มุมสวยงามของความ (ไม่) สุข

บังเอิญได้มีโอกาสคุยกับน้องคนหนึ่งที่สนิทกัน ซึ่งอาจเป็นช่วงชีวิตของเขาที่ต้องเจอเรื่องวุ่นวายบ้าง จึงได้มีโอกาสคุยกันเกี่ยวกับปัญหาชีวิตต่างๆ นาๆ เสมือนเป็นนางศิราณี แตกต่างก็ตรง ที่ปัญหานั้นไม่ใช่ปัญหาเรื่องความรัก ถึงแม้ชีวิตในช่วงนี้ของฉันจะค่อนข้างราบเรียบ ไม่มีปัญหาเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอปัญหาหนักๆ ในชีวิต ขอบคุณที่เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาทำให้มีโอกาสได้ทบทวนความเป็นไปของตัวเองบ้างไม่มากก็น้อย

ในทางพระพุทธศาสนา หากเรานิยามตัวเองว่าเราคือมนุษย์ แน่นอนว่ามนุษย์กับความทุกข์และความสุขจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันไปตลอดตั้งเราเกิดจนเราตายจากโลกนี้ไป ทุกคนรู้ว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา หรือสมหวังไปเสียทุกอย่าง แม้แต่บุคคลที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดในโลก เก่งที่สุดในโลก หรือสวยหล่อที่สุดในโลก ก็ยังคงต้องมีความทุกข์อยู่เสมอ ดังบทความบทหนึ่งที่ฉันเคยอ่านเจอ ซึ่งกล่าวไว้ว่า

"ในตอนที่คุณยังไม่มีเงินมากนัก คุณก็จะมีความทุกข์ราคาหลักสิบหลักร้อย แต่เมื่อคุณมีเงินร้อยล้าน ความทุกข์ของคุณอาจจะมีราคาหลักล้าน" เพราะคนจนก็มีความทุกข์แบบคนจน ส่วนคนรวยก็มีความทุกข์แบบคนรวย แถมบางครั้งความทุกข์ของคนรวยอาจจะซับซ้อนยิ่งกว่าการเป็นห่วงเพียงแค่เรื่องปากท้องของหาเช้ากินค่ำด้วยซ้ำไป
ในยามที่เรามีความสุขดี เรามักจะหลงระเริงอยู่กับมันและยึดติดความสุข ทำให้เผลอใช้ชีวิตโดยไม่ระมัดระวัง และคาดหวังว่าความสุขนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป แต่พอถึงวันที่ความทุกข์เข้ามาทักทายบ้าง เรากลับเสียสติ เสียใจ ร้องไห้ ฟูมฟาย เครียดและจมปลักอยู่กับความทุกข์ ราวกับว่ามันจะไม่สามารถผ่านพ้นไปได้ คนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ ที่มักรับมือกับความสุขได้ดี แต่ไร้ความสามารถอย่างรุนแรงในการรับมือกับปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งถ้าเรามีสติมากพอ มีความมั่นคงในตัวเอง ก็จะไม่หวั่นไหวต่อปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบความรู้สึกได้ง่ายๆ ยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ ปัญหาในชีวิตไม่ได้มีความซับซ้อนน้อยลงเลย มันจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องฝึกฝนจิตใจตัวเองให้มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่ายๆ และรู้จักให้กำลังใจตัวเองเสียบ้างก็คงดีไม่น้อย

บางครั้งที่ฉันกับแม่ได้มีเวลานั่งอยู่ด้วยกัน คุยกันถึงสารทุกข์สุขดิบ ทั้งเรื่องดีและร้ายในชีวิต แม่ก็มักจะพูดเสมอว่า "ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ มีขึ้นก็ต้องมีลง มีสุขก็ต้องมีทุกข์ เราต้องยอมรับในความจริงของชีวิตข้อนี้และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ ตอนขาขึ้นอย่าคิดแค่ว่าขึ้นมายังไง แต่ให้คิดอยู่เสมอด้วยว่า ตอนลงจะลงยังไง" ซึ่งเมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่ต้องการสื่อสาร แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จึงรู้ว่า ที่แม่พูดเสมอมานั้นคือความจริง

หากลองพิจารณาดูดีๆ แล้ว จะเห็นว่าที่จริงในชีวิตของแต่ละคนมีเรื่องดีและร้ายเข้ามาในปริมาณที่พอๆ กัน แต่เพราะว่าเราส่วนใหญ่ไม่เก่งในการดิวกับเรื่องร้ายๆ เวลาเรามีความทุกข์เราจึงมองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ซึ่งมันคงดีหากเราสามารถให้ค่าของความสุขได้เท่าๆ กับความทุกข์ เพราะชีวิตเราคงง่ายขึ้นเยอะเลย ฉันเองก็ยังไม่สามารถทำได้ทั้งหมด ยังต้องฝึกฝนจิตใจของตัวเองอีกมาก แต่อย่างน้อย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันสามารถเข้าใจได้ว่าทุกๆ ความสุขและความทุกข์นั้นมีวันหมดอายุเสมอ ท้ายที่สุดแล้วมันจะจบไปไม่ว่าเรื่องนั้นจะร้ายหรือดี คำว่าเข้าใจในที่นี้คือเข้าใจจริงๆ จากความรู้สึกข้างใน เพราะก่อนหน้านี้ ฉันก็ได้อ่าน ได้ฟังเรื่องพวกนี้มานับครั้งไม่ถ้วนก็แค่รับรู้ แต่ไม่เคยเข้าใจมันอย่างแท้จริง การเข้าใจจริงๆ ทำให้ความยึดติดในชีวิตน้อยลงไปมาก ซึ่งธรรมชาติของมนุษย์มักจะรู้สึกว่า ช่วงเวลาแห่งความทุกข์มันช่างยาวนาน เพราะเราไม่ต้องการจะอยู่กับมัน ช่างแตกต่างกันกับช่วงเวลาแห่งความสุขที่มักจะสั้นกุดเสมอในความรู้สึกของเรา คนที่มีความสุขกับชีวิตจะรู้ดีว่า มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับและอยู่กับชีวิตของตัวเองให้ได้ ไม่ว่ามันจะร้ายหรือดี จะสุขหรือทุกข์ จะสมหวังหรือผิดหวัง เพราะมันก็คือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา และทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์ทั้งหมด 
ถ้าถามคนทั่วไปว่า ความสุขคืออะไร เรามักใช้เวลาคิดนานและรู้สึกว่ามันตอบยาก เพราะมันคือสิ่งที่เรารู้สึก บางครั้งไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ คำตอบที่มักได้ยินบ่อยคือความสุขที่มาจากการเสพ เช่น การช็อปปิ้ง การมีนู่นมีนี่ การไปเที่ยว หรือแม้แต่การได้รับชัยชนะและการอยู่เหนือคนอื่นๆ น้อยครั้งนักที่จะได้ยินนิยามความสุขที่เกิดจากความรู้สึกข้างในที่รู้สึกสุขของคนๆ นั้นจริงๆ
#ความทุกข์ก็เช่นกัน 
ถ้าถามว่าความทุกข์คืออะไร คำตอบส่วนใหญ่มักเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความสุข ตามนิยามที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการอยากเป็น อยากมี แล้วมันไม่ได้มาอย่างที่คาดหวังเอาไว้เป็นหลัก นี่เรามาถึงยุคที่ไม่สามารถมีความสุขหรือความทุกข์ได้ด้วยตัวเองกันแล้วนะคะคุณ 

