มนุษย์เงินเดือนอยากไปที่ไหนก็ได้ : ตกหลุมรักที่ตุรกี by Akiko

#Akikogoaround ตกหลุมรักที่ตุรกีค่ะคุณ 
ถ้าพูดถึงตุรกีแล้ว ประเทศนี้ถูกจัดเป็น Dream Destination อันดับต้นๆ ของเราเลย เป็นความใฝ่ฝันอยากจะเดินทางไปที่นี่ตั้งแต่เริ่มเดินทางและท่องเที่ยวเป็น แต่ก็จำใจต้องกองมันไว้แบบนั้นก่อน เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมานั้น สภาวะทางการเมืองที่นั่นค่อนข้างรุนแรง และไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การท่องเที่ยวตุรกีมีราคาถูกลงด้วยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ นี่อาจเป็นหนึ่งในข้อดีที่เราจะไปตุรกีกันในช่วงนี้ค่ะ

แต่สำหรับเรา ด้วยความเปลี่ยวใจและถูกเทจากทริปบาหลี ซึ่งมีการวางแผนไว้เป็นอย่างดีแล้ว มโนไว้หนักมากว่าอยากจะไปขี่จักรยานที่อูบุดแบบจูเลียร์ โรเบิร์ต ไรงี้ แต่แล้วความฝันก็พังทลายเมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปบาหลีได้ เซ็งนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร เน๊อะ พยายามดึงสติและปลอบใจตัวเองสุดๆ ไปเรย

แล้ววันอาทิตย์สุดแสนขี้เกียจก็เป็นตัวจุดประกายทริปตุรกีขึ้นมา ด้วยความไม่มีอะไรทำก็เลยเข้าไปเยี่ยมเพื่อนชื่อพันทิป ก็เห็นคนรีวิวเยอะเลยว่าเพิ่งกลับมาจากตุรกี ตอนนั้นคือเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่มีเทศกาลดอกทิวลิป ทำให้เราได้รู้ว่า จริงๆ แล้วดอกทิวลิปนั้นมีต้นกำเนิดมาจากตุรกี หาใช่เนเธอแลนด์ไม่ ก็อ่านไปเรื่อยๆ จนเจอตอนที่คนมารีวิวเรื่องขึ้นบอลลูนที่คัปปาโดเกีย หืมมมมม นี่ความคือสิ่งที่ฝันไว้เมื่อหลายปีก่อน ถ้าอารมณ์จะพีคเบอร์นี้แล้ว ก็ต้องไปแล้วแหละมั้ง รอไม่ไหวละ

ที่มาของความฝัน : http://www.ztepp.com/best-balloon-trip/

จริงๆ แล้วเราพอจะมีข้อมูลของการท่องเที่ยวประเทศนี้อยู่บ้าง เพราะเพื่อนหลายๆ คนก็เคยไปเที่ยวที่นี่มาแล้วตั้งแต่หลายปีก่อนเกิดเหตุความไม่สงบในประเทศนี้ ทุกคนก็บอกว่าสวยมาก สวยแบบที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสวยขนาดนี้ รวมถึงไอดอลทางจิตวิญญาณของเราก็ไปที่นี่มาแล้วเมื่อสองสามปีก่อน จำได้ตอนนั้นยังเปิดดูรูปใน IG ของนางด้วยความปลื้มปริ่ม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็เริ่มหาข่าวเพื่อดูว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ยังระเบิดถี่อยู่มั้ย แล้วเค้าไปเที่ยวที่ไหนกัน ที่ท่องเที่ยวปลอดภัยดีรึป่าว เพื่อนของเราที่ชื่อพันทิป ก็จะคอยบอกเรา ให้ข้อมูลแก่เรา ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็จะปรึกษาเพื่อนคนนี้ก่อนเสมอ เดี๋ยวไอเดียมันจะมาเอง 

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา มีหลายคนไปเที่ยวและมาเขียนรีวิวในพันทิป เรียกได้ว่าเกลื่อนกลาดเลยทีเดียว แต่ละกระทู้ก็พรรณนาถึงความสวยงามของประเทศนี้ และดูเหมือนว่ามันเป็นที่ชื่นชอบทั้งของนักท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และนักท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่อีกด้วย อืม มันก็ปลอดภัยดีนี่หน่า ใจก็คิดว่า "ชาตินี้กูยังไม่เคยถูกหวยเลย ถ้าจะฟลุ๊คไปตายที่ตุรกี ก็ถือว่าตายที่ชอบๆ ไม่เสียดายชีวิตค่ะ" แล้วก็บังเอิญมีเพื่อนซึ่งทำงานอยู่ Turkish Airline บินไปที่นั่นพอดี ก็บอกว่า "ปลอดภัยมาก ไม่มีอะไรอันตรายเลยมึง มึงเชื่อกูเถอะ ที่ไหนที่มันระเบิดแล้ว มันจะไม่ระเบิดซ้ำ ยกเว้นแต่มึงจะซวยจริงๆ" อืมมม เพื่อนมันก็พูดถูกนะ ฟังดูมีเหตุผล ก็เลยเริ่มวางแผนการท่องเที่ยว ดูว่าอยากไปที่ไหนบ้าง เมืองไหน อยากทำอะไร อยากกินอะไร อยากลองอะไร ต้องกินกาแฟร้านไหน มีอะไรให้ซื้อบ้าง แล้วจดๆ ไว้ แล้วก็ไปซื้อหนังสือมาอ่านประวัติศาสตร์ของกรีก โรมัน เพื่อให้มีข้อมูลในสมองบ้าง จะได้รู้สึกอินนิสนุงเวลาเห็นสถานที่จริงกับตาสองตาของตัวเอง

ช่วงที่เราไปเที่ยวตุรกีคือต้นเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่หน้าร้อนของตุรกี ครั้งนี้เดินทางโดยสายการบิน Turkish Airline ซึ่งไม่เคยบินมาก่อนเลย แต่เพราะบินตรงเลย ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องที่ไหน จริงๆ แล้วมีสายการบินอื่นของตะวันออกกลางที่ราคาถูกกว่านี้ แต่ต้องเปลี่ยนเครื่องรอบหนึ่งก่อน แล้วค่อยบินต่อไปอิสตันบูล แต่ตอนนี้ยกให้ Turkish เป็นอีกสายการบินที่เราชื่นชอบนะ โดยเฉพาะถุงเครื่องนอน และอาหาร อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว อาจเพราะครั้งที่ไป ได้เจอแต่ประสบการณ์ดีๆ บนเครื่องค่ะ

วิธีการเที่ยวตุรกีที่ดีที่สุดคือซื้อทัวร์ Local ค่ะ ซึ่งราคาไม่แพงมาก คิดเป็นหัว ประมาณ 40-60 USD ต่อวันต่อคน ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่จะมีบริการนี้และเค้าจะถามเราตั้งแต่ต้นเลยถ้าจองตรงกับโรงแรมโดยไม่ผ่าน Agent ส่วนพันทิปจะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ให้ข้อมูลเราเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ว่าที่ไหนดี ที่ไหนไม่ดี ที่ไหนโกงเงิน ซึ่งทัวร์แบบนี้จะเหมาเป็นวันและมีรถบริการเลย สะดวกมากๆ เราก็กางแผนที่เปิดพันทิปเลย แล้ววางแผนก่อนว่าจะไปไหนบ้าง จองโรงแรมที่ไหน แล้วให้โรงแรมช่วยดิวให้ มีทุกที่ ทุกเมือง สะดวกดีค่ะ แต่ถ้าเป็นอิสตันบูลก็หมดห่วงค่ะ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ใกล้ๆ กัน และมีรถ tram ให้บริการที่ cover แทบทั้งเมือง และถึงแม้จะใช้บริการแท็กซี่ก็ไม่ได้แพงมากมายอะไรนัก

ทริปนี้เราเริ่มเดินทางในวันศุกร์ตอนกลางคืน ใช้เวลาบินประมาณ 9 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงอิสตันบูลแล้วค่ะ เช้าวันใหม่ก็มาถึงพร้อมอาหารเช้าที่เสิร์ฟบนเครื่อง เวลาที่เราเดินทางไปต่างประเทศ และมีช่วงต่างของเวลา อาจมีบ้างที่เราจะเกิดอาการ Jet lag นั่นหมายฟามว่า เราจะไม่สบายตัวหรืออาจถึงขั้นไม่สบายเข้าจริงๆ เวลาที่เราเดินทางไปถึงที่นั่น เพราะเราอาจจะนอนไม่หลับ กว่าจะปรับตัวได้ อ้าววววว ก็ถึงวันกลับเมืองไทยพอดี พาลทำให้เที่ยวไม่สนุก เลยจะบอกว่า อาหารที่บริการบนเครื่องบินนั้น มักจะถูกเสิร์ฟในเวลาที่มีการปรับให้สอดคล้องกับเวลาที่ปลายทางเรียบร้อยแล้ว ในหนังสือแนะนำการเดินทางหลายเล่มจะบอกว่า ให้เราพยายามกินอาหารบนเครื่องบิน นิดๆ หน่อยๆ เพื่อเป็นการปรับระบบการทำงานของร่างกาย รวมถึงระบบการย่อยอาหาร ต่างๆ นาๆ และพยายามจิบน้ำเปล่าทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยลดอาการ Jet lag ได้เป็นอย่างดีค่ะ จะได้ไปเที่ยวได้อย่างสดชื่นขึ้นนะคะ

เราไปถึงอิสตันบูลประมาณ 7 โมงกว่าๆ และต่อเครื่องบินภายในประเทศเพื่อไปคัปปาโดเกีย ซึ่งบินโดย Turkish Airline เหมือนกัน แต่อยู่คนละอาคารค่ะ ดังนั้นจึงต้องเดินออกมาข้างนอกก่อนแต่ไม่ต้องรับกระเป๋า แล้วนำตัวเองไปที่ Domestic Gate เนื่องจากที่ประเทศไทย ไม่มีเงิน TL ของตุรกีให้แลก หรือหายากก็ไม่รู้นะ ก็เลยแลกเงิน Euro และ USD ไป ดังนั้นที่สนามบินแนะนำให้เอาเงิน USD แลกเงิน TL ติดๆ ไปบ้างแต่ไม่ต้องเยอะ เผื่อเอาไว้ซื้อน้ำ หรือขนมกินในระหว่างการเดินทาง เพราะออกไปข้างนอกแล้ว จะใช้เงิน TL เป็นหลักค่ะ ก่อนขึ้นเครื่องอีกครั้งก็พอมีเวลาที่จะเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน หรือจิบกาแฟระหว่างรอขึ้นเครื่อง ร้านค้าสำหรับซื้อของก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไร อ่อมีร้านกาแฟ Starbucks ค่ะ แต่รสชาติก็ไม่เหมือนบ้านเราเท่าไหร่นะคะ เราก็เลยแวะซื้อแก้วระหว่างรอเสียเรย 
การเดินทางมายังคัปปาโดเกีย สามารถทำได้ 2 วิธี คือ ทางเครื่องบิน โดยมีสนามบินใกล้เคียง 2 แห่ง คือ สนามบินเมืองนีฟซีฮีร์ (Nevsehir) และสนามบินเมืองเคเซอรี่ (Kayseri)  อีกวิธีคือ รถบัส ซึ่งมีหลายบริษัทที่ให้บริการ จึงสามารถเดินทางจากอิสตันบูลได้เลย แต่สำหรับเราจะใช้เครื่องบินสำหรับขาไปแค่ขาเดียวเท่านั้น หลังจากนั้น จะใช้รถบัสโดยสารในการเดินทางท่องเที่ยวนอกเมืองเป็นหลัก ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงอิสตันบูลอีกครั้ง และจะมาปิดท้ายที่นี่และขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยในอีก 8 วันข้างหน้า เครื่องบินเหินอยู่บนฟ้าได้ประมาณชั่วโมงหน่อยๆ ก็ถึงสนามบินเคเซอรี่แล้วค่ะ แค่เห็นวิวที่สนามบินก็ตะลึง 

