บังเอิญได้มีโอกาสคุยกับน้องคนหนึ่งที่สนิทกัน ซึ่งอาจเป็นช่วงชีวิตของเขาที่ต้องเจอเรื่องวุ่นวายบ้าง จึงได้มีโอกาสคุยกันเกี่ยวกับปัญหาชีวิตต่างๆ นาๆ เสมือนเป็นนางศิราณี แตกต่างก็ตรง ที่ปัญหานั้นไม่ใช่ปัญหาเรื่องความรัก ถึงแม้ชีวิตในช่วงนี้ของฉันจะค่อนข้างราบเรียบ ไม่มีปัญหาเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอปัญหาหนักๆ ในชีวิต ขอบคุณที่เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาทำให้มีโอกาสได้ทบทวนความเป็นไปของตัวเองบ้างไม่มากก็น้อย
ในทางพระพุทธศาสนา หากเรานิยามตัวเองว่าเราคือมนุษย์ แน่นอนว่ามนุษย์กับความทุกข์และความสุขจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันไปตลอดตั้งเราเกิดจนเราตายจากโลกนี้ไป ทุกคนรู้ว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา หรือสมหวังไปเสียทุกอย่าง แม้แต่บุคคลที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดในโลก เก่งที่สุดในโลก หรือสวยหล่อที่สุดในโลก ก็ยังคงต้องมีความทุกข์อยู่เสมอ ดังบทความบทหนึ่งที่ฉันเคยอ่านเจอ ซึ่งกล่าวไว้ว่า
ในทางพระพุทธศาสนา หากเรานิยามตัวเองว่าเราคือมนุษย์ แน่นอนว่ามนุษย์กับความทุกข์และความสุขจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันไปตลอดตั้งเราเกิดจนเราตายจากโลกนี้ไป ทุกคนรู้ว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา หรือสมหวังไปเสียทุกอย่าง แม้แต่บุคคลที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดในโลก เก่งที่สุดในโลก หรือสวยหล่อที่สุดในโลก ก็ยังคงต้องมีความทุกข์อยู่เสมอ ดังบทความบทหนึ่งที่ฉันเคยอ่านเจอ ซึ่งกล่าวไว้ว่า
"ในตอนที่คุณยังไม่มีเงินมากนัก คุณก็จะมีความทุกข์ราคาหลักสิบหลักร้อย แต่เมื่อคุณมีเงินร้อยล้าน ความทุกข์ของคุณอาจจะมีราคาหลักล้าน" เพราะคนจนก็มีความทุกข์แบบคนจน ส่วนคนรวยก็มีความทุกข์แบบคนรวย แถมบางครั้งความทุกข์ของคนรวยอาจจะซับซ้อนยิ่งกว่าการเป็นห่วงเพียงแค่เรื่องปากท้องของหาเช้ากินค่ำด้วยซ้ำไป
ในยามที่เรามีความสุขดี เรามักจะหลงระเริงอยู่กับมันและยึดติดความสุข ทำให้เผลอใช้ชีวิตโดยไม่ระมัดระวัง และคาดหวังว่าความสุขนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป แต่พอถึงวันที่ความทุกข์เข้ามาทักทายบ้าง เรากลับเสียสติ เสียใจ ร้องไห้ ฟูมฟาย เครียดและจมปลักอยู่กับความทุกข์ ราวกับว่ามันจะไม่สามารถผ่านพ้นไปได้ คนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ ที่มักรับมือกับความสุขได้ดี แต่ไร้ความสามารถอย่างรุนแรงในการรับมือกับปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งถ้าเรามีสติมากพอ มีความมั่นคงในตัวเอง ก็จะไม่หวั่นไหวต่อปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบความรู้สึกได้ง่ายๆ ยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ ปัญหาในชีวิตไม่ได้มีความซับซ้อนน้อยลงเลย มันจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องฝึกฝนจิตใจตัวเองให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่ายๆ และรู้จักให้กำลังใจตัวเองเสียบ้างก็คงดีไม่น้อย