สมัยที่เรายังเป็นเด็กน้อย ทำไมเราถึงมีความสุขได้ง่ายดายเหลือเกิน อาจเป็นเพราะว่าเราใช้ชีวิตง่ายๆ และเรามีทางเลือกไม่มากนัก เราจึงต้องพยายามปรับตัวให้มีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ ที่มีในชีวิตด้วย มาถึงวันนี้ เรามีอิสระมากขึ้นในการเลือกสิ่งที่ต้องการ ทุกอย่างง่ายดายราวกับดีดนิ้ว แต่เรากลับรู้สึกสับสน ลังเลสงสัยบางทีก็ไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิต จนดูเหมือนว่าความสุขสมัยใหม่นั้นหายากและมีราคาแพงเหลือเกิน
ในวันที่ชีวิตมีทางเลือกมากมาย เป็นธรรมดาว่าความเยอะหรือความหลากหลายอาจไม่ได้เป็นเพียงข้อดีสำหรับชีวิตคน แต่ความมากมายมักมาพร้อมกับความสับสนในชีวิต ซึ่งหากเราถูกจำกัดด้วยปัจจัยน้อยอย่าง ทางเลือกที่น้อยลงบ้างอาจทำให้เราไม่ต้องลำบากใจมากนักในการจัดการกับชีวิตของตัวเอง เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เริ่ดที่สุด ให้กับตัวเองเสมอ หากสามารถจะทำได้ เพราะนั่นหมายถึงการเหนือกว่า ดีกว่า เจ๋งกว่า ซึ่งเป็นตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของแต่ละคน ฉันเองยังไม่เคยเป็นคนที่เหนือกว่า จึงไม่อาจบอกได้ว่าการอยู่ ณ จุดนั้น จะมีความสุขมากกว่าคนอื่นๆ บนโลกใบนี้จริงหรือไม่ แต่ฉันรู้แล้วว่า การพอใจกับข้อจำกัดบางอย่างในชีวิตของตัวเอง นั้นก็มีความสุขพอสมควร^^

ในชีวิตของคนทุกคน คงมีสักวันที่เราต้องเจอปัญหาที่เราคิดว่ามันหนักหนาจนเราตั้งตัวไม่อยู่ บางคนก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร บางคนผิดหวังจนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะไว้ใจใครได้อีก หลายครั้งที่เราเจอกับปัญหา เรามักจะคิดวนจนหัวจะหลุดแต่สุดท้ายก็ยังหาทางออกไม่เจอ #ฉันเองก็เป็นแบบนั้น แต่เมื่อเติบโตขึ้นผ่านปัญหามาหลายต่อหลายครั้ง ก็ได้เรียนรู้ว่า การอยู่กับตัวเองในช่วงเวลาแบบนี้เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันจะทำให้เรามีเวลาในการพินิจพิจารณาตัวเองให้รอบคอบ รู้จักตัวเองมากขึ้น มันคงไม่ได้ถึงขั้นบรรลุธรรม แต่อย่างน้อยเราจะเริ่มรู้ว่า ตัวเองไม่ชอบอะไรในตัวเอง รู้จักนิสัยใจคอ รู้จักชีวิตของตัวเองมากขึ้น บางคนอาจคิดว่า ตัวของเรา เราก็ต้องรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว แต่เชื่อเถอะว่ามีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่รู้จักคนอื่น และรู้เรื่องของชาวบ้านดีกว่าเรื่องของตัวเองด้วยซ้ำไป การอยู่กับตัวเองจะทำให้เราเริ่มจับจุดได้ว่าความทุกข์ในตอนนั้นเกิดจากอะไร และเริ่มมองเห็นสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เป็นอยู่ เช่น ปัญหาเรื่องการเงินนั้นไม่ใช่เพราะเงินเดือนน้อย แต่มันเป็นเพราะการใช้เงินเกินตัว ไม่รู้จักการประหยัดอดออม เป็นต้น การแก้ปัญหาที่ถูกต้องนั้นต้องหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาให้เจอแล้วแก้ไข ไม่ใช่มองที่ตัวปัญหาแล้วแก้ไข เพราะหากเราแก้ไขที่สาเหตุแล้วนั้น ปัญหาเดิมๆ จะไม่เกิดซ้ำอีก

แล้วจะทำยังไงเมื่อมีความทุกข์..... 
จริงอยู่ที่ความทุกข์นั้นทำให้เราไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เราอาจไม่มีทางเลือกมากนักและปัญหาอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ในทันที แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถเลือกได้แน่ๆ นั่นคือ เราจะมีท่าทีอย่างไรต่อความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้า สำหรับฉันแล้ว...... 
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการยอมรับว่ามีความทุกข์ ทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง แล้วนั่งลงคุยกับตัวเองเสีย ความทุกข์หรือปัญหาจะถูกแก้ไขไม่ได้หากเราไม่ยอมรับมันก่อน เมื่อยอมรับแล้วจึงทบทวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าปัญหานี้เรามีส่วนในการสร้างมันขึ้นมาอย่างไรบ้าง คิดเรื่องของตัวเองก่อน ยังไม่ต้องคิดถึงสิ่งรอบตัวหรือปัจจัยอื่นๆ 

