บางปัญหาไม่ได้มีไว้แก้ แต่มีไว้เพื่อให้เราทำความเข้าใจและเรียนรู้ที่จะรับมือกับมัน
เมื่ออายุมากขึ้นจึงรู้มากขึ้น......
ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย จนได้เริ่มทำงานหลังจากเรียนจบได้ไม่กี่เดือน ถ้ามองย้อนกลับไปจนถึงตอนนี้ก็ไม่อยากเชื่อตัวเองว่าจะอยู่รอดมาได้และมาไกลมาก ทั้งอายุ ริ้วรอย สีผม ทัศนคติ และอารมณ์
เราได้เรียนรู้ว่า ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเจอคนมากขึ้น ได้ทำงานหลายที่ กับคนหลากหลายรูปแบบ ทำให้เราค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ในสังคมที่ดีบ้างแย่บ้าง ซึ่งบางที ไอ้ที่ว่าดีหรือแย่ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะตัวเราน่ะแหละ ปกติก็เป็นคนชิวๆ แต่เรื่องการทำงานน่ะ ค่อนข้างซีเรียส ทั้งเรื่องความถูกต้องและรวดเร็ว ตรงเวลา รักษาคำพูด พยายามก่อน คิดเองก่อน ไม่ใช่สักแต่ถามๆๆๆ แบบเอาง่ายเข้าว่า จะทำอะไรก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังกายและสมองจะทำได้ ทำแบบไม่ต้องให้ใครมานั่งด่าไล่หลัง ไม่ต้องตามงานหลายรอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือแม้แต่ทำให้คนอื่นเสียเวลาไปกับความทุเรศทุรังของตัวเราเอง พอต้องเจอเพื่อนร่วมงานแบบที่ว่า รับปากอะไรก็ไม่เคยทำได้ ไร้ความน่าเชื่อถือ หรือแม้แต่พูดอย่างทำอย่าง ก็แน่นอนว่ามีส่วนสร้างความเครียดให้กับเราค่อนข้างมาก แต่การแบกทุกอย่างเอาไว้ มันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาระยะยาว อาจจะเหนื่อยเปล่าและตายไปในที่สุด
การเอาปัญหาของทุกคนมาไว้ที่กูหมด เพราะกูอยากมีส่วนร่วมกับทุกเรื่อง ต้องต่อสู้ ฟันฝ่า ด่ากัน จนบางครั้งก็เกลียดขี้หน้ากันไปเลยก็มี เพื่อให้งานออกมาได้ เพื่อให้งานเสร็จ แต่มาถึงตอนนี้ เราก็ได้เรียนรู้ว่า จริงอยู่ที่ความเครียดคือความรับผิดชอบ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะให้ผลด้านดีในทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์ ความเครียดจะให้ผลดีเมื่ออยู่ในสังคมที่มีคนที่เหมาะสม และมีความรับผิดชอบเหมือนๆ กัน ความเครียดจะทำให้เราเรียนรู้และเติบโต แต่ในทางกลับกัน มันให้ผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจของเราค่อนข้างมาก หากเราอยู่ในสังคมที่ไม่คู่ควร เพราะเราไม่มีทางเปลี่ยนสไตล์ของคนได้ ถ้าคนๆ นั้นไม่ได้คิดว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น เคยอ่านบทความหนึ่งกล่าวว่า "สไตล์การทำงาน คือ สันดานของคน" เพราะฉะนั้นทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทำเหตุให้มาก แล้วปล่อยวางที่ผล น่าจะตอบโจทย์มากที่สุด
อีกสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้คือ เราไม่ควรสนใจหรือแม้แต่มีคำถามว่า ทำไมคนนี้ก็ตำแหน่งเดียวกับเรา ทำไมเขาดูว่างกว่าเรา หรือคนนี้ไม่เห็นทำอะไรเลย แต่ก็อยู่ได้ คนนี้ทำงานช้ามาก สร้างผลกระทบวงกว้างให้กับบริษัทฯ แต่ก็อยู่ได้สบายๆ ชิวๆ การที่เราคิดแบบนี้ยิ่งบั่นทอน ทำให้ไม่อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น จ้องแต่จะเป็นเหมือนคนที่เรากำลังด่าเขาอยู่ในใจ สำคัญกว่านั้นคือ คนที่เราคิดกับเขาแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปเผือกเรื่องของเขา มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ในทางกลับกัน อาจมีคนคิดแบบนี้กับเราเหมือนกันแหละ มันแล้วแต่มุมมองของคน ทุกคนคิดว่าตัวเองทำดีแล้ว เราไม่ค่อยรู้ตัวเองหรอก #เราก็เช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจมีหลายคนคิดว่าทำไมคนนี้ว่างจังเลย เห็นเที่ยวตลอด ทำงานบ้างหรือเปล่า ที่บ้านมันทำอะไรวะ เอาเงินมาจากไหน ชิป่ะ มันแล้วแต่ทัศนคติของคนน่ะ ใส่ใจไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา หรือถ้าอยากจะเป็น wonder woman หรือวีรบุรุษที่เปลี่ยนโลก กล้ามั้ยล่ะที่จะเดินไปบอกกับเขาหรือตรงๆ ว่าคุณรู้สึกยังไงกับการกระทำของเค้า หรือการทำงานของเค้ามันแย่ขนาดไหน ถ้ากล้าล่ะก็ ทำเลยค่ะ แต่ถ้าไม่ มัวแต่เก็บไว้ข้างในแล้วเอามาพูดลับหลัง บ่นๆๆๆ ไปวันๆ เลิกทำเถอะค่ะ เพราะเราเคยทำมาแล้ว และมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา
นอกจากนี้ในบางครั้ง เราอาจจะคิด (ไปเอง) ว่าเราทำงานเยอะกว่าคนอื่น อะไรๆ ก็เรา ทำไมต้องเป็นเราด้วยหนา บลา บลา บลา จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะเขาสั่งเราแล้วเราทำได้ดี มีรับผิดชอบไงคะ เขาถึงอยากให้เราทำ มองมุมกลับ ถ้าเราได้เป็นหัวหน้า เราคงอยากสั่งงานลูกน้องที่ทำงานได้เรื่องมากกว่าจะสั่งคนที่สั่งไปแล้วเหมือนต้องไปทำเองเสียทุกอย่าง บางทีก็ต้องทำความเข้าใจในจุดนี้เหมือนกัน อาจถึงขั้นต้องภูมิใจนะคะ แต่อีกมุมหนึ่งก็อาจต้องมองกลับมาที่ตัวเองด้วยว่า ที่เหนื่อยผิดเพื่อนร่วมงานรอบตัว เพราะเขายัดงานให้เราทำอยู่คนเดียว หรือเพราะเราอยากเป็น wonder woman ไปเผือกทำงานของคนอื่น อยากจะมีความสำคัญ ช่วยเหลือทุกคน รักทุกคนไปหมดเลย แล้วก็มาบ่นๆๆ ราวกับว่า หากบริษัทฯ นี้ไม่มีเราสักคน จะต้องหายนะแน่ๆ มันไม่มีทางหรอกค่ะ ต่อให้เก่งแค่ไหน เราก็เป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งของบริษัทเท่านั้น อย่าสำคัญตัวผิด เอาเวลาไปทำงานของตัวเองน่าจะดีกว่าการหลงตัวเองค่ะ
ในสังคมปัจจุบันทุกวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงสังคมออฟฟิสหรอกค่ะ เอาสังคมทั่วๆ ไปรอบตัวเรานี่แหละ การอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเบสิคมากสำหรับสังคมทั่วไป ที่เราต้องทำใจยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ การนินทาว่าร้ายไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ที่ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหน แต่ไม่มีทางที่เราจะทำได้ถูกใจทุกคน ในที่หนึ่งที่มีคนได้ประโยชน์จากการกระทำของเรา ก็จะมีคนอีกกลุ่มที่เสียผลประโยชน์จากสิ่งนั้นควบคู่กันไปเสมอ การที่มีคนนินทาว่าร้ายเรา ขอบคุณเค้าเถอะค่ะ แสดงว่าเราต้องมีอะไรสักอย่างที่เขาอิจฉาหรือเราต้องดีกว่าเค้า แต่......เราก็ต้องใช้วิจารณญาณขั้นสูงแยกแยะระหว่างคนอื่นอิจฉากับคนอื่นรังเกียจเราให้ออกนะคะ เพราะการนินทาอาจเกิดขึ้นจากสองสาเหตุ เราอาจจะไม่รู้ตัวเอง เพราะทุกคนก็คิดว่าตัวเองทำดีแล้ว แต่อย่างน้อยหัวหน้างานหรือเพื่อนที่เราสนิทแบบนั่งกินข้าวด้วยกันทุกวันอาจจะสามารถบอกเราได้อย่างเปิดใจ แต่ถ้าถึงขั้นไม่มีใครชวนกินข้าว อันนี้ให้เข้าใจไว้เลยค่ะว่าคนที่นินทาเราคงไม่ได้อิจฉาเราอยู่เป็นแน่ เราหนีเรื่องพวกนี้ไม่พ้นหรอก ไม่ว่าเราจะย้ายงานไปกี่ที่ก็ตาม ศัตรูหัวใจของเราจะตามไปทุกทีจนกว่าเราจะดิวกับมันรู้เรื่อง แล้วช่างแม่ง กลับมาโฟกัสที่งานของตัวเอง เมื่อนั้นเราจะรอด ใจเราจะดี แล้วสุดท้ายชีวิตเราจะก็จะดีด้วยเช่นกัน
เมื่ออายุมากขึ้นจึงรู้มากขึ้น......
จริงๆ แล้วก็ยังไม่ได้แก่อะไรมากมายขนาดนั้น แต่พอมาถึงวันนี้ได้ ก็อยากแก่เร็วกว่านี้ขึ้นไปอีก อยากเห็นชีวิตตัวเองตอนนั้น คิดไว้ว่าชีวิตต้องดีมากขึ้นตามรอยตีนกาที่มากขึ้น ยิ่งแก่ก็ยิ่งมีวิทยายุทธ์แก่กล้าที่จะรับมือได้ทุกสถานการณ์
ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย จนได้เริ่มทำงานหลังจากเรียนจบได้ไม่กี่เดือน ถ้ามองย้อนกลับไปจนถึงตอนนี้ก็ไม่อยากเชื่อตัวเองว่าจะอยู่รอดมาได้และมาไกลมาก ทั้งอายุ ริ้วรอย สีผม ทัศนคติ และอารมณ์
เราได้เรียนรู้ว่า ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเจอคนมากขึ้น ได้ทำงานหลายที่ กับคนหลากหลายรูปแบบ ทำให้เราค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ในสังคมที่ดีบ้างแย่บ้าง ซึ่งบางที ไอ้ที่ว่าดีหรือแย่ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะตัวเราน่ะแหละ ปกติก็เป็นคนชิวๆ แต่เรื่องการทำงานน่ะ ค่อนข้างซีเรียส ทั้งเรื่องความถูกต้องและรวดเร็ว ตรงเวลา รักษาคำพูด พยายามก่อน คิดเองก่อน ไม่ใช่สักแต่ถามๆๆๆ แบบเอาง่ายเข้าว่า จะทำอะไรก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังกายและสมองจะทำได้ ทำแบบไม่ต้องให้ใครมานั่งด่าไล่หลัง ไม่ต้องตามงานหลายรอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือแม้แต่ทำให้คนอื่นเสียเวลาไปกับความทุเรศทุรังของตัวเราเอง พอต้องเจอเพื่อนร่วมงานแบบที่ว่า รับปากอะไรก็ไม่เคยทำได้ ไร้ความน่าเชื่อถือ หรือแม้แต่พูดอย่างทำอย่าง ก็แน่นอนว่ามีส่วนสร้างความเครียดให้กับเราค่อนข้างมาก แต่การแบกทุกอย่างเอาไว้ มันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาระยะยาว อาจจะเหนื่อยเปล่าและตายไปในที่สุด
