ถ่ายรูปเลย

เหล่านี้คือจุดถ่ายรูปที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวค่ะ ในส่วนของทางเรานั้นก็ต้องอินเทรนกับเค้าหน่อย #ถ่ายตามๆ กันไปค่ะคุณ

สายๆ หน่อยเราก็กลับมาเก็บกระเป๋าที่โรงแรมแล้วก็ไปสถานีรถไฟ วันนี้เราจะออกจากเบอร์ลินเพื่อเดินทางไปมิวนิคค่ะคุณ ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้นเกือบๆ 5 ชั่วโมงค่ะ ยาวๆ ปายยยยย
เราเดินทางมาถึงมิวนิค ประมาณ 3 โมงก็ดิ่งตรงไปโรงแรมเลย เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บ เป็นที่ทราบกันดีว่าที่เมืองมิวนิคเป็นต้นกำเนิดของเทศกาล Oktober Fest ที่อลังการงานสร้างของโลก ซึ่งจะจัดขึ้นปีละ 1 ครั้งและแน่นอนว่า เราก็ได้มาช่วงเวลานั้นพอดีค่าาาาาาาา แต่ค่าโรงแรมก็แพงหูดับเลยทีเดียวค่ะ ที่โรงแรมมีความน่ารัก มี Welcome Drink เป็นเบียร์แก้วมหึมา ให้เราได้ดื่มตั้งแต่ 3 โมงเย็น โอเคเน๊อะ
เมื่อดื่มเบียร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องและออกมาเดินชมเมืองไปพลางๆ ก่อน วันนี้เราคงทำอะไรไม่ได้มากเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะตกดินแล้ว แต่ที่นนี่มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือเมืองจะยังคงคึกคักไปจนดึก ถึงแม้ว่าร้านค้าจะปิดหมดแล้ว แต่ร้านอาหารก็ยังเปิดอยู่อย่างหนาตาค่ะ เราเริ่มจากประตูเมืองที่มีน้ำพุอยู่ด้านหน้า
เมื่อเราเดินผ่านประตูนี้ไป ก็จะพบกับห้างที่ขายของแบรนด์เนมและร้านรวงต่างๆ มากมายทั้งของกิน ของใช้ เสื้อผ้าแบรนด์ต่างๆ และของที่ระลึก เอาเป็นว่า ถ้ามีเงินก็เดินเพลินๆ ไปเลยค่ะ
อย่างที่บอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลเบียร์ Oktober Fest ดังนั้นเราจะเห็นขนมน่ารักๆ แบบนี้แขวนอยู่ในร้านขายขนมปังหรือร้านกาแฟทั่วๆ ไปด้วยค่ะ
เดินมาเรื่อยๆ จนถึงจตุรัสมาเรียนปลาส (Marienplatz) เราจะเห็นคนจำนวนมหาศาลในบริเวณนี้ค่ะ ตอนนั้นเป็นเวลา 5 โมงเย็นพอดี เราจึงเห็นทุกคนจับตาดูตุ๊กตาเริงระบำประกอบเสียงดนตรีอย่างตั้งใจ
หลายคนคงทราบดีกว่า หากมาถึงเยอรมันแล้ว สิ่งหนึ่งที่นักเดินทางมักซื้อติดไม้ติดมือกลับไปก็คือ กระเป๋าเดินทางยี่ห้อ Rimova ซึ่งเป็นของประเทศเยอรมัน ที่นี่จะมีร้านค้าทั้งในห้างและนอกห้างขายกระเป๋าเดินทางยี่ห้อนี้ ซึ่งมีสีและไซส์หลากหลายมากๆ ค่ะ สามารถเลือกซื้อได้ตามอำเภอใจค่ะ ถ้าเป็นร้านนอกห้าง ทางร้านอาจให้ส่วนลดเพิ่มอีก 10% สำหรับการชำระเป็นเงินสดค่ะ ซื้อเถอะค่ะ มันดีมากจริงๆ รุ่นที่ถูกๆ หน่อยจะอยู่ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาทค่ะ ส่วนรุ่นที่หรูหราเป็นโลหะสีเงิน สีทองแบบแม่ชมก็จะห้าหมื่นอะไรแบบนี้เป็นต้น แล้วแต่ขนาดค่ะ

ตะวันลับฟ้าเมื่อตอนเย็นๆ จะเป็นเวลาที่ใจหาย เพราะเราต้องเดินกลับโรงแรมแล้วค่ะ ก่อนกลับก็ต้องแวะซุปเปอร์มาเก็ตเช่นเคย วันนี้ทางเรากินข้าวเย็นที่ร้าน Asia Hung นะคะ แต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะหิวจัดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

