เที่ยวออสเตรเลียฉบับฉุกละหุก by Akiko : โคอาลา (Koala)ไม่มี passport ถ้าอยากกอดก็ต้องไปหา

ฉันได้มีโอกาสเยือนดินแดนจิงโจ้ คนอื่นเรียกแบบนั้น แต่สำหรับฉัน ฉันคิดว่ามันคือดินแดนแห่งโคอาลา (Koala) มากว่า ที่ถึงแม้จะมีน้อยตัวจนเกือบจะนับด้วยนิ้วมือได้ แต่โคอาลาก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความน่ารักของดินแดนแห่งนี้ แต่ด้วยเวลาอันน้อยนิดที่ได้ไปเที่ยวที่นี่ทำให้ทุกอย่างดูรีบไปหมด จนบางครั้งก็ไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของออสเตรเลียอย่างที่ใจอยากทำ แต่ก็ถือว่าเป็นทริปที่คุ้มค่าอีกทริปหนึ่งถ้าเทียบกับเวลาอันน้อยนิดที่มี อ่อ ทริปนี้ฉันเดินทางช่วงวันหยุดสงกรานต์พอดี ไม่อยากจะเชื่อใช่มั้ยล่ะว่าเวลาแค่ 6 วันก็ทำให้เราเห็นโลกกว้างได้ในอีกแง่มุมหนึ่ง ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้เห็นสิ่งต่างๆ ด้วยตาของตัวเอง ฉันเชื่อว่า ถ้าเราอยากเดินทางเมื่อไหร่ ก็ทำเลย ถ้าเงินพร้อม ร่างกายพร้อม ไม่ต้องรอวันลาพักร้อนหรือวันหยุดยาว มีเวลาแค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่ต้องตั้งกฎเกณฑ์อะไรให้มากมาย ป่ะไปหาน้องโคอาลากัน
ทริปนี้เราเดินทางโดยสายการบินไทย ซึ่งบินตรงจากสุวรรณภูมิ ไปซิดนีย์ ใช้เวลาบินประมาณ 9 ชั่วโมง เราไปถึงซิดนีย์ประมาณ 8 โมงเช้า เวลาที่นั่นเร็วกว่าไทยประมาณ 3 ชั่วโมง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและผ่านด่านน้องหมา ที่เรียกแบบนี้เพราะว่า ออสเตรเลียมีด่านที่มีเจ้าหน้าที่และน้องหมา คอยสุ่มตรวจกระเป๋าของเรา เพราะประเทศนี้เป็นประเทศที่ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการเอาอาหารสด ผัก หรือผลไม้เข้ามาในประเทศ พอออกจากสนามบินได้ ชิบหายนะแล้ว ลืมเอาแว่นกันแดดมา แล้วแดดก็แรงมาก เป็นเหตุให้ทริปนี้ ลืมตาไม่ขึ้นกันทั้งทริปเลยทีเดียว แถมด้วยความงกก็ไม่มีการซื้อใหม่แต่อย่างใด แต่ไม่เป็นไร มาถึงนี่แล้ว เราก็เริ่มบรรเลงกันเลยดีกว่าค่ะ
จากสนามบินเรามุ่งหน้าไป Koala Park Sanctuary เพื่อไปหาน้องโคอาลาก่อนเลย เพราะเป็นเป้าหมายหลักสำหรับการมาที่นี่ ก็ได้เจอน้องโคอาลาสมใจ  น้องน่ารักเชอะ แต่ค่อนข้างหยิ่งนิสหน่อย มีบางคนอุ้มน้องเพื่อถ่ายรูป แต่ฉันไม่กล้าอุ้มเนื่องเล็บของน้องยาวและงุ้มมาก จึงทำได้แค่อยู่ใกล้ชิดกัน แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอเน๊อะ ฉันให้เวลากับน้องนานเป็นชั่วโมง ให้คุ้มกับที่นั่งเครื่องมา 9 ชั่วโมงและต้องเดินทางอีกประมาณชั่วโมงเพื่อสิ่งนี้ มาถึงตอนนี้ มีใครสังเกตมั้ยว่า ฉันเรียกน้องที่อยู่ในรูปว่าน้องโคอาลา แต่ไม่เรียกกว่าหมีโคอาลา อย่างที่คนอื่นเรียกกัน เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่า คนส่วนใหญ่มักคิดว่าโคอาลาคือหมี ด้วยความที่หน้าตาเหมือนหมี แต่จริงๆ แล้ว โคอาลาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่มีความคล้ายจิงโจ้ คือตัวเมียจะมีถุงหน้าท้องด้วย ซึ่งฉันคิดเองว่าสัตว์ที่อยู่ในดินแดนแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน ส่วนคำว่า โคอาลา เป็นภาษาอะบอริจินส์ ซึ่งแปลว่าไม่กินน้ำ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่า โคอาลาจะไม่กินน้ำเลยตลอดชีวิต เพราะได้รับน้ำอย่างเพียงพออยู่แล้วจากใบยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นอาหารหลักของมัน คนอื่นอาจจะรู้ข้อมูลนี่อยู่แล้ว แต่สำหรับฉัน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย หลงคิดว่านี่คือหมีมาตั้งนาน
จากนั้นก็เดินเที่ยวในสวนสัตว์ซึ่งมีสัตว์หลายชนิด อย่างจิงโจ้ ที่เราสามารถให้อาหารได้อย่างใกล้ชิด (แต่ก็แอบกลัวเหมือนกันนะ)
รูปก็จะถ่าย จิงโจ้ก็จะกินมืออยู่แล้ว เดินดูสัตว์ไปเรื่อยจนหิว ก็เลยกินข้าวที่สวนสัตว์แห่งนี้เลย เรากินเบอร์เกอร์ธรรมดาๆ ง่ายๆ นี่แหละ เพราะเราต้องรีบเดินทางกันต่อ วันแรกก็จัดโปรแกรมซะแน่นเลย ช่วงบ่ายเราเดินทางไป Blue Mountain National Park เพื่อขึ้นไปชมทิวทัศน์ที่สวยงามของซิดนีย์ ที่นี่มีต้นยูคาลิปตัสเยอะอย่างที่เค้าว่าจริงๆ ค่ะ พอไปถึงเราก็เดินไปเรื่อยๆ เพื่อไปดู Three Sisters Rock ที่เป็นแท่นหินใหญ่สามก้อนที่มีรูปร่างแปลกตา เขาบอกว่ามันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ก็แน่แหละ เพราะดูจากทรงแล้วก็ไม่น่ามีไรแกะสลักหรือทำอะไรให้นวลน้องสามอนงค์มีลักษณะแบบนั้นได้ ที่นี่เป็นอีกหนึ่ง Highlight ของซิดนีย์ค่ะ
จากนั้นเราก็ขึ้นไปที่ Scenic World เพื่อขึ้นรถรางไฟฟ้า โดยรถรางจะวิ่ง ทะลุหุบเขาจากข้างบนลงไปยังหุบเขาข้างล่าง ซึ่งมันค่อนข้างชัน ทำให้เราตื่นเต้นมาก ก็นับว่าเป็นประสบการณ์เสียวที่น่าทดลองค่ะ
พอนั่งรถรางลงไปข้างล่างแล้ว ก็ขึ้นกระเช้าจากใต้หุบเขาขึ้นมาข้างบนอีกรอบหนึ่ง เอาค่ะคุณ เอาให้มึนกันไปเลย หลังจากขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว ก็จะเห็นหุบเขา Three Sisters จากอีกมุมหนึ่ง ซึ่งสวยไม่แพ้กัน แต่ด้วยความลืมแว่นตาดำและแดดก็แรงมาก ทำให้ลืมตาชมความงามได้ไม่เต็มตาเท่าไหร่ก็ต้องเดินกลับเข้ามาในที่ร่ม เพราะแดดที่นี่แรงจริงอะไรจริง กว่าจะผ่านตรงนี้ไปได้ก็ปาไปเย็น ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว พอกินอาหารเสร็จก็เข้าที่พัก เพราะพรุ่งนี้ยังมีโปรแกรมอีกแน่นเลย สำหรับทริปนี้เราพักโรงแรมเครือ Accor ทั้งหมด เพราะค่าใช้จ่ายย่อมเยาว์ดูเป็นมิตรกับนักเดินทางค่ะ