พอได้กระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ก็จะมีรถที่เรานัดหมายไว้มารับค่ะและก็นั่งรถต่อไปยังเมืองคัปปาโดเกีย นั่งรถชมวิวระหว่างทางไปเรื่อยๆ อากาศกำลังดี ไม่ร้อนมาก (แต่แดดแรงมาก แนะนำแว่นกันแดดและหมวก ไม่ควรลืมอย่างยิ่งสำหรับฤดูกาลนี้) ฟ้าสีฟ้าสดชนิดที่ไม่มีเมฆหรือหมอกมาบดบังตัดกับภูเขา ซึ่งล้อมรอบเมืองนี้ไว้ ทำให้เราได้เห็นวิวที่สวยงามสุดลูกหูลูกตา อย่างที่บอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูร้อน ดังนั้น พืชพันธุ์ไม้ต่างๆ ก็จะเจริญงอกงามเขียวขจี ทั้งไม้ใบ ไม้ดอก ไม่เว้นแม้แต่ไม้แดกอย่างเชอรี่ และสตรอเบอรี่ก็เยอะมากทีเดียวค่ะคุณ
เป้าหมายหลักของทริปนี้คือเมืองคัปปาโดเกีย ซึ่งเป็นเมืองที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 3 ล้านปีมาแล้ว ทำให้ลาวาและเถ้าถ่านไหลลงมาทับถมเกิดเป็นแผ่นดินใหม่ เมื่อผ่านวันเวลา กระแสน้ำ ลม ฝน แดด และหิมะกัดเซาะแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดการแปรสภาพเป็นหุบเขาร่องลึก เนินเขา กรวยหินและเสารูปทรงต่างๆ เกิดเป็นภูมิประเทศที่มีความสวยงามแปลกตาและน่าอัศจรรย์ ดังสวรรค์บนดิน จนได้ชื่อว่า "ดินแดนแห่งปล่องนางฟ้า" กันเบรยทีเดียว โดยองค์การยูเนสโกได้แต่งตั้งให้ที่นี่เป็นเมืองมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกี เท่ห์เน๊อะ ครั้งหนึ่งในชีวิตขอพิชิตคัปปาโดเกีย ไรงี้ป่ะ และในวันนี้เราจะเริ่มต้นกันที่นครใต้ดิน (Underground City Kaymakli) จากสนามบินใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงนครใต้ดินแห่งนี้แล้ว
ด้านหน้าจะมีที่ขายตั๋ว ที่นี่ค่าตั๋ว 25 TL ค่ะ สำหรับตั๋วของสถานที่ท่องเที่ยวทุกที่จะใช้การ scan แล้วผ่านเข้าไปทีละคน และส่วนใหญ่ต้อง scan กระเป๋า และ scan ตัวเองก่อนเข้าไปค่ะ

Kaymakli เกิดจากการขุดเจาะพื้นดินลึกลงไปประมาณ 10 กว่าชั้นเพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกในยามสงคราม โดยชั้นที่ลึกที่สุดลึกจากผิวดินประมาณ 85 เมตร เมืองใต้ดินแห่งนี้มีทุกสิ่งอย่างครบครัน ทั้งห้องนอน ห้องโถง ห้องครัว ห้องบ่มไวน์ ห้องน้ำ โบสถ์ รวมถึงทางหนีฉุกเฉินด้วย แม้จะขุดลึกลงไปหลายสิบเมตร แต่คนก็สามารถอาศัยอยู่ได้สบายบรื๋อ เนื่องจากมีการสร้างระบบระบายอากาศไว้เป็นอย่างดี (ก็ทางออกฉุกเฉินน่ะแหละ ที่เป็นท่อระบายอากาศอย่างดีเลยค่ะคุณ) โดยอุณหภูมิในถ้ำ จะอยู่ประมาณ 17-18 องศาเซลเซียส ทำให้ฤดูกาลไหนๆ ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ที่อยู่ในนี้รู้สึกระบายเคืองผิวหนังแต่อย่างใด
ภายในถ้ำนั้นบางช่วงต้องเดินแบบก้มๆ และบางช่วงถึงขั้นต้องยองๆ ไป ก็สนุกไปอีกแบบ แม่บอกว่าปวดต้นขา ได้ยินแบบนี้ ยิ่งเป็นข้อเตือนใจ ถ้าอยากเที่ยว ก็จงเที่ยวในตอนที่ยังมีกำลังวังชานะคะ
ประมาณ 1 ชั่วโมงถ้วนก็สามารถชมได้ครบระดับหนึ่ง มากกว่านี้ก็อาจจะเลี่ยนเกินไป พอออกมาได้ก็เดินดูของที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งจะมีของที่ระลึกของตุรกีขายทั้งพรม จาน แมกเน็ต บลา บลา บลา ต่อราคาได้อย่างมาก ต่อจนกว่าจะพอใจ ถ้าต่อแล้วไม่ให้ ทำท่าจะเดินจากไป เดี๋ยวพี่แกจะลดให้เอง

จากนั้นก็ไปกินข้าวกลางวัน ที่นี่เรากินบุฟเฟ่ต์ทุกวัน อาหารหลักเราคือไก่ ซึ่งพูดตรงๆ ว่า ถ้าไม่ใช่เมืองอิสตันบูล คนกินยากๆ มีปัญหาเรื่องอาหารควรพกมาม่าไปด้วย แต่การขอน้ำร้อนก็เสียเงินนะ 2 TL โครตงกอ่ะที่นี่ พูดเลย อาหารบุฟเฟ่ต์ส่วนใหญ่เป็นอาหารพื้นเมืองที่รสชาติและหน้าตาเหมือนกันแทบทุกที่ ทุกร้าน เป็นสลัดแบบมันๆ เปรี้ยวๆ แปลกๆ แล้วก็เมนูตระกูลผัด จำพวกผัดไก่ ผัดผัก ผัดเนื้อ เกือบทุกเมนูมีเครื่องเทศผสมอยู่ไม่มากก็น้อย กลับมานี่จะมีกลิ่นตัวแบบแขกมั้ยหนา หึๆ แล้วก็จะมีเมนูผักที่รสชาติคล้ายแกงส้มบ้านเรา แต่ไม่มีน้ำ แล้วก็ไม่เผ็ด อะไรประมาณนั้น ไปที่ของหวานก็หน้าตาและรสชาติเหมือนกันทุกที่ ไม่รู้จะบอกว่าอะไรดี คือมันเป็นเอกลักษณ์อ่ะ พอเห็นหรือได้ชิมก็รู้เลยว่าคือขนมตุรกี ของหวานจะหวานมาก และมีน้ำเชื่อมราดไปอีกรอบทั้งที่หวานอยู่แล้ว ก็กินให้รู้อ่าโน๊ะ จะได้ซาบซึ้งและเข้าใจว่ากระเพราไก่ไข่ดาวมีค่าขนาดไหน แต่ระหว่างที่อยู่ที่นั่นก็กินไปบ่นไปทุกวันนะ เรามาเที่ยวเมืองเขา ก็ต้องซึมซับวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของคนที่นี่สิ ถูกมั้ย
แต่ถึงกระนั้น ผลไม้นี่นางเสิร์ฟ เชอรี่นะจ๊ะ ที่นั่นเชอรี่ถูกมาก โลละประมาณ 7-10 TL หรือประมาณ 70-100 บาทไทย กินกันจนฟันม่วงไปข้างหนึ่ง ส่วนเขียวๆ ในรูปไม่รู้คืออะไร แต่มันเหมือนบ๊วยสดค่ะ ก็มีเสิร์ฟทุกที่เช่นกันค่ะ แล้วก็จะมีลูกพีชบ้างประปราย 

เมื่ออิ่มแล้วก็เดินทางกันต่อเพื่อไปยังเมืองเกอเรเม่ (Goreme) เราจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งกัน (Goreme Open Air Museum) ว่ากันว่าขลังและเก่ามากๆ 
ค่าตั๋วสำหรับที่นี่ก็ 25 TL เช่นกันค่ะ ที่นี่เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ.9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์ โดยในแต่ละโบสถ์ก็จะมีภาพเขียนสีเฟรสโก ซึ่งไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป สำหรับโบสถ์ถ้ำในเกอเรเม่นั้น ว่ากันว่ามีถึง 365 หลังด้วยกัน(สร้างตามจำนวนวันใน 1 ปี) แต่ว่าปัจจุบันเปิดให้ชมเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งก็มีโบสถ์เด่นๆชวนชมอย่าง โบสถ์มังกร ที่มีภาพม้า 2 ตัวสู้กับมังกร โบสถ์คาริกลิ ที่เป็นภาพเขียนสีเกี่ยวกับประวัติพระเยซู โบสถ์แอปเปิ้ล ที่ภายในวาดภาพพระเยซูและพระแม่มารีภาพส่วนใหญ่เป็นภาพพระคริสต์ ในช่วงต้นนั้นจะมีการวาดภาพด้วยสีเพียงสีเดียวคือสีแดง แต่ต่อมาก็จะมีการพัฒนามากขึ้น มีสีสันมากขึ้น เหตุที่สียังติดอยู่ถึงทุกวันนี้เนื่องจากเป็นการเขียนสีบนพื้นปูนที่ยังไม่แห้ง ทำให้สีติดทนนาน
พักเถอะค่ะ วันนี้แดดต้อนรับเราอย่างร้อนแรงมาก หน้าแทบมืด พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ต้องรีบกลับไปโรงแรมเพื่อพักผ่อนด้วย เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตีสาม เพราะเรามีนัดให้บริษัทบอลลูนมารับที่โรงแรมตอนตีสี่ เนื่องจากหน้าร้อน พระอาทิตย์ขึ้นเร็ว ทำให้เราต้องตื่นเร็วขึ้นด้วย เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนบอลลูนกันค่ะ
ระหว่างทางกลับโรงแรมก็ชักภาพกับภูเขา ปล่องเปลิ่ง อะไรไปเรื่อยเปื่อยรวมถึงจุดชมวิวที่สวยที่สุดในเมืองคัปปาโดเกียด้วยค่ะ ว๊าวๆๆ ก็นั่งกินกาแฟ กินไอติมชมวิวอะไรกันไปไรนะคะ
วันที่สอง และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง แต่น แตน แต๊น วันนี้รถจากบริษัทบอลลูนที่เราจ่ายเงินไปเมื่อคืนนี้ ให้กับทางโรงแรม เพื่อให้โรงแรมจองคิวขึ้นบอลลูนให้ก็มารับเราตอนตีสี่ครึ่ง ส่วนค่าขึ้นบอลลูน ตอนนี้ปรับลดลงแล้วจากเดิม 200 ยูโร เป็น 200 USD (อันนี้ถามจากเพื่อนที่เคยไปมาเมื่อหลายปีก่อนค่ะ) 

ในส่วนของรูปด้านล่างนี้เป็นวิวใกล้รุ่งสาง ตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ค่ะ หลายๆ ที่ยังเปิดไฟอยู่ ทำให้เราได้เห็นเมืองคัปปาโดเกียในอีกมุมหนึ่งค่ะ
อย่างที่บอกว่าช่วงนี้ย่างเข้าหน้าร้อน เพราะฉะนั้น จะสว่างเร็วมาก ปกติแล้ว พอรถมารับ เราจะได้ไปนั่งกินกาแฟ ขนมปังเบาๆ ระหว่างรอทีมงานเป่าลมร้อนเข้าบอลลูน แต่วันนี้ เราไม่ได้ลิ้มชิมรสอาหารเช้าของเค้าเลย เนื่องจากรถมารับช้า ถ้ามัวแต่หวงกินก็จะไม่ทันขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนบอลลูนเกร๋ๆ สวยๆ ไรงี้ 