วันที่แปดแล้วหรือนี่ เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ วันนี้เราจะไปเที่ยวปราสาทนอยชวานสแตงหรือที่คนไทยเรียกกันว่า ปราสาทนอยชวานสไตล์กันค่ะ เราจะเดินทางไปที่เมืองฟุสเซ่น (Fussen) เราออกจากที่พักตอน 8 โมงเช้าเพื่อไปขึ้นรถไฟ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที
ตลอดทางวิวช่างสวยงามค่ะคุณ เป็นทุ่งหญ้าและบ้านของชาวไร่ชาวนา ตลอดทางที่รถไฟวิ่งไป เราได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนผ่านบานกระจกของรถไฟขบวนนี้ ทำให้รู้สึกว่าระยะเวลาในการเดินทางไม่ได้ยาวนานจนเกินไปนัก
เรามาถึงสถานีปลายทางประมาณ 10 โมงกว่าๆ นับว่าเป็นเวลาที่ดี เนื่องจากคนยังไม่เยอะจนเกินไป พอออกจากสถานี จะมีรถบัสจอดรอรับเราไปที่ทางขึ้นของปราสาทค่ะ ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีค่ะ (รถบัสเสียเงินนะคะ ไม่ฟรีค่ะ ถ้าจะฟรีก็คือต้องเดินจากสถานีไปที่ทางขึ้นของปราสาทค่ะ เมื่อมาถึงตีนเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทนอยชวานสไตล์ เราจะมองเห็นตัวปราสาทตั้งตระหง่านอยู่บนเขาค่ะ
จากนั้นเราก็เดินมาเข้าแถวเพื่อซื้อตั๋ว ซึ่งตั๋วจะมีหลายแบบ ทั้งแบบที่สามารถเข้าชมปราสาทนอยชวานสไตล์ได้อย่างเดียวและแบบที่สามารถเข้าชมพระราชวังอื่นๆ ในระแวกใกล้เคียงได้ด้วย ซึ่งบริเวณนั้นจะมีปราสาททั้งหมด 3 ที่ค่ะ แต่ทางเราเลือกแบบที่เข้าปราสาทเดียวคือ นอยชวานสไตล์ ราคาประมาณ 39 ยูโรต่อคนค่ะ เมือซื้อตั๋วเสร็จก็เดินมาที่หน้าร้านขายของที่ระลึกเพื่อรอขึ้นรถม้าค่ะ โดยขาขึ้นนั้นเราจะนั่งรถม้าขึ้น ส่วนขาลง เราจะเดินลงเพื่อชมบรรยากาศระหว่างทางและมันก็คงจะไม่เหนื่อยจนเกินไป ส่วนค่าขึ้นรถม้า ก็คนละ 7 ยูโรค่ะ
 
ถึงแล้ววววว แต่เราก็ต้องเดินขึ้นไปอีกนิดหน่อยค่ะ ระยะไม่ไกลมาก อ่อ ในบัตรเข้าชมจะมีรอบเวลา ดังนั้นเราต้องไปยืนรอด้านหน้าซึ่งจะมีจอบอกเวลารอบเวลาให้ค่ะ 
เมื่อถึงเวลาแล้วเราก็จะเข้าไปชมด้านในค่ะ ซึ่งต้องขออภัยด้วยนะคะ ทางเราไม่สามารถถ่ายรูปได้ค่ะ เพราะเป็นข้อห้ามของการเข้าชม แต่ข้างในก็มีความสวยงามมากเลยค่ะ เดิมทีแล้วกษัตริย์แห่งเยอรมัน ต้องการสร้างให้ที่นี่เป็นพระราชวังที่ไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ จึงมาสร้างบนเขาสูงค่ะ เอิ่ม ประวัติก็ไปอ่านในกูเกิ้ลเน๊อะ เวลาเข้าชมด้านในเราจะใช้เวลาไม่นานเพราะต้องเดินไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ค่ะ ไม่สามารถเดินวนกลับไปกลับมาตามใจชอบได้นะคะ