บางครั้งที่ฉันกับแม่ได้มีเวลานั่งอยู่ด้วยกัน คุยกันถึงสารทุกข์สุขดิบ ทั้งเรื่องดีและร้ายในชีวิต แม่ก็มักจะพูดเสมอว่า "ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ มีขึ้นก็ต้องมีลง มีสุขก็ต้องมีทุกข์ เราต้องยอมรับในความจริงของชีวิตข้อนี้และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ ตอนขาขึ้นอย่าคิดแค่ว่าขึ้นมายังไง แต่ให้คิดอยู่เสมอด้วยว่า ตอนลงจะลงยังไง" ซึ่งเมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่ต้องการสื่อสาร แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จึงรู้ว่า ที่แม่พูดเสมอมานั้นคือความจริง
หากลองพิจารณาดูดีๆ แล้ว จะเห็นว่าที่จริงในชีวิตของแต่ละคนมีเรื่องดีและร้ายเข้ามาในปริมาณที่พอๆ กัน แต่เพราะว่าเราส่วนใหญ่ไม่เก่งในการดิวกับเรื่องร้ายๆ เวลาเรามีความทุกข์เราจึงมองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ซึ่งมันคงดีหากเราสามารถให้ค่าของความสุขได้เท่าๆ กับความทุกข์ เพราะชีวิตเราคงง่ายขึ้นเยอะเลย ฉันเองก็ยังไม่สามารถทำได้ทั้งหมด ยังต้องฝึกฝนจิตใจของตัวเองอีกมาก แต่อย่างน้อย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันสามารถเข้าใจได้ว่าทุกๆ ความสุขและความทุกข์นั้นมีวันหมดอายุเสมอ ท้ายที่สุดแล้วมันจะจบไปไม่ว่าเรื่องนั้นจะร้ายหรือดี คำว่าเข้าใจในที่นี้คือเข้าใจจริงๆ จากความรู้สึกข้างใน เพราะก่อนหน้านี้ ฉันก็ได้อ่าน ได้ฟังเรื่องพวกนี้มานับครั้งไม่ถ้วนก็แค่รับรู้ แต่ไม่เคยเข้าใจมันอย่างแท้จริง การเข้าใจจริงๆ ทำให้ความยึดติดในชีวิตน้อยลงไปมาก ซึ่งธรรมชาติของมนุษย์มักจะรู้สึกว่า ช่วงเวลาแห่งความทุกข์มันช่างยาวนาน เพราะเราไม่ต้องการจะอยู่กับมัน ช่างแตกต่างกันกับช่วงเวลาแห่งความสุขที่มักจะสั้นกุดเสมอในความรู้สึกของเรา คนที่มีความสุขกับชีวิตจะรู้ดีว่า มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับและอยู่กับชีวิตของตัวเองให้ได้ ไม่ว่ามันจะร้ายหรือดี จะสุขหรือทุกข์ จะสมหวังหรือผิดหวัง เพราะมันก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา และทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ทั้งหมด
#ความทุกข์ก็เช่นกัน
ถ้าถามว่าความทุกข์คืออะไร คำตอบส่วนใหญ่มักเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความสุข ตามนิยามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการอยากเป็น อยากมี แล้วมันไม่ได้มาอย่างที่คาดหวังเอาไว้เป็นหลัก นี่เรามาถึงยุคที่ไม่สามารถมีความสุขหรือความทุกข์ได้ด้วยตัวเองกันแล้วนะคะคุณ
สมัยที่เรายังเป็นเด็กน้อย ทำไมเราถึงมีความสุขได้ง่ายดายเหลือเกิน อาจเป็นเพราะว่าเราใช้ชีวิตง่ายๆ และเรามีทางเลือกไม่มากนัก เราจึงต้องพยายามปรับตัวให้มีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ ที่มีในชีวิตด้วย มาถึงวันนี้ เรามีอิสระมากขึ้นในการเลือกสิ่งที่ต้องการ ทุกอย่างง่ายดายราวกับดีดนิ้ว แต่เรากลับรู้สึกสับสน ลังเลสงสัยบางทีก็ไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิต จนดูเหมือนว่าความสุขสมัยใหม่นั้นหายากและมีราคาแพงเหลือเกิน