การเอากระดาษมาเขียนเพื่อไล่เรียงที่มาที่ไป ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ดีมากๆ มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้มองเห็นทางออกในเวลานั้น แต่อย่างน้อยการเขียนจะช่วยให้เราเบาสมองและรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ค่อยๆ ไล่ไปเรื่อยๆ ว่าสาเหตุของมันคืออะไร แล้วลิสต์สาเหตุออกมาเป็นข้อๆ หากรู้แล้วว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ก็ให้เขียนวิธีการแก้ปัญหาคู่กันไปกับสาเหตุแต่ละข้อ

ทุกๆ ครั้งที่ทำแบบนี้ จะพบว่า แท้จริงแล้วตัวเองนั่นแหละที่เป็นต้นตอของความทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น อย่ามัวแต่โทษคนอื่น โทษนั่น โทษนี่ และที่ใครต่อใครพร่ำบอกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออกนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะทางออกนั้นมีทางเดียวคือตัวของเราเอง ร้อยทั้งร้อยของความทุกข์หรือปัญหามักมาจากความคิด การกระทำและนิสัยของตัวเราเอง 

เมื่อรู้แล้วว่าต้องแก้ไขอย่างไรก็เริ่มลงมือทำมันอย่างจริงจังและกำหนดระยะเวลาให้ชัดเจน หากมีปัญหาหลายอย่าง ควรเลือกทำทีละอย่าง #อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ เพราะ
ถ้าจะให้เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขพร้อมกันทั้งหมด เราอาจจะรู้สึกว่ามันเป็นภาระอันหนักอึ้ง สุดท้ายก็จะท้อแท้และไม่อยากทำมันต่อ อีกอย่าง ในช่วงเวลาดังกล่าวจิตใจเราจะยังไม่เข้มแข็งพอที่จะปฎิวัติตัวเองแบบเบ็ดเสร็จ จึงต้องเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดขึ้นมาก่อน แล้วค่อยๆ แก้ไขไปทีละเรื่อง ทีละเรื่องจนครบ พร้อมกับตั้งเป้าหมายเลยว่า อยากมีชีวิตแบบไหนเมื่อปัญหาผ่านพ้นไปแล้ว พอเริ่มทำได้สำเร็จเรื่องหนึ่ง เราจะมีกำลังใจในการทำเรื่องต่อๆ ไป จนครบทั้งหมด แน่นอนว่าหากต้องการแก้ไขปัญหาในระยะยาวนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาที่นำมาซึ่งความทุกข์ว่ามันเกิดจากอะไร และพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองเสีย
หากรู้สึกเหนื่อยหรือท้อในตอนที่เรากำลังต่อสู้กับปัญหานั้น การเปลี่ยนโฟกัสเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีมากๆ หลายครั้งที่ฉันต้องพบเจอกับปัญหา ฉันพบว่าตัวเองจะคิดวนไปวนมาจนไม่เป็นอันทำอะไร พาลทำให้ทุกเรื่องในชีวิตปั่นป่วนไปทั้งหมด และอะไรๆ ก็ไม่ได้ดีขึ้น มันจึงเป็นความจำเป็นที่เราต้องเปลี่ยนตำแหน่งหรือท่าทีของตัวเองไปจากสิ่งเดิมๆ ตำแหน่งเดิมๆ เช่น ทำงานบ้าน ออกกำลังกาย เป็นต้น ที่สำคัญการออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะขับรถวนไปเรื่อยๆ หรือไปนั่งที่ร้านกาแฟเพื่อมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมานั้นจะทำให้เรารู้สึกสบายใจมากกว่าการหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ที่ยิ่งจมอยู่อย่างนั้นก็ยิ่งฟุ้งซ่าน การออกไปข้างนอกบ้างจะทำให้เราได้มองเห็นโลกที่หลากหลายแง่มุมมากขึ้น ความเครียดจะน้อยลง การโฟกัสปัญหาก็จะน้อยลงด้วยเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่แก้ปัญหานะคะ แต่มันเป็นการผ่อนคลายแบบหนึ่ง ก็คงเหมือนกับเวลาที่เราเครียดมากๆ เรามักจะทำอะไรได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจจะเลือกทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ทำขนมหรืออาหาร ทำความสะอาดบ้าน จัดแจงของสะสม หรือแม้แต่การเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่แปลกใหม่ ปล่อยให้กายและใจได้อยู่กับธรรมชาติ และสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งอย่างหลังเป็นสิ่งที่ฉันมักจะทำอยู่เสมอ และมักจะได้ผลดีทุกครั้ง การได้อยู่กับตัวเองหรือการโฟกัสในสิ่งที่เราชอบจะทำให้เรามีความสงบมากขึ้น พอจิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน แล้วกลับมามองปัญหา ก็จะเห็นมุมมองที่ต่างออกไป และบางครั้งอาจพบเจอทางออกได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ ฉันเชื่อว่าทุกคนก็รู้กันอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร ในยามที่ชีวิตมีปัญหาหรือมีความทุกข์ต้องมีสติให้มาก และต้องยกใจตัวเองให้สูงและเข้มแข็งกว่าปกติ เพื่อให้สามารถฝันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ จะวิตกกังวล จะเสียใจ จะร้องไห้ สามารถทำได้หมดเลยค่ะ แต่ต้องพอเหมาะพอควร
และก็ยังย้ำว่า การสื่อสารกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะทำให้เราอยู่กับความเป็นจริงในชีวิตมากขึ้น ไม่ปรุงแต่งสิ่งต่างๆ มากจนเกินไป และหากมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นก็จะสามารถจบความรู้สึกต่างๆ ได้เร็วขึ้น มันยังไม่เพอร์เฟคหรอกเพราะเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มากล้นซึ่งกิเลส แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราต้องพยายามปรับปรุงตัวเองและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และความคิดของตัวเราเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะความคิดให้ผลทางดีและทางร้ายต่อเราได้เสมอ การดูแลความคิดให้ดีจึงมีผลต่อการแก้ปัญหาและแก้ความทุกข์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยเหมือนกัน ฉันจึงพยายามคิดอยู่เสมอว่าในยามที่เจอปัญหานั้น มันคือโอกาสที่จะทำให้ฉันได้ฝึกสมองและศักยภาพของตัวเอง ซึ่งถ้าผ่านมันไปได้ชีวิตก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก ที่ต้องใช้คำว่าพยายาม เพราะฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกพอใจที่ได้เจอกับความทุกข์ เพียงแต่ปัจจุบัน ฉันสามารถยอมรับให้มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ และจะไม่รับมือกับมันด้วยวิธีการเดิมๆ เหมือนอย่างที่เคยทำมา