หลังจากนั้นเราก็เดินออกมาด้านนอก และเดินอ้อมไปทางด้านซ้ายวนขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อไปยังจุดถ่ายรูปตรงสะพานแขวนค่ะ ระหว่างทางเราสามารถชมวิวด้านล่าง และอีกมุมหนึ่งของปราสาทได้ด้วยค่ะ 
เดินมาได้สักพัก ไม่ไกลและไม่สูงมากนักก็ถึงสะพานแขวนค่ะ จุดถ่ายรูปยอดนิยมของประชาชนชาวโลกและแน่นอนว่า คนก็จะเยอะมากเลยทีเดียว บร๊ะเจ้า วิวด้านหน้าก็จะประมาณนี้เลยค่ะคุณ จริงๆ แล้วฉันเคยมาเยือนที่นี่แล้วหนึ่งครั้งเมื่อปี 2007 แต่ไม่ได้เดินมาตรงนี้ ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันไม่มีหรือเพราะว่าฉันไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวกันแน่ แต่เอาเป็นว่า วันนี้ฉันก็ได้มายืน ณ จุดนี้แล้วค่ะคุณ
เราจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ค่ะ เรายังเดินขึ้นเขาต่อไปอีก จนถึงจุดสูงสุดที่สามารถขึ้นได้ในมุมนี้ แล้วเราก็เจออีกมุมหนึ่งที่แตกต่างออกไปค่ะ
จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากมุมตรงสะพานเท่าไหร่ แต่เราเดินขึ้นมาเพื่อให้รู้ว่า เดินขึ้นมาก็เสียดาย ไม่เดินขึ้นมาก็เสียดายนั่นเอง

อิ่มวิวแล้วก็เดินกลับลงมาเรื่อยๆ และแวะกินอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารตรงทางลง วันนี้ทางเราชิมแพนเค้กของที่นี่ คุณคิดว่ามันต้องหนาๆ ฟูๆ ใช่มั้ยคะ ไม่ใช่เลยค่ะ ทางเราก็โดนหลอกลวงมาเช่นกัน
จากนั้นก็เดินลงมาเรื่อยๆ ถึงด้านล่าง และมารอขึ้นรถบัสเพื่อกลับไปที่สถานีรถไฟ แต่วันนั้นมีความผิดพลาดบางประการเกิดขึ้นค่ะ รถไฟไม่เข้าจอดที่สถานีนั้น รถบัสก็ดีมากค่ะ พาเราไปส่งที่สถานีใกล้เคียง ซึ่งเรานั่งรถบัสไปประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ และแล้วเราก็มาถึงสถานีรถไฟ ซึ่งทางเราได้วิ่งกันหูดับตับแล่บเลยค่ะคุณเพราะรถไฟกำลังจะเข้าชานชาลาอีก 2 นาที และเราก็ขึ้นรถไฟได้สำเร็จ เฮ่อออออ เหนื่อยและลุ้นระทึกมาก แต่ในที่สุดเราก็ได้กลับมาที่มิวนิคโดยสวัสดิภาพ

เมื่อมาถึงมิวนิค ตอนนั้นก็ประมาณห้าโมงเย็น เลยยังพอมีเวลาไปเดินเล่นที่ตลาดด้านหลัง จตุรัสมาเรียนปลาส แต่ร้านค้าก็ปิดไปเยอะแล้วค่ะ คงเหลือแค่ร้านขายดอกไม้และผลไม้นิดๆ หน่อยๆ จากนั้นเราก็เดินไปช็อปปิ้งที่ห้างกันค่ะ เพราะอีกไม่กี่วันเราก็ต้องกลับบ้านเกิดของเราแล้วค่ะ เดี๋ยวจะเสียเที่ยวในการมาครั้งนี้ 
พลบค่ำก็เดินกลับโรงแรม พร้อมกับแวะซื้อของที่ซุปเปอร์เช่นเคยค่ะ นึกแล้วก็ใจหายเพราะอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับบ้านแล้ว 