จากโรงแรม เราฝ่าความมืดนั่งรถไปประมาณ 15 นาที ก็ถึงลานบอลลูน กำลังเป่ากันใหญ่เลย วันนี้ขึ้นหลายสิบลูก เพราะอากาศเปิดมากๆ ถือเป็นเรื่องโชคดีในชีวิต เพราะอ่านในพันทิป มีหลายคนมากที่จ่ายเงินจองไปแล้ว แต่ไม่ได้ขึ้น เพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ เพียงแค่ลมแปรปรวน หรืออากาศหม่นๆ หน่อย ก็ประกาศยกเลิกแล้ว เราก็ลุ้นสุดๆ จนถึงลานบอลลูน พอเห็นกัปตันกำลังพ่นลมร้อนเข้าไปในบอลลูนนี่ดีใจมาก เราได้ขึ้นแน่ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีกแล้วต่อจากนี้ไป 555
ตะกร้าบอลลูนมีหลายแบบ แบบ private ซึ่งแพงมาก ส่วนใหญ่เป็นแบบพวกขอไฮโซ หรือฝรั่งมาขอแต่งงานกันบนบอลลูนไรงี้ (แหวะ ขอกันข้างล่างไม่ได้รึไง) แล้วก็แบบ 10 คนและ 20 คน ซึ่งราคาจะแตกต่างกันตามจำนวนคน อารมณ์แบบตัวหารเยอะ ราคาก็ถูกลง ซึ่งเราสามารถ join ขึ้นกับคนอื่นๆ ได้ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยจัดการให้เรา ส่วนที่ตะกร้าที่เราขึ้นสามารถจุคนได้ 20 คน โดยแบ่งเป็น 4 มุมๆ ละ 5 คน มีกัปตันอยู่ตรงกลางบอลลูน คอยเพิ่มลดก๊าซ เพื่อควบคุมทิศทางของบอลลูน และแล้วมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปสู่ฟากฟ้า กรี๊ด มันสวยงามอ่า สวยมากจนหยุดหายใจไปบางช่วงขณะ เอ๊ะ!!! ตอนที่กลับมาเขียนบันทึกการเดินทางนี้ เรายังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย หรือว่าเป็นวิญญาณ^^
ข้างบนอากาศค่อนข้างเย็น ลมแรงนิสหน่อย แต่ฟินมากๆ พูดเลย ครั้งหนึ่งในชีวิตควรพิชิตบอลลูน อันนีเราอยู่บนนั้นประมาณ 45 นาที มันไม่น่ากลัวเลย วิวด้านล่างนี่บับแว่ ดีงามมาก บอลลูนจะขึ้นๆ ลงๆ เป็นพักๆ มีบางช่วงขึ้นสูงมากๆ ก็ประมาณ 1,100 เมตร กัปตันจะคอยเล่าให้ฟังเวลาที่มันลอยผ่านสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น แม่น้ำแดง ภูเขาไฟ ไรงี้ เป็นต้น เวลาผ่านไปไม่นาน เราก็ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น หืมมมมมมม ฟินมากไม่รู้จะอธิบายยังไง ต้องไปโดนเองถึงจะเข้าใจ The Must เลยค่ะ
เมื่อเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กัปตันจะบอกว่า Landing ซึ่งถึงตอนนี้ทุกคนจะต้องนั่งยองๆ ลงในตะกร้าแล้วจับเชือกไว้ แล้วบอลลูนจะค่อยๆ ลดระดับและไถลไปกับสนามบนลานกว้างๆ ในที่สุด ตรงนั้นก็จะมีทีมงานรออยู่เพื่อเก็บบอลลูนและจัดเตรียมตั้งโต๊ะเฉลิมฉลอง (ฉันขอเรียกแบบนั้น) จัดแชมเปญไว้ให้เราฉลองกันและแจกใบประกาศด้วย ก็เป็นอันเสร็จสรรพ ปล.แชมเปญอร่อยมว๊าก อยากเบิ้ลเลยอ่า  
นับเป็นการใช้เงิน 200 USD ที่คุ้มค่ามากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต สำหรับเรา มันถูกมากถ้าเทียบกับประสบการณ์ดีๆ ที่ได้รับ จากนั้นก็ขึ้นรถตู้กลับไปที่โรงแรม ประมาณ 6 โมงครึ่ง แล้วก็ไปกินอาหารเช้าที่โรงแรม พอหายตื่นเต้น ฟามหิวก็เข้ามาครอบงำในทันที จากนั้นก็เก็บของเตรียมตัวไปขึ้นบัส วันนี้เราจะเดินทางกันยาวไกลมากๆๆๆๆๆ ถึงมากที่สุด เฮ้ยยยยย ตายห้าแล้ว เราลืมไปชักภาพกับ ÜRGÜP ซึ่งมีหินรูปเห็ดพ่อแม่ลูก อันนี้ถือเป็นไฮไลท์และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองคัปปาโดเกียเลยค่ะ อ่ะๆ แวะไปเยี่ยมนางหน่อย เดี๋ยวนางเสียใจ วันนี้ก็ต้องจากนางไปแล้ว
ไปที่นี่เดินค่อนข้างเยอะ ร่างกายต้องฟิตหน่อย ไม่งั้นอาจจะแย่ได้ เพราะแต่ละที่ต้องเดินขึ้นเขาบ้าง ตากแดดตากลมบ้าง ดังนั้นร่างกายต้องแข็งแรง จะอ่อนแอไม่ได้ เพราะถ้าป่วยตอนไปเที่ยวนี่หมดสนุกแน่
เราจากเมืองนี้ไปโดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมือง ปามุคคาเล่ (Pamukkale) เราจิไปแช่น้ำแร่กันนะคะ แต่วันนี้ต้องนั่งรถให้ตรูดบานกันไปข้างนุงก่อน ป่ะ เริ่ม จากตรงนี้เราต้องใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงกว่าจะไปถึงปามุคคาเล่ค่ะ ซึ่งแน่นอนว่า อาหารการกินระหว่างทางนั้น ย่อมไม่ดีเป็นแน่ รวมถึงห้องน้ำด้วย ห้องน้ำที่นี่ออกจาโบราณและไม่ได้สะอาดเหมือนปั๊ม ปตท. บ้านเรานะคะ บางทีก็อยู่กลางป่ากลางดง ออกจะหลอนๆ ด้วยซ้ำ ถ้าจะให้ดีหน่อยก็เข้าตามปั๊มหรือร้านขายของที่ระลึกระหว่างทาง แต่บางครั้งจะเสียค่าฉี่ด้วย ครั้งละ 1 TL ค่ะ แต่ถ้าจะนั่งรถนานขนาดนี้ก็ต้องจำใจ ด้วยใจจำยอม หึๆ
ผ่านไป 4 ชั่วโมง ก็ผ่านคาราวานสไลน์ ซึ่งเป็นจุดที่ชาวกรีกและโรมันใช้ทำการค้า และเป็นจุดพักการเดินทางระหว่างเมือง ประมาณนั้น จากที่เคยอ่าน เค้าบอกว่า จุดแวะพักจะมีทุกๆ 40 กิโลเมตร แต่เราก็ไม่ได้พักทุกจุดหรอกค่ะ ไม่งั้นอีกสองวันคงเพิ่งถึงปามุคคาเล่แน่ๆ หลายๆ คนคิดว่า แค่ 40 กิโลเมตรเองหรอ ต้องเข้าใจนะคะคุณ สมัยก่อนนั้นเราไม่ได้ใช้รถยนต์วิ่งฉิว แต่ใช้ช้างม้าวัวควายในการเดินทาง 40 กิโลเมตรนี่ไม่น้อยนะคะ มีเหนื่อยเหมือนกัน
ผ่านก็ผ่านไป 8 ชั่วโมงก็ถึงเมืองปามุคคาเล่ ระหว่างทางนั้นมีสตรอเบอรี่ขาย ถูกมาก ก็ซื้อกินกันไปอะไรไป เพราะอาหารของเค้า เราก็กินไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยกินผลไม้ไป เสมือนกับว่าอยู่ในช่วงจำศีลงดเนื้อสัตว์ไรงี้ ข้อดีของการนั่งบัสข้ามเมืองตอนกลางวัน คือจะมีการแวะตามจุดแวะพัก แต่ถ้าเป็นกลางคืน รถจะวิ่งรวดเดียวเลยจนถึงเมืองปามุคคาเล่ เลือกเอาที่สบายใจได้เลย ว่าอยากเมื่อยตรูดใต้แสงตะวัน หรือปวดสะบั้นใต้แสงเดือน คืนนี้ถึงโรงแรมประมาณ 4 ทุ่มได้ เหนื่อยโฮก นอนเหอะ พรุ่งนี้หนทางของเรายังอีกยาวไกลนัก ถึงแม้ว่าโรงแรมที่เมืองนี้ทุกที่จะมีบ่ออาบน้ำแร่ แต่ตอนนี้ร่างกายเหมือนจะโดนแร่ ไม่ไหวอีกล้าว จำต้องจากลาไปนิทราก่อนรุ่งสาง บะบุย

ทริป : การเดินทางระหว่างเมืองจะใช้รถบัสเป็นหลัก มีแท็กซี่บ้าง แต่ราคาก็โหดเอาการอยู่ ถ้าหารสี่ก็ถือว่าพอรับได้ค่ะ


ตื่นแต่เช้าล้างหน้าแปรงฟัน ไปปามุคคาเล่กันเถอะ โรงแรมนี้อยู่ห่างจาก Hierapolis Pamukkale ประมาณ 5-10 นาที ซึ่งเราขับรถขึ้นเขาไปค่ะ พอถึงแล้วก็ไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมเหมือนเดิม ตั๋วที่นี่ 35 TL ค่ะ ราคานี้รวมค่าเข้าชมทุกอย่างยกเว้น Ancient pool ที่หากจะลงไปแช่ต้องจ่ายเงินเพิ่มค่ะ ส่วนบ่อน้ำแร่ด้านในที่เป็นสีขาวๆ สามารถลงไปแช่ได้เลย แต่ต้องถอดรองเท้าลงไป การเดินชมสามารถเดินได้สองแบบ แบบแรก คือเดินขึ้นเขาผ่าน Hierapolis แล้วค่อยไปลงสระ กับแบบที่สองคือเดินสวนทาง แต่เราเลือกแบบที่หนึ่ง เพราะตอนเช้าอากาศและแดดยังไม่ร้อน ทำให้การเดินขึ้นเนินเขาเป็นไปอย่างเรียบหรูและดูดี ถ่ายรูประหว่างทางเกร๋ๆ ไปเรื่อยๆ สไตล์สาวเกาหลีไรงี้ 