เพราะฉันเชื่อว่าความทุกข์จะทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น
By Akiko


ไม่สุขมากจนเกินไป

เป็นความจริงหรือที่คนเราจะมีความสุขได้ด้วยการทำสิ่งที่รักเท่านั้น?????
"การเลือกทำงานที่เรารักจะทำให้เรามีความสุข"

เมื่อฉันได้อ่านข้อความนี้จากหนังสือเล่มหนึ่ง ทำให้ฉันมีโอกาสได้คิดและไตร่ตรองเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองว่า ตอนนี้ฉันกำลังทำสิ่งที่ฉันรักหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ แล้วฉันกำลังรักสิ่งที่ตัวเองทำอยู่หรือเปล่า และมีสิ่งใดหรือไม่ที่ฉันรู้สึกหลงใหลจนสามารถทำมันได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้สึกเบื่อหรือเมื่อได้ทำแล้วก็หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของมันจนแทบจะลืมวันเวลาไปเลย

ในหนังสือ How to หลายเล่มที่เขียนถึงแนวทางในการใช้ชีวิต ปัจจัยแห่งความสุข หรือกฎเหล็กเพื่อการไปสู่ความสมบูรณ์พร้อมของชีวิต อะไรแนวๆ นี้ มักจะเขียนเหมือนๆ กันอยู่เรื่องหนึ่งคือ ผู้เขียนมักจะบอกให้ผู้อ่าน "ทำในสิ่งที่ตัวเองรักแล้วชีวิตจะมีความสุข" ซึ่งเรื่องนี้เป็นกระแสสังคมที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกล่าวว่า ยุคนี้เป็นยุคทองของ Start up มนุษย์อายุน้อยร้อยล้าน หรือฝันต้องไกลแล้วไปให้ถึง กระแสเหล่านี้ทำให้หลายๆ คนลุกขึ้นมาปัดฝุ่นชีวิตตัวเอง เริ่มมองหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิต และกลับมาคิดกลับมาถามตัวเองว่า ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันใช่สิ่งที่ต้องการจริงๆ แล้วหรือไม่

ฉันไม่ได้ปฏิเสธกระแสดังกล่าว แต่ก็ไม่ค่อยอินกับการมีความสุขหรือการประสบความสำเร็จของเขาเหล่านั้นสักเท่าไหร่ ฉันไม่ได้สงสัยในความสำเร็จของเขาเหล่านั้นเลย และรู้สึกเคารพอย่างยิ่งที่พวกเขากล้าตัดสินใจที่จะเลือกเดินไปตามเส้นทางที่ตัวเองรักและต้องการจริงๆ จนทำให้พวกเขามีวันนี้ แต่ความรู้สึกส่วนลึกนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่า มีกี่คนบนโลกนี้ที่รู้ว่าตัวเองรักอะไร ชอบอะไรอย่างแท้จริง และหากรู้แล้วว่าตัวเองชอบอะไร จะมีสักกี่คนที่ได้ทำหรือได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองรักและต้องการจริงๆ

ถ้าไม่นับรวมการเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการสร้างกระแสความสุขและความสำเร็จมากกว่าการแชร์ความเป็นจริงของชีวิต ฉันกลับได้พบเจอคนกลุ่มที่ว่าข้างต้นไม่ถึง 1% ของคนที่ฉันรู้จักนั่นแปลว่าคนรอบตัวฉันอีก 99% ที่เหลือจะไม่สามารถมีความสุขในชีวิตได้เลย เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก หรือไม่ได้เป็นในสิ่งที่เขาต้องการอย่างนั้นหรือ
ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นในสิ่งที่อยากจะเป็น ไม่ได้ทำในสิ่งที่รักมาตั้งแต่ต้น เพราะถ้าถามถึงความฝันในวัยเด็กว่าโตขึ้นฉันอยากเป็นอะไร ฉันคงจะตอบกับทุกคนอย่างไม่อายว่าฉันอยากเป็นหมอ จนเมื่อโตขึ้นมา ถึงได้รู้ว่า การจะเป็นหมอได้นั้น ต้องเรียนวิชาฟิสิกส์เก่งด้วยนะ แล้วก็ต้องเก่งเลข เก่งชีววิทยา แล้วก็ต้องไม่กลัวเลือดด้วย ฉันจึงค่อยๆ เรียนรู้ว่า "อ๋อ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นหมอ" แต่ถ้าฉันไม่ได้เป็นหมอ แปลว่าชีวิตของฉันจะไม่มีความสุขได้เลย อย่างนั้นหรือ