วันที่เก้า วันนี้เราจะเที่ยวในตัวเมืองมิวนิคกันค่ะ วันนี้เป็นวันแรกที่ชิวค่อนข้างจะมากเพราะได้ตื่นสายๆ และได้ออกมานั่งจิบกาแฟเบาๆ พริ้วๆ จากนั้นก็เดินเที่ยวไปเรื่อยๆ ค่ะ
บริเวณนี้เป็นบริเวณด้านหลังของ Resident Munchen ค่ะ อากาศดีมากค่ะคุณ ดูฟ้าสิคะ ฟ้าเป็นฟ้า โปร่งโล่งเชียว อากาศก็เย็นกำลังดีค่ะ ไม่หนาวไป ประมาณ 10 องศาค่ะ
จากนั้นเราก็เดินไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมพระราชวังเรซิเด้นซ์มุ้นเช่น (Residenz Munchen) สำหรับที่นี่แล้ว หากนักท่องเที่ยวนำเป้มา คุณจะต้องฝากที่ด้านหน้าก่อนจะเข้าไปค่ะ
 เข้ามาก็จะเจอกับสิ่งนี้ค่ะ
จากนั้นพอเข้ามาที่ด้นในก็จะพบกับภาพเขียนที่เพดานและผนัง รวมถึงรูปปั้นและแกะสลักของบุคคลสำคัญต่างๆ
จากนั้นก็เข้ามาสู่ด้านในค่ะ ซึ่งส่วนตัวแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะกว้างขนาดนี้ค่ะ แต่ละห้องจะมีป้ายบอกทางตลอดว่าให้เดินจากทางไหนไปทางไหน จากห้องนี้แล้วไปห้องไหนต่อ รวมถึงมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่เป็นระยะๆ ด้วยค่ะ
แต่ละห้องถูกตกแต่งอย่างสวยงามและมีความเป็นเอกลักษณ์ค่ะ ส่วนใหญ่ประดับด้วยไม้แกะสลัก ส่วนผนังจะถูกต้องแต่งด้วยผ้าไหมสีต่างๆ อย่างห้องของกษัตริย์จะถูกตกแต่งเป็นทองและสีแดง ส่วนห้องของพระราชินีจะถูกตกแต้งด้วยสีโทนชมพู นอกจากนี้ยังมีห้องบรรทม ห้องแต่งตัว ห้องรับแขก ห้องอาบน้ำ ห้องทำผม โอ้ยยยย ห้องเยอะมากค่ะ ทางเราไม่อาจบรรยายได้หมด เพราะที่นี่ใหญ่โตโอ่อ่าและความหรูหราระดับสี่หมื่นแปดพันล้านจริงๆ ค่ะ
ในส่วนนี้จะเป็นเก้าอี้ว่าการของกษัตริย์เยอรมันค่ะ ส่วนรูปด้านบนคือห้องบรรทมของกษัตริย์ค่ะ ซึ่งทางเราก็สังเกตเห็นว่า ห้องบรรทมของกษัตริย์และราชินีจะเป็นคนละห้องนะคะคุณ และจะมีอีกห้องมีเป็นห้องบรรทมที่บรรทมร่วมกัน งงมั้ย ไม่งงเน๊อะ
เมื่อชมห้องต่างๆ ครบแล้ว ก่อนที่เราจะเดินออก เราจะพบกับอีกห้องที่อลังการไม่แพ้กัน ซึ่งจะมีโต๊ะกินข้าวและข้าวของเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตจากวัสดุหลากหลายชนิดค่ะ
ต้องบอกว่ามันเยอะมากจริงๆ ค่ะคุณ ทางเราสามารถถ่ายรูปมาให้ดูได้แค่บางส่วน รูปสวยบ้างไม่สวยบ้าง ก็ต้องขออภัยด้วยนะคะคุณ เนื่องจากทางเราไม่ได้ทำสารคดี ถ้าคุณคิดว่า blog ของเราจะให้ความรู้ก็บอกเลยว่าไม่มีค่ะ อันนี้พูดจากใจจริง #อวดรูปเก่งงงงงงงงง #โซเชียลเก่งงงงงงงงงง เริ่มจะหิวแล้ว แต่ยังไม่สามารถออกไปได้ในทันที จำต้องเดินไปตามทางให้ครบเพื่อให้เจอทางออกที่กำหนดไว้ค่ะ 

และในที่สุดเราก็เจอทางออกแล้ว ต้องบอกว่าที่นี่ดี และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากๆ ค่ะ อ่อ เราสังเกตว่า เราไม่เจอคนไทยที่เข้าไปในนี้เลย เรามักเจอคนไทยในห้างและร้านสินค้าแบรนด์เนมมากกว่าค่ะ

จากตรงนี้ก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ๆ วันนี้เรามีนัดกับขาหมูเยอรมันและเบียร์ที่โรงเบียร์ที่โด่งดังที่สุดของมิวนิค นั่นก็คือร้านนี้ค่าาาาาา

เมื่ออิ่มแล้วก็ออกมาเดินเล่นและช็อปปิ้งกันอีกครั้งค่ะ
วันนี้เราคงไม่ได้ไปไหนไกลๆ กันแล้วค่ะ คงกลับโรงแรมแต่วันเพื่อพักผ่อน (เสียบ้าง) เนื่องจากเรามีโปรแกรมที่แน่นขนัดกันทุกวันไม่เว้นเลยตั้งแต่เรามาถึงประเทศนี้ ดังนั้น การได้มีเวลาหายใจยาวๆ เดินชิวๆ ไปเรื่อยๆ บ้างก็เป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลยค่ะ