ในวันที่ชีวิตมีทางเลือกมากมาย เป็นธรรมดาว่าความเยอะหรือความหลากหลายอาจไม่ได้เป็นเพียงข้อดีสำหรับชีวิตคน แต่ความมากมายมักมาพร้อมกับความสับสนในชีวิต ซึ่งหากเราถูกจำกัดด้วยปัจจัยน้อยอย่าง ทางเลือกที่น้อยลงบ้างอาจทำให้เราไม่ต้องลำบากใจมากนักในการจัดการกับชีวิตของตัวเอง เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เริ่ดที่สุด ให้กับตัวเองเสมอ หากสามารถจะทำได้ เพราะนั่นหมายถึงการเหนือกว่า ดีกว่า เจ๋งกว่า ซึ่งเป็นตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของแต่ละคน ฉันเองยังไม่เคยเป็นคนที่เหนือกว่า จึงไม่อาจบอกได้ว่าการอยู่ ณ จุดนั้น จะมีความสุขมากกว่าคนอื่นๆ บนโลกใบนี้จริงหรือไม่ แต่ฉันรู้แล้วว่า การพอใจกับข้อจำกัดบางอย่างในชีวิตของตัวเอง นั้นก็มีความสุขพอสมควร^^
ในชีวิตของคนทุกคน คงมีสักวันที่เราต้องเจอปัญหาที่เราคิดว่ามันหนักหนาจนเราตั้งตัวไม่อยู่ บางคนก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร บางคนผิดหวังจนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะไว้ใจใครได้อีก หลายครั้งที่เราเจอกับปัญหา เรามักจะคิดวนจนหัวจะหลุดแต่สุดท้ายก็ยังหาทางออกไม่เจอ #ฉันเองก็เป็นแบบนั้น แต่เมื่อเติบโตขึ้นผ่านปัญหามาหลายต่อหลายครั้ง ก็ได้เรียนรู้ว่า การอยู่กับตัวเองในช่วงเวลาแบบนี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันจะทำให้เรามีเวลาในการพินิจพิจารณาตัวเองให้รอบคอบ รู้จักตัวเองมากขึ้น มันคงไม่ได้ถึงขั้นบรรลุธรรม แต่อย่างน้อยเราจะเริ่มรู้ว่า ตัวเองไม่ชอบอะไรในตัวเอง รู้จักนิสัยใจคอ รู้จักชีวิตของตัวเองมากขึ้น บางคนอาจคิดว่า ตัวของเรา เราก็ต้องรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว แต่เชื่อเถอะว่ามีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่รู้จักคนอื่น และรู้เรื่องของชาวบ้านดีกว่าเรื่องของตัวเองด้วยซ้ำไป การอยู่กับตัวเองจะทำให้เราเริ่มจับจุดได้ว่าความทุกข์ในตอนนั้นเกิดจากอะไร และเริ่มมองเห็นสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เป็นอยู่ เช่น ปัญหาเรื่องการเงินนั้นไม่ใช่เพราะเงินเดือนน้อย แต่มันเป็นเพราะการใช้เงินเกินตัว ไม่รู้จักการประหยัดอดออม เป็นต้น การแก้ปัญหาที่ถูกต้องนั้นต้องหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาให้เจอแล้วแก้ไข ไม่ใช่มองที่ตัวปัญหาแล้วแก้ไข เพราะหากเราแก้ไขที่สาเหตุแล้วนั้น ปัญหาเดิมๆ จะไม่เกิดซ้ำอีก
แล้วจะทำยังไงเมื่อมีความทุกข์.....
จริงอยู่ที่ความทุกข์นั้นทำให้เราไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราอาจไม่มีทางเลือกมากนักและปัญหาอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถเลือกได้แน่ๆ นั่นคือ เราจะมีท่าทีอย่างไรต่อความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า สำหรับฉันแล้ว......