เฮียราโพลิส เป็นเมืองโบราณ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือซากอยู่ไม่เยอะเท่าไหร่แล้วหล่ะ ยกเว้นแต่โรงละครที่จะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นสถานบำบัดโรค ก่อตั้งตั้งแต่ 190 ปีก่อนคริสต์กาล และมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นหลายครั้ง หลัง ค.ศ.1334 จึงไม่มีคนอาศัยอยู่อีก นี่ ประวัติศาสตร์เป๊ะป่ะล่ะ (กูเกิลบอกแบบนั้น)
เดินไปเรื่อยๆ จะเจอโรงละคร มันลักษณะคล้ายๆ โคลอสเซี่ยม ของอิตาลี แต่ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว ตรงนี้คือไฮไลท์อีกจุดหนึ่งของปามุคคาเล่ อ่ะ ถ่ายรูปวนไป ถ่ายยังไงให้ไม่ติดคน ก็ต้องหาเทคนิคกันเอาเองนะคะ นั่งอยู่พักนึงก็เดินออกมาและเดินต่อไปเรื่อยๆ เป้าหมายคือบ่อน้ำแร่ค่ะ ระหว่างทางก็มีทิวทัศน์ ดอกไม้ ดอกหญ้าให้ชมตลอดทาง ช่วงหน้าร้อน ดอกไม้พร้อมใจกันเบ่งบานอวดความงามน่าดูเลอ หลากสีสัน ทั้งแดง เขียว เหลือง ม่วง ดอกที่นี่เค้าดอกดีจริงๆ ค่ะ
เดินต่อมาอีกพักหนึ่งจะเห็น Ancient City และบ่อน้ำแร่สีขาวๆ ที่เห็นไวๆ อยู่ด้านหลังค่ะ และแล้วเราก็เดินมาถึงจุดที่คนถ่ายรูปกัน ที่เป็นบ่อสีขาวๆ เป็นชั้นๆ แต่น้ำลดลงไปมาก ถ้าเทียบกับรูปที่เราเคยเห็น เจ้าหน้าที่บอกว่า เค้าสูบน้ำออกให้แห้ง เพื่อตากแดดให้บ่อนั้นขาวเหมือนเดิม เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการห้ามใส่รองเท้าลงไป ทำให้เกิดความสกปรก และมีคราบตะไคร่น้ำ ดังนั้นเราเลยจะเห็นน้ำแร่ไม่เยอะเท่าที่ควร และมีบางส่วนแห้งเหือดไปเลย
ปามุคคาเล่ เกิดจากน้ำแร่ร้อนที่มีแร่ธาตุแคลเซียมคาบอร์เนตมาตกตะกอน เกิดเป็นลักษณะหน้าผา ซ้อนกันเป็นชั้นน้ำตก ซึ่งน้ำแร่ที่ไหลลงมาแต่ละชั้นจะแข็งเป็นหินปูน ย้อยเป็นรูปร่างต่างๆ น้ำแร่จะมีอุณหภูมิประมาณ 35-100 องศาเซลเซียส ประชาชนจึงนิยมไปอาบหรือนำมาดื่ม เพราะเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้ ส่วนตัวเรานั้น ก็ดูแต่ตา ดื่มไม่ต้อง ท้องจะร่วง ก็นั่งแช่เท้า ชมวิวทิวทัศน์ ชี้นกชี้ไม้กับแม่ไป ไรงี้
มีหลายคนถามตอนลงรูปใน IG ว่าสีขาวๆ นั่นคือทรายหรือเปล่า ก็ตอบตรงนี้ว่าไม่ใช่ค่ะ ไม่มีทรายเลยซักเม็ด มันคือแร่ธาตุแคลเซี่ยมคาบอร์เนต ซึ่งมีความเข้มข้นสูงมากในน้ำแร่ที่นี่ มีลักษณะเหมือนแป้งที่อยู่ในน้ำ บอกไม่ถูก แต่มันประมาณนั้นค่ะ นั่งแช่เท้ากันเรื่อยเปื่อยจนเท้าเปื่อย ก็เดินขึ้นมาด้านบน เดินย้อนกลับไปดูบ่อน้ำที่คลีโอพัตราเคยมาเสด็จมาอาบที่นี่ รวมถึงมาร์ค อันโทนี่และบุคคลสำคัญของโรคอีกหลายๆ คน เพราะเชื่อว่าน้ำแร่ที่นี่จะช่วยรักษาโรคได้ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และทำให้ผิวพรรณนวลเนียนอ่อนเยาว์ นี่เราก็นั่งแช่เท้า จนเท้าเนียนกว่าหน้าเลยนะจิบอกให้
ถึงล้าวววว Ancient Pool ที่บอกว่าจะลงไปแช่นี่ต้องจ่ายเงินเพิ่มค่ะ อ่ะๆ ให้ดูว่ายังมีซากปรักหักพังจมอยู่ใต้บ่อไม่ได้ให้ดูฝรั่ง รู้เรื่องโน๊ะ
เสร็จแล้วก็เที่ยงพอดี กลับกันเต๊อะ แดดเริ่มแรงมาก และเริ่มหิวข้าวแล้ว อาหารกลางวันวันนี้ก็เป็นอาหารตุรกีเหมือนเดิม ซึ่งเดี๊ยนจิไม่ขอพูดถึง เพราะไม่แตกต่าง ทุกร้านและทุกที่เหมือนกัน (โดยส่วนตัว เราคิดว่าไม่ถูกปากเหมือนกันหมด) ไม่รู้ทำได้ไง สุดยอดเอกลักษณ์ของประเทศเลยก็ได้ค่ะ
จากนั้นช่วงบ่ายก็ต้องเดินทางต่ออีกแล้ว ต้องนั่งบัสอีก 4 ชั่วโมงเพื่อไปเมืองคูซาดาสึ (Kusadasi) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองเอฟฟิซุส (City of Ephesus) อันนี้เป็นไฮไลท์อีกที่ของตุรกี เพราะเป็นเมืองโบราณที่ออกรายการทีวีและลงหนังสือท่องเที่ยวบ่อยม๊วกๆ ค่ะ

อ่ะๆ ถึงล้าวเมืองเอฟฟิซุส แดดแรงหนักมาก กางร่มเดินไปชมไปละกัน ค่าตั๋วที่นี่ 40 TL ค่ะ เมืองนี้ได้รับการจารึกว่า เป็นมหานครแห่งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียและเป็นเมืองโบราณที่ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดเมืองหนึ่ง และเคยเป็นที่อยู่ของชาวโยนกจากกรีก ซึ่งอพยพเข้ามาปักหลักสร้างเมืองขึ้นที่นี่เมื่อ 1000 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาถูกรุกรานเข้ายึดครองโดยพวกเปอร์เซียและกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราช ภายหลังเมื่อโรมันเข้ามาครอบครองก็ได้สถาปนา เอเฟซุส เป็นเมืองหลวงต่างจังหวัดของโรมัน
เมืองนี้มีทางเข้าออก 3 ทาง โดยบริเวณทางเข้าจะมีรูปสลักของเทพี 4 องค์อยู่ด้วย ก็เลือกเอาค่ะว่าจะเข้าทางไหน ออกทางไหน ได้ทั้งหมด เอาที่สบายใจ
เราเดินบนถนนหินอ่อน ซึ่งค่อนข้างลื่น ผ่านใจกลางเมืองเก่าที่สองข้างทาง เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่ปรักหักพังเมื่อสมัย 2000 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวัดต่างๆ พลาซ่าสมัยโบราณ ซึ่งมีพื้นที่เป็นโมเสค
อันนี้เป็นเทพแอร์เมส หรือเทพแห่งการแพทย์ จะเห็นว่า สัญลักษณ์ของการแพทย์หรือโรงพยาบาลยังคงมีเค้าโครงนี้อยู่จนถึงปัจจุบัน
 อันนี้เทพไนกี้ หรือเทพแห่งความโชคดี
ภาษากรีกโบราณค่ะ
ส่วนอันนี้เป็นโมเสคเก่าแก่ กระเบื้องแผ่นเล็กๆ ที่ทำมาประกอบกันเป็นลวดลายต่างๆ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วนะคะ
ส่วนอันนี้เป็นห้องอาบน้ำโรมมันและห้องส้วมสมัยโบราณค่ะ นั่งเรียงกันเหมือนคนจีนเลย ด้วยเหตุนี้ทำให้สมัยก่อนเกิดโรคระบาดหลายครั้ง ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากค่ะ
ส่วนอันนี้ก็คือไฮไหลอีกที่หนึ่ง เราจะเห็นรูปนี้บ่อยๆ บนปกหนังสือ หรือรายการท่องเที่ยว เรียกได้ว่า เหมือนเป็น signature ของที่นี่เลยทีเดียว นั่นก็คือ.....หอสมุดค่ะ
ด้านล่างนี้เป็นโรงละครที่ใหญ่กว่าที่ปามุคคาเล่ สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 30,000 คน
ตรงบริเวณโรงละครจะมีประตูทางออก หรืออาจจะเป็นทางเข้าของใครหลายๆ คนก็ไม่ว่ากันค่ะ จากตรงนั้นไม่ไกลกันมากนัก แต่ต้องนั่งรถแท๊กซี่ไปชม ก็คือ บ้านของพระแม่มารี ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่พระแม่มารีอาศัยอยู่และสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้ บ้านจริงๆ พังไปหมดแล้ว บ้านที่เห็นในปัจจุบันเป็นการสร้างขึ้นมาทดแทน ซึ่งบ้านหลังนี้ถูกค้นพบโดยแม่ชีแอนนา แคเทอรีน เอมเมอริช ซึ่งนางตาบอด เป็นชาวเยอรมัน นางเป็นโรคและหลับไปแล้วฝันเห็นบ้านหลังนี้ในนิมิต จึงเขียนในบันทึก จนมีคนมาค้นพบบ้านหลังนี้ตามแผนที่และคำบอกของนาง อ่ะ อันนี้ก็เป็นวิจารณญาณส่วนบุคคลโน๊ะ
วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน กลับโรงแรมเหอะ วันนี้เรานอนริมหาด อยากไปเดินเล่นริมหาดบ้างไรบ้าง ไปดูซิว่าพระอาทิตย์ตกที่ทะเลอีเจี้ยนนี่มันสวยงามเงาะแงะขนาดไหน
วิวจากห้องพัก ก็เกร๋ๆ โน๊ะ checkin เสร็จก็ออกมาเดินเล่นที่หาด ซึ่งเหมือนพัทยา หัวหินบ้านเรา มีซุปเปอร์มาเก็ต มีร้านแฮงค์เอาท์ มีห้าง บลาๆๆ เหมือนอยู่บ้านนอกมานาน ไม่ได้สัมผัสความเจริญแบบนี้เลย ก็เลยรู้สึกตื่นเต้น เดินเล่นได้ซักพัก พระอาทิตย์ก็กำลังจะบอกลาเราไป เลยนั่งจิบเบียร์ชมพระอาทิตย์ตกทะเลชิวๆ ไป สวยงามมว๊ากอ่า
ในเมื่อเบียร์ไม่หมดที่ชายหาดก็มาต่อกันที่ห้องสิครัช รอไร จิบเบียร์แกล้มถั่วพิตาชิโอ หุๆ เพื่อสุขภาพฝุดๆ ให้อาหารตาและอาหารใจไปพร้อมๆ กัน
มึนล้าว อาบน้ำนอนกันดีฝ่าโน๊ะ พรุ่งนี้หนทางของเรายังอีกยาวไกลเหลือเกิน

นาฬิกาปลุกอีกครั้ง แต่เหมือนไม่อยากจะตื่นเท่าไหร่ เปิดม่านรับแสงกระตุ้นต่อมตื่น แล้วก็เจอเรือสำราญมาจอดที่นี่พอดี เดาได้เลยว่าวันนี้ อาจมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่หาดนี่แน่นอน แต่ว่าไม่เป็นปัญหา เพราะเรากำลังจะเดินทางไปจากเมืองนี้แล้วในช่วง 9 โมงที่กำลังจะมาถึง
บะบายนะคูซาดาสึ เธอเป็นเมืองชายหาดที่ฉันชอบมากเมืองหนึ่งเลยทีเดียวเชียว
หลังจาก check out ที่โรงแรมแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบค่ะ วันนี้เรามีนัดกับ Pergamon เป็นเมืองโบราณของกรีกที่มีความสำคัญของพวกเฮเลนนิสติก ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ วิหารอะโครโปลิส (Acropolis)  นครบนที่สูง เป็นโครงสร้างฐานในการป้องกันเมืองของอาณาจักรกรีกและโรมัน ซึ่งผู้ตั้งถิ่นฐานในสมัยนั้นมักเลือกที่สูง ซึ่งมักจะเป็นเนินเขาที่ด้านหนึ่งเป็นผาชัน 
ค่าตั๋วที่นี่ 25 TL แต่จากจุดขายตั๋วต้องนั่งกระเช้าขึ้นมาค่ะ แต่พอลงจากกระเช้าก็ต้องเดินขึ้นอีกประมาณหนึ่ง และด้วยความที่ข้างบนค่อนข้างกว้างใหญ่และมีหลายมุม หลายที่ ทำให้เราต้องเดินไปรอบๆ ไม่สามารถโฟกัสสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เพราะดูน่าสนใจไปหมด
จากมุมหนึ่งของเนินเขาด้านบน เราจะมองเห็นอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นวิวที่สวยงามและมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยความยิ่งใหญ่และความสูงของมัน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า คนสมัยก่อนสร้างอัครสถานแห่งนี้ได้อย่างไร 
มันสุดยอดมากค่ะ
รูปด้านล่าง เป็นวิวมุมสูงของวิหารเทพเจ้าซุสในยุควัฒนธรรมกรีกรุ่งเรือง ทุกเมืองจะมีการสร้างวิหารเพื่อแสดงความเคารพต่อเทพเจ้า  กรีก หรือ เทพีกรีก เชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของแท่นบูชาขนาดใหญ่ (The Great Altar) เพื่อบูชาเทพเจ้าซุส ปัจจุบันเหลือแต่ส่วนฐาน ส่วนแท่นบูชาถูกยกไปที่พิพิธภัณฑ์เพอร์กามอนที่กรุงเบอร์ลินแล้ว ต้องตามไปดูในทริปถัดไปเสียแล้ว แหะๆ ไถนาวนไปค่ะ
ส่วนรูปต่อไปนั้นเป็นซากปรักหักพังของห้องสมุดที่ใหญ่เป็นอันดับสองในยุคนั้นค่ะ อันดับหนึ่งคือห้องสมุดอเล็กซานเดียร์ ประเทศอิยิปต์ ส่วนอันดับสามก็คือห้องสมุดแห่งเอฟเฟซุส ที่เราไปดูมาเมื่อวันก่อน
เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางของมหานครใหญ่ ที่เติบโตรุ่งเรือง ส่วนที่ราบเบื้องล่างที่รายล้อมป้อมปราการเหล่านี้ โดยเมืองด้านบน (upper town) จะเป็นพื้นที่วิหารบูชาเทพเจ้า สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ พระราชวังและพื้นที่ใช้งานต่างสำหรับกษัตริย์และชนชั้นสูงเท่านั้น ส่วนประชาชนคนธรรมดาทั่วไปจะอยู่ในส่วนของเมืองด้านล่าง จากนั้นก็นั่งกระเช้าลงมา วิวสวยดี อากาศสดใส จนบางทีก็สดใสไปค่ะ แหะๆ