วันที่สิบ นับไปก็ใจหาย วันนี้คือวันสุดท้ายแล้วที่เราจะอยู่ที่นี่ค่ะ พรุ่งนี้เราก็ต้องกลับเมืองไทยแล้ว เอาน่า ไหนๆ ก็ไหนๆ เราก็เที่ยวให้สะบัดไปเลย เอาให้คุ้มกับเวลาอันน้อยนิด เพราะไม่รู้ว่าปีหน้าเราจะได้มีทริปยาวๆ อีกทีช่วงไหน วันนี้เราเริ่มต้นกันที่ 7 โมงเช้าค่ะคุณ วิ่งตาตื่นไปขึ้นรถไฟเพื่อไปเที่ยวนอกเมืองกันค่ะ สำหรับโปรแกรมในวันนี้ จุดแรกเราจะไปที่ Rothenburg ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาทีค่ะ ประมาณเกือบๆ 10 โมง เราก็มาถึงสถานีปลายทาง Rothenburg ค่ะ สำหรับการมาที่นี่ต้องมีการเปลี่ยนสถานีด้วยนะคะ แนะนำให้ใช้ app ของ Bahn ค่ะ จะทำให้เราสามารถดูวิธีการเดินทางโดยรถไฟได้อย่างแม่นยำทั้งสถานีและเวลาค่ะ จากสถานีรถไฟเราสามารถเดินเข้ามายังบริเวณเมืองเก่าได้เลยค่ะ ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ คนอาศัยอยู่ค่อนข้างน้อย แต่มีความน่ารักใช้ได้เลยทีเดียว เมื่อเดินมาถึง เราจะเห็นกำแพงเมืองและทางเข้าเล็กๆ แบบนี้ค่ะ
 พอเดินเข้ามาด้านในก็จะตะลึงกับความน่ารักของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ เนื่องจากเรามาถึงค่อนข้างเช้ามากๆ เลยไม่ค่อยเห็นผู้คนออกมาเดินกันเท่าไหร่นัก
ตลอดทางที่เราเดินไปจะเห็นบ้านเรือนและร้านค้าน่ารักๆ ซึ่งเป็นร้านขายอาหารและของที่ระลึก พอช่วงใกล้เที่ยงร้านรวงต่างๆ ก็จะเริ่มเปิดมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
 มันน่ารักมากๆ ค่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง

และเมื่อเราเดินมาเรื่อยๆ เราก็จะได้พบกับมุมมหาชน เรามักจะเห็นมุมนี้ปรากฎอยู่ในนิตยสารหรือเว็บไซต์ท่องเที่ยวของประเทศเยอรมันบ่อยๆ แต่มันก็สวยจริงๆ ค่ะ
เมื่อชมเมืองจนหนำแล้ว เราก็เดินกลับออกมา เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ แต่จะมีตรอกซอกซอยที่ทะลุถึงกันได้ค่ะ เดินวนไปข่ะ เมืองนี้น่ารักทุกมุม ยิ่งคนที่รักการถ่ายรูป ยิ่งจะรู้สึกฟินมากขึ้นไปอีกค่ะ
 รูปด้านล่างจะเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองนี้ค่ะ
เมืองนี้มีความคล้ายเมือง Colmar ของประเทศฝรั่งเศสที่เราไปเที่ยวมาเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากก่อนเยอรมนีแพ้สงคราม แคว้น Alsace ก็เคยเป็นของเยอรมนีมาก่อน
ที่นี่มีขนมประจำเมืองหน้าตาประมาณนี้ค่ะ ลักษณะเป็นเหมือนครองแครงบ้านเรา แต่ม้วนกลมๆ เป็นก้อนๆ แล้วเคลือบด้วยคาราเมล หรือไม่ก็ช็อกโกแลตค่ะ ขนาดใหญ่เท่ากำมือได้ สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายกาแฟทั่วๆ ไปเลยค่ะ
จากตรงนี้เราเดินกลับไปทางเดิม เพื่อออกจากตัวเมืองและเดินไปยังสถานีรถไฟเพื่อเดินทางไปยังเมือง Wurzburg ซึ่งจาก Rothenburg เราต้องเดินทางอีกประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาทีค่ะ สำหรับสายนี้เราต้องมีเปลี่ยนรถไฟที่สถานีกลางทางเหมือนกันค่ะ ไม่นานนักเราก็มาถึงเมือง Wurzburg เมืองนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่กว่า Rothenburg และมีความเจริญมากกว่าค่ะ และเนื่องจากเรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย ดังนั้นเมื่อมาถึงสถานีปลายทาง เราจึงไปกินข้าวเที่ยงกันก่อน วันนี้เรากินข้าวร้าน Asiahung อีกแล้วค่ะ เพราะทางเราเริ่มเบื่อขนมปังกันนิดหน่อย
เมื่ออิ่มแล้วเราก็พร้อมเดินต่อ เราเดินจากสถานีรถไฟไปเรื่อยๆ เพื่อเข้าไปยังบริเวณเมืองเก่า เราจะเดินผ่านบริเวณจตุรัสของเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์และร้านอาหารมากมาย
จุดหมายของเราคือสะพานแห่งนี้ค่ะ จริงๆ เมืองนี้มีพระราชวังอยู่บนเขาด้วยนะคะ แต่ทางเราไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชม เพราะเราอยากเดินชมเมืองมากกว่าค่ะ เราผ่านกันมาหลายโบสถ์หลายวังแล้ว จึงอยากเดินดูบ้านเมืองและชีวิตผู้คนมากกว่า
อัลเทอไมน์บริดจ์ หรือสะพานเก่าข้ามแม่น้ำไมน์ถือเป็น Highlight ของเมืองนี้ค่ะ ด้านข้างของสะพานจะเป็นรูปปั้นของนักบวช
มุมมหาชนอีกหนึ่งมุมค่ะ
จากตรงนี้เราสามารถยืนชมวิวเมืองได้โดยรอบเลยค่ะ
จากนั้นเราเดินกลับมาทางเดินเพื่อเดินไปชมเมืองบริเวณอื่นๆ เมืองนี้สามารถเดินทางรอบเมืองได้โดยรถแทรมค่ะ แต่เนื่องจากแต่ละจุดไม่ได้ไกลจากกันมากนัก เราจึงใช้วิธีการเดินก็จะสะดวกกว่าค่ะ
เราเดินผ่านโบสถ์ ผ่านบ้านเรือนต่างๆ ออกมาอีกด้านจนมาพบกับพระราชวังของเมืองนี้ค่ะ
อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้เข้าไปเนื่องจากเราไม่มีเวลามากพอค่ะ ถ้ามีโอกาสมาอีกครั้ง เราจะไม่พลาดแน่ๆ
ระหว่างทางกลับ เราได้เห็นบ้านเรือนที่สวยงามของเมืองนี้ ดีงามเลยทีเดียวค่ะ
ชมเมืองจนสาแก่ใจแล้ว เราก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ ระหว่างทางจะพบกับร้านค้ามากมายเลยค่ะ ทั้ง ZARA H&M และอื่นๆ อีกมากมาย ประมาณ 4 โมงครึ่งเราก็ออกจากเมืองนี้ค่ะ และกลับมาถึงมิวนิคประมาณหนึ่งทุ่มแล้วค่ะ แต่เราจะไม่กลับไปโรงแรมง่ายๆ เพราะวันนี้เรามีนัดกับ Oktober Fest ที่ถ้าไม่ไป มันจะเสียเที่ยวมากๆ เพราะนี่มันเทศกาลระดับโลกเลยนะคุณ
เรามุ่งตรงไปยังสถานที่จัดงานเลยค่ะ ที่นี่เราต้องเอาเป้ไปฝากก่อนเข้างานค่ะ (ค่าฝากกระเป๋า 4 ยูโรนะคะ) เราสามารถพกแค่กระเป๋าเล็กๆ เข้าไปได้เท่านั้น และหน้างานจะมีเจ้าหน้าที่และตำรวจตรวจอย่างเข้มงวดค่ะ

สำหรับงาน Oktober Fest คนเมืองจะแต่งตัวประมาณนี้เลยค่ะ น่ารักมากๆ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง และจะมีโรงเบียร์ยี่ห้อต่างๆ มากมาย ขนโรงเบียร์มารวมตัวกันไว้ที่นี่ รวมทั้งร้านขายของกินมากมาย ทั้งเครป เบอร์เกอร์ ฮอทดอก และขนมนมเนยต่างๆ นอกจากนี้ยังเครื่องเล่นต่างๆ มากมาย รวมทั้งรถบั๊มด้วยค่ะ โดยส่วนตัวฉันคิดว่า มันคืองานวัดดีๆ นี่เอง 555 แต่ก็ชอบนะคะ สนุกดีค่ะ