ในชีวิตของทุกๆ คน ต้องได้พบเจอกับสถานการณ์ที่ขัดต่อความรู้สึกภายในจิตใจของตัวเอง นั่นคือ การต้องฝืนใจทำสิ่งที่เราไม่ต้องการ
ฉันเองก็ถูกพ่อบังคับให้เรียนสายวิทย์คณิตตอนเรียนมัธยมปลาย ทั้งๆ ที่ฉันไม่ชอบวิชาเหล่านี้เลย
ในขณะที่ฉันเลือกเรียนการตลาดตามความต้องการของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังต้องเจอกับวิชาที่ตัวเองไม่อยากเรียน นั่นคือ แคลคูลัส สแตท และบัญชี
ฉันอยากทำงานธนาคารมาก จึงเข้าไปสู่วงการนั้นด้วยความที่คิดว่ามันคือเป้าหมายของชีวิตและจะอยู่กับอาชีพนั้นไปจนเกษียณ แต่เมื่อได้ทำงานนี้แบบจริงๆ จังๆ แล้ว ก็พบว่ามีหลายอย่างที่ตัวเองไม่ต้องการจะทำและฝืนความรู้สึกมากๆ ทั้งการฝึกงานหน้าเคาเตอร์ที่ทุกคนต้องเจอ และการขายประกันชีวิตนับกรมธรรม์ไม่ถ้วนให้กับลูกค้า หรือการหาเงินฝากเข้าสาขาแบบไม่มีวันจบสิ้น ไหนจะบัตรเครดิตอีกหลากหลายประเภท แพลตินัมก็มา พริวิเลจก็มี เฮ้อ เหนื่อยใจ อำลาวงการนี้เสียดีกว่า
หลังจากนั้น.....
ฉันได้เข้ามาทำงานวงการไอทีและโทรคมนาคมจากการชักชวนของพี่คนหนึ่งที่รู้จักกันด้วยความรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับมันเท่าไหร่ เพราะยังคงรู้สึกผิดหวังกับบางสิ่งที่ตัวเองเลือกมากับมือ อย่างการเรียนการตลาด หรือการทำงานธนาคาร แต่สุดท้ายแล้วก็ยังต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ชอบ
.......แต่เชื่อหรือไม่ว่าฉันสามารถอยู่กับมันมาได้จนถึงวันนี้ นับคร่าวๆ ก็เกือบสิบปีเห็นจะได้.......

ในช่วงหลังจากเรียนจบใหม่ๆ และกำลังเรียนต่อปริญญาโท ฉันเปลี่ยนงานค่อนข้างบ่อย ก็คงเหมือนๆ กับวัยรุ่นทั่วไปในสมัยนี้ที่พออะไรไม่ถูกใจนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่เคยแม้แต่จะอดทนหรือพยายามปรับตัวเข้าหามันเลย ไม่ว่าจะไม่ชอบเจ้านายนิสัยแบบนี้ ไม่ชอบเพื่อนร่วมงานที่ขี้นินทา ขี้อิจฉา ไม่ชอบการทำงานซ้ำซาก หรือแม้แต่การนโมเอาเองว่าการทำงานแบบนี้ช่างทำลายจิตวิญญาณของฉันเสียเหลือเกิน ความคิดเหล่านี้ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนงานซ้ำแล้วซ้ำอีก จนดูเหมือนคนเหลาะแหละ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และหาจุดยืนให้ตัวเองไม่ได้ ชีวิตมีแต่ความไม่มั่นคง ไม่ใช่แค่เรื่องการงานเท่านั้น แต่มันยังลามไปถึงความรู้สึกมั่นคงภายในจิตใจของตัวเองด้วย เพราะที่ผ่านมา ฉันไม่เคยฝันฝ่าสิ่งที่ไม่ชอบเลยสักครั้ง ได้แต่หลีกหนีปัญหาไปวันๆ เท่านั้นเอง แล้วก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่า "นี่ไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตฉันต้องการ และฉันจะไม่อดทนกับมันอีกต่อไป" เป็นแบบนี้อยู่หลายปีเลยทีเดียว เหมือนกับว่าฉันกำลังตามหาตัวตนของตัวเอง แต่ยิ่งหาเท่าไหร่ก็ยิ่งไกลออกไป ไม่เจอเสียที

ในที่สุดเมื่อชีวิตได้ผ่านความหลากหลายของสังคม อาชีพ และผู้คน ฉันจึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้ว ต่อให้เป็นสิ่งที่เราคิดว่าชอบแล้ว รักแล้ว ก็ยังต้องมีปัญหาหรืออุปสรรคให้พบพานอยู่เสมอ อาจกล่าวได้หรือไม่ว่า ความยากลำบากคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตงดงาม และความทุกข์ที่พบเจอก็คือแง่หนึ่งของความสุขเช่นกัน

สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ตลอดเวลาที่ผ่านมาคือ เมื่อเติบโตขึ้นเราจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเราเหมาะกับอะไร เป็นอะไรได้ และอะไรที่เราไม่สามารถทำได้หรือไม่สามารถเป็นไป เพราะมันเกินกำลังและความสามารถของตน ความฝันและจินตนาการนั้นสำคัญ ความพยายามมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียรยิ่งสำคัญกว่า แต่สำหรับฉันแล้ว สิ่งเหล่านี้ใช้ได้แค่กับบางสิ่งบางอย่าง บางสถานที่ บางคน เท่านั้น การใช้ชีวิตไม่ใช่ทฤษฎี ดังนั้นจึงมีข้อยกเว้นเสมอ ฉันว่าสิ่งที่ฉันกำลังพูดถึง คนส่วนใหญ่เข้าใจมันได้ดี

สิ่งที่ฉันได้ทำในแต่ละช่วงชีวิตนั้นมีระดับความสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองแตกต่างกันออกไป การทำงานอย่างต่อเนื่องหลายๆ ปี แบบไม่ได้พักเกเรเลยตั้งแต่เรียนจบมา ย่อมทำให้ความเครียดและความเหนื่อยล้าสะสมอยู่ข้างใน จนฉันเริ่มรู้สึกหมดไฟและเบื่อหน่ายกับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องการทำงานและชีวิตส่วนตัว เพราะเมื่ออายุเราเพิ่มขึ้น ปัญหาต่างๆ ในชีวิตก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงอาจมีบ้างที่เราตั้งคำถามกับตัวเองทำนองว่า ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร เราทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ไปเพื่ออะไร เราเหนื่อยเกินไปหรือไม่ ถึงตอนนั้น คำตอบ อารมณ์และเหตุผลต่างๆ มากมายจะผุดขึ้นมากลางกระหม่อม ตอนนั้นฉันรู้สึกว่าฉันเหนื่อยกับภาระที่แบกอยู่ รู้สึกเบื่อกับสิ่งที่กำลังทำ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำ ที่ถ้าไม่ออกไปจากตรงนี้แล้วอาจจะตาย ฉันทนอยู่กับมันด้วยความไม่เข้าใจ และปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย แต่ความเบื่อหน่ายก็ไม่เคยน้อยลง มันกลับยิ่งดึงความรู้สึกนึกคิดให้ไหลลงต่ำไปเรื่อยๆ ช่วงเวลานั้น ฉันใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไร้แรงบันดาลใจ ฉันทำงานเพียงเพราะต้องทำและเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพตัวเอง และไม่ได้มองว่าสิ่งที่ทำอยู่มีคุณค่าต่อตัวเองหรือต่อคนอื่นหรือไม่ อย่างไร ฉันไม่ได้มองว่าฉันมีเป้าหมายอะไรในชีวิต แล้วงานที่ทำอยู่นั้นจะช่วยให้ฉันไปถึงเป้าหมายของชีวิตได้อย่างไร ฉันมองไม่เห็นแม้แต่ความสัมพันธ์ของผู้คนรอบตัวด้วยซ้ำไป