ออกจากตรงนี้ เราก็มุ่งหน้าไปเมืองชานัคคาเล่ หรือเมืองทรอยสมัยโบราณค่ะ ซึ่งเดินทางอีกเกือบ 6 ชั่วโมงค่ะ อย่างที่บอกว่าทริปนี้เป็นทริปที่ต้องเดินทางโดยรถเยอะ เนื่องจากแต่ละสถานที่ค่อนข้างห่างกัน ก็กระแดะอยากจะไปเที่ยวเมืองทรอย ก็ต้องมา route นี้ค่ะ หากไม่มาเที่ยวเมืองชานัคคาเล่ เราสามารถขึ้นเครื่องจากเมือง izmir เพื่อกลับไปลั้ลลาที่อิสตันบูลได้เลย แต่อยากได้รูปกับม้าไม้ไง หึๆ
เอาน่า ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็เอาให้คุ้ม จะได้รู้ว่ารอบหน้าจะไปที่ไหน ไม่ไปที่ไหน เน๊อะๆ 

ประมาณเกือบทุ่มก็ถึงโรงแรมที่ชานัคคาเล่ วันนี้เรานอนริมทะเลอีกคืน และได้ dinner ดูพระอาทิตย์ตกไรงี้ มันโรแมนติกมากใช่ป่ะ ยิ่งมากับแม่แล้ว ยิ่งโรแมนติกหนักเข้าไปอีกค่ะ กินข้าวเสร็จก็เดินเล่นริมทะเล จนพระอาทิตย์จากลาวันนี้ไป ด้านข้างโรงแรมที่เราพักมีสวนกวางด้วย สวนกวางจริงๆ นะ น่ารักเชอะ แต่ถ้าเจ้าของโรงแรมจะรวยขนาดเลี้ยงกวาง ก็ควรเอาเงินมา renovate โรงแรมก็จะดีกว่าเน๊อะ 555 ซื้อกวางเพื่อ??? รวยค่ะ รวยดี ไม่รู้จะชมว่าอะไร เดินเล่นพออาหารย่อยก็กลับมาห้องพักเพื่อพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ก็ต้องตื่นเช้าอีก แต่ที่นี่ดีนะ ตีห้าก็สว่างละ พระอาทิตย์จะมาปลุกเราทุกวันเพื่อให้เราออกไปตามหารักที่ตุรกี^^

และแล้ววันใหม่ก็มาถึง พระอาทิตย์ก็มาตามนัดทุกวัน โดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกเลยค่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าเรามาอยู่ตุรกี 4 วันแล้ว (ไม่รวมวันที่นั่งเครื่องมานะคะ) ก็ถีบตัวเองขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว และออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพราะว่าเช้านี้มีนัดกับพี่ม้า และต้องข้ามเรือเฟอร์รี่เพื่อข้ามไปเมืองอิสตันบูล เรือออกทุกชั่วโมง แต่ที่ plan ไว้คือเดินเล่นบริเวณริมทะเลซักหนึ่งชั่วโมง แล้วขึ้นเรือตอน 8 โมงค่ะ แต่จากโรงแรมไปถึงท่าเรือก็ประมาณ 20 นาทีเท่านั้นเอง ก็มีเวลาเดินชิวเพื่อชมความงามของเมืองและธรรมชาติยามเช้า รวมถึงได้ยืนพินิจพิเคราะห์ม้าไม้แห่งเมืองทรอยอย่างละเอียดละออ 

ม้าไม้ตัวนี้ถูกสร้างโดยฮอลีวูด เมื่อครั้งมาถ่ายทำเรื่องทรอย ที่เมืองนี้ และได้ยกม้าตัวนี้ให้เป็นที่ระลึกแก่เมืองชานัคคาเล่ ซึ่งจริงๆ แล้วมีม้าไม้อีกตัวที่อยู่ตรงเนินดินฮิสซาลิคซึ่งเป็นเมืองทรอยในอดีต ซึ่งจะไม่สวยเท่าตัวนี้ เป็นตัวที่รัฐบาลสร้างขึ้นมา เนินดินนี้ถูกขุดค้นโดยไฮร์ริช ชไลมันน์ เศรษฐีชาวเยอรมัน ผู้ที่หลงไหลมหากาพย์ของอีเลียด 

ชไลมันน์ที่ว่าเชื่อว่าที่นี่เป็นเมืองทรอยจริงๆ สาเหตุที่ชไลมันน์มั่นใจเช่นนั้น ก็เพราะที่ชั้น 2 นี้มีซากอาคาร และกำแพงเมืองที่มีร่องรอยของการเผาทำลาย ที่สำคัญเขาได้พบสมบัติลํ้าค่ามากมายที่เชื่อว่าเป็นของกษัตริย์ อย่างพวกเหยือกและจอกสุราทองคำแท้ แจกัน และข้าวของเครื่องใช้จำนวนมาก ที่ทำจากเงินเนื้อบริสุทธิ์ ว่ากันว่าครั้งหนึ่ง เมื่อชไลมันน์ยกแจกันเงินใบใหญ่ ขึ้นมาจากกองดินทราย ที่ทับถม มันหนักอึ้ง และเมื่อเขาเขย่าดู ก็รู้สึกได้ว่าภายใน คงบรรจุอะไรไว้แน่นขนัด พอเทออกมาดู เขาและพรรคพวกก็ต้องตะลึงงัน สิ่งที่อยู่ในแจกันนั้นคือเครื่องประดับ ที่ประกอบด้วยทองคำ และอัญมณีอันสุดแสนงดงาม และลํ้าค่ายิ่ง! สำหรับทรัพย์สมบัติที่ชไลมันน์ขุดค้นได้นั้น ได้รับการขนานนามว่า "ทองชไลมันน์ (Schlie- mann's Gold)"

อ่ะ พอก่อนเดี๋ยวจะอินน์กันมากเกินไป เดินชมวิวริมทะเลดีกว่า บริเวณนี้เป็นท่าเรือเฟอร์รี่ ที่เราจะขึ้นเพื่อข้ามไปฝั่งกะนู้นอ่าแหละ และเป็นท่าเรือยอร์ชของบรรดาเศรษฐีน้อยใหญ่ด้วยเช่นกัน บริเวณนั้นจะมีร้านกาแฟให้เราได้จิบ Turkish Coffee ไปดูวิวไปเกร๋ๆ 
พอได้เวลาใกล้ๆ แปดโมงเรือก็มา เรือที่นี่ตรงเวลาอยู่ แล้วก็ไม่มีการรอด้วย ได้แค่ไหนก็แค่นั้น พิสูจน์มากับตัวเองแล้วค่ะ 
เรือที่นั่งมาจะแล่นผ่านช่องแคบดาร์ดาแนล วิวเนี่ยะดีเชอะ มีเกาะแก่งและนกกินปลาที่บินโฉบลงมาแล้วได้ปลากลับขึ้นไปบนฟ้าเป็นระยะๆ มันเก่งและเร็วมากๆ เรียกได้ว่า นั่งดูวิวบนดาดฟ้าเพลินอ่า แป๊บๆ เรือเฟอร์รี่ก็พาเรามาถึงจุดหมายปลายทางเสียแล้ว นับแล้วประมาณครึ่งชั่วโมงได้แต่ไม่น่าเบื่อเลย พอถึงฝั่งแล้วเราก็นั่งรถบัสต่ออีก 4 ชั่วโมงค่ะ เพื่อเข้าเมืองอิสตันบูลอย่างจริงๆ จังๆ สองข้างทางจากนี้จะเป็นภูเขาทับซ้อนกันสลับกับพื้นที่ราบที่มีวัวตุรกียืนกินหญ้าอยู่เป็นระยะๆ บนรถคันนี้ก็มี wifi อีกเช่นกัน แต่เราก็ไม่รู้จะทำอะไร รูปก็ up ไปหมดแล้ว ทำได้เพียงกินๆๆ และนอนหลับไป

4 ชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก เราก็ถึงเมืองอิสตันบูลแล้ว สถานที่ที่เราจะไปเที่ยวทั้งหมดอยู่กลางเมืองนี้เลย สามารถเดินทางได้โดยรถ tram ถ้าไม่อยากเดินเยอะ แต่ถ้าเดินไหวก็เดินค่ะ เพราะเราจะได้สัมผัสกลิ่นอายของคนตุรกี บ้านเมืองของเขา ต้นไม้ สายน้ำ มันสวยทุกมุมจริงๆ นะ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกันค่ะ แต่มันต้องเชื่อซะแล้ว เพื่อนเคยบอกว่าเมืองอิสตันบูลเป็นเมืองเดียวของตุรกีที่มีร้านอาหารไทย พอถึงปุ๊บก็มุ่งหน้าไปที่นั่นเลย ร้านชื่อ Pera Thai ก็มันไม่ไหวกะอาหารแขกแล้วป่ะ เวียนหัว แล้วมาไม่กี่วัน น้ำหนักก็ขึ้นไป 2 โลแล้ว พุ่งเข้าไปสั่งผัดกระเพราไก่ ไข่เจียวเลยอ่า แล้วก็ปลาทอดซีอิ๋ว เป็นอาหารไทยที่อร่อยที่สุดในชีวิต เราจะเห็นคุณค่าของผัดกระเพราไก่ในวันที่เราอดอยาก เพิ่งเข้าใจก็วันนี้


หลังจากอิ่มแล้ว ก็เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ เป้าหมายของสถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้คือ Dolmabache Palace เพราะพระพี่นางยังเคยกล่าวไว้ว่า พระราชวังแห่งนี้สวยงามที่สุดในโลก เราเคยเห็นรูปบ้าง แต่ไม่ค่อยเชื่อ เพราะเรามีหลักการในชีวิตว่า เราจะไม่เชื่อจนกว่าเราจะเจอกับตัว หรือได้เห็นกับตาตัวเองเท่านั้น ค่าตั๋วที่นี่ 40 TL ค่ะ 


เริ่มจากประตูทางเข้าด้านหน้าจะมีหอนาฬิกา สวนริมทะเล อุทยาน นาฬิกา ดอกไม้ น้ำพุ สระน้ำ รูปปั้น รูปสลักต่างๆ วางประดับไว้อย่างลงตัว สุลต่านแห่งออตโตมันนี่รสนิยมดีมากนะคะคุณ 