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการยอมรับว่ามีความทุกข์ ทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง แล้วนั่งลงคุยกับตัวเองเสีย ความทุกข์หรือปัญหาจะถูกแก้ไขไม่ได้หากเราไม่ยอมรับมันก่อน เมื่อยอมรับแล้วจึงทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าปัญหานี้เรามีส่วนในการสร้างมันขึ้นมาอย่างไรบ้าง คิดเรื่องของตัวเองก่อน ยังไม่ต้องคิดถึงสิ่งรอบตัวหรือปัจจัยอื่นๆ
การเอากระดาษมาเขียนเพื่อไล่เรียงที่มาที่ไป ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ดีมากๆ มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้มองเห็นทางออกในเวลานั้น แต่อย่างน้อยการเขียนจะช่วยให้เราเบาสมองและรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ค่อยๆ ไล่ไปเรื่อยๆ ว่าสาเหตุของมันคืออะไร แล้วลิสต์สาเหตุออกมาเป็นข้อๆ หากรู้แล้วว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ก็ให้เขียนวิธีการแก้ปัญหาคู่กันไปกับสาเหตุแต่ละข้อ
ทุกๆ ครั้งที่ทำแบบนี้ จะพบว่า แท้จริงแล้วตัวเองนั่นแหละที่เป็นต้นตอของความทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น อย่ามัวแต่โทษคนอื่น โทษนั่น โทษนี่ และที่ใครต่อใครพร่ำบอกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออกนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะทางออกนั้นมีทางเดียวคือตัวของเราเอง ร้อยทั้งร้อยของความทุกข์หรือปัญหามักมาจากความคิด การกระทำและนิสัยของตัวเราเอง
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการยอมรับว่ามีความทุกข์ ทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง แล้วนั่งลงคุยกับตัวเองเสีย ความทุกข์หรือปัญหาจะถูกแก้ไขไม่ได้หากเราไม่ยอมรับมันก่อน เมื่อยอมรับแล้วจึงทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าปัญหานี้เรามีส่วนในการสร้างมันขึ้นมาอย่างไรบ้าง คิดเรื่องของตัวเองก่อน ยังไม่ต้องคิดถึงสิ่งรอบตัวหรือปัจจัยอื่นๆ
การเอากระดาษมาเขียนเพื่อไล่เรียงที่มาที่ไป ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ดีมากๆ มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้มองเห็นทางออกในเวลานั้น แต่อย่างน้อยการเขียนจะช่วยให้เราเบาสมองและรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ค่อยๆ ไล่ไปเรื่อยๆ ว่าสาเหตุของมันคืออะไร แล้วลิสต์สาเหตุออกมาเป็นข้อๆ หากรู้แล้วว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ก็ให้เขียนวิธีการแก้ปัญหาคู่กันไปกับสาเหตุแต่ละข้อ
ทุกๆ ครั้งที่ทำแบบนี้ จะพบว่า แท้จริงแล้วตัวเองนั่นแหละที่เป็นต้นตอของความทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น อย่ามัวแต่โทษคนอื่น โทษนั่น โทษนี่ และที่ใครต่อใครพร่ำบอกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออกนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะทางออกนั้นมีทางเดียวคือตัวของเราเอง ร้อยทั้งร้อยของความทุกข์หรือปัญหามักมาจากความคิด การกระทำและนิสัยของตัวเราเอง
เมื่อรู้แล้วว่าต้องแก้ไขอย่างไรก็เริ่มลงมือทำมันอย่างจริงจังและกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน หากมีปัญหาหลายอย่าง ควรเลือกทำทีละอย่าง #อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ เพราะถ้าจะให้เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขพร้อมกันทั้งหมด เราอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นภาระอันหนักอึ้ง สุดท้ายก็จะท้อแท้และไม่อยากทำมันต่อ อีกอย่าง ในช่วงเวลาดังกล่าวจิตใจเราจะยังไม่เข้มแข็งพอที่จะปฎิวัติตัวเองแบบเบ็ดเสร็จ จึงต้องเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดขึ้นมาก่อน แล้วค่อยๆ แก้ไขไปทีละเรื่อง ทีละเรื่องจนครบ พร้อมกับตั้งเป้าหมายเลยว่า อยากมีชีวิตแบบไหนเมื่อปัญหาผ่านพ้นไปแล้ว พอเริ่มทำได้สำเร็จเรื่องหนึ่ง เราจะมีกำลังใจในการทำเรื่องต่อๆ ไป จนครบทั้งหมด