สุดท้ายจึงต้องหาทางออกด้วยการบ่น การโทษคนอื่นและสิ่งรอบตัว ฉันคิดว่าที่ฉันไม่มีความสุขเพราะว่าฉันไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักหรือต้องการจะทำจริงๆ ฉันโทษทุกคนยกเว้นตัวเอง ทั้งระบบบริษัท กระบวนการ เพื่อนร่วมงาน ยันเจ้านาย ทุกคนเป็นจำเลยของความเบื่อหน่าย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้กระทบบรรยากาศการทำงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงชีวิตส่วนตัวด้วย ฉันใช้เวลาในการทำงานไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ของเวลาชีวิตในแต่ละวันมา 10 กว่าปี แน่นอนว่า หากเวลามากมายขนาดนี้สร้างความรู้สึกที่ไม่ดีกับตัวเองแล้ว ก็ยากที่จะมีความสุขในชีวิตโดยภาพรวมได้ เพราะความเบื่อหน่ายจะติดตัวเราไปตั้งแต่ออกจากออฟฟิส จนกลับไปที่บ้าน จนหลับไป จนตื่นขึ้นมาอีกวันเพื่อไปทำงานเดิมๆ และจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป
จนฉันได้มีโอกาสกลับไปพักแบบยาวๆ ที่บ้านที่ต่างจังหวัดในวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ปีหนึ่ง ช่วงเวลานั้น ฉันได้มีโอกาสพักผ่อนอย่างเต็มที่ ด้วยความเป็นต่างจังหวัด ทุกอย่างจึงช้าลง ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องดิ้นรนตลอดเวลาเหมือนวันที่ฉันมีชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ฉันกลับพบว่าตัวเองสงบมากขึ้น เบื่อหน่ายน้อยลงทั้งๆ ที่มีสิ่งยั่วยวนใจหรือความบันเทิงน้อยมากที่บ้านของฉัน การตื่นมาตอนเช้าแล้วนั่งเฉยๆ มองต้นไม้สีเขียวๆ ที่แม่ปลูกไว้ นั่งเล่นกับหมาน้อย ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ บางวันก็นั่งอ่านหนังสือที่ชอบ บางวันก็เล่นโยคะ บางวันก็นั่งสมาธิ ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงสิบห้าถึงยี่สิบนาที ทำให้ฉันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ช่วงเวลานั้นฉันได้เรียนรู้การมีชีวิตอยู่ด้วยความซับซ้อนน้อยที่สุด และการงดโซเชียลเน็ตเวิร์คเสียบ้างนั้นเป็นเรื่องที่ดีในชีวิต

การกินง่ายๆ อยู่ง่ายๆ แต่สบายใจ ทำให้รู้สึกว่าจริงๆ แล้วชีวิตไม่ได้มีอะไรเยอะแยะ แต่คนที่ทำให้มันมีปัญหาจนน่าเบื่อได้ขนาดนั้นก็คือตัวเราเอง การพักครั้งนั้น ทำให้ฉันมีเวลาว่างมากพอที่จะนั่งฟังแม่เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างตั้งใจและคิดตามไปพร้อมๆ กับการถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตผ่านเรื่องราวที่น่าสนใจหลายๆ เรื่อง ทั้งจากสิ่งที่แม่เคยพบเจอด้วยตัวเอง และเรื่องราวที่เคยพบเจอจากคนรอบตัว หลายๆ เรื่องราวเรียงร้อยกันให้ฉันได้มีโอกาสฉุกคิดเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง แม่บอกว่าแม่ไม่เคยเจอคนที่ตายเพราะความลำบากกาย แต่กลับพบเห็นคนมากมายที่ตายเพราะความลำบากใจ

เพื่อนของแม่หลายๆ คนที่มีความสุขในบั้นปลายชีวิตและเป็นคนแก่ที่สุขภาพจิตดีนั้น หลายคนไม่ได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น บางคนอยากเป็นพยาบาล แต่ก็ต้องมาเป็นครูทั้งๆ ที่ไม่ชอบสอนใครหรือแม้แต่ไม่ชอบเด็ก บางคนอยากรับราชการแต่ก็ต้องมาเป็นแม่บ้าน เพราะถูกคลุมถุงชน แถมต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก บางคนอยากเรียนหนังสือ แต่ก็ต้องออกมาค้าขายตั้งแต่เด็กๆ เพื่อหารายได้เข้าบ้านให้เพียงพอกับการดูแลปากท้องของสมาชิกในครอบครัว ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเรียนหนังสือเพียงเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ แต่คนเหล่านี้ก็มีความสุขดีเสมอ

"ถ้าไม่มีสิ่งที่รัก ก็รักสิ่งที่มีไปก่อน ถ้าไม่ได้ทำสิ่งที่รัก ก็จงรักสิ่งที่ทำไปก่อน"

ฉันจึงคิดได้ว่า จริงๆ แล้วสาระสำคัญของการมีความสุขหรือความทุกข์แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ที่......
การอยากทำหรือไม่อยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
การอยากเป็นหรือไม่อยากเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง
การอยากมีหรือไม่อยากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่กลับอยู่ที่การเป็น การทำ ในสิ่งที่ต้องเป็นหรือต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถทำได้ต่างหาก ฉันเชื่อว่า ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างตั้งใจ ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะด้านไหนของชีวิต นั่นแหละ คือความรักที่เรามอบให้กับชีวิตตัวเอง ความมุ่งมั่นและตั้งใจที่มากพอจะดึงโอกาสดีๆ หรือคนดีๆ เข้ามาในชีวิตเพื่อให้เราได้ทำในสิ่งที่รักจริงๆ ในสักวัน หรือวันหนึ่งที่เกิดอะไรขึ้นมา จะไม่มีสักนาทีที่เราต้องโทษตัวเองให้เสียความรู้สึกและเสียเวลา

ฉันย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องราวของตัวเองว่าตลอดเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมา.....
มีกี่ครั้งที่ฉันได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำจริงๆ โดยไม่ต้องฝืนใจ
มีกี่หนที่ฉันได้เป็นในสิ่งที่อยากจะเป็นจริงๆ ไม่ใช่เพราะความจำเป็น
แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ เลยคิดว่าป่วยการจะนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และไม่มีวันจะกลับไปแก้ไขอะไรได้ คงจะดีเสียกว่าหากฉันจะเอาเวลาที่มีมาคิดว่า จะอยู่อย่างไรกับชีวิตในตอนนั้นให้มีความสุขมากกว่าเดิม หรือไม่เบื่อหน่ายจนเกินความจำเป็นของชีวิตอย่างที่ผ่านมา

ฉันไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองเป็น เบื่อความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หรือการหงุดหงิดตลอดเวลาของตัวเอง เบื่อการบ่นและโทษคนอื่นตลอดเวลา เบื่อนิสัยตัวเอง ถ้าเอากระดาษมาเขียนสิ่งที่ไม่ชอบ เชื่อได้ว่าในตอนนั้นฉันคงทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบได้ครบเกือบทุกข้อเลยทีเดียว จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ควรเปลี่ยนตัวเองเสียที แล้วจะเปลี่ยนอย่างไร เปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนบ้านหรือเปลี่ยนการแต่งตัว เปลี่ยนแฟน เปลี่ยนเพื่อน หรือเปลี่ยนอะไรดี ไม่ใช่เลย สิ่งที่ฉันต้องเปลี่ยนอย่างเร็วที่สุดคือ เปลี่ยนความคิดและทัศนคติของตัวเอง

เมื่อก่อนฉันก็ไม่เคยเชื่อว่าความคิดและทัศนคติเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้จะได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่บ่อยๆ ก็ตาม ฉันเคยดูถูกคนคิดบวกว่าเป็นพวกโลกสวย พวกไม่ยอมรับความจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า คนโลกสวยต่างหากที่อยู่รอดและมีความสุข ส่วนคนแบกโลกทั้งหลายมักมีจิตใจที่อ่อนแอ มีแต่ความวิตกกังวลทั้งเรื่องของอดีตและอนาคต ไม่ค่อยได้อยู่กับปัจจุบันเท่าไหร่นัก จริงอยู่ที่คนเราสามารถเอาชนะปัญหาและอุปสรรคได้ด้วยการต่อสู้ฟันฝ่า แต่เหนือการต่อสู้ทั้งปวงคือการสู้กับความคิดและจิตใจของตัวเอง ถ้าเรามีจิตใจเข้มแข็งพอ เราจะดิวกับตัวเองได้ เราจะบริหารจัดการความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าปัจจัยภายนอกจะเป็นอย่างไรก็แทบจะไม่มีผลอะไรกับชีวิตของเราเลย ฉันลองทำมันอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ฉันได้กลับมาจากบ้านนอกครั้งนั้น ฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทั้งหมด พยายามรักษาระดับความคิด ความเครียด ความวิตกกังวลให้อยู่ในระดับที่พอดิบพอดี จึงเพิ่งรู้ว่า การควบคุมตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย และหากควบคุมตัวเองยังยากขนาดนี้ จะนับประสาอะไรกับการควบคุมคนอื่นหรือสิ่งอื่นๆ รอบตัว

ในช่วงเวลาเดียวกัน ฉันได้รับคำแนะนำจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นไอดอลทางด้านการใช้ชีวิตให้มีความสุขก็คือ การเขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่สำคัญต่อชีวิตของตัวเองลงบนกระดาษ โดยแบ่งเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากจะทำ อยากจะเป็น หรือสิ่งที่เรารัก ส่วนอีกด้านหนึ่งเขียนสิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ หรือสิ่งที่ต้องทำ ต้องเป็น ซึ่งการเขียนในวันนั้นบ่งบอกอะไรๆ ในชีวิตของฉันได้มากมาย และบางสิ่งเป็นเรื่องที่ฉันไม่เคยนึกถึงมาก่อนในชีวิตด้วยซ้ำ

สิ่งที่อยากทำหรืออยากเป็น :
ฉันอยากเป็นคนที่มีความสุข
ฉันอยากเป็นเหมือนต้นไม้ที่แข็งแรงและเป็นที่พักพิงของคนอื่นได้
ฉันอยากมีสุขภาพแข็งแรง ไม่อยากเป็นโรค ไม่อยากอ้วนมากจนเกินไป
ฉันอยากเดินทางท่องเที่ยวทุกๆ ปีทั้งในและต่างประเทศ
ฉันอยากเก็บเงินใช้ไว้ตอนแก่แบบสบายๆ
ฉันอยากดูแลตัวเองได้ทั้งทางด้านชีวิตและการเงินไม่ว่าชีวิตจะดีหรือไม่ก็ตาม
ฉันอยากทำพิพิธภัณฑ์น้อยๆ ในบ้านของตัวเอง ที่มีการแสดง passion ในด้านต่างๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง มีมุมอาหารสุขภาพสำหรับคนที่มาเยือน และให้คนที่มาเยี่ยมชมบ้านของฉันจ่ายค่าเข้าด้วยการบริจาคหนังสืออย่างน้อยคนละ 1 เล่ม
ฉันอยากดูแลครอบครัวน้อยๆ ทั้งแม่และคนที่ฉันรักให้ดีที่สุด

บลา บลา บลา

สิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำ ต้องเป็น :
ฉันต้องทำงานที่มีความเครียด มีความยาก มีความรับผิดชอบที่เยอะแยะ แถมถูกด่าบ่อยๆ ด้วย
ฉันต้องประหยัดเงินเพื่อผ่อนบ้านหลังนี้ให้สำเร็จจนกว่าจะเป็นไทจากธนาคาร
ฉันต้องอดออมและหักห้ามใจไม่ซื้อของที่ชอบบางอย่างเพื่อออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ
ฉันต้องอดทนนั่งสมาธิทั้งๆ ที่ไม่ชอบอยู่นิ่งๆ
ฉันต้องอดทนออกกำลังกายทั้งๆ ที่มันโครตจะเหนื่อยและไม่สบายเหมือนการนอน
ฉันต้องควบคุมอาหาร ลดการกินเค้กและขนมที่ชอบกินมากๆ ต้องอดทนไม่กินหอยทอด
ไข่เจียว ปาท่องโก๋ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันชอบกินมาตั้งแต่เด็ก

บลา บลา บลา

ฉันพบว่า หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เชื่อมโยงกันอย่างไม่น่าเชื่อ และบางครั้งสิ่งที่ฉันต้องทำถึงแม้จะไม่อยากทำ ก็มีส่วนช่วยเอื้อให้สิ่งที่ฉันต้องการจริงๆ ในชีวิตสัมฤทธิ์ผลขึ้นมาได้ เช่น ฉันต้องทำงานเครียดๆ เพื่อให้ฉันสามารถมีเงินผ่อนบ้านได้ ซึ่งบ้านจะย้ายฝั่งจากหนี้สินมาเป็นทรัพย์สินในวันที่ฉันแก่ตัวไป และยังมีเงินเก็บเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในตอนแก่ ไม่เป็นภาระใครต่อใคร สามารถดูแลครอบครัวได้ เป็นต้น
ฉันไม่เชื่ออีกต่อไปแล้วว่า.....
การใช้ชีวิตแบบที่เราต้องการจริงๆ นั้น จะทำให้เรามีความสุขมากกว่าความทุกข์ 
เพราะถึงหน้างานจริงแล้ว อย่างไรเสียคุณก็หนีอุปสรรค ความไม่ชอบใจ และความทุกข์ไปไม่พ้น 
เช่นกัน หากเราต้องทำหรือต้องเป็นในสิ่งที่เราไม่ชอบก็ใช่ว่าชีวิตของเราจะมีความสุขหรือประสบความสำเร็จไม่ได้ 

การทำบางสิ่งบางอย่างที่ขัดกับนิสัยส่วนตัว หรือการลดละเลิกบางสิ่งที่รู้สึกฝืนใจ การไม่ทำในสิ่งที่อยากจะทำ หรือแม้แต่การต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำนั้น หากมองมาที่การใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคน จะพบว่า เราเจอเรื่องพวกนี้เป็นประจำอยู่แล้วในชีวิต ตั้งแต่เรื่องเบสิคมากๆ อย่างเรื่องการดูแลสุขภาพของตัวเอง การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การออม ซึ่งน้อยคนนักที่จะชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้วแบบที่ว่า เกิดมาก็ชอบออกกำลังกายเลย หรือเกิดมาก็ชอบเก็บเงินเลย ไม่มีความอยากซื้ออะไรใดๆ ในโลกนี้ทั้งสิ้น เหล่านี้คือความขัดใจทั้งนั้น เพียงแต่เราอาจจะไม่เคยสังเกตเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นความรู้สึกประเภทเดียวกันกับความรู้สึกเป็นทุกข์ที่ต้องทำงานที่ไม่ชอบอย่างไรอย่างนั้นเลย ทุกๆ เรื่องที่ขัดกับความต้องการของชีวิตก็เหมือนบทเรียนหนึ่งที่สอนให้เรารู้จักอดทนเสียบ้างกับสิ่งที่ไม่ปราถนา หรือรู้จักความล้มเหลวเสียบ้างที่ไม่ได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ

เคยเห็นรถสีดำที่ติดสติ๊กเกอร์ว่า "รถคันนี้สีขาว" บนท้องถนนหรือไม่ จริงๆ รถก็ยังเป็นสีดำใช่หรือไม่ แต่ทำไมเจ้าของรถจึงดูสบายอกสบายใจดีเมื่อได้ติดสติ๊กเกอร์นี้ไว้ที่รถของตัวเอง ชีวิตก็คงเหมือนกัน หากเราติดสติ๊กเกอร์ไว้ว่า ชีวิตเราดี ชีวิตเรามีความสุข ทุกอย่างก็จะดี แล้วเราก็จะมีความสุข เพราะเราเชื่อแบบนั้น เรามั่นใจแบบนั้น มันก็เป็นไปตามนั้นน่ะแหละ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ถึงฉันจะต้องทำงาน หรือทำสิ่งที่ฉันไม่ได้ชอบบ้าง ฉันก็ยังมีความสุขดี เพราะฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดี บางครั้งมันเหมือนกับการหลอกตัวเอง แต่การหลอกตัวเองไปวันๆ บวกกับการลงมือทำไปด้วยนั้นย่อมให้ผลดีกว่าการท้อแท้ไปวันๆ บวกกับการไม่พยายามทำอะไรเลย

ทุกอย่างเริ่มต้นที่ความคิด ถ้าเราไม่มีสิ่งที่เรารัก ก็รักและพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีเถอะ ถ้าต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบ ก็มองหาข้อดีที่ต้องมีอย่างน้อย 1 ข้อให้เจอ แล้วให้ข้อดีข้อนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เราก้าวต่อไป การท้อแท้ไม่ได้ช่วยอะไร การให้กำลังใจตัวเองต่างหากที่จะทำให้ชีวิตผ่านไปได้ด้วยดีและมีความสุข พอมีความสุขแล้วอะไรก็ดีทั้งนั้นค่ะ

เพราะชีวิตไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับสิ่งที่ชอบ
และเช่นกัน
การมีทุกอย่างไม่ได้แปลว่ามีความสุข
แต่การพอใจทุกอย่างที่มีต่างหากที่จะทำให้มีความสุข
By Akiko

ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...