การเอาปัญหาของทุกคนมาไว้ที่กูหมด เพราะกูอยากมีส่วนร่วมกับทุกเรื่อง ต้องต่อสู้ ฟันฝ่า ด่ากัน จนบางครั้งก็เกลียดขี้หน้ากันไปเลยก็มี เพื่อให้งานออกมาได้ เพื่อให้งานเสร็จ แต่มาถึงตอนนี้ เราก็ได้เรียนรู้ว่า จริงอยู่ที่ความเครียดคือความรับผิดชอบ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะให้ผลด้านดีในทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์ ความเครียดจะให้ผลดีเมื่ออยู่ในสังคมที่มีคนที่เหมาะสม และมีความรับผิดชอบเหมือนๆ กัน ความเครียดจะทำให้เราเรียนรู้และเติบโต แต่ในทางกลับกัน มันให้ผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจของเราค่อนข้างมาก หากเราอยู่ในสังคมที่ไม่คู่ควร เพราะเราไม่มีทางเปลี่ยนสไตล์ของคนได้ ถ้าคนๆ นั้นไม่ได้คิดว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น เคยอ่านบทความหนึ่งกล่าวว่า "สไตล์การทำงาน คือ สันดานของคน" เพราะฉะนั้นทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทำเหตุให้มาก แล้วปล่อยวางที่ผล น่าจะตอบโจทย์มากที่สุด
อีกสิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้คือ เราไม่ควรสนใจหรือแม้แต่มีคำถามว่า ทำไมคนนี้ก็ตำแหน่งเดียวกับเรา ทำไมเขาดูว่างกว่าเรา หรือคนนี้ไม่เห็นทำอะไรเลย แต่ก็อยู่ได้ คนนี้ทำงานช้ามาก สร้างผลกระทบวงกว้างให้กับบริษัทฯ แต่ก็อยู่ได้สบายๆ ชิวๆ การที่เราคิดแบบนี้ยิ่งบั่นทอน ทำให้ไม่อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น จ้องแต่จะเป็นเหมือนคนที่เรากำลังด่าเขาอยู่ในใจ สำคัญกว่านั้นคือ คนที่เราคิดกับเขาแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปเผือกเรื่องของเขา มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ในทางกลับกัน อาจมีคนคิดแบบนี้กับเราเหมือนกันแหละ มันแล้วแต่มุมมองของคน ทุกคนคิดว่าตัวเองทำดีแล้ว เราไม่ค่อยรู้ตัวเองหรอก #เราก็เช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจมีหลายคนคิดว่าทำไมคนนี้ว่างจังเลย เห็นเที่ยวตลอด ทำงานบ้างหรือเปล่า ที่บ้านมันทำอะไรวะ เอาเงินมาจากไหน ชิป่ะ มันแล้วแต่ทัศนคติของคนน่ะ ใส่ใจไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา หรือถ้าอยากจะเป็น wonder woman หรือวีรบุรุษที่เปลี่ยนโลก กล้ามั้ยล่ะที่จะเดินไปบอกกับเขาหรือตรงๆ ว่าคุณรู้สึกยังไงกับการกระทำของเค้า หรือการทำงานของเค้ามันแย่ขนาดไหน ถ้ากล้าล่ะก็ ทำเลยค่ะ แต่ถ้าไม่ มัวแต่เก็บไว้ข้างในแล้วเอามาพูดลับหลัง บ่นๆๆๆ ไปวันๆ เลิกทำเถอะค่ะ เพราะเราเคยทำมาแล้ว และมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา
นอกจากนี้ในบางครั้ง เราอาจจะคิด (ไปเอง) ว่าเราทำงานเยอะกว่าคนอื่น อะไรๆ ก็เรา ทำไมต้องเป็นเราด้วยหนา บลา บลา บลา จริงๆ แล้วส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะเขาสั่งเราแล้วเราทำได้ดี มีรับผิดชอบไงคะ เขาถึงอยากให้เราทำ มองมุมกลับ ถ้าเราได้เป็นหัวหน้า เราคงอยากสั่งงานลูกน้องที่ทำงานได้เรื่องมากกว่าจะสั่งคนที่สั่งไปแล้วเหมือนต้องไปทำเองเสียทุกอย่าง บางทีก็ต้องทำความเข้าใจในจุดนี้เหมือนกัน อาจถึงขั้นต้องภูมิใจนะคะ แต่อีกมุมหนึ่งก็อาจต้องมองกลับมาที่ตัวเองด้วยว่า ที่เหนื่อยผิดเพื่อนร่วมงานรอบตัว เพราะเขายัดงานให้เราทำอยู่คนเดียว หรือเพราะเราอยากเป็น wonder woman ไปเผือกทำงานของคนอื่น อยากจะมีความสำคัญ ช่วยเหลือทุกคน รักทุกคนไปหมดเลย แล้วก็มาบ่นๆๆ ราวกับว่า หากบริษัทฯ นี้ไม่มีเราสักคน จะต้องหายนะแน่ๆ มันไม่มีทางหรอกค่ะ ต่อให้เก่งแค่ไหน เราก็เป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งของบริษัทเท่านั้น อย่าสำคัญตัวผิด เอาเวลาไปทำงานของตัวเองน่าจะดีกว่าการหลงตัวเองค่ะ
ในสังคมปัจจุบันทุกวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงสังคมออฟฟิสหรอกค่ะ เอาสังคมทั่วๆ ไปรอบตัวเรานี่แหละ การอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเบสิคมากสำหรับสังคมทั่วไป ที่เราต้องทำใจยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ การนินทาว่าร้ายไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ที่ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหน แต่ไม่มีทางที่เราจะทำได้ถูกใจทุกคน ในที่หนึ่งที่มีคนได้ประโยชน์จากการกระทำของเรา ก็จะมีคนอีกกลุ่มที่เสียผลประโยชน์จากสิ่งนั้นควบคู่กันไปเสมอ การที่มีคนนินทาว่าร้ายเรา ขอบคุณเค้าเถอะค่ะ แสดงว่าเราต้องมีอะไรสักอย่างที่เขาอิจฉาหรือเราต้องดีกว่าเค้า แต่......เราก็ต้องใช้วิจารณญาณขั้นสูงแยกแยะระหว่างคนอื่นอิจฉากับคนอื่นรังเกียจเราให้ออกนะคะ เพราะการนินทาอาจเกิดขึ้นจากสองสาเหตุ เราอาจจะไม่รู้ตัวเอง เพราะทุกคนก็คิดว่าตัวเองทำดีแล้ว แต่อย่างน้อยหัวหน้างานหรือเพื่อนที่เราสนิทแบบนั่งกินข้าวด้วยกันทุกวันอาจจะสามารถบอกเราได้อย่างเปิดใจ แต่ถ้าถึงขั้นไม่มีใครชวนกินข้าว อันนี้ให้เข้าใจไว้เลยค่ะว่าคนที่นินทาเราคงไม่ได้อิจฉาเราอยู่เป็นแน่ เราหนีเรื่องพวกนี้ไม่พ้นหรอก ไม่ว่าเราจะย้ายงานไปกี่ที่ก็ตาม ศัตรูหัวใจของเราจะตามไปทุกทีจนกว่าเราจะดิวกับมันรู้เรื่อง แล้วช่างแม่ง กลับมาโฟกัสที่งานของตัวเอง เมื่อนั้นเราจะรอด ใจเราจะดี แล้วสุดท้ายชีวิตเราจะก็จะดีด้วยเช่นกัน