วันที่สอง ตื่นแต่เช้าล้างหน้าแปรงฟัน เอาจริงๆ เวลาไปเที่ยวนี่ฉันตื่นเช้าเท่าๆ กับวันทำงานเลยทีเดียว เราออกจากโรงแรมประมาณ 9 โมง มุ่งหน้าไปยัง Bondi Beach ใช้เวลาไม่นาน ก็ถึงที่หมาย เนื่องจากเป็นช่วง summer ทำให้คนมาที่นี่กันตั้งแต่เช้า ทั้งเล่นกีฬาทางน้ำและนอนอาบแดด หาดบ้าไรไม่รู้ข๊าวขาว ขาวมากและทรายละเอียดมาก ฉันเดินถอดรองเท้าทอดอารมณ์ไปบนทรายท่ามกลางแสงแดดที่แรงกล้าไปจนสุดหาด ชอบที่นี่นะ น่าเสียดายที่เราไม่ได้แพลนว่าจะพักแถวๆ นี้
พอร้อนได้ที่แล้วก็เดินทางไป Watson Bay เพื่อเดินขึ้นไปที่จุดชมวิว The Gap ซึ่งมีสวนสาธารณะด้วยและจากจุดนี้เราสามารถชมวิวของอ่าวซิดนีย์ได้อย่างสวยงามด้วยค่ะ นอกจากนั้นตรงนี้จะมี Highlight อีกจุดหนึ่งนั่นก็คือ Mrs macquarie's chair 
ของเค้าดีจริงๆ วิวตรงนี้สวยมาก เราสามารถมองเห็นสะพานฮาเบอร์ และ Opera House ได้อย่างชัดเจน 
พออิ่มเต็มกับตรงนี้แล้วก็กลับไปในตัวเมืองเพื่อไปสนามบิน ซึ่งคืนนี้เราก็บินไปเมืองเมลเบิร์นค่ะ เราบินโดยสายการบิน Virgin Blue ซึ่งสายการบินนี้โหดมาก กำหนดให้สัมภาระของแต่ละคนไม่เกิน 20 กิโลกรัมและได้ใบเดียวเท่านั้น ดังนั้นหากใครที่ต้องใช้สายการบินภายในประเทศ อาจต้องวางแผนเรื่องกระเป๋าดีๆ นะคะ ระหว่างรอที่สนามบินเราก็เลยกินข้าวที่สนามบินซึ่งมีให้เลือกไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็พวกเบอร์เกอร์ แซนวิช บลาๆๆๆ ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงเมืองเมลเบิร์นค่ะ ที่เมืองนี้เราก็พักโรงแรมเครือ Accor เหมือนเดิม ก็พักผ่อนกันก่อนแต่เพียงเท่านี้ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะคะ

วันที่สาม วันนี้ออกจากโรงแรมเช้าอีกเหมือนเคย เพราะเรามีหนทางที่ยาวไกลรออยู่ วันนี้เราต้องเดินทางไกล เพราะเราจะไป Great Ocean Road แบบเต็มสาย เราเดินทางผ่านทางเมือง Geelong ถนนสายนี้จะมีชายฝั่งมหาสมุทรและหาดทรายให้เราชมตลอดเวลาที่เรานั่งรถไป โดยผ่านเมือง Anglesea และเมือง Lorne ระหว่างทางเราจะผ่านทุ่งหญ้า ซึ่งบางครั้งจะเห็นจิงโจ้ตัวเป็นๆ ตามธรรมชาติผลุบๆ โผล่ๆ หรือแม้แต่บางช่วงถนนเราจะเห็นจิงโจ้โดนรถชนตายอยู่ข้างทางก็มี คือจิงโจ้เยอะมากจริงๆ นอกจากนี้ หากผ่านป่าที่มีต้นยูคาลิปตัสเยอะๆ ก็จะเห็นน้องโคอาลาที่เกาะอยู่บนต้นยูคาลิปตัสด้วยเช่นกัน แต่ไม่เยอะมาก นานๆ จะเห็นตัวสองตัว เราพักกินข้าวที่ Apollo Bay เป็นอีกหาดที่เงียบสงบ แต่มีร้านอาหารอยู่ข้างทาง ก็เลยกินข้าวเที่ยงกันที่นี่
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปยัง Port Campbell เพื่อไปชมความงามของหิน Twelve Apostles เป็นการตั้งชื่อตามนักบุญสิบสองสาวกที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์ Twelve Apostles เป็นหมู่หินที่อยู่กลางมหาสมุทร ซึ่งในครั้งนี้ ฉันได้ซื้อตั๋วเพื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อชมความงามของหมู่หินกลางมหาสมุทรนี้ด้วย นับเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ในระหว่างที่เราอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ คนขับก็จะอธิบายว่า หินอันไหนคืออันไหน ซึ่งเขาจะขับวนอยู่ประมาณไม่ถึง 10 นาทีก็ลงจอด ซึ่งแนะนำว่า ถ้าไปแล้ว ควรจะขึ้นค่ะ ค่าขึ้นก็ประมาณ 120 AUD ค่ะ แต่คุ้มค่ะ ขอให้เชื่อ
พอลงมาแล้วก็เดินชมวิวต่อ ซึ่งจะมีสะพานทอดยาวให้เราเดินชมทิวทัศน์อันสวยงามของ Twelve Apostles และมหาสมุทร แต่เอาจริงๆ สวยสู้วิวตอนที่นั่งบนเฮลิคอปเตอร์ไม่ได้น๊า อยากให้ลองค่ะ
เราออกจากที่นั่นช่วงเย็นเพื่อกลับเข้าสู่เมืองเมลเบิร์นอีกครั้ง พอถึงตัวเมืองก็เชคอินที่โรงแรมและเดินเล่นชมเมืองเมลเบิร์นยามค่ำคืนแถวๆ Crown Casino เพราะเราพักแถวๆ นั้น และหาอะไรดื่มชิวๆ ชมวิวแม่น้ำ เริ่ดอ่าค่ะ พูดเลย จากนั้นก็กลับเข้าโรงแรมพักผ่อนตามอัธยาสัย 
วันที่สี่ วันนี้ออกจากโรงแรมสายหน่อย เพราะตื่นสายและเป็นวันเบาๆ และเราเองก็หนักหน่วงมาหลายวันแล้ว วันนี้ตั้งใจไปนั่งรถไฟจักรกลไอน้ำโบร๊าณโบราณ Puffing Billy Stream Train เค้าว่ากันว่าคลาสสิคมาก และยังใช้ได้จริงอยู่ แต่ว่าวิ่งสายสั้นๆ พอไปถึงก็ไปซื้อตั๋วเพื่อขึ้นรถไฟ ทั้งคนขายตั๋วและนายสถานีมีความโบราณไม่น้อยไปกว่ารถไฟที่เรากำลังจะขึ้นเลย คลาสสิคสุดๆ
ระหว่างนั่งบนรถไฟ เราจะได้ชมวิวป่าที่อุดมสมบูรณ์และหุบเขาน้อยใหญ่ เนื่องจากเป็นรถไฟแบบเปิด ทำให้เราสามารถนั่งห้อยขาได้ เหมือนกับนั่งรถลากยังไงยังงั้นเลย แต่ชิวมาก และวันนี้อากาศก็ดีมาก ดูเป็นใจให้เราทอดอารมณ์ไปกับธรรมชาติ คือฟินอ่าค่ะ พูดเลย
หลังจากนั้นก็กินข้าวเที่ยงและมุ่งหน้าต่อไปยังหมู่เกาะฟิลลิป วันนี้จะไปดูนกเพนกวิน เกาะนี้ไม่ได้มีแค่นกเพนกวินแต่มีสัตว์อื่นๆ มากมาย ที่นี่ก็คงเหมือนการชมสัตว์ที่สวนสัตว์เปิดทั่วไป คือต้องดูเวลากลางคืน เราไปถึงที่นั่นประมาณ 5 โมงครึ่งก็ต้องรีบไปซื้อตั๋วและฝ่าผู้คนนับร้อยเข้าไปจองที่นั่งริมหาดซึ่งอยู่ด้านบนเนินเขา หรือจะเดินลงไปด้านล่างก็ทำได้ แต่เนื่องจากวันนี้คนเยอะมาก เราเลยต้องดูอยู่ข้างบน 
เมื่อมองลงไปจะเห็นทะเลและหาดทราย ผลพลอยได้ของการมาดูนกเพนกวินคือเราได้ชมวิวของทะเลในขณะพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน พอฟ้าเริ่มสลัว เจ้านก Little Penguin ก็จะกลับมาที่รังของตัวเอง ซึ่งรังของมันก็อยู่ใต้ stand ที่เรานั่งอยู่ นกเพนกวินที่นี่ตัวเล็กมาก ความสูงไม่เกิน 1 ฟุต ที่นี่มีกฎว่าห้ามถ่ายรูปนกโดยใช้แฟลช และห้ามส่งเสียงดัง นกเพนกวินจะทะยอยกันเดินจากทะเลด้านล่างขึ้นมาด้านบน ด้วยความที่นกตัวเล็กทำให้เราประหลาดใจไม่น้อยว่ามันเดินขึ้นมาที่รังของมันข้างบนได้ยังไง และมันเดินขึ้นมาเร็วมาก มันจะจับตัวกันเป็นกลุ่มๆ บางกลุ่ม 5 ตัว บางกลุ่ม 10 ตัว และค่อยๆ เดินขึ้นมา เป็นภาพที่น่ารักมาก ดูแล้วน้ำตาจะไหล บางทีก็คิดว่า นี่เรารุกรานมันมากเกินไปรึป่าว แต่ใจหนึ่งก็อยากอุ้มกลับบ้าน มันน่ารักมากจริงๆ ค่ะ เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ขึ้นมาที่รังมันหมด นักท่องเที่ยวก็เริ่มทะยอยกันกลับ ซึ่งตอนนั้นก็ประมาณเกือบทุ่มแล้ว เราก็เดินออกมาเพื่อขึ้นรถกลับโรงแรม วันนี้เราพักที่เดิมและหาอะไรกินแถวๆ โรงแรมแล้วก็กลับ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วสินะ พรุ่งนี้ก็ต้องกลับภูมิลำเนาของตัวเองแล้ว เฮ่อ ไม่อยากจะคิด นี่ขนาดมาแบบไม่ตั้งใจ ยังไม่อยากจะกลับเลย