ในระหว่างที่เรากำลังเดินเข้าไป ผ่านสวนกุหลาบ ซึ่งดอกไม้จะเปลี่ยนไปตามเทศกาลและฤดูกาลของที่นั่น พีแกขยันปลูกขยันขุดมาก ดอกกุหลาบตอนนี้ก็มีหลากสีเชียว สวยงามอร่ามตา แต่เราชอบสีเหลืองมากที่สุดค่ะ เพราะไม่ค่อยเห็นที่ไหน ถ้าหันหน้าเข้าพระราชวังแล้วเหลียวขวา ก็จะตะลึงไปเลย ไม่ใช่ส่วนของสิ่งก่อสร้างอลังการแต่อย่างไร แต่เป็นช่องแคบบอสฟอรัส ที่น้ำทะเลเป็นสีฟ้าสวยมาก แสงแดดทีส่งลงมา สะท้อนกลับน้ำทะเลเป็นสีรุ้ง สวยอ่า ไม่รู้จะพูดยังไง
เดินเข้าไปเรื่อยๆ จนเข้าตัวพระราชวัง ก็จะมีสัญลักษณ์ห้ามถ่ายรูป T^T เดินชมลึกเข้าไปในตัวพระราชวังเรื่อยๆ ก็ยิ่งตะลึง กษัตริย์ตุรกีเทหมดหน้าตัก ท้องพระคลัง และยังบานปลายจนถึงขั้นต้องไปกู้เงินจากประเทศมหาอำนาจอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส เพื่อนำมาสร้างพระราชวังให้เสร็จ ให้เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน
พระราชวังโดลมาบาห์เช (Dolmabahce) สร้างโดยสุลต่านอับดุล เมซิด (Abdul Mecit) ในปี 2399 ใช้เวลาสร้างถึง 30 ปี สร้างด้วยหินอ่อน ศิลปะแบบตะวันออกผสมผสานกับตะวันตก ตัวอาคารยาว 600 เมตร ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลมาร์มาราในช่องแคบบอสฟอรัสบนฝั่งทวีปยุโรป จุดเด่นของวังแห่งนี้คือมีการประดับตกแต่งอย่างหรูหรา มีทั้งเฟอร์นิเจอร์ พรม โคมไฟ เครื่องแก้วเจียระใน และรูปเขียน รูปถ่ายต่างๆ ที่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่ โคมไฟแชนเดอเลียร์ ของขวัญจากอังกฤษทำจากแก้วคริสตัลขนาดใหญ่ที่สุดในโลกหนักถึง 5 ตัน ประดับดวงไฟ 750 ดวง เสาหินอ่อนบันไดทางขึ้นห้องโถงตรงราวทำด้วยไม้วอลนัต ลูกกรงราวบันไดทำด้วยแก้วคริสตัล อลังการเว่อร์วังมากค่ะคุณ พรมที่ใช้เป็นพรมที่ราคาแพงที่สุดในโลก เป็นพรมทอมือผืนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลกทอโดย Cinar ในตุรกี เครื่องแก้วเจียระไนจากโบฮีเมีย ดีที่สุดในโลกของสาธารณรัฐเช็ก หินอ่อนจากอียิปต์มาทำห้องอาบน้ำ (เซาน่า)ในรูปแบบที่เรียกว่า เตอร์กิชบาธ ที่น่าสังเกตคือมีนาฬิกาวางประดับไว้มากมาย ทุกเรือนจะถูกหยุดเวลาไว้ที่ 09.06 น ซึ่งเป็นเวลาที่ประธานาธิบดีมุสตาฟา เคมาล หรืออตาเติร์กถึงแก่อสัญกรรม

ทุกๆอย่างในพระราชวังปัจจุบันเป็นของดั้งเดิม มิได้ถูกขโมยหรือทำลายเสียหาย การเข้าชมภายในพระราชวังก็ต้องเข้าชมเป็นคณะ เป็นรอบๆมีเวลา มีมัคคุเทศก์ของวังนำชมทีละห้องทีละอาคาร มีเจ้าหน้าที่คอยควบคุมอยู่ท้ายคณะ คอยดูแลไม่ให้แตกแถวไม่ให้อยู่ห้องใดห้องหนึ่งนานเกินไป ไม่ให้จับต้องสิ่งของต่างๆและต้องสวมถุงพลาสติกคลุมรองเท้าทุกคน เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นปาร์เกต์และพื้นพรมเสียหาย ซึ่งตอนเข้าชมจะเข้าด้านหน้า แต่ตอนออกมาจะออกด้านข้างค่ะ

พระราชวังไม่ใหญ่มากนะคะถ้าเทียบกับพระราชวังอื่นๆ ในยุโรป แต่เรื่องความหรูหราและสวยงามนี่ต้องให้โล่อ่าค่ะ เราใช้เวลาเดินชมห้องนู้นห้องนี้ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ครบแล้วค่ะ ก็ออกมาถ่ายรูปเล่นด้านนอกทดแทนที่ไม่ได้ถ่ายด้านใน

เสร็จแล้วก็เดินออกไปด้านนอกเพื่อไปท่าเรือที่ล่องเรือเพื่อชมทัศนียภาพของช่องแคบบอสฟอรัส ด้วยความที่ฟ้าสีดีมากในวันนี้ แดดก็เช่นกัน ทำให้ทะเลมาร์มาราสวยมากขึ้นไปอิ๊ก จากเดิมที่เห็นในรูปก็ตะลึงอยู่แล้ว ทะเลมาร์มาราจะแยกตุรกีออกเป็นสองฝั่ง และ ณ ที่แห่งนี้นี่เองที่ทำให้ตุรกีเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีพื้นที่อยู่บนสองทวีป 


สองฝั่งทะเลจะมีสิ่งก่อสร้างที่สวยงามหลากหลาย ทั้งโรงแรมหรู พระราชวัง สุเหร่า  โรงเรียนนานาชาติ ร้านอาหารของบรรดาไฮโซในย่านนี้ รวมถึงผับบาร์ที่เป็นของทีมฟุตบอลซึ่งโดนวางระเบิดและยังคงมีซากแห่งความหลังให้เราดูต่างหน้า แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกกลัวนะ กลับรู้สึกว่าตุรกีไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราเคยกังวล และด้วยวิว สถานที่ อากาศ ทำให้เราฟินมากกว่าทำให้เรากลัว

ล่องเรืออยู่ประมาณเกือบชั่วโมงก็ไปขึ้นที่ท่าเรือตรงแถวๆ Spice Market เพื่อไปซื้ออาหารพื้นเมืองของตุรกี ซึ่งได้แก่ Turkish Delight ที่อร่อยที่สุดในโลกยี่ห้อดังอย่าง HazerBaba แต่มันก็อร่อยจริงๆ อ่า ยิ่งรสน้ำทับทิมกับน้ำผึ้ง เราชอบมากก็มันไม่หวานมากจนเกินไป และนุ่มๆ ลิ้น ถั่วพิตาชิโอ้นี่เป็นเม็ดๆ เลย ไม่ได้กระโหลกกะลาเหมือนที่บรรจุกล่องขายทั่วไป แต่ราคาก็แพงตามคุณภาพ จากเดิมที่กล่องละ 15 TL ก็จะเป็นกล่องละประมาณ 70-150 TL เช่นกัน
หรือแม้แต่ขนมหวานประจำชาติของบาคลาวาของ Hamdi Restuarant
Hamdi เป็นร้านนี้เป็นร้านดังมาก ดังนั้นการจะได้นั่งกินที่ร้านจะต้องจองล่วงหน้าหนักมาก แต่ด้วยความโชคดีของเราที่ไปช่วงที่ไม่ตรงกับมื้ออาหารมื้อไหนเลย ทำให้โต๊ะว่างและไม่มีคิว เราเลยได้นั่งที่ร้านจิบชาและโกโก้ร้อนเข้มข้นพร้อมบาคลาวาที่อร่อยที่สุดในโลก ที่นี่นิยมชาแอปเปิ้ลมาก มันจะหวานๆ เปรี้ยวๆ โดยส่วนตัวชอบชาที่เป็นชาเพียวๆ เลยมากกว่า แต่ที่นี่หายากมากค่ะ ร้านอาหารจะเสิร์ฟชาแอปเปิ้ล ไม่ก็เบอร์รี่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีชื่อเสียงของที่นี่ ทำให้บางคนต้องซื้อชาตุรกีติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝาก

พอฟ้าใกล้มืด ก็เริ่มมีแสงสว่างจากที่ต่างๆ สถานที่เดียวกัน แต่ต่างเวลาก็สวยงามไปอีกแบบค่ะ สองทุ่มพอดี กลับโรงแรมกันเหอะ พักบ้างไรบ้าง วันนี้เดินเยอะมาก

เป็นอีกวันที่ต้องตื่นเช้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ต้องตะลุยอิสตันบูลก่อนกลับ รู้สึกเสียดายที่ได้มาอยุ่ที่เมืองนี้น้อยเกินไป เลยคิดว่า ครั้งหน้ามาอีกครั้งนั้น จะ Focus ที่อิสตันบูลเป็นพิเศษ เพราะอยากเดินชมเมือง ย้ำว่าเดิน เนื่องจากเมืองนี้มีเมืองเรียบสองฝั่งแม่น้ำที่สวยงามไม่แพ้ยุโรปเลย และในส่วนของอาคารบ้านเรือนก็ได้รับวัฒนธรรมตะวันตกมาค่อนข้างมาก ทำให้ตึกรามบ้านช่องของคนนี้ มีความคลาสสิคเอาการอยู่เหมือนกัน มนต์เสน่ห์คงอยู่ตรงที่ความคลาสสิคมาผสานกับความขลังแต่ครั้งโบราณได้อย่างลงตัว แถมธรรมชาติยังสวยงามได้โล่ขนาดนี้ จะไม่มาซ้ำได้ยังไงกัน เน๊อะๆ

วันนี้ออกจากโรงแรมก็มุ่งหน้าไปยังบริเวณจตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด (Sultan Ahmed Complex) ชื่อโบราณเรียกว่า ฮิปโปโดม ตั้งอยู่หน้าสุเหร่าสีน้ำเงิน ซึ่งเดิมเป็นลานแข่งม้าและศูนย์กลางเมืองในยุคไบแซนไทน์ โดยเราจะเริ่มจากสุเหร่าสีน้ำเงินก่อน เพราะที่นี่มีคนต่อคิวค่อนข้างเยอะค่ะ ค่าตั๋วที่นี่ 40 TL

การแต่งตัวนั้นเข้มงวดสุดๆ พอผ่านด่านตรวจตั๋วจะมีครูฝ่ายปกครองประจำสุเหร่าคอยตรวจการแต่งกายของนักท่องเที่ยว ซึ่งขนาดแต่งตัวเรียบร้อยตามในรูปก็ยังไม่รอดที่จะต้องนุ่งผ้านุ่งของทางสุเหร่า คุณครูบอกว่ากางเกงยีนส์ฟิตไป แลดูคล้ายเลกกิ้ง เอิ่มค่ะ ใส่ก็ใส่ จากกนั้นก็ต้องถอดรองเท้า นำรองเท้าใส่ถุงพลาสติก แล้วหิ้วติดตัวไปด้วย ส่วนด้านในของที่นี่ สามารถถ่ายรูปได้ค่ะ อ่อๆ สำหรับผู้หญิงต้องใช้ผ้าคลุมศรีษะเข้าไปด้วยนะคะ
Blue Mosque หรือสุเหร่าสีน้ำเงินแห่งนี้ สร้างโดยสุลต่านอาเหม็ด ใช้เวลาในการสร้าง 7 ปี สถาปัตยกรรมของมัสยิดแห่งนี้ถือเป็นสุดยอดของสองจักรวรรดิ คือออตโตมันและไบเซนไทน์ เพราะได้รวมเอาองค์ประกอบบางอย่างมาจากวิหารเซนต์โซเฟีย พนวกกับสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม ภายในนั้นไม่ได้ใหญ่มาก แต่สวยดีเหมือนกันค่ะ ผนังและเพดานถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องอิซนิกรูปดอกไม้สีฟ้ากว่า 70 แบบ รวมแล้วกว่า 20,000 ชิ้น กระเบื้องดังกล่าวเป็นกระเบื้องทำมือ ทำให้เมื่อแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาด้านในผ่านช่องกระจก ทำเห็นเป็นสีน้ำเงิน จึงเป็นที่มาของชื่อ Blue Mosque 
ที่นี่มีเสาซึ่งเป็นหออะซานจำนวน 6 เสา เนื่องจากตอนสร้าง สุลต่านสั่งให้สร้างหออซานเป็นทอง หรือ Altin แต่เกิดผิดพลาด สถาปนิกเข้าใจว่าเป็น Alti ที่แปลว่า 6 ทำให้ที่นี่มีหออะซาน 6 เสา ซึ่งเท่ากับกรุงเมกกะ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวอิสลาม ทำให้เกิดการต่อต้านจากชาวมุสลิมอย่างหนัก ตุรกีจึงส่งสถาปนิกไปเจรจาและมอบเงินเพื่อสร้างหออะซานเพิ่มที่กรุงเมกกะให้เพิ่มเป็น 9 ปัญหาดังกล่าวจึงจบไป พอออกมาจากสุเหร่าสีน้ำเงิน เราเดินไปที่ Sultan Ahmet square หรือ ที่เรียกว่า Hippodrome เรียกได้ว่ายืนหยัดเก่าแก่มาอย่างยาวนาน เมื่อก่อนที่นี่มีไว้สำหรับจัดงานรื่นเริงและจัดการแข่งขันกีฬา แข่งม้า สนามประลอง บริเวณนี้จะมีเสาอยู่ 3 ต้น