หากรู้สึกเหนื่อยหรือท้อในตอนที่เรากำลังต่อสู้กับปัญหานั้น การเปลี่ยนโฟกัสเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีมากๆ หลายครั้งที่ฉันต้องพบเจอกับปัญหา ฉันพบว่าตัวเองจะคิดวนไปวนมาจนไม่เป็นอันทำอะไร พาลทำให้ทุกเรื่องในชีวิตปั่นป่วนไปทั้งหมด และอะไรๆ ก็ไม่ได้ดีขึ้น มันจึงเป็นความจำเป็นที่เราต้องเปลี่ยนตำแหน่งหรือท่าทีของตัวเองไปจากสิ่งเดิมๆ ตำแหน่งเดิมๆ เช่น ทำงานบ้าน ออกกำลังกาย เป็นต้น ที่สำคัญการออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะขับรถวนไปเรื่อยๆ หรือไปนั่งที่ร้านกาแฟเพื่อมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมานั้นจะทำให้เรารู้สึกสบายใจมากกว่าการหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ที่ยิ่งจมอยู่อย่างนั้นก็ยิ่งฟุ้งซ่าน การออกไปข้างนอกบ้างจะทำให้เราได้มองเห็นโลกที่หลากหลายแง่มุมมากขึ้น ความเครียดจะน้อยลง การโฟกัสปัญหาก็จะน้อยลงด้วยเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่แก้ปัญหานะคะ แต่มันเป็นการผ่อนคลายแบบหนึ่ง ก็คงเหมือนกับเวลาที่เราเครียดมากๆ เรามักจะทำอะไรได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจจะเลือกทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ทำขนมหรืออาหาร ทำความสะอาดบ้าน จัดแจงของสะสม หรือแม้แต่การเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่แปลกใหม่ ปล่อยให้กายและใจได้อยู่กับธรรมชาติ และสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งอย่างหลังเป็นสิ่งที่ฉันมักจะทำอยู่เสมอ และมักจะได้ผลดีทุกครั้ง การได้อยู่กับตัวเองหรือการโฟกัสในสิ่งที่เราชอบจะทำให้เรามีความสงบมากขึ้น พอจิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน แล้วกลับมามองปัญหา ก็จะเห็นมุมมองที่ต่างออกไป และบางครั้งอาจพบเจอทางออกได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ ฉันเชื่อว่าทุกคนก็รู้กันอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร ในยามที่ชีวิตมีปัญหาหรือมีความทุกข์ต้องมีสติให้มาก และต้องยกใจตัวเองให้สูงและเข้มแข็งกว่าปกติ เพื่อให้สามารถฝันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ จะวิตกกังวล จะเสียใจ จะร้องไห้ สามารถทำได้หมดเลยค่ะ แต่ต้องพอเหมาะพอควร
และก็ยังย้ำว่า การสื่อสารกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะทำให้เราอยู่กับความเป็นจริงในชีวิตมากขึ้น ไม่ปรุงแต่งสิ่งต่างๆ มากจนเกินไป และหากมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นก็จะสามารถจบความรู้สึกต่างๆ ได้เร็วขึ้น มันยังไม่เพอร์เฟคหรอกเพราะเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มากล้นซึ่งกิเลส แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราต้องพยายามปรับปรุงตัวเองและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และความคิดของตัวเราเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะความคิดให้ผลทางดีและทางร้ายต่อเราได้เสมอ การดูแลความคิดให้ดีจึงมีผลต่อการแก้ปัญหาและแก้ความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยเหมือนกัน ฉันจึงพยายามคิดอยู่เสมอว่าในยามที่เจอปัญหานั้น มันคือโอกาสที่จะทำให้ฉันได้ฝึกสมองและศักยภาพของตัวเอง ซึ่งถ้าผ่านมันไปได้ชีวิตก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก ที่ต้องใช้คำว่าพยายาม เพราะฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกพอใจที่ได้เจอกับความทุกข์ เพียงแต่ปัจจุบัน ฉันสามารถยอมรับให้มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ และจะไม่รับมือกับมันด้วยวิธีการเดิมๆ เหมือนอย่างที่เคยทำมา
เพราะฉันเชื่อว่าความทุกข์จะทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น
By Akiko