วันที่ห้า วันนี้เบาจริงๆ แพลนก็ไม่มีอะไรมาก เป็นการชมเมืองเมลเบิร์นมากกว่า เดินเที่ยวเพื่อดูตึกรามบ้านช่องของเค้า โบสถ์คริสต์ บ้านเมือง อาหาร ถนนหนทาง วันนี้เป็นวันที่ได้ดูชีวิตของคนที่นี่อย่างเต็มตา เพราะหลายวันที่ผ่านมา โปรแกรมเราแน่นมาก และมีแต่ความรีบเร่งจนไม่ได้ใช้ชีวิตแบบศิวิไลยเท่าไหร่เลย บ้านเมืองเค้าสวยดี สงบ รถไม่ติดด้วย เพราะคนส่วนใหญ่เดินทางโดยรถแทรม วันนี้ก็เลยช็อป ชิม กิน ดื่มให้เต็มที่ เพื่อซึมซับบรรยากาศของเมลเบิร์นให้เต็มอิ่มก่อนกลับ
ช่วงสายๆ หลังจากชมเมืองและซื้อของฝากอะไรเรียบร้อยแล้ว พอจะมีเวลาเหลือ เลยไปนั่งร้านกาแฟ เปิดมือถือดูว่ามีที่ไหนที่เราควรจะไปอีกบ้าง ก็เจออีกที่ที่เราควรจะไป เพราะถ้าไม่มีเขาก็อาจไม่มีใครพบเจอทวีปออสเตรเลีย และฉันก็ลืมเขาไปเสียสนิทเลย ตรงที่เราเดินชิวๆ กันอยู่ไม่ห่างจากบ้านกัปตันคุ๊กมากนัก ก็เลยแวะไปเที่ยวบ้านเขาซะหน่อย บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังเล็กๆ อ่านจากประวัติดูเหมือนว่า ขนทั้งหลังมาจากประเทศอังกฤษ แล้วเอามาตั้งไว้ที่เมลเบิร์น อยู่ใกล้ๆ กับ Fitzroy Garden สามารถเข้าไปชมด้านในได้ ซึ่งเสียค่าเข้าด้วย ในนั้นก็จะแบ่งเป็นห้องต่างๆ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องนอน ให้เราได้ชมกัน
ชมเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวเที่ยงและเดินดูไรเรื่อยเปื่อยที่ถนน Swanston ฉันไม่ได้ซื้ออะไรมากมายที่นี่ เพราะของแพงเกือบทุกอย่างเลย ก็เลยเดินดูชมเมืองอะไรไปตามเรื่องตามราวมากกว่า ประมาณบ่ายโมงก็ได้เวลาอันสมควรที่เราจะต้องไปสนามบินแล้ว เพราะต้องเผื่อเวลาที่สนามบินด้วย ซึ่งขากลับ เรากลับจากสนามบินเมลเบิร์นค่ะ