เมื่อเดินเข้ามาเสาแรกที่เห็นคือเสาโอเบลิสก์ของฟาโรฟ์ทุตโมสิสที่ 3 ที่สร้างถวายแด่สุริยเทพ แกะสลักเล่าถึงชัยชนะในสงคราม เดิมที่เสานี้อยู่ที่เมืองลักซอร์ อายุจริง ๆ ของเสาน่าจะร่วม 3500 ปีได้ ต่อมากษัตริย์ธีโอโดซุอุสได้นำมาประดับไว้ที่ Hippodrome แห่งนี้ ว่ากันว่าเสานี้เป็นวัตถุโบราณที่เก่าแก่ที่สุด ที่ตั้งอยู่ที่จัตุรัสนี้นานถึง 1650 ปีเลยทีเดียว 
ส่วนเสาต้นที่สองเป็นเสาบรอนซ์รูปงู แต่เสานี้ชำรุดเสียหายไปเสียส่วนใหญ่ เหลือไว้ให้เห็นแต่ตอ เป็นเสากรีกที่เก่าแก่ที่สุดในอิสตันบลู อายุร่วม 2500 ปี เดิมที่เสานี้ตั้งอยู่ที่วิหารเทพอพอลโล เมืองเดฟฟี่ ก่อนถูกย้ายมาอยู่ที่จัตุรัสนี้ โดยจักรพรรดิคอนสแตนติน เสาหล่อด้วยสำริด เป็นรูปงู 3 หัว ขดเกี่ยวกันเป็นเกลียว ส่วนหัวชำรุดหายไป 2 หัว ส่วนอีกหัวที่เหลืออยู่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์
ต่อไปเป็นเสาต้นที่สามที่เห็นอยู่รำไรๆ ด้านหลังนั้น เรียกว่าเสาคอนสแตนติน ตั้งตามชื่อกษัตริย์คอนสแตนติน อายุอานามร่วม 1000 ปี 

จากนั้นก็เดินไปที่วิหารเซนโซเฟีย หรือ ฮายาโซฟีอา (Hagia Sophia) ซึ่งเดิมเคยเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่า วิหารเซนต์โซเฟีย (Mosque of Hagia Sophia) หรือสุเหร่าฮาเกีย โซเฟีย 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง เป็นโบสถ์คาทอลิก สร้างในสมัยพระเจ้าจัสติเนียน มีหลังคาเป็นยอดกลมแบบโม เสาในโบสถ์เป็นหินอ่อน ภายในติดกระจกสี เมื่อเติร์กเข้าครองเมือง ได้เปลี่ยนโบสถ์นี่ให้เป็นสุเหร่าในปี ค.ศ. 1453 ฉาบปูนทับกำแพงที่ปูด้วยโมเสกเป็นรูปพระเยซูคริสต์และสาวก ภายหลังทางการได้ตกลงให้สุเหร่าฮาเกียโซเฟียเป็นพิพิธภัณฑ์ที่วันนี้คงบรรยากาศของความเก่าขลังอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะโดมที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกซึ่งมีพื้นที่โล่งภายในใหญ่ที่สุดในโลก ก่อสร้างด้วยการใช้ผนังเป็นตัวรับน้ำหนักของอาคารลงสู่พื้นแทนการใช้เสาค้ำยันทั่วไป นับเป็นเทคนิคการก่อสร้าง ที่ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น (ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฮาเกียโซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ค่าตั๋วที่นี่ 40 TL ค่ะ
พอมาถึงด้านในแล้วนั้น เราสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของวิหารแห่งนี้ บรรยากาศตอนอยู่ด้านในนี่ขลังโครตๆ ไปเลยค่ะ เริ่มจากบริเวณโดมของวิหารที่อลังการเว่อร์วัง ว่ากันว่า ตอนเริ่มก่อสร้างนั้น วิศวกรควบคุมงานแก้ปัญหาข้อจำกัดเรขาคณิตไม่ตกว่าจะสร้างโดมทรงกลมเหนือฐานรูปสี่เหลี่ยมอย่างไร จึงคิดค้นทฤษฎีใหม่ โดยการสร้างเสาหลัก 4 ต้น ที่มุมแแต่ละด้านของฐานสี่เหลี่ยมเหนือยอดเสาขึ้นไปเป็นซุ้มประตู เติมเต็มช่องว่างระหว่างซุ้มโค้งด้วยผนังปูนรูปสามเหลี่ยมผนึกกันเป็นฐานที่แข็งแกร่งรองรับน้ำหนักของหลังคาโดม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามากในสมัยนั้น
แต่เดิมมุมทั้งสี่จะเป็นรูปของ Virgin Mary แต่ปัจจุบันบางส่วนถูกทำลายไป และบางส่วนถูกปิดทับด้วยสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม เช่น รูปดาว เป็นต้น
มองจากด้านล่างจะเห็นระเบียงโดยรอบ ซึ่งเราสามารถเดินขึ้นไปชมด้านบนได้ค่ะ 
ส่วนรูปด้านล่างนี้เป็น Highlight ของวิหารแห่งนี้เลยก็ว่าได้ แต่มีหลายคนไม่ได้มาชม เนื่องจากอยู่บริเวณทางออกของวิหาร ภายหลังทางวิหารจึงมีการติดกระจกไว้ที่ประตูทางออกเพื่อให้สะท้อนเห็นภาพดังกล่าวเวลาเราเดินออกจากโบสถ์ จะได้หันหลังกลับไปดูค่ะ
ยังค่ะ มาชมทางออกแต่ยังไม่ออกนะคะ เดินกลับเข้าไปเพื่อไปชมวิหารที่ชั้นสองค่ะ รูปด้านล่างเป็นลักษณะทางขึ้นวนๆ ขึ้นไปจนถึงชั้นสอง เดินเรื่อยๆ ไม่เหนื่อยมาก แต่วนหลายรอบอยู่เหมือนกัน
 จากด้านบนจะมองเห็นโดมแบบชัดเจนมากขึ้นค่ะ 
 เดินไปเรื่อยๆ จะเจอรูปพระคริสต์ที่มีคนมุงดูกันอยู่
ภาพด้านบนนี้เป็นภาพฝาผนังซึ่งถูกทำลายไปในสมัยกวาดล้างชาวคริสต์ค่ะ จริงๆ ภาพที่สมบูรณ์จะต้องเป็นแบบภาพด้านล่าง
เมื่อชมด้านบนครบแล้วก็เดินกลับลงมา และออกจากวิหารแห่งนี้ 
ยังไม่จบค่ะ หนทางยังอีกยาวไกล วันนี้เราจะเดินให้ยอกกันไปข้างหนึ่ง เราเดินไปต่อกันที่พระราชวัง ทอปกาปึ (Topkapi Palace) ซึ่งเป็นพระราชวังเดิมก่อนที่ Dolbamache จะสร้างเสร็จ ที่นี่ใหญ่กว่า Dolbamache ค่อนข้างมาก ด้านหน้าเป็นสวนขนาดใหญ่ อยู่ติดกับทะเลมาร์มาร่าเหมือนกัน ด้านในจะมีจุดชมวิวหนึ่งที่สามารถนั่งฟินกับวิวทะเลพร้อมจิบกาแฟหรือชาไปพลางๆ ได้ค่ะ
จากวิหารโซเฟีย เดินมาไม่ไกลนักก็จะเจอพระราชวังทอปกาปึ ก็เดินไปซื้อตั๋วและเข้าไปด้านในค่ะ สำหรับที่นี่เสียค่าตั๋ว 40 TL แต่ว่าจะไม่รวม Harem นะคะ ที่นี่เดินชมตามอัธยาศัยเลย ไม่ได้บังคับว่าต้องไปที่ไหนก่อน เอาเป็นว่าตรงไหนคนไม่เยอะก็ไปก่อนเลย
ช่วงนี้ ดอกไม้ในสถานที่ต่างๆ จะถูกปลูกและประดับตกแต่งด้วยกุหลาบ ซึ่งกุหลาบที่นี่ดอกเยอะกว่าใบค่ะ หึๆ อยากขุดกลับไปปลูกที่บ้าน
 อันนี้เป็นจุดที่บอกเมื่อกี้นี้ว่าเราสามารถชมวิวทะเลได้จากระเบียงของอาคารด้านในค่ะ สวยมว๊าก
ส่วนนี้อยู่บริเวณด้านนอก แต่ละอาคารจะจัดแสดงของมีค่าที่แตกต่างกันไป บางห้องเป็นนาฬิกาจากยุคต่างๆ และเข็มทิศ บางห้องจัดแสดงอาวุธในการรบสมัยโบราณ จำพวก ดาบ กริช มีอยู่ตู้หนึ่งโชว์ดาบยาวประมาณเมตรครึ่ง แม้เจ้า อยากรู้นักว่าเป็นของแม่ทัพคนไหน ร่างคงจะใหญ่น่าดูเลยทีเดียวเชียว
ห้องโชว์ของเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะไม่ให้ถ่ายรูป และมีเจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าอย่างเคร่งครัด แอบไม่ได้เลอ เฮ่อ

Highlight ของที่นี่คือ Harem และ ห้องเก็บราชสมบัติของกษัตริย์ ซึ่งเว่อร์วังปาจังโกะ มาก อาทิเพชรของคนขายช้อนซึ่งหนักกว่า 100 กะรัต แต่เจียระไนเหลือ 86 กะรัต หรือกริชทอง เป็นต้น แต่ห้องนี้ไม่สามารถถ่ายรูปได้ค่ะ แต่ในส่วนของ Harem นั้น ถ่ายได้สบายบรื๋อจ้า ที่นี่เสียค่าเข้าอีก 25 TL วันที่ไปสามารถเข้าได้ทันทีไม่ต้องต่อคิว เจ้าหน้าที่บอกว่าปกติคนเยอะมาก 

ด้านในนั้นถูกตกแต่งอย่างงดงาม จนอยากเข้าไปอยู่เลยทีเดียว สำหรับ Harem นั้นจะมีเพียงสุลต่านเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ในนี้จะมีผู้หญิงงามเป็นร้อยๆ พันๆ คน ให้กษัตริย์เลือก ดังนั้นหญิงงามในที่นั้นจะต้องแข่งกัน เพื่อให้สุลต่านเลือก อารมณ์เหมือนประกวด The Face อ่ะ (อันนี้ไม่ได้แต่งเองนะ เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังค่ะ) ส่วนผู้ชายก็จะสามารถเข้าไปได้แค่เดียวคือขันที จะคอยส่งสำรับอาหารหรือคอยรับใช้ใกล้ชิด

พอชมเสร็จก็เดินออกมาด้านนอก ก็เป็นอันจบภารกิจฟิชโช่สำหรับวันนี้ เอาเหอะ พักบ้างไรบ้าง ชิวบ้างชิคบ้าง เหนื่อยล้าว ภาคที่เหลือสำหรับวันนี้ก็ช็อปปิ้งไป ชมเมืองน่าร๊อกๆ ของอิสตันบูลไปเน๊อะ บ่ายคล้อย ง่วงเหงาหาวนอน เพราะตื่นเช้า เพื่อนที่เคยไปที่นั่นหลายครั้งบอกว่ามีร้านกาแฟร้านเด็ดอยู่ใกล้ๆ ตลาดแกรนด์พลาซ่า จากประตู 7 ให้เดินตรงเข้าไปเรื่อยๆ จนทะลุประตู 1 จะมีลานซึ่งมีที่นั่งเล่น และมีร้านค้าอยู่สองข้างทาง มีร้านกาแฟหลากหลาย แต่ที่เพื่อนบอกคือร้าน Kahve Dunyasi Grand Bazaar เพื่อนบอกว่ากาแฟร้านนี้ดี แต่ที่ดีกว่านั้นคือช็อกโกแล็ตและขนมหวาน ก็เลยสั่งมาลองสองสามอย่าง และอาศัยที่นี่เป็นที่พักพิงของหม่อมแม่ด้วย เพราะว่าหม่อมแม่เดินไม่ไหวแล้ว
ปิดท้ายกันที่ร้านอาหารไทยร้าน Pera Thai ในตอนเย็นอีกรอบ ตอนเย็นในที่นี้คือสองทุ่ม ซึ่งคนเยอะมากต้องรอคิวนานเกือบครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว เสร็จแล้วก็กลับเข้าที่พัก หมดแรงแล้ววันนี้