อยู่ที่นี่ได้สักพักเราก็กลับโรงแรมกันค่ะ จากที่จัดงาน เดินมาที่สถานีรถไฟใกล้เคียงเพื่อกลับไปโรงแรม จะมีรถตำรวจจอดอยู่ เรานับถือใน Security ของที่นี่นะคะ ที่จัดงานใหญ่ขนาดนี้แต่ก็สามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆ และผู้คนได้เป็นอย่างดี แถมรถตำรวจยังเปิดเพลงของ Maroon 5 ด้วย น่ารักที่สุดอ่ะ

วันนี้เราใช้เวลาได้คุ้มค่ามากและร่างเราก็เหนื่อยล้ามากเช่นกันค่ะ วันนี้เราไว้แค่นี้ก่อนนะคะ โอ้ยยยย เสียใจ พรุ่งนี้เราต้องกลับแล้ว ไม่อยากกลับเลยค่ะ

วันสุดท้าย วันนี้เราชิวหน่อย ตื่นสายหน่อย แล้วนั่งกินอาหารเช้า ทบทวนเรื่องราวตลอดสิบวันที่ผ่านมา
จากนั้นก็เดินออกมาชมเมืองอีกรอบก่อนจะต้องจากกันไปในวันนี้ สิบวันสำหรับเยอรมนีแห่งนี้นั้นสั้นเกินไปค่ะ แต่ก็ยาวนานพอให้เราได้เก็บความทรงจำดีๆ เอาไว้ ที่นี่สอนให้เรารู้จักความทันสมัยสุดๆ ของระบบรถไฟ คนที่นี่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และประเทศนี้ถือเป็นประเทศที่ความปลอดภัยค่อนข้างมาก ไม่เหมือนยุโรปอื่นๆ ที่มากมายไปด้วยนักล้วงกระเป๋า จากนั้นเราก็กลับมาโรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋าและเดินทางไปสนามบิน
จากมิวนิคเราสามารถเดินทางไปสนามบินได้ด้วยรถไฟค่ะ ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีถึง 1 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินแล้วค่ะ ที่สนามบินมีร้านค้าอีกพอสมควรที่จะสามารถมาซื้อของที่ขาดเหลือได้ รวมถึงขนมในซุปเปอร์มาเก็ตด้วยค่ะ ซึ่งบางอย่างก็มีราคาถูกกว่าข้างนอกพอสมควรเลยทีเดียว
ระหว่างรอเวลาเช็คอินก็เดินเล่นเพื่อถ่ายรูปวนไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะพ้นประเทศนี้ค่ะคุณ
ขออนุญาตกล่าวถึงการทำ Tax Refund ที่เยอรมันค่ะ เพราะโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่เหมือนที่อื่นเลยค่ะ มีความวุ่นวายค่อนข้างจะมาก เราขอเริ่มต้นที่พอมาสนามบิน ขอให้เราตรงไปเพื่อทำการเช็คอินก่อน และยังไม่ต้องโหลดกระเป๋านะคะ จากนั้นให้เราไปตรง Custom ค่ะ หากคุณมีสินค้าที่จะโหลดเข้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ให้เอาออกมาเพราะเจ้าหน้าที่จะขอดูสินค้าจริงพร้อมกับใบเสร็จและเอกสารทำคืนภาษี เมื่อตรวจเสร็จจะได้รับตรา stamp บนเอกสารและนำของเข้ากระเป๋า แล้วโหลดกระเป๋าตรงนั้นเลย แล้วนำเอกสารไปขึ้นเงินที่ Global Blue ด้านนอกได้เลยค่ะ ซึ่งการขอคืนเป็นเงินสดจะมีธรรมเนียมเล็กน้อยค่ะ

ส่วนสินค้าที่ต้องการถือขึ้นเครื่องไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุผลใดก็แล้วแต่ ให้ถือสินค้านั้นผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปก่อน แล้วตรงเข้าไปที่สำนักงาน custom ด้านในค่ะ แล้วโชว์ของที่ซื้อมาอีกครั้ง เมื่อได้ตรา stamp แล้วก็นำเอกสารไปขึ้นที่ Global Blue ด้านใน เราจะต้องทำแบบนี้ค่ะ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็โหลดของไปให้หมดรวดเดียวจะง่ายที่สุด แต่หากคุณมีสินค้าแบรนด์เนมหรือของที่มีมูลค่าติดไม้ติดมือมาก็จำต้องยอมรับกระบวนการอันวุ่นวายนี้ค่ะ