งบประมาณสำหรับทริปนี้ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน ประมาณ 50,000 บาทสำหรับการใช้ชีวิต 5 วันที่ออสเตรเลีย ซึ่งไม่รวมตั๋วเครื่องบินที่แต่ละคนอาจจองได้ถูกแพงแตกต่างกัน บางคนยอม transit ที่บางประเทศ ก็จะได้ราคาที่ถูกลง และไม่รวมค่าขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ที่บางคนขึ้น แต่บางคนก็อาจจะกลัวความสูง ไม่ขึ้นก็ไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ส่วนที่พัก ทริปนี้ทั้งทริป เราพักโรงแรมในเครือ Accor เพราะไม่แพงมาก แต่ก็จะไม่ได้อยู่ใจกลางย่านช็อปปิ้ง แต่การเดินทางก็ไม่ได้ลำบากอะไร 

ข้อดีของออสเตรเลียคือไม่ค่อยมีอะไรให้ช็อปปิ้งเพราะว่าของค่อนข้างแพง อย่างแบรนด์เนมเทียบแล้วก็แพงกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ ทำให้ไม่เจ็บตัวมากเหมือนทริปยุโรป แต่ก็สำหรับบางคนก็อาจจะยังช็อปได้ อันนี้ก็เป็น passion และความต้องการส่วนบุคคลนะคะ ดังนั้นฉันคิดว่าที่นี่เหมาะสำหรับการไปพักผ่อนกับครอบครัว เน้นเที่ยวธรรมชาติเพราะออสเตรเลียเป็นเมืองที่มีความหลากหลายของภูมิประเทศและภูมิอากาศรวมถึงธรรมชาติด้วย มีสัตว์แปลกๆ ให้เราได้เห็นตลอดการเดินทาง ซึ่งแน่นอนว่าเราอาจไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน จริงๆ แล้วออสเตรเลียอาจจะมีอีกหลายสถานที่ที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้อาจเป็น Dream Destination ของใครหลายๆ คน ซึ่งแตกต่างจากฉันที่มีเป้าหมายหลักคือ การได้พบกับน้องโคอาลาและนกเพนกวินที่เกาะฟิลลิป แน่นอนว่าสถานที่ที่ฉันไป เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศนี้เท่านั้น ที่ไม่อาจเป็นตัวแทนของความน่าสนใจและสวยงามของประเทศออสเตรเลียได้

ด้วยความที่ออสเตรเลียเป็นเมืองใหม่เมื่อเทียบกับยุโรป ทำให้คนที่ชอบวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อาจจะไม่ค่อยอินกับที่นี่เท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้มาเยือนที่นี่ บางทีอาจมีซักวันที่อยากกลับมาที่นี่อีกครั้งก็ได้ และนี่ก็คือทริปออสเตรเลียฉบับฉุกละหุกของฉัน เพราะน้องโคอาลาไม่มี passport ไม่สามารถเดินทางมาหาเราได้ เราต่างหากที่ต้องเดินทางไปหาน้องเองนะคะ

โตแล้ว ออกไปเปิดโลกบ้าง จะได้รู้ว่าเราตัวเล็กแค่ไหน
ถ้าคิดว่าตัวเองฉลาดแล้วให้ออกเดินทาง 
แล้วเราจะรู้ว่า โตแค่ไหนสุดท้ายก็ยังโง่อยู่
และการเรียนรู้ก็เกิดขึ้นได้ทุกวัน

by Akiko


ปี 2025 นี้ ปีชงมีผลจริงมั้ย รับมือกับการใช้ชีวิตยังไงดี???

ปี 2025 คงเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหลายๆ คน ทั้งเรื่องราวของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ใดๆ ก็เข้ามาทำให้ชีวิตเรามีความกังวลไม่น้อย ไหนจะมีปีชง ไหนจ...