วันนี้เป็นสุดท้ายของการท่องเที่ยวอิสตันบูล และเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ด้วยค่ะ วันนี้ชิวจริง ตื่นให้สายที่สุด กินอาหารเช้าแบบ American Breakfast ที่โรงแรมบ้าง เพราะโรงแรมที่อิสตันบูลจะมี Line อาหารที่หลากหลายกว่า เมื่อเทียบกับโรงแรมนอกเมืองค่ะ แล้วก็ check out ออกไปเลย และฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนเข้าเมืองไปด้วยตัวเปล่าเปลือยพร้อมเงิน TL ที่เหลืออยู่อันน้อยนิด โรงแรมที่พักเป็นทางผ่านไปสนามบิน ทำให้ไม่เสียเวลามากนักในกรณีที่ต้องแวะเอากระเป๋าค่ะ แถมไม่ต้องเป็นภาระในการท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ด้วย ตอนแรกกะเอาสะดวกตอนกลับไปสนามบิน แต่เอาเข้าจริง เราควรเลือกที่พักบริเวณใกล้ๆ จตุรัสอาเหม็ดมากกว่า เพราะอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ เพียงแต่จะเป็น guest house เป็นส่วนใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาจเทียบกับโรงแรมขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ไกลออกมาไม่ได้ค่ะ ก็ต้องเลือกว่าจะเอาสะดวกสบาย หรือเอาใกล้ที่พัก เอาที่สบายใจค่ะคุณ

จริงๆ แล้วสถานที่ท่องเที่ยว Highlight ของอิสตันบูลนั้น อยู่บริเวณที่ไม่ห่างกันมากนัก สามารถเดินได้ค่ะ ถ้าวันเดียวหรือสองวันไม่จบก็เพิ่มระยะเวลาในการเข้าชมได้ เพราะแต่ละที่ต้องซื้อบัตรเข้าชมแยกกันหมด และสามารถซื้อตั๋วจากด้านหน้า แล้วเดินเข้าไปได้เลย ไม่ต้องจองล่วงหน้า

สำหรับอิสตันบูลแล้ว นอกเหนือจากสถานที่ที่เราเข้าชมไล่มาตั้งแต่มะวานนี้ จะมีอีกหนึ่งที่ที่ขาดไม่ได้ เพราะเค้าลือกันว่าสวยงามมาก นั่นก็คือ อุโมงค์เก็บน้ำเยราบาตัน ซึ่งเป็นอุโมงค์เก็บน้ำที่ใหญ่ที่สุดในอิสตันบูล  อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน (Yerebatan saraya or the Underground Cistern) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับบริเวณจตุรัสสุลต่านอะห์เมต เป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งไม่ควรพลาดในการแวะเที่ยวชม อุโมงค์เก็บน้ำดังกล่าวนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำการเก็บน้ำที่ไหลมาจากป่าเบลเกรด โดยมีท่อน้ำลำเลียงซึ่งเรียกว่า “Aqueduct” อุโมงค์มีความจุน้ำได้มากถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตร ขนาดของอุโมงค์ มีความยาว 141เมตร กว้าง 73 เมตร มีเสาค้ำยัน 336 ต้น

ในสมัยไบแซนไทน์ อุโมงค์เก็บน้ำแห่งนี้ถูกเรียกว่า “The Basilica Cistern” เมื่อออตโมตันตีอิสตันบูลแตก อุโมงค์เก็บน้ำดังกล่าวนี้ไม่เคยถูกใช้งานอีกเลย  เพราะไม่เคยมีข้าศึกมาล้อมเมืองดังกล่าวนั้นเอง

ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากวิหารโซเฟียร์ เดินมาถึงด้านหน้าจะมีที่ขายตั๋ว ค่าตั๋วราคา 20 TL ซื้อตั๋วเสร็จก็เดินตามทางเข้าไปด้านในได้เลยค่ะ ภายในอุโมงค์นั้นค่อนข้างเย็น เนื่องจากอยู่ใต้ดินและมีน้ำตลอดเวลา เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จะพบกับเสาต้นหนึ่ง ซึ่งเป็นเหมือนตาน้ำ เรียกกันว่าเสาหยดน้ำตา The Column of Tears ตัวเสาจะถูกสลักเป็นเหมือนรูปน้ำตา และมีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา ถือเป็นจุดที่ต้องเข้ามาดูค่ะ 
เดินเข้ามาลึกอีกหน่อย ถัดจากเสาตาน้ำประมาณ 50 เมตร ก็จะพบกับ เสาศีรษะเมดูซ่า (Medusa) ตามความเชื่อกรีกโบราณ เมดูซ่าเป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ใต้ดิน เส้นผมของเมดูซ่าเป็น “งู” ว่ากันว่า ถ้าใครมองเห็นใบหน้าของเธอก็จะกลายเป็นหินในทันที ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้เคล็ดในสมัยโบราณ จึงนิยมทำให้เมดูซ่าตั้งกลับหัวหรือตะแคงค่ะ เดินชมความอลังการกันไปเรื่อยๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่า คนโบราณไปเอาเสาหินพวกนี้มาจากไหนถึงได้มีจำนวนเยอะขนาดนี้ และที่สำคัญแต่ละต้นนั้นมีขนาดใหญ่และไม่มีรอยต่อของหินเลยค่ะ เค้าขนกันมายังไงหรอ งงจรุง
จากนั้นก็เดินกลับออกมาทางเดิมค่ะ ข้างในนั้นจะค่อนข้างเปียกชื้นตลอดเวลา ประกอบกับความมืดด้วย จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินชมค่อนข้างสูงค่ะ เพราะวันนั้นที่เข้าไปก็มีฝรั่งลื่นจั้มเบ้าเลย น่าสงสารเชอะ

ออกมาช่วงบ่ายก็นั่ง tram ไปตลาดแกรนด์บาซ่า ซึ่งเมื่อวานแค่ผ่านไปนั่งกินกาแฟและเหม่อมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา คนที่นี่หน้าตาดีนะ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย หน้าคมเชอะ เหมือนคนยุโรป แต่มีความแขกเข้ามาร่วม เลยทำให้รวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ที่ตลาดนี้มีของขายสารพัด ทั้งของที่ระลึกจำพวก พรม จาน ชาม รวมไปถึงโคมไฟ สามารถเลือกช็อปได้ตามชอบใจ แต่ขอให้จำประตูที่ตัวเองเข้ามาดีๆ เพราะอาจหลงได้ค่ะ เนื่องจากที่นี่ ยิ่งเดินยิ่งลึก ยิ่งเดินยิ่งหลง ยิ่งเดินยิ่งเหมือนกันจนสับสน เราได้จานชามมาเยอะเลย เพราะเป็นมนุษย์ที่ชอบสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว ซื้อของพอเงินหมด ก็หาของกินรองท้องก่อนจะกลับเพื่อไปเอากระเป๋าและเตรียมตัวไปสนามบินและอำลาเมืองนี้อย่างเป็นทางการ

พอถึงสนามบินก็ scan กระเป๋าตั้งแต่เข้าสนามบินเลย แล้วไปออกตั๋วที่ตู้และโหลดกระเป๋าที่เคาน์เตอร์ แล้วเข้าไปชิว ช็อป ชิม ระหว่างรอขึ้นเครื่องได้ค่ะ วันนี้มีเวลาเหลือเฟือเชียว แต่ขอนั่งนิ่งที่ร้านกาแฟจะดีกว่าค่ะ หมดแรงแล้ว #เงินก็เช่นกัน

เรารักการเดินทางครั้งนี้มาก ถึงแม้มันจะดูต้องทรหดอดทน ตรากตรำ เดินเยอะ นั่งรถไกล แต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน 555 ฉันถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ทั้งการได้ไปเที่ยวกับแม่ที่ถึงแม้จะต้องทะเลาะและเถียงกันตลอดเวลาก็ตาม และประเทศนี้เป็นประเทศที่ต้องยอมรับว่าครบจริงๆ ทั้งเรื่องของความงามตามธรรมชาติ ความงามตามประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ถึงแม้อาหารจะกินยากไปเสียหน่อย แต่มันอาจเป็นเพราะเราไม่ชิน สำหรับคนติดช็อป ก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะที่นี่ไม่มีอะไรให้ช็อปค่ะ มีแต่พรม จาน ชาม ถ้วย แก้ว อะไรแบบนี้มากกว่า แต่ถ้าเป็นแม่บ้านตัวจริงล่ะก็ กระเป๋ามีน้ำหนักเกินเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ

อาหารหลักๆ ที่กินเป็นอาหารพื้นเมือง ประเทศนี้เราไม่โฟกัสเรื่องอาหารกันนะคะ อย่าพยายามหาอาหารจีน เพราะจีนยังไงก็คือแขก แล้วสุดท้ายแล้วแย่กว่าเดิม ดีขึ้นมาหน่อยก็เป็นพวก เคบับปลา ไก่ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้วิ่งเข้า Mac หรือ Burger King ไปเลยแล้วเลือกดีๆ เพราะยังมีบางเมนูที่ใส่เครื่องเทศแบบแขก ยกเว้นที่อิสตันบูลจะมีร้านอาหารไทยร้านหนึ่งที่อร่อยเลย คือ Pera Thai ค่ะ แต่ก็มีราคา และร้านไม่ใหญ่มากค่ะ นั่นแปลว่า ถ้าไปกินตรงมื้ออาหารของคนที่นั่น คุณอาจต้องรอนานหรือไม่ก็ไม่ได้กิน ส่วนกาแฟ Turkish Coffee ชนะเลิศค่ะ เข้ม ตื่นไปจนถึงอีกวันหนึ่ง มีหลายร้านค่ะ แต่พยายามเลือกร้านท้องถิ่นนะคะ เพราะบางครั้งนอกจากจะได้ลิ้มลองกาแฟพื้นเมืองอร่อยๆ แล้ว ยังได้ชิมขนมหรือช็อกโกแลตที่เป็น signature ของร้าน ต้องบอกว่า อร่อยน้ำตาไหล อันนี้พูดจริงๆ 
สำหรับใครที่อยากลอง บาคลาวา ขนมหวานประจำชาติของตุรกี แนะนำร้าน Hamdi ที่อิสตันบูลนะคะ 
ในส่วนของ Turkish Delight ที่หลายคนมักซื้อเป็นของฝากก็มีหลายร้านค่ะ สามารถชิมได้ก่อน ที่นิยมจะเป็น Pitachio และ Walnuts ค่ะ ถ้ามีเงินขึ้นมาหน่อยก็ Hazer Baba เลยค่ะ ในตลาด Spice Market
แต่ก็มีอีกหลายร้านนะคะ เลือกชิมช็อปที่ชอบๆ ได้เลย

การเดินทางส่วนใหญ่ใช้รถบัสเป็นหลักในการเดินทางข้ามเมืองต่างๆ ที่ไม่ใช่อิสตันบูล มีหลายบริษัทให้บริการและไปได้ทุกที่เลยค่ะ หากต้องการประหยัดเวลาสามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ แต่จะมีปลายทางแค่บางแห่ง ก็เหมือนๆ กับบ้านเรา ส่วนในตัวเมืองอิสตันบูล ใช้รถ tram กับ taxi ได้สบายบรื๋อ แต่ราคาก็จะสูงหน่อยหนึ่งนะคะ เพราะในเมืองรถค่อนข้างติดค่ะ ในส่วนของโรงแรมที่พักสำหรับทริปนี้คือ Ramada, Amina และ Novotel ค่ะ

โดยส่วนตัวแล้วชอบเมืองคัปปาโดเกียเป็นอันดับหนึ่ง อาจเพราะเป็นเมืองในฝันตั้งแต่ไหนแต่ไรมา แต่รักเมืองอิสตันบูลค่ะ ถ้าโอกาสจะเอื้ออำนวย จะกลับไปเหยียบอิสตันบูลอีกครั้ง แล้วเน้นเที่ยวอิสตันบูลไปเลย เพราะยังมีอีกหลายที่ที่อยากไป แต่เวลาในครั้งนี้ไม่เพียงพอ อยากไปพัก hostel ที่อยู่ตามซอยในตัวเมือง แล้วเดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็ต้องยอมรับว่าบ้านเรือนเค้าน่าร๊อกมากจริงๆ ค่ะ

โอ้ยๆ ตกหลุมรักที่ตุรกี
Akiko








ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...