เมื่อเข้ามาด้านในจะมีร้านขายสินค้าแบรนด์เนมอีกประมาณหนึ่ง ไม่ต่างจากสนามบินทั่วๆ ไป ในระหว่างนี้เราเดินไปที่เลาจน์ของสายการบิน Lufthansa ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว สำหรับการบิน BC นั้น ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ค่ะ เพราะอาหารน้อยมาก ความหลากหลายเรียกได้ว่าต่ำมาก แต่ยังดีที่มีเครื่องดื่มอย่าง ชา กาแฟ ไวน์ และน้ำอัดลมไว้คอยบริการ แต่ก็ไม่แน่ว่า คนที่บิน FC อาจจะได้รับบริการที่ดีกว่านี้ก็ได้ค่ะ เพราะสายการบินแยกห้องสำหรับให้บริการคนละห้องเลยค่ะ เอาเป็นว่ากินร้านอาหารข้างนอกเวิร์คกว่ามากค่ะ

ถ้าถามว่าประเทศเยอรมนีเป็นอย่างไร ก็ตอบเลยว่าดี ดีทุกอย่าง ทั้งการเดินทาง ผู้คน บ้านเมือง อาหาร ชอบมากๆ ค่ะ ระบบบริหารจัดการทุกๆ อย่างของประเทศนี้ทำให้เราแอบคิดว่า นี่คือประเทศในฝันที่เราอยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้บ้างจัง แต่ก็อย่างที่เคยบอก ไม่ใช่ประเทศไทยไม่ดี แต่ประเทศไทยก็มีดีในแบบของเรา การเดินทางไปยังประเทศที่ไม่ได้มีเพียงแค่ความเจริญทางวัตถุอย่างเยอรมนีก็ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตา ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมายเลยทีเดียว รับรองว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเดินทางมาท่องเที่ยว เราจะเจอกันอีกอย่างแน่นอน

สำหรับค่าใช้จ่ายทริปนี้ 1xx,xxx บาทค่ะ (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ ย้ำว่าไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ) ไม่พูดเยอะ เจ็บใจ อย่างที่เคยบอกไปทุกครั้งว่าเราสามารถเลือกสายการบินและโรงแรมได้เองตาม budget ของเราค่ะ แต่เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงเทศกาล ดังนั้นค่าโรงแรมจะแพงขึ้นเกินกว่า 2 เท่าตัว และหากเลือก location ที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟหลักก็จะแพงขึ้นอีก แต่เราเลือกที่จะทำแบบนั้น เพราะเราต้องการความสะดวกเพิ่มขึ้นในการเดินทาง เราได้เรียนรู้แล้วว่าการลากกระเป๋าเป็นกิโลๆ เพื่อไปขึ้นรถไฟ ไม่ใช่สิ่งสวยงามสำหรับการเดินทาง

วางแผนการเงินอย่างไรดี
เดือนกุมภาพันธ์ จองตั๋วเครื่องบิน
เดือนพฤษภาคม จองโรงแรม
เดือนสิงหาคม แลกเงิน (ซึ่งไม่ต้องแลกเยอะค่ะ เอาแค่พอจ่ายค่าอะไรๆ ที่จำเป็นต้องจ่ายด้วยเงินสดได้ก็พอ โดยประมาณก็วันละ 50 ยูโรต่อคนก็ได้ค่ะ) เพราะเกือบทุกอย่างสามารถจ่ายได้ด้วยบัตรเครดิตค่ะ

การทะยอยจองจะทำให้เราสามารถบริหารการเงินได้ดีกว่า และไม่รู้สึกเสียดาย บางคนจ่ายเงินเป็นก้อนก็จะเสียดายและสุดท้ายก็ทำให้เราไม่ได้เดินทางท่องโลกเสียที

ก็หวังว่า Blog นี้จะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปเยอรมนี หรือแม้แต่ผู้ที่อยากเดินทางไปยุโรป แต่ยังไม่รู้จะไปไหน เยอรมนีคือตัวเลือกหนึ่งที่มีความครบถ้วนและตอบโจทย์ค่ะ

การเดินทางอาจเป็นเรื่องไร้สาระ ฟุ่มเฟือยสำหรับใครหลายๆ คนแต่การเดินทางเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตของฉัน นอกเหนือจากเรื่องเงินแล้ว ก็คงเป็นเรื่องนี้แหละที่จะทำให้ฉันรู้สึกมี passion อยากจะทำงานหาเงิน อยากจะมีร่างกายที่แข็งแรงเพื่อเดินทางไปในทุกๆ ที่บนโลกใบนี้

Akiko



ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...