เราเคยเป็นคนหนึ่งที่เคยเป็นแบบที่ว่ามาทั้งหมด สุดท้ายก็เหมือนทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความสุขและไม่อยากมาทำงาน เพราะเบื่อจะเจอกับปัญหาเดิมๆ เบื่อจนอยากจะลาออก แต่พอถามตัวเอง ว่ากี่ครั้งแล้วที่หนีปัญหาแบบนี้ จากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่ง จากอีกที่หนึ่งไปสู่อีกที่ สุดท้ายก็หนีไม่พ้น
ในเมื่อเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แล้วทำไมไม่เปลี่ยนที่ตัวเอง กลับมาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถและมันสมองของเราจะทำได้ ตั้งใจทำให้ดีเพื่อพัฒนาสมองและศักยภาพของตัวเราเอง ทำเพื่อภาพรวมของบริษัทฯ ที่เค้าต้องหาเงินมาจ่ายเงินเดือนให้เรา จ่ายค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าแอร์ ให้เรานั่งทำงานสบายๆ ค่าวันลาพักร้อน ที่ให้เราได้ไปเที่ยว ไปเปิดโลก โดยที่ยังได้เงินเดือนอยู่ ถึงวันหนึ่งที่เราไม่ได้ทำงานที่เดิม การทำงานหนักกว่าคนอื่น จะทำให้เรามีทางเลือกที่มากกว่า มีโอกาสมากกว่า มี connection ที่ดีกว่าในอนาคต ส่วนคนบ้าๆ บอๆ ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ก็อย่าเอามาใส่ใจเลยค่ะ เราเองก็มีข้อเสียที่คนอื่นต้องทนเหมือนกัน ถือว่าเจ๊าๆ กันไป เอาเวลาที่ต้องอารมณ์เสียกับคนแบบนี้ ไปรีบทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ แล้วก็ใช้เวลาที่มีจากการตื่นเช้าก่อนคนอื่นและเวลาที่เหลือหลังเลิกงาน ไปทำสิ่งที่เราชอบ และทำให้เรามีความสุข เป็นการเติมพลังชีวิตจะดีกว่า
เอาเป็นว่า ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี อยากมีชีวิตยังไง อยากได้อะไร อยากทำอะไร ก็มุ่งมั่นตั้งใจทำให้ได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ เรื่องของคนอื่นก็เอากองไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ต้องไปยุ่ง เพราะชีวิตที่มีความสุข คือ ชีวิตที่ไม่เผือกเรื่องของคนอื่น
พอลองได้มีเวลาว่างๆ นั่งนิ่งๆ คิดถึงเรื่องราวของตัวเอง คุยกับตัวเอง ทำความเข้าใจตัวเอง ว่าจริงๆ แล้ว เป้าหมายชีวิตของเราคืออะไร ต้องการอะไร อยากเป็นแบบไหน อยากใช้ชีวิตแบบไหน ก็จะรู้ว่า คน สัตว์ สิ่งของที่เลอะๆ เทอะๆ สร้างความปั่นป่วนให้ชีวิตนั้นไร้ค่ามาก เทียบไม่ได้เลยกับภาระและสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบในชีวิตของตัวเอง พอแก่ขึ้นก็พอจะรู้ว่า ต้องมีทัศนคติ มีความคิดยังไง ถึงจะอยู่รอด
ใช้ชีวิตเพื่อเป้าหมายของตัวเองเท่านั้น ในส่วนของคน สัตว์ สิ่งของที่เลอะๆ เทอะๆ บ้าๆ บอๆ ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ทิ้งไปเถอะ เสียเวลาทำมาหากิน......
เพราะเวลาของเรามีค่ามากกว่าจะที่ใช้มันไปกับคน สัตว์ สิ่งของที่เราไม่ชอบ